หลายงานของชาวอโศก
แม้ต่างกรรมต่างวาระ
แต่จุดหมายคือมุ่งสู่ความสามัคคี
อันเป็นพลังรวมสังคมที่มีศักยภาพ
และเหนือสิ่งอื่นใด เราได้พิสูจน์ยืนยัน
"ประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่าน"
อันเราได้ปฏิบัติพร้อมกันไปด้วยนั้น
คือ ความงดงามที่สมบูรณ์สุดยอด
ของพุทธศาสนา

พบกับบทสัมภาษณ์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์บอกเล่าถึงงานฉลองหนาว ณ ภูผาฟ้าน้ำ หนึ่งในหลายๆ งานของพวกเรา ชนิดที่ใครไม่ได้ไปจะรู้สึกเสียดายทีเดียว และเรื่องของไก่ตาย เป็นเบือนั้น ให้ข้อคิดอะไรกับเราบ้าง

บรรยากาศงานฉลองหนาวเห็นว่ามีคนมาน้อยลงจริงหรือไม่? เพราะอะไรคะ?

...งานฉลองหนาวปีนี้เห็นว่าไม่ครื้นเครงเท่าปีกลาย เพราะว่าคนน้อยลง คงเป็นเพราะเหตุว่า ข่าวจากทางโน้นแหละ ข้อมูลจากภูผาฟ้าน้ำนั่นแหละบอกว่า ตอนนี้ ๒ องศาแล้วนะ คนกลัวหนาว ก็มีเยอะ ๒ องศาไม่เคยเจอกันหรอก แค่ ๑๐ องศาก็ยังย่ำแย่กันแล้ว ๑๐ กว่าองศาแท้ๆ ก็หนักแล้ว นี่บอกว่า ๒ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เขากลัว ยิ่งพวกไม่ชอบหนาว และจะให้ ปีนภูเขา ขึ้นไปนอนค้างคืน อยู่บนโน้น คงเป็นเพราะเหตุนี้แหละมากกว่า พอบอกหนาว ก็ถอนชื่อออก ข้อมูลเรื่องนี้ทั้งนั้นเลย ไม่มีข้อมูลอื่น ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่อไปแล้ว ปีนี้ก็หนาวกว่า ปีกลายจริงๆ เพราะปีกลายเฉลี่ยตก ๑๐ กว่าองศา ปีนี้ ๕ องศาบ้าง ๖-๗ องศาบ้าง สบายที่สุด คือ ๑๐-๑๑ องศา ในวันสุดท้าย เพราะฉะนั้น บางคนไปแล้ว แม้ไม่ได้คิดอะไร แต่ไปแล้ว พอเจอหนาว ก็กลับก่อนเลย กลายเป็นมีคนน้อยไป

ถ้าคนลดน้อยลงๆ มีแนวโน้มจะเลิกจัดไหมคะ?

คิดว่าคงไม่หรอกนะ เพราะพวกเราไม่ได้เอาปริมาณ เราเอาเนื้อหาสาระที่จะได้ แม้คนน้อย แต่ถ้าเนื้อหา มันดีคงจัดไปเรื่อย คนน้อยหรือมาก เราก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เท่าที่ดู ไม่น่าจะน้อยหรอก เพราะว่าปีนี้ก็มีคนมาจากดอยต่างๆของย่านเหนือ ขนาดจากแม่แจ่ม จากลำพูน ก็ยังมาร่วมงานเรา

จะปรับเปลี่ยนเวลาไม่ให้อยู่ในช่วงหนาวจัดได้หรือไม่คะ?

ไม่มีเวลาแล้ว เพราะว่างานประจำปี ที่เรากำหนดมาก่อน แทรกไปหมดแล้ว งานนี้จัดช่วงปลาย มกราคม เป็นโอกาสที่หนาว งานนี้จึงชื่อ ฉลองหนาว ถ้าไปจัดเดือนเมษา ชื่อฉลองหนาว จะไปได้เรื่องอะไร มันก็ผิดไปหมด เวลานี้แหละ ที่เหมาะ สำหรับจะจัดงานฉลองหนาว ช่วงอื่น ทางเหนือก็มีงาน ทางใต้ก็จัด ทางอีสาน ก็จัดชนกันอีก แล้วแบ่งคนไป ก็ยังไม่ได้ เพราะว่า ปริมาณคนของเรา ยังมีไม่มากพอถึงขั้นจะแบ่งคนอย่างนั้นหนึ่ง สองวิธีการที่จะแบ่งคนไป ก็จะกลายเป็น การแบ่งแยกซึ่งอาตมาไม่อยากให้แยก อยากจะให้ประสาน ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก พวกเราควรจะต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ได้แยกทั้งภาค ทั้งกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ เพราะฉะนั้น เรามีอะไรก็มาร่วมมือกัน ช่วยกัน เราจะเห็นได้แม้จัดงานฉลองหนาว ก็มีคนขึ้นไปช่วย ก่อนงาน ไปช่วยเตรียมจัดงาน เราจัดงานที่ไหนก็มีคนไปช่วย จัดงานทางเหนือ พวกทางใต้ ก็มาช่วย เตรียมงาน จัดงาน อยู่ทางใต้ อีสาน พวกทางภาคกลาง ภาคเหนือก็ไปช่วยเตรียมงาน อย่างนี้ เป็นเรื่องการสร้างสังคม เป็นการสร้างมวลมนุษยชาติให้เกิดเป็นเอกภาพ เกิดการสามัคคี เกิดการ ร่วมไม้ร่วมมือ มันมีผลสูงมากในทางสังคมศาสตร์ หรือทางมานุษยวิทยา และที่สำคัญ ในแทบทุกงาน พวกเราก็ได้มาฝึกความอดทนทั้งสิ้น

ในงานนี้พ่อท่านได้เห็นความพัฒนาอะไรของพวกเราบ้าง ?

มีคนขึ้นไปช่วยเตรียมงานก่อนวันเวลา ไปอย่างตั้งอกตั้งใจกันทีเดียว เหมือนกับงานตลาดอาริยะ นี่คือข้อ ๑ ข้อ ๒ ในรายละเอียดเนื้อหา เราจัดงานนี้ให้เป็นลักษณะของงานที่ไม่ใช่มาเครียด หรือให้การศึกษา มากเกินไป แม้แต่ทำวัตรเช้า ก็ไม่มี มีแค่เทศน์ก่อนฉัน หรือมีเอื้อไออุ่น เป็นการพูดคุย ตามประสาพ่อๆลูกๆ คุยกันไป มีเนื้อหา สาระบ้าง นอกนั้นก็เป็นการบันเทิง มีการแข่งกีฬาอาริยะ อาตมาเรียกว่ากีฬาอาริยะ แต่มันทำให้เรา ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น พวกเรา ยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงไม่ค่อยจะชอบ เพราะว่าเป็นการออกแรง แต่ก็สนุก พอสมควร ทำไปแล้ว โอ้โฮ เชียร์กันใหญ่เลย โดยเฉพาะการแข่งขันผ่าฟืน เชียร์กันน่าดู สนุกสนาน แต่งานแข่งสีข้าว ยากหน่อย หรืองานแข่งกันไปหาผักป่า ไปหาบฟืนในป่ามันก็เงียบหน่อย เพราะใคร จะตาม เข้าไปเชียร์ในป่า ก็เลยไม่มีกองเชียร์ งานที่คนเฮละโลโฮละเลมากหน่อยคือผ่าฟืน สีข้าว หรือ แม้งานแข่งกันตักทราย สนุกดี ได้ผลผลิตสำหรับใช้ทั้งชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ได้ฟืนใช้ทั้งปีเลย นี่เป็นผลพลอยได้ของงานซึ่งทุ่นไปเยอะเลย สีข้าวไว้อีก ก็ได้ไว้กินพอสมควร ยิ่งกองทราย อาตมา ไปเดินบิณฑบาต ทรายที่ตักไว้ปีที่แล้วยังใช้ไม่หมดเลย ปีนี้ก็มาเพิ่มอีก ๖-๗-๘ กอง หรือแม้แต่ การเก็บผักป่าก็เป็นการศึกษา เป็นการทำให้พวกเราได้เรียนรู้ คนที่รู้แล้ว ก็ได้คำแนะนำ เพิ่มขึ้น คนไม่รู้ก็ได้รับรู้เพิ่มขึ้น รู้จักผักป่าต่างๆนานา ที่เราต้องศึกษารู้ว่า ธรรมชาติเป็นอย่างไร กินอย่างไร

การมาร่วมงานฉลองหนาวก็มีการละเล่นแบบนี้แหละ ส่วนที่จะมาสังสรรค์ งานนี้ก็เหมือนงาน Meeting มีการกินเลี้ยงร่วมกัน ซึ่งปีนี้ก็มีอาหารเพิ่มเติมขึ้น มีโรงบุญเพิ่มเติมขึ้น มาจากแต่ละแห่ง แต่ละที่ ซึ่งพวกเราก็เข้าใจ ก็มาร่วมมือร่วมไม้กันออกร้านกันทั้งวันเลย งานอื่นมีก็ไม่มีเท่างานนี้ คนขึ้นดอย ลงดอยต่างก็มีวัตถุดิบติดมาด้วย พวกชาวดอยก็สนุกซิ เพราะธรรมดาก็เจอแต่ผัก กับน้ำพริก เป็นหลัก นี่มีแม้กระทั่งอาหารแบบฝรั่ง บาบีคิว ปาท่องโก๋ ว่ากันมั่ว ปล่อยเปรตกัน น่าดูเลย งวดนี้ ก็เป็นการปลดปล่อย เป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นน้ำใจ และก็ ทำกันขึ้น ถึงแม้ในที่สุด พวกชาวดอยต่างๆ ที่มีการละเล่นพื้นเมือง เอาไม้ซึ่งซับซ้อนกว่า ลาวกระทบไม้ตั้งเยอะ ก็มาเล่นมารำ ชาวแม่แจ่มก็มารำมาฟ้อน พากัน มาจริงๆ ซึ่งมีอะไรต่ออะไร เข้ามาร่วม

อาตมาว่างานชาวดอยก็เหมือนงานชาวชนบท ไม่เหมือนงานเมือง ซึ่งมีคอนเสิร์ตครื้นเครง ฟู่ฟ่า แฟชั่นโชว์ แต่ของเราจัดอย่างงานชนบท เป็นไปในทางด้านจิตวิญญาณสัมพันธ์ มาร่วม สนุกสนาน มีอะไร ก็แบ่งปัน เจือจานกัน มีความสัมพันธ์กันจริงๆ ไม่ได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง แข่งดี แข่งเด่น เวลามีคอนเสิร์ต ก็ฆ่ากันยิงกัน ทะเลาะกัน แต่ของเราไม่มีอย่างนี้

นี่คือสิ่งที่น่าชื่นชมของมนุษยชาติ มันต้องมีและเป็นศิลปะ เป็นเรื่องของสังคมศาสตร์ ที่เกิดความเจริญ รุ่งเรือง ซึ่งสรุปแล้วงานนี้มีเนื้อหาพัฒนาขึ้น แถมยังมีตลาดอาริยะ ๑ ร้าน มีคนบริจาค เสื้อผ้ามา ๕๐๐-๖๐๐ ชิ้น เขาก็เอามาขายกันในราคาไม่กี่ตังค์ เพื่อแจกจ่าย ให้พวกนี้ไปซื้อกัน โดยเราขอร้องพวกเราชาวเมืองที่มีพอใช้แล้ว ก็อย่ามาแฝงแย่งซื้ออะไร กับชาวบ้าน ชาวดอยเลย พวกเขานานๆทีก็ให้เขาเถิด ซึ่งพวกเราก็เข้าใจ ขายตัวละ ๑๕-๓๐ บาท เข้าคิวกัน ยาวเหยียด อาตมาเห็นแล้วชื่นใจ ปีนี้พอจัดงานเสร็จแล้ว เขาก็บอกกันว่า ปีหน้าเอาอีกนะ คนที่บริจาคมา เขาก็ชื่นใจ และเขาก็บอกปีหน้าจะให้มากกว่านี้ นี่แสดงถึง เนื้อหา ที่เกิดโดยธรรมชาติ ไม่ต้องไปประกาศ เป็นตลาดอาริยะ กี่ร้านก็แล้วแต่จะเกิดขึ้น ไปตามเรื่อง นี่เป็นธรรมชาติเป็นเรื่องจริง เป็นอีกวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นมา

ไก่ตายแล้วเป็นล้านๆตัว ทั้งเป็นโรคและถูกทำลาย ในสายตาชาวพุทธพ่อท่านคิดอย่างไร ?

เป็นวัฏสงสาร ของมนุษยชาติ สัตว์เลี้ยงก็ตาม สัตว์เดรัจฉานก็ตาม คนก็ตาม ถึงเวลาวาระ ก็เป็นไป เพราะฉะนั้น เห็นชัดเจนเลยว่าเราเองไม่ได้อยู่ในวงจรของเขา เราอยู่นอกวงจร เราจะเห็นว่า ความเดือดร้อน ของเราน้อย เพราะเราหลุดพ้นจากวงจรของเขาจริงๆ จึงกระทบ กระเทือนเราน้อย หรือแทบจะไม่กระทบกระเทือนเราเลย เนื่องจากเราไม่ได้กิน เลยไม่ได้ เดือดร้อน ทั้งในด้าน เศรษฐกิจก็ตาม ด้านความเจ็บป่วยก็ตาม ด้านสุขภาพก็ตาม ไม่กระทบเรา สักด้าน แม้ที่สุดด้านสังคม มีคนหดหู่ มีคนทุกข์ร้อน ลำบากลำบน กลายเป็นภาวะ คับแค้นใจ แม้แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทางรัฐบาล ก็ทุกข์ร้อนลำบากลำบนใจ ที่จะต้องจัดการ สะสางปัญหา ให้มันดูดี ให้มันดูไปได้อย่างงดงาม อย่างเป็นผลเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งมันมี ความสูญเสีย ไม่น้อยเลย อย่างน้อยไก่ตายเป็นกอง เอาแบ็คโฮล ขุดเป็นหลุม เทกันเป็นล้านๆตัว ซึ่งเราเอง ไม่เกี่ยวข้องหรอก แต่เราก็รู้ก็เห็น คนเราประเมินประมาณ ความรู้สึกได้ คนมีจิตใจมีอารมณ์ มีบวกมีลบ มีขึ้น มีลง มีรัก มีชอบ มีเสียดาย มีหวงแหน มันก็น่าเห็นใจ แต่เมื่อเราหลุดพ้น จากวงจร ที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องมี ความเดือดร้อน อะไรด้วย นี่เพราะ เราปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกทาง

* ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างลอยๆ
ทุกสิ่งย่อมมีมาแต่เหตุเป็นเบื้องต้น
ทำเหตุดี ผลที่เกิดย่อมดีตามมา
เมื่อเกิดผลไม่ดี คงต้องย้อนกลับไปดูที่เหตุ
เพราะมีแต่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุเท่านั้น
จึงจะยุติผลที่กำลังเกิดขึ้นได้
นี่คือศาสตร์แห่งเหตุและผล
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมากว่า ๒,๕๐๐ ปี

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๘ มกราคม ๒๕๔๗ -