กรรมตามสนอง - ก่อแก่น -


ตอน อำนาจกรรม

อำนาจกรรมนี้ได้เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณจินดา อนุพันธ์ อายุ ๕๓ ปี อาชีพรับราชการ และขณะนี้ก็เป็นผู้รับใช้ชาวชุมชนขอนแก่นอโศก ได้เล่าเรื่องให้ฟังว่า
สมัยนั้นยังเป็นเด็ก อายุประมาณ ๘ หรือ ๙ ปี ก็คงจะอยู่ในราวปี พ.ศ.๒๕๐๓ โน้น ที่บ้านเกิดของผมเอง ตอนนั้นมีนิสัยไม่คิดจะช่วยงานพ่อแม่ ถ้าไม่มีการขอร้อง ชอบเล่น สนุกสนานไปวันๆจนเกินขอบเขต ในบางครั้งจึงมักจะถูกผู้เป็นพ่อดุด่าอยู่เป็นประจำ แต่กับแม่ไม่มีปัญหาเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่ามีพ่อกำราบอยู่ทุกๆขณะแล้ว หรือเป็นเพราะว่า แม่เป็นคนใจดี เป็นคนค่อนข้างจะตามใจลูก หรือเพราะความไร้เดียงสาของผม จึงมองไม่ค่อยเห็น ความห่วงใย หรือความหวังดีของผู้เป็นพ่อแม่เท่าที่ควร จนกระทั่ง มีบทเรียนชีวิตที่ต้องจดจำมาตราบเท่าทุกวันนี้ เรื่องนั้นมีอยู่ว่า
เช้าวันไหว้ครูวันหนึ่ง ผมอยากจะขอเงินจากแม่ ไปซื้อเทียนหล่อสำเร็จจากร้านค้าเพื่อทำพิธี แต่แม่ก็ขัดใจอยากจะให้ใช้เทียนขี้ผึ้งที่แม่อุตส่าห์หล่อให้ ผมก็พยายามปฏิเสธ เพราะเห็นว่าเทียนที่แม่หล่อให้ดูมันไม่ค่อยสวย จึงปัดเทียนที่แม่ยื่นให้อย่างไม่ไยดี แม่ก็คะยั้นคะยอและพูดขึ้นว่า ก็ดีแล้วนี่ที่ไม่ต้องไปซื้อเขาให้เสียเงิน และมันก็ใช้ได้เหมือนกัน
แต่ทว่าผมก็ยังพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะรับเทียนนั้นไป จนทำให้แม่เกิดความโมโห แทนที่ผมจะรู้สึกกับเหตุผลของแม่กลับตอบโต้คำด่าด้วยการใช้ไม้ลำปอฟาดลงไปยังหลังของแม่ ในขณะที่แม่เผลอ จากนั้นผมก็ได้วิ่งหนีเอาตัวรอดไป.....
เหตุการณ์นั้นผ่านไป อีก ๕ ปีต่อมา คือราวปี พ.ศ.๒๕๐๘ จะเป็นด้วยอำนาจของกรรม ที่ผมเคยทำเอาไว้กับแม่ในคราวนั้น ได้ย้อนคืนมาสนองให้กับตัวของผมเข้าจนได้ สมกับคำของคนเฒ่าคนแก่ไทยอีสานที่เคยสั่งสอนลูกๆหลานๆเอาไว้ว่า
"โตหากถือห่อขี้เหม็นใส่ตัวอย่ามาโทษผู้อื่น หลานเอ้ย โตหากทำชั่วแล้ว สิไปถิ่มใส่ไผ ทำชั่วย่อมได้รับผลกรรม อย่าไปโทษผู้อื่นเด้อหลานเด้อ!"
เรื่องมีอยู่ว่าในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่ผมจะไปอาบน้ำที่ท่าน้ำในวัด ผมก็ได้พบเพื่อนรุ่นน้อง ชื่อจำนงค์ เดินเข้ามาหาพร้อมกับดมกลิ่นดอกนมวัว พอผมเห็นแค่นั้นจึงขอดมจากเขาบ้าง พอเขาให้ดมเสร็จแทนที่ผมจะคืนดอกไม้ให้เขาด้วยดี กลับใช้เข่าเดาะดอกไม้นั้นคืนเขาไป.....
จู่ๆเพื่อนจำนงค์คนนั้น เขาก็โกรธผมขึ้นมาเป็นฟืนเป็นไฟอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาฉวยได้ไม้คาน(สาแหรก) อยู่บริเวณท่าน้ำนั้นแล้วนำมาฟาดลงไปบนหลังของผมอย่างสุดแรง ผมตกใจวิ่งหนีไปหมอบฟุบอยู่ในบวกควายนอน (ปลักควาย) ด้วยอาการจุกแน่น หายใจไม่ออก แทบใจจะขาด อยู่ในอาการแบบนั้นนานประมาณสิบกว่านาที พอรู้สึกตัวผมจึงแข็งใจลุกขึ้นได้ มองหาเพื่อนว่าจะถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แต่เพื่อนก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงาเลย จากวันนั้นจน ๒-๓ วันต่อมา ผมคอยจ้องหาโอกาส จะแก้แค้นเพื่อนคนนั้นครั้งหรือสองครั้ง แต่ ผมก็หยุดไปโดยปริยาย เพราะนึกได้ว่า เป็นน้องชาย ของเพื่อนเลยนึกเกรงใจ และอีกข้อหนึ่ง อาจเป็นเพราะว่า ผมเองไม่เคยมีนิสัย ที่จะหาเรื่องใครก่อน อยู่แล้ว จึงยอมรับหนี้แค้นโดยดุษณี แต่ก็ยังไม่พ้น อำนาจของกรรม ที่เคยทำเอาไว้กับแม่ในครั้งนั้น
ต่อมา พ.ศ.๒๕๐๙ ผมได้ไปกลั่นแกล้งรังแกนายสุพรม ซึ่งเป็นคนรุ่นน้อง ขณะที่เขาเล่นเกม เพลินอยู่นั้น จนทำให้เขาเกิดความโมโห เขาก็ฉวยเอาขวดเป๊บซี่ ที่วางอยู่ใกล้ๆมือของเขา ขว้างใส่ถูกหลัง บริเวณที่เคยถูกไม้คานฟาดมา แต่คราวนี้ไม่หนักหน่วงเหมือนคราวที่แล้ว แต่ผมก็สำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงระงับที่จะแก้แค้นเอาไว้ได้มาจนกระทั่งทุกวันนี้ บริเวณที่ถูกตีมักจะปรากฏอาการเจ็บอยู่เรื่อยๆ ในขณะที่แบกหรือยกของหนัก
แต่หลังจากที่ผมได้หันมาถือศีล-ปฏิบัติธรรม ตามแนวทางที่ชาวอโศกพาทำ คือ หันมาถือศีลห้า ละอบายมุข กินมังสวิรัติ จากการแนะนำของคุณแก่นขวัญ นาวาบุญนิยม เป็นผู้ชักนำพา ให้ผมมารู้จักวัดชาวอโศกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๙ เป็นต้นมา
ไม่ว่าชาวอโศกจะจัดงานบุญ ขึ้นที่ใด หากผมไม่ติดธุระจำเป็นจริงๆ ผมก็จะต้องไปร่วม งานบุญเหล่านั้นแทบจะทุกงานเลยก็ว่าได้ ผมได้รับการอบรมสั่งสอน จากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์มาโดยตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ดีอยู่เสมอ ที่พ่อท่านว่า ให้หมั่นทำแต่กรรมดี ให้พูดแต่สิ่งดีๆมีสาระ และให้คิดแต่สิ่งดีๆ ย่อมจะเป็นบุญกุศล มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็หมั่นสร้างแต่บุญ แต่กุศลให้กับตนเองเท่านั้น ผมก็ได้นำมาประพฤติปฏิบัติ ตามคำสั่งสอน ของพ่อท่าน ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา จะเป็นด้วยผลบุญ กุศลที่ผมได้สั่งสม แต่กรรมดีมาโดยตลอด จึงทำให้ชีวิตของผม และหน้าที่การงาน เจริญขึ้นมา เรื่อยๆ อีกอย่างอาการเจ็บหลัง ก็ค่อยๆ เลือนหายไป แทบจะพูดได้ว่า อยู่ในขั้นปกติเลยทีเดียว .

- สารอโศก อันดับที่ ๒๖๘ มกราคม ๒๕๔๗ -