ธันวาคม ๒๕๔๖ ติดแป้นเป็นอย่างไร? ๒ ธ.ค. ๔๖ ศูนย์มังสวิรัติได้จัดงานบุญ หลังจากปิดปรับปรุงร้านร่วมเดือน โดยนิมนต์พ่อท่านเทศน์และฉันอาหารที่ร้าน แถมด้วยการเปิดโรงบุญแจกอาหารฟรี ประโยชน์ ของการจัดงานอย่างนี้คืออะไร? ประเด็นหลักของการทำร้านมังสวิรัติคืออะไร? และที่น่าสนใจ พ่อท่านพูดถึงการทำงานแล้วติดแป้นเป็นอย่างไร? พ่อท่านอ่านหนังสือพิมพ์อย่างไร? ๓ ธ.ค. ๔๖ การทำวัตรเย็นครั้งแรกที่สนามหญ้าหน้าบ้านดอกไม้สันติอโศก มีประเด็นคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ อยากให้พ่อท่านแนะวิธีอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์? เอื้อญาติลอยกระดูกที่พิบูลฯ คุณอาภาวดี พรหมพิทักษ์ ลูกสาวของลุงหมอสุรินทร์ เสียชีวิต และจัดงาน เผาศพ ที่วัดธาตุทอง(๔ ธ.ค.) พ่อท่านไปร่วมงานด้วยพบหมอเสม พริ้งพวงแก้ว คุณโสภณ สุภาพงษ์ บรรยากาศ การพบเจอกันเล็กๆน้อยๆนั้นเป็นอย่างไร? ท่าทีของพ่อท่าน กับการไปร่วมลอยกระดูก ที่พิบูลมังสาหารเป็นอย่างไร? พ่อท่านคิดอย่างไรกับการลอยกระดูก? สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมนิมนต์ไปร่วมสัมมนา คุณอรพิน เนตรจำปา สมาชิกสภา ที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตัวแทนคณะกรรมการฝ่ายจิตวิญญาณและศาสนา ได้มานิมนต์พ่อท่าน ไปร่วมสัมมนา สาเหตุของการคอรัปชั่นและการแก้ปัญหา คุณอรพิน ได้บอกเล่าบรรยากาศ ของแวดวง ที่ตนได้ไปร่วมงานเป็นอย่างไร? ถูกกล่าวหาว่าพยายามตั้งนิกายใหม่....!!! จากกรณีข่าวที่มีกลุ่มพุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่ง เคลื่อนไหวที่จะ ให้มี สังฆราชของแต่ละนิกาย ทำให้ พล.ต.ท.อุดม เจริญ ผอ.สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ทั้งน.ส.พ.และโทรทัศน์ พาดพิงกล่าวหาว่าสันติอโศก มีความพยายามที่จะให้รัฐบาลรับรอง ว่าเป็นนิกายหนึ่ง ทั้งๆที่ชาวอโศกได้ประกาศเป็น นานาสังวาส มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ แต่ก็ยังมีความไม่เข้าใจ จากผู้อยู่ในวงการศาสนาด้วยกัน การกล่าวหาอย่างผิดๆเช่นนี้จึงมีอยู่เรื่อยๆ พ่อท่านเอง ก็พูดอธิบายมา นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แม้ทางเราจะทำหนังสือนานาสังวาสโดยตรงแล้วก็ตาม คงจะต้องมีการกล่าวหาผิดๆ เช่นนี้ ต่อไปอีกเป็นแน่ ครั้งนี้พ่อท่านทำอะไร? และพูดอะไรอีกในเรื่องนานาสังวาสและนิกาย? ผนึกวิญญาณ ประสานสัมพันธ์ สถาบันอโศก เป็นชื่อคำขวัญของการเข้าค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ หรือนักเรียน สัมมาสิกขาทุกแห่ง ช่วงท้าย ของการเข้าค่าย พ่อท่านได้แจกเงินขวัญธรรมให้กับนิสิต ม.วช. นักเรียนสัมมาสิกขา และเด็กๆ ที่อยู่ในชุมชนทุกแห่ง พ่อท่านให้โอวาทถึงเกณฑ์การตั้งโรงเรียน สัมมาสิกขา แห่งใหม่ขึ้น เป็นอย่างไร? นอกจากนี้พ่อท่านได้พูดถึงโทษภัยของการมีเงิน การใช้เงินมีพิษภัยอย่างไร? และ การแจกเงิน ขวัญธรรม เพื่อจุดประสงค์ใดเป็นสำคัญ? ใส่ใจ...เอาภาระ...สุดจะบรรยาย พ่อท่านเดินทางไปอยู่ประจำที่บ้านราชฯ ตั้งแต่ต้นเดือน ธันวาคม เพื่อดู และ ช่วยการจัดเตรียมงานปีใหม่ ปีนี้มีเหตุการณ์ใดที่น่าบันทึกจดจำ เพราะเหตุใด พ่อท่านจึงมีผิวสีเข้ม คล้ำกว่าปกติ ภาพพ่อท่านยก ย้าย โยก อุ้ม จับประคอง ในกิจกรรมต่างๆเป็นอย่างไร? ปิดท้ายบันทึกนี้จากโอวาทกับบรรดาอาสาสมัครบุญนิยม(อสบ.)หรือพวกปลอกเขียว พ่อท่าน ให้ข้อคิด อย่างไร ในการฝึกฝนชีวิตที่จะอยู่ร่วมกับสังคม? ติดแป้นเป็นอย่างไร ?
ถ้าเผื่อเราได้แต่กินผลาญ สนุกสนานรื่นเริง มันก็ดีตามประสาสัตว์โลกเท่านั้นเอง แต่ถ้ามี ปัญญาบ้าง เราก็ควรจะหาสาระประกอบเข้าไปด้วย สอดแทรกอยู่ในบันเทิงหรือการกินการใช้ แม้ที่สุดจะมีสาระ ให้ดีที่สุด เช่นให้มาบรรยาย ให้มาแสดงสิ่งที่เป็นสาระเลย หนักเข้าก็คือ มาเทศน์ เทศน์นี่ถือเป็นสิ่งสูงสุด ในการประกอบกับการจัดงาน บางงานเขาไม่มีเทศน์ มีแต่สวด เป็นภาษาบาลี เอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาสวดร้อง ก็ดีเหมือนกันแม้จะฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง จะทำให้เกิดศรัทธาในใจได้บ้างเหมือนกัน ได้สำนึก อะไรอันหนึ่ง ได้ประโยชน์ก็เกิด ความประทับใจได้เหมือนกัน ซึ่งสวดก็เพื่อจำและก็เพื่อรู้ในเรื่องที่สวดนั้น มันก็จะเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจ เกิดการ ประทับใจ มางานวันนี้ เราไม่มีบันเทิงอะไร งานขายอาหารเป็นงานการค้าหลักของชาวอโศกเรา เป็นบุญญาวุธหมายเลขหนึ่ง เป็นกิจการ แรก ของชาวอโศก จนเป็นหลักเป็นฐานยั่งยืนมาถึงทุกวันนี้ แล้วก็ขยายไปสู่เอกชนชาวอโศก ที่เปิดร้านอาหารส่วนตัว ก็มีหลายร้าน โดยกลุ่มก็มีก็ทำกันอยู่เยอะแยะ เราทำงานร้านอาหารก็ทำในลักษณะเสียสละ ไม่ได้ทำในลักษณะล่าลาภยศสรรเสริญ แบบ ทุนนิยม ทำงาน เพื่อที่จะกอบโกยขูดรีดเอาจากประชาชน ประเด็นหลักคือต้องการให้มนุษย์ กินมังสวิรัติ...." พ่อท่านได้ กล่าวอธิบายถึง คนเป็นสัตว์กินพืช และประโยชน์ของการกิน มังสวิรัติ จะยังประโยชน์ตนและโลก อย่างมากมาย รวมถึงการปฏิบัติธรรม จะเกี่ยวข้องกับ การกิน การใช้ ความเป็นอยู่ของเราทั้งนั้น ผู้ที่เข้าใจ ก็จะดำเนินชีวิตตามแนวคำสอน มักน้อย สันโดษ ขณะที่มีกิจกรรมการงาน ซึ่งข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ไม่ขอลง รายละเอียดในที่นี้ มีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ ถามว่า การทำงานแล้วติดแป้นเป็นอย่างไร? ผมอยู่ ชมร.มา ๑๐ ปีแล้ว ไม่ได้ไปไหน เลย ไม่ทราบว่าเป็นการติดแป้นหรือเปล่า? พ่อท่านตอบว่า คำว่าติดแป้นไม่ได้หมายความว่าทำอยู่งานเดียว จริง....เราทำงานนี้ มันก็จะ เกี่ยวข้องกับคน ที่มารับบริการ หรือเกี่ยวข้องกับคนที่ทำงานด้วย มันก็จะเกี่ยวข้องในวิถีเดียวกัน แต่งานร้านอาหารนี่ อาตมาว่า หลากหลายนะ เพราะลูกค้ามานี่โอ้โฮ บางคนมานี่ลีลาน่าดูเลย บางคนก็ลีลาสุภาพ เราจะเจอคน ได้หลากหลาย ทีนี้คำว่าติดแป้นมันไม่ได้ติดอยู่ที่งานเดียว ติดแป้นหมายความว่า เราไม่รู้ ภูมิธรรมของเรา โสดาบันเสมอโสดาบัน สกิทาคามีเสมอ สกิทาคามี ก็เสมอมันอยู่ตรงนั้น ติดมันอยู่ตรงนั้น อนาคามีเสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์ หรือในเมถุนสังโยคข้อที่เจ็ด ท่านบอกว่าเป็นเทวดาองค์ใด องค์หนึ่ง ติดแป้นอยู่ตรงนั้น คือ เทวดาหมายความว่าจิตที่มันพัฒนาขึ้นมาได้ขนาดหนึ่งแล้ว เราก็อ่านจิต ของเราไม่เป็น แล้วเราก็ทำโจทย์ไม่เป็น อาตมายืนยันว่าร้านมังสวิรัติมีโจทย์สารพัดทั้งนอกและใน เป็น อรหันต์ อยู่ที่ร้านมังสวิรัตินี่ยังได้เลย เพราะฉะนั้นทำงานอยู่ที่ร้านมาตลอด ๒๐-๓๐ ปีไม่ได้ไปไหนเลย อย่างนี้จะติดแป้นหรือเปล่า? ไม่ใช่เลย ทำงานเดียวแล้วจะติดแป้นไม่ใช่ เราไม่ติดแป้น เพราะเรารู้จัก ภูมิธรรม ของเรา ภูมิธรรมของเราขนาดนี้มันดีแล้ว แต่เรามันติดของเราเป็นฐิติ ไม่วุฒิติดอยู่เท่าเดิม ไม่เจริญ ก้าวหน้าอีกนั่นคือติดแป้น เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ก็องค์นั้น แหละไม่เปลี่ยนชั้น ไม่เปลี่ยนฐานะ ไม่เปลี่ยนภูมิธรรม โจทย์มีให้เราทำทั้งกามภพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งอัตตา เพราะฉะนั้นที่ถามมา ต้องเข้าใจ ให้ดีๆ ติดแป้น หมายความถึงไม่เพิ่มภูมิทางจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้จักวิธีปฏิบัติ หรือไม่รู้จัก โจทย์ ทำโจทย์ ไม่เป็น บางทีตะหลิวก็เป็นโจทย์ให้เราได้ พอทำไปๆอารมณ์ไม่ดี ตะหลิวนี่มันสั้น ไปนิดหนึ่ง รำคาญแล้ว มันไม่ได้ดังใจ วัตถุมันไม่รู้เรื่องหรอก มันไปตามเหตุปัจจัยของวัตถุ แต่เรา ไปถือสามัน ดีไม่ดีเขวี้ยงมันทิ้งเลย ยิ่งเสียหายใหญ่ โง่ซ้อนโง่ Double โง่ เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้อะไรที่ประกอบอยู่กับเรา มันเป็นโจทย์ ให้เราได้หมด เราจะไม่ติดแป้นเพราะเรา ทำโจทย์เป็น เราเลื่อนฐาน เลื่อนภูมิธรรมของเราได้ ติดแป้น ไม่ได้หมายความว่า ทำงานอยู่ แต่อย่างเดียว ทำงานอย่างเก่าอย่างเดียวก็เลื่อนภูมิเพิ่มฐานะทางธรรมได้ แต่ถ้ามันจำเป็น ต้องเปลี่ยนงาน มันสมควรต้องเปลี่ยนก็เปลี่ยน ถ้าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแล้ว เราจะต้อง ทำงานนี้ อยู่จนกระทั่งแก่จนเฒ่า มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร อยู่หน้าที่ไหนก็พัฒนาภูมิธรรมได้ ไม่ใช่การจม ติดแป้น เพราะงาน อยู่กับงานเดียว เราไม่ฉลาดเอง ถ้าเราฉลาด เราก็จะสามารถ เพิ่มภูมิธรรมของเราได้ งานเดิมนั่นแหละองค์ประกอบก็จะมีเข้ามาเรื่อยๆหลากหลายเสมอ มันไม่ได้อยู่นิ่งๆ อย่างเก่า อย่างเดิม ทุกอย่าง แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้มันชำรุดทรุดโทรม มันก็ทำ ให้เรากิเลสขึ้นได้ ถ้าเราโง่ หรือมากไปน้อยไป เป็นอะไรไปต่างๆ ถ้าเราไม่โง่ทุกอย่างมันเป็นเหตุ ปัจจัยแห่งโจทย์ ที่เราจะเอาไปประพฤติปฏิบัติ ให้เกิดคุณธรรม ให้เกิดการเลื่อนฐานพัฒนาขึ้น ได้ทั้งนั้น
พ่อท่านอ่านหนังสือพิมพ์อย่างไร? ถาม อยากให้พ่อท่านแนะวิธีอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์ คอลัมน์ไหน ควรอ่าน ไม่ควรอ่าน พ่อท่านตอบ ทุกวันนี้อาตมาอ่านหนังสือพิมพ์ พอดูหน้าหนึ่ง อาตมาก็จะดูหัวเรื่องทั้งหมด ทั้งใหญ่น้อย แล้วก็จะดูหัวเรื่องไหนน่าสนใจก็จะอ่านรายละเอียด หัวข้อไหนไม่น่าสนใจ ก็จะไม่ อ่านรายละเอียด เช่น ฆ่าแกงกัน อาตมาไม่อ่านต่อเพราะมันฆ่ากันทุกวัน แล้วมันก็ฆ่ากัน หยาบคาย หนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ต้อง กลัวจะไม่รู้ คดีไหนมันฆ่ากันอย่างโหดร้ายซับซ้อน ไม่ต้องห่วงเลยประเดี๋ยวหูแฉะ หรือข่าวคนสำคัญหน่อย อ่านหัวเรื่องแล้วก็ไม่ได้ไปตาม รายละเอียด เพราะถ้าเป็นคนสำคัญเรื่องสำคัญ มันก็จะสาวออกมาต่อๆ ไปอีกมาก ไม่ต้องอ่านมากเดี๋ยวก็รู้ ปิดหูยังได้ยินเลย เพราะฉะนั้นข่าวหน้าหนึ่งนี่ อาตมาจะอ่านหัวข่าว เพื่อให้รู้ว่ามีอะไรตื่นเต้นของสังคมเท่านั้นเอง ทั้งในหนังสือพิมพ์การเมืองและ ข่าวตลาด อาตมามีทั้งมติชน ไทยรัฐ ไทยโพสต์....ฯลฯ ถ้าอันไหนที่อยากจะรู้เรื่องก็อ่านแค่โปรยหัวก็รู้เรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นหน้าหนึ่งนี่ จะไม่ค่อยอ่าน อะไรมาก ส่วนรายละเอียดหรือข่าวการเมืองหรือข่าวสังคมทั้งหมด โอ้โฮมันยาวบางที ๓ หน้า ๔ หน้าเต็มๆ ตัวเล็ก อีกต่างหาก หนังสือพิมพ์เขาก็เขียนขายทุกวัน บางทีของเก่าเขายกมาตั้ง ครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น อาตมา จะไม่อ่านรายละเอียดอะไรในพวกนี้มาก ส่วนที่จะอ่านคือ บทความ บทความไหน เป็นนักคิดพอ ที่จะต้อง อ่านของเขาก็จะอ่าน นักคิดคนไหน ที่พิจารณาแล้วไม่ควรอ่าน ให้เสียเวลาก็ไม่อ่าน จึงต้องมีการ เลือกดู นักคิดบางคนก็มีสาระดี บางคนก็มีแนวคิดดีก็อ่าน นอกจากนี้ก็มีปกิณกะ ข่าวโน่นข่าวนี่อะไรต่างๆ นานา ข่าวต่างประเทศ ข่าวย่อย ข่าวสั้นก็อ่านได้เพราะมันไม่มาก ถ้าอะไรที่มันมากๆก็ไม่ไหวไม่มีเวลา แล้วเราก็ เมื่อยด้วย อ่านไม่ไหว เพราะฉะนั้นหน้าหนึ่งก็จะอ่านหัวข้อเรื่องที่โปรยหัวก็พอรู้แล้ว นานๆจะมีบ้างที่ต้อง อ่านเนื้อเรื่อง น้อยครั้งที่จะอ่านเนื้อเรื่องของหน้าหนึ่ง แต่อ่านบทความ จะต้องอ่าน จนจบ เพราะฉะนั้น ในหน้าของการศึกษาบ้าง เศรษฐกิจบ้าง ที่จริงเศรษฐกิจ อาตมาก็ไม่อ่านมากเท่าไหร่ แม้หน้าบันเทิงก็ดูบ้าง ไม่อย่างนั้น เราก็จะไม่รู้เลยว่า อบายมุข มันไปถึงไหน สรุปแล้วก็เอาสาระที่เป็นแนวคิด ก็จะได้แนวคิดจากพวกที่วิจารณ์การเมืองก็มี วิจารณ์สังคม วิจารณ์ เศรษฐกิจ วิจารณ์การศึกษาก็มี เป็นต้น บทความประเภทนี้ก็จะอ่านพอสมควร เอื้อญาติลอยกระดูกที่พิบูลฯ ที่เมรุเผาศพมีหมอเสม พริ้งพวงแก้ว คุณโสภณ สุภาพงษ์ และใครอีกคนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก แต่ดูจาก การต้อนรับ น่าจะเป็นผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในสังคม รวมถึงแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ตอนแรก พ่อท่านขยับนั่งในแถวหลัง ขณะที่คุณประยงค์น้องสาวพ่อท่าน บอกให้คุณจุฬา นิมนต์พ่อท่านนั่งด้านหน้า ในแถวเก้าอี้แขกผู้มีเกียรติ และเมื่อพ่อท่านขยับไป แขกผู้มีเกียรติทั้งสามคนนั้นขยับตัวลุกขึ้น เป็นการให้เกียรติ ทำความเคารพพ่อท่าน ในฐานะ นักบวช ต่อมาทั้งคุณโสภณและท่านผู้มีเกียรติอีกคนนั้นต่างลุกขยับที่ให้หมอเสม พริ้งพวงแก้ว ได้มานั่ง ใกล้พ่อท่าน เรามองเห็น คุณโสภณและท่านผู้มีเกียรตินั้น ต่างผายมือเชื้อเชิญ กันและกัน ให้นั่งก่อน เมื่อพ่อท่านพูดคุยกับหมอเสม ขณะที่คุณโสภณก็สนทนากับอีกท่านหนึ่ง ข้าพเจ้าอยากจะเอา เครื่องบันทึกเสียง ไปอัดการสนทนาของพ่อท่านกับหมอเสม แต่เกรงว่าหลายคนจะไม่เข้าใจ ภาพอาจดูไม่เหมาะ เกรงหลายคนอาจเสียความรู้สึก จึงได้แต่รู้สึกเสียดาย เนื่องจากโอกาส เช่นนี้ไม่ได้เกิดมีง่ายๆ ประกอบกับ บรรยากาศเสียงจากเครื่องกระจายเสียงในวัดก็ดังมาก ถ้าจะบันทึกเสียง อาจไม่ได้ยินเสียงการสนทนา นั้นกระมัง ข้าพเจ้าแทบไม่ได้ยินเสียงการสนทนา เนื่องจากอยู่ห่าง ด้วยมีสมณะพอแล้ว สมาหิโต นั่งคั่นอยู่ สถานที่ ไม่อำนวยให้ขยับเข้าไปนั่งฟังได้ ได้ยินเสียงพ่อท่านพูดถึงสูตร E = MC2 ? นอกนั้นพูดถึง หนังสือที่ชาวอโศกทำ อื่นๆจากนี้ไม่ได้ยินเลย ยิ่งเสียงหมอเสมยิ่งไม่ได้ยิน พยายามจะฟัง หรือ อ่านคำพูดจากปากอย่างไรก็เดาไม่ได้ เลยได้แต่ดูสีหน้าผิวพรรณของหมอเสม เมื่อเปรียบเทียบดู พ่อท่านหนุ่มไปเลย ทราบภายหลังจากพ่อท่านว่า หมอเสมอายุ ๙๓ ปีแล้วเท่ากับหลวงพ่อ ปัญญานันทะ แต่การเดินเหินยังสามารถเดินได้โดยลำพัง เพียงแต่ เวลาจะลุกขึ้นนั้นลำบาก ต้องค่อยๆลุก ด้วยเข่าขาไม่ดีแล้ว ศพคุณอาภาวดีนี้ได้รับไฟพระราชทานเพลิงศพด้วย เนื่องจากได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากการทำงาน ที่การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย หมอเสมได้รับเกียรติให้เป็นประธานประชุมเพลิง เดินไปเดินมาสองเที่ยว จากการเผาหลอกและการเผาจริงด้วย เสร็จจากพิธีเผา พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ร่วมถ่ายภาพกับญาติๆรวมทั้งหมอเสมและคุณโสภณ ด้วย กลับถึง สันติฯ ประมาณหนึ่งทุ่ม ๖ ธ.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก ฉันอาหารตั้งแต่ตี ๕ เพื่อเดินทางไปพิบูลมังสาหาร เนื่องในโอกาส ทำบุญ ลอยกระดูก คุณอาภาวดีน้องสาวพ่อท่านคนหนึ่ง ไปถึงวัดสระแก้วก่อน ๘ นาฬิกา เล็กน้อย ไปถึงพอดี เสร็จพิธี ทางสงฆ์ ญาติๆนำกระดูกเข้าบรรจุในเจดีย์หรือสถูป แล้วร่วม ถ่ายภาพ หน้าสถูปกับญาติๆ จากนั้นญาติๆไปรับประทานอาหารที่ศาลาฉัน ซึ่งพระฉันเสร็จ พอดี พ่อท่านเดินไปมาทักทายญาติๆ ที่กำลัง รับประทานอาหารกันอยู่ เสร็จจากการรับประทานอาหารและอยู่คุยกันพักใหญ่ๆแล้ว ทั้งหมดเคลื่อนตัวไปที่ริมแม่น้ำมูล เพื่อลงเรือ ทำพิธีลอยกระดูก พ่อท่านเองและปัจฉาฯก็ร่วมลงด้วย เมื่อเรือไปถึงเกือบกลางแม่น้ำ พ่อท่านนำโรยโปรย ดอกไม้ ไปในแม่น้ำ จากนั้นก็นำผอบปล่อยลอยลงไป ตอนแรกพ่อท่านคิดว่า จะแบ่งให้แต่ละคนได้ด้วย เป็นส่วนๆ แต่ผู้รู้ในพิธีกรรมนี้บอกต้องปล่อยทั้งผอบไม่ต้องแบ่ง พ่อท่านจึงเป็นผู้ถือผอบแล้วหย่อนให้ลงน้ำ ลอยและจมไปในที่สุด ตามน้ำหนักที่มี ส่วนญาติๆ เอามือแตะตัวต่อๆกันไปคล้ายการตรวจน้ำอุทิศส่วนกุศล ญาติที่เป็นชาย เอามือแตะจีวรพ่อท่าน นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พ่อท่านอนุโลมกับบรรดาญาติๆ ๗ ธ.ค. ๔๖ ช่วงหยุดรอรับบิณฑบาตข้าพเจ้าสอบถามพ่อท่าน เรื่องการลอยกระดูก ที่พ่อท่าน เอื้อให้ญาติๆ เมื่อวาน จำได้ว่าครั้งลุงหมอพ่อท่านเพียงร่วมลงเรือไปด้วยเฉยๆ แต่คราวนี้เป็น น้องสาว พ่อท่านถึงขั้นโรย โปรยดอกไม้ลงในลำน้ำและปล่อยผอบที่เก็บเถ้ากระดูกลงในน้ำเอง ข้าพเจ้าเปรยให้พ่อท่านฟังว่า ถ้าเป็นข้าพเจ้าก็คงไม่กล้าทำกลัวผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ถามพ่อท่านว่า สมัยพระพุทธเจ้ามีการลอยกระดูกลงแม่น้ำไหม พ่อท่านตอบว่ามีแต่เป็นเรื่องของฆราวาสเขาทำกัน เป็นพระแล้วจะไม่ทำก็ไม่เป็นไร เมื่อข้าพเจ้าถามต่อ....แล้วการโรยโปรยดอกไม้มีความหมายอะไรครับ พ่อท่านตอบก็โรยก็โปรยกันไปอย่างนั้นเอง ให้ดูมีสีสันขึ้นมาเท่านั้น ก็ทำกันไปตามความเชื่อ ของเขา ไปอย่างนั้นเอง ข้าพเจ้าบอกเล่าเมื่อครั้งศพโยมแม่ โยมเตี่ย เรื่องการเก็บกระดูกและการลอยกระดูกลงแม่น้ำ อย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่กล้าทำ ปล่อยให้พี่ๆน้องๆเขาทำกันด้วยเข้าใจว่าจะผิด พ่อท่านบอกไม่ทำก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าสมณะเราไปทำอย่างนี้กันหมด เดี๋ยวจะกลายเป็น ประเพณี กันไปอีก ข้าพเจ้าเปรยต่อ พ่อท่านเอื้อลอยกระดูกให้น้อง ต่อไปถ้าญาติๆของพ่อท่านเสีย พ่อท่านก็คง ต้องเอื้อ มาลอยกระดูก ให้เช่นนี้อีก พ่อท่านยิ้มตอบรับก็คงเป็นอย่างนั้น สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินิมนต์ร่วมสัมมนา ๗ ธ.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก คุณอรพิน เนตรจำปา สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ได้มานิมนต์พ่อท่านไปร่วมการสัมมนาสาเหตุของการคอรัปชั่นและการแก้ปัญหา "ดิฉันได้รับมอบหมาย ให้อยู่ในฝ่ายศาสนา เราก็มีการอภิปรายว่าในทางจิตวิญญาณ สาเหตุ เพราะคนไม่มีธรรมะ ทีนี้ทางคณะ ก็เลยมอบให้ดิฉันมากราบนมัสการพ่อท่านค่ะ หนึ่ง อาจจะเขียน เกี่ยวกับว่าเหตุมาจากอะไรเป็นธรรมะ ซึ่งดิฉันก็เสนอไปว่าแนวทางบุญนิยม ประการที่สอง ก็คือจะจัดเวทีใหญ่ที่ ๒๖ มีนาคม ไม่ทราบว่า พ่อท่านไปโรงแรมได้หรือเปล่า โรงแรมอยู่ที่พัทยาค่ะ เขาจะจัดให้มีการเสวนากัน โดยแบ่งผู้ร่วมเสวนา ออกเป็นกลุ่ม มีห้องนี้ ต้นเหตุ ห้องนี้การแก้ปัญหาคอรัปชั่นมีอะไร ในส่วนของดิฉันอยู่คณะกรรมการ ทางด้าน จิตวิญญาณ และทางศาสนา เขาก็เลยมอบหมายให้มากราบนมัสการค่ะ โดยแบ่งกันไป ก็จะมีคน ไปที่สำนักพระพุทธศาสนา ที่เป็นแกนนำทางศาสนาระดับประเทศน่ะค่ะ ก็แบ่งงาน กันไป พ่อท่านจะเมตตาในโครงการนี้หรือเปล่า ถ้าพ่อท่านรับดิฉันก็จะได้นำเข้าที่ประชุม ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๒ นี้ค่ะ ซึ่งก็จะได้คุยกันว่าจะจัดรายการอย่างไร ส่วนวันที่ ๒๖ นั้นเป็นการสัมมนาใหญ่วาระแห่งชาติของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ สภาก็จะมีอยู่ ๑๒ คณะค่ะ คณะเศรษฐกิจคณะอะไรๆ ซึ่งดิฉันอยู่ในคณะ การศึกษาศาสนาศิลปะ และ วัฒนธรรมค่ะ ก็ไปเรื่องนี้ ถ้าสังคมจำแนกไม่ได้ว่าดีคืออะไร ไม่ดีคืออะไร ในอนาคตพลเมืองไทย ก็ไม่รู้ จะเป็นอย่างไร ทางคณะก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไปกราบนมัสการพ่อท่านให้มาช่วย คนที่มาจากสาย ศาสนาอิสลาม เขาก็ไปอิสลาม คนที่มาจากสายคริสต์ก็ไปคริสต์ คนที่มาจากสาย สำนักพระพุทธศาสนา แห่งชาติ เขาก็ไปทาง สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติค่ะ จะให้แกนนำของแต่ละสายมาประชุมกัน แล้วอาจจะเขียน อย่างพ่อท่านจะเอาแนวทางบุญนิยมเป็น Highlight ดิฉันก็จะเอาบทความของบุญนิยมไป แล้วเขา จะรวมพิมพ์เป็นเล่มใหญ่ค่ะ จะเผยแพร่ทั่วประเทศค่ะ แต่ว่าก่อนจะถึงวันที่ ๒๖ ก็จะกราบนมัสการ พ่อท่านไปบรรยายที่สภาที่ปรึกษาฯ การสัมมนาใหญ่ที่โรงแรมจอมเทียนนั้นได้เชิญไว้ประมาณพันคน ซึ่งเป็นการเชิญระดับนำ ของแต่ละสาย อย่างเรื่องของศาสนานี่ก็ประมาณร้อยค่ะ จะมีทั้งอิสลาม คริสต์ สำนักพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติ มหาจุฬาฯ มหามกุฎฯ จากทางเถรสมาคม.... พอถึงวันที่ ๒๖ นี่ก็คือเราเอา ผลงาน ไปเผยแพร่ค่ะ โดยก่อนวันที่ ๒๖ นี่ก็จะต้องมีการประชุมสัมมนา ทางฝ่ายเกษตรก็ สัมมนา เรื่องเกษตรไป แล้วก็เอาบทความของแต่ละสาย มาพิมพ์เป็นเล่มค่ะ เราจะพิมพ์ ประมาณหมื่นเล่ม ซึ่งจะต้องพิมพ์ก่อนการสัมมนาใหญ่ค่ะ ส่วนรายละเอียด อื่นๆ หลังจากวันที่ ๑๒ นี้แล้วดิฉันจะแจ้งมาให้พ่อท่านทราบอีกทีค่ะ วันก่อนนี้ดิฉันไปสัมมนาอยู่ที่หอประชุมกองทัพบกค่ะ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตามแนว พระราชดำริ มีคุณสมพร เทพสิทธา นายกสมาคมเสริมสร้างเอกลักษณ์ไทยเป็นผู้จัด แล้วมี รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ไปบรรยาย มีสมเด็จฯวัดสระเกศก็ไปบรรยาย พอมาถึง ผู้ฟังเขา ไม่พูดอะไร พรรคพวกก็เลยบอกว่า เธอรีบออกไปพูด ดิฉันก็ไม่ได้กราบนมัสการพ่อท่านก่อน แต่ว่าก็บอกว่า ในส่วนที่ดิฉันได้รับใช้อยู่ทาง สันติอโศก เพียงเล็กน้อยนี่ ก็ขอเรียนที่ประชุมว่า ทางสันติอโศกนี่ ได้ปฏิบัติตามรอย..พระราชดำริ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้แนวทาง บุญนิยม ต้องกราบขออภัย ที่วันนี้ดิฉันผิดพลาดที่ไม่ได้เอาเอกสาร บุญนิยมมาแจกในที่ประชุม ก็เลยบอกเขาไปค่ะ เขาเลยบอกว่าวันหลัง คุณอย่าพูดเฉยๆเอามาด้วย (คุณอรพินเล่าไป ก็หัวเราะไป) ดิฉันก็เลยบอกว่า บุญนิยมคือการรู้ว่าตัวตนของตนเองเป็นอย่างไร แล้วจะเสียสละ ...คือไม่รู้ถูกผิดหรอกค่ะ พ่อท่านบอกว่า เสียสละอะไรได้ก็ให้เสียสละให้มากที่สุด เท่าที่ชีวิต มนุษย์หนึ่งจะเสียสละได้ เขาก็เลยบอกว่าคุณจำของจริง หรือของปลอม (พูดพร้อมกับเสียง กลั้วหัวเราะ) เขาบอกว่า พ่อท่านบรรยาย แค่นี้หรือ ดิฉันก็เลยบอกว่า นี่คือสรุปๆ...." สุดท้าย ก่อนลากลับ คุณอรพิน ขอหนังสือ บุญนิยม ๑๐๐ เล่ม รวมถึงหนังสืออื่นๆที่เห็นเหมาะ เพื่อนำ ไปแจกให้สมาชิกสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติในช่วงปีใหม่ พ่อท่านรับที่จะไปร่วมสัมมนาตามที่ได้รับนิมนต์ ต่อมาคุณอรพินแจ้งว่าการประชุมใหญ่ในวันที่ ๒๖ มีนาคม นั้นได้เลื่อนออกไปอีก ซึ่งจะเป็นวันที่เท่าไหร่จะแจ้งให้พ่อท่านทราบอีกที ถูกกล่าวหาว่าพยายามตั้งนิกายใหม่ ทั้งๆที่ยืนยันเป็นเพียง นานาสังวาส มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ๑๓ ธ.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก เช้านี้ได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมแจ้งว่ามีข่าวทางหนังสือพิมพ์ มีผู้กล่าวหา ว่าทางเราพยายามตั้งนิกายใหม่ และได้โทรสารข้อความข่าวที่มีการกล่าวพาดพิง ส่งมาให้ดู จากข่าว น.ส.พ. เดลินิวส์ ฉบับวันนี้ ที่ลงพาด หัวข่าว....๒ สังฆราชเป็นไปไม่ได้ แฉ ต้นคิดอยู่อุดรธานี เนื้อความในข่าว ช่วงต้น เป็นเรื่องการกล่าวถึง การที่มีผู้เสนอให้ตั้งสังฆราช ๒ องค์ แล้วท้าวความคำกล่าวของ ดร.วิษณุ เครืองาม ที่ได้ออกมาเปิดเผย ๓ แนวโน้มอันตราย ต่อพระพุทธศาสนา ได้แก่ความพยายามที่จะขอให้มี สมเด็จพระสังฆราช ๒ พระองค์ แยกตาม นิกาย ความพยายามที่จะตั้งนิกายเพิ่มขึ้น และ ความพยายามบั่นทอนความไว้วางใจ ในคณะสงฆ์ โดยการให้พระสังฆาธิการยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.นั้น.... ขอตัดมา ที่เนื้อความข่าวที่พาดพิงดังนี้ ด้าน พล.ต.ท.อุดม เจริญ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า เรื่องที่มีผู้ เรียกร้อง ให้มีการแต่งตั้งพระสังฆราช ๒ รูปแยกตามนิกายนั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องของ กลุ่มคน เล็กๆ ที่ไร้สติ และ อยากเป็นใหญ่ ขอยืนยันว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด เพราะดร.วิษณุ ได้ประกาศแล้วว่า รัฐบาล จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นแน่นอน ฉะนั้นจึงขอเตือนพวก ปล่อยข่าวก่อกวน ให้ยุติพฤติกรรม ดังกล่าวเสีย เนื่องจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งสำนัก ข่าวกรองแห่งชาติและสันติบาล กำลังเฝ้าดูพฤติกรรม เหล่านี้อยู่ หากยังไม่หยุด ก็คงมีมาตรการ จัดการอย่างเด็ดขาดต่อไป สำหรับเรื่องการจัดตั้งนิกายใหม่ แม้จะทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ละคน แต่รัฐบาล จะไม่ให้การสนับสนุนใดๆทั้งสิ้น และหากนิกายเหล่านี้ ทำผิดกฎหมาย บ้านเมือง ก็จะถูก ดำเนินคดี ทั้งนี้ตนไม่อยากให้ประชาชนกังวลกับเรื่องดังกล่าว เพราะ ที่ผ่านมา ก็มีหลายนิกาย เช่น สันติอโศก หรือโยเร ที่พยายามให้รัฐบาลออกมารับรอง แต่ก็ไม่ สำเร็จ หรือกรณีภิกษุณีไปบวชที่ศรีลังกา ของนิกายมหายาน ทางรัฐบาลก็ไม่ให้การสนับสนุน แต่อย่างใด แต่ถามว่าผิดหรือไม่ก็ต้องตอบว่าไม่ผิด เพราะภิกษุณีดังกล่าวอ้างว่าเป็นนิกาย มหายาน แต่หากบอกว่าบวชอยู่ในส่วนของเถรวาทจึงจะมีความผิด ส่วนที่จะให้พระสังฆาธิกา รยื่นบัญชีทรัพย์สินนั้น เป็นผลมาจากการที่ตนได้ตรวจสอบการบริหารงานของ ร.ร.พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาและได้เชิญ ป.ป.ง. เข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย จึงส่งผล กระทบ ทำให้พวกโกงกิน เหลือบศาสนาร้อนตัว รีบออกมาปล่อยข่าวว่า จะมีการเสนอให้ พระสังฆาธิการ ยื่นบัญชี ทรัพย์สิน เพื่อต้องการให้วงการศาสนาร้อนตัวเท่านั้น ตนจึงไม่อยาก ให้ประชาชนหลงเชื่อ กับเรื่องหลอกลวง เหล่านี้.... ญาติธรรมคนดังกล่าวได้เสนอให้พ่อท่านเขียนร่างหนังสือชี้แจงว่า สันติอโศกไม่ได้มี ความพยายาม ที่จะตั้งนิกายใหม่ ตามที่ถูกกล่าวหา แล้วตนจะเป็นผู้ทำหนังสือแนบจัดส่งให้ พล.ต.ท.อุดม เจริญ อีกที ต่อมาพ่อท่านก็ได้เขียนหนังสือชี้แจงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นว่า เหตุที่สันติอโศกต้องขอแยก ออกมา จากการปกครอง ของเถรสมาคม ซึ่งก็ทำเพียงนานาสังวาส ไม่ใช่นิกาย และคณะ จัดทำหนังสือสารอโศก ได้นำลงพิมพ์คำชี้แจงความจริงดังกล่าวแล้ว และหนังสือชี้แจง ดังกล่าวนั้น ก็ได้ส่งไปยังหนังสือพิมพ์ ทุกฉบับด้วย แต่ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหน นำเสนอคำ ชี้แจงนี้ มีข้อสังเกตนิดหนึ่งเกี่ยวกับการเสนอข่าวคำกล่าวของ พล.ต.ท.อุดม ที่พาดพิงระบุถึง สันติอโศกนั้น มีเพียง น.ส.พ.เดลินิวส์ ฉบับเดียวเท่านั้น ฉบับอื่นๆไม่มีการระบุกล่าวชื่อ กล่าวนาม แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ที่การระบุชื่อ มี สันติอโศก หรือโยเร ดังกล่าวนั้น จะเป็นว่า พล.ต.ท.อุดมไม่ได้กล่าว น.ส.พ.เดลินิวส์นำมาลงเอง หากเป็น เช่นนั้นคงถูก พล.ต.ท.อุดม ประท้วงเอาแน่ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสังเกตและนำไปคิดต่อว่า ทำไม หนังสือพิมพ์ฉบับ อื่นๆ จึงละเว้น ไม่ลงพิมพ์คำกล่าวที่ พล.ต.ท.อุดมพูดพาดพิงถึงสันติอโศกและโยเร ด้วยเหตุนี้ การที่น.ส.พ.ฉบับอื่นๆไม่ลงพิมพ์คำชี้แจงที่ทางเราส่งไปให้นั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเขา เพราะเขา ไม่ได้นำเสนอมาแต่ต้น ๑๙ ธ.ค. ๔๖ ที่ร้อยเอ็ดอโศก หลังจากที่เดินทางมาถึงร้อยเอ็ดอโศก ญาติธรรมในพื้นที่รวมถึง ญาติธรรม จากที่อื่นที่มาร่วมงาน ได้มากราบนมัสการพ่อท่านและสนทนาด้วย มีประเด็นที่พูด ถึงข่าวดังกล่าวนั้น โดยพ่อท่าน ได้อธิบายให้ความรู้อีกเกี่ยวกับนิกายและนานาสังวาสดังนี้.... "นานานี่แปลว่า ต่างกัน ไม่ใช่คำว่า เภท เภทนี่แปลว่า แตกกัน แตกแยก แต่นานานี่แตกต่าง แตกต่างกับ แตกแยกนี่ มันคนละเรื่องกัน สังวาสแปลว่าร่วม นานาสังวาสแปลว่าร่วมกัน แต่แตกต่างกัน สังฆเภท แปลว่า แตกแยกจากหมู่ ไม่ใช่แตกต่างจากหมู่เท่านั้น มีวิธีที่จะเป็นนานาสังวาสได้สองลักษณะคือ ผู้หนึ่งประกาศตนเองขอเป็นนานาสังวาส ขอแยก ขอเป็น ต่างหาก เหตุที่จะเป็นนานาสังวาสก็เพราะ ๑) กรรมต่างกัน ๒) อุเทศต่างกัน ๓) ศีลหรือ สิกขา ไม่เสมอ สมานกัน เหตุสามประการนี่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ กรรมต่างกันก็คือ พิธีกรรมก็ต่างกัน กิจกรรมก็ต่างกัน พฤติกรรมก็ต่างกันอย่างนี้เป็นต้น เหมือน อย่างที่เราเป็น สอง อุเทศต่างกันก็คือการอธิบาย การยกขึ้นแสดงหัวข้อธรรม อธิบายไป คนละแนว ซึ่งมันจริง สอนไปคนละทาง สาม ศีลสมาธิปัญญาหรือสิกขาไม่เสมอสมานกัน เช่น เงินนี่สะสมไม่ได้ จับไม่ได้ ทางโน้นบอกสะสมได้ ศีลข้อเดียวกันของพระพุทธเจ้าตราไว้ เหมือนกัน ศีลข้ออื่นๆก็เหมือนกัน ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ท่านไม่ให้จุดธูปจุดเทียน บูชาด้วยไฟ จะใช้น้ำมันเปรียง น้ำมันเนย หรือว่าใช้ขี้เลื่อย กำยาน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็บอก ให้เว้นขาด ศีลข้อใดก็ต้องบอกให้เว้นขาดทั้งนั้น ทางโน้นก็จุดเทียนจุดธูป รดน้ำมนต์ ก็เหมือนกัน ท่านก็ห้ามรดน้ำมนต์ แต่ทางโน้นก็รดน้ำมนต์ อยู่ในพระไตรปิฎกอันเดียวกัน แต่ทำกัน คนละอย่าง ศีลก็ตาม สมาธิก็ตาม ปัญญาก็ตามอธิบายไม่เหมือนกัน นี่คือเหตุที่แท้จริง มันก็ต้อง ต่างคน ต่างคิดต่างทำ พระพุทธเจ้าตรานานาสังวาสไว้เพื่อไม่ให้แตกเป็นสังฆเภท เมื่อต่างคนต่างคิด ต่างทำเช่นนี้แล้ว มันบังคับ ความเข้าใจให้เหมือนกันไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ต่างคนก็ต่าง ปฏิบัติไปตามความเห็นของตัวเอง ส่วนย่อยส่วนหมู่น้อยจะประกาศแยกออกมา เหมือนอย่างเราทำนี่แหละ เราก็ประกาศ นานาสังวาส มาตั้งแต่ สิงหาคม ๒๕๑๘ ประกาศต่อคณะสงฆ์ราว ๑๘๐ รูป ว่าขอแยกออกมา ปกครองตนเอง ไม่ขอขึ้น กับเถรสมาคม ขอไม่ถือนิสัยด้วย เรามีหลักฐานมีหนังสือเป็น ลายลักษณ์ อักษรเลย กรมการศาสนา เขาก็รู้ทั้งนั้นแหละ และรับรองความจริงนี้แล้ว มีหลักฐาน การรับรองหลายหลักฐาน สองหมู่ใหญ่ประกาศให้เป็นนานาสังวาส ได้ทั้งสองอย่าง หมู่น้อยขอแยกออกมา หรือหมู่ใหญ่ ไม่ให้มาร่วม เป็นหมู่ ก็ได้ทั้งสองแบบ อันเรียกว่านานาสังวาสทั้งสองประการ เราก็ประกาศถูกต้องตามธรรมวินัย ทีนี้อาตมาก็เขียนไปเลยว่าเราไม่ได้กระทำตนเองเป็นนิกาย เราทำตนเอง เป็นนานาสังวาส ส่วนใครจะทำให้เราเป็นนิกายนั้นอาตมาละสำนวนที่เขียนนี้ทิ้งไว้ เขารู้ว่า คนที่ทำให้แตก เป็นนิกายนี่ เป็นอนันตริยกรรม แต่เราไม่กล่าว เขาก็ต้องไปรู้กันเอง ใครทำ ให้เป็นนิกายก็คนนั้นไปรับกรรม เราไม่ได้ทำ เราทำเป็นนานาสังวาส แต่เขาไม่ฟัง หรือ ฟังรู้เรื่อง แต่เขาไม่เอาตามธรรมวินัย เขาหมู่ใหญ่ เขาก็เอาอำนาจเป็นใหญ่ อาตมาก็บอกว่า ทำอย่างนี้ทำผิด หนึ่ง เราประกาศนานาสังวาสแล้ว แต่ทางฝ่ายเถรสมาคม ทางฝ่ายพุทธกระแสหลัก ก็มา อนุวาทาธิกรณ์เรา มาโจทย์ท้วงเราว่าผิดอย่างโน้นผิดอย่างนี้ ซึ่งเป็นนานาสังวาส พระพุทธเจ้า ห้ามไปท้วงกัน สังฆกรรมร่วมกันไม่ได้ อธิกรณ์กันไม่ได้ เมื่อคิดต่างกันก็คิดไป จะมาพิพากษา โทษผิดถูกไม่ได้ เพราะเป็นอาบัติ ทำไม่ได้ อธิกรณ์ฟ้องร้องกันไม่ได้ แต่เถรสมาคม ก็ใช้อำนาจ บาตรใหญ่มาทำกับเรา อธิกรณ์เรา พิพากษาเรา ละเมิดวินัย ซึ่งใคร ก็ไม่สามารถห้าม การละเมิดนี้ เพราะเขาใหญ่ สอง คณะสงฆ์เถรวาทก็ทำผิดพระวินัยอีก โดยรวมกันทั้งธรรมยุติและมหานิกายมาตัดสิน ความเรา ซึ่งการเอาสงฆ์สองนิกายมาทำสังฆกรรมไม่ได้ ว่าความก็ไม่ได้ ไปตัดสินความก็ไม่ได้ ผิดคณะปุรกะ แม้ขาดคนหนึ่ง คณะปุรกะหมายความว่า มีสงฆ์ที่จะต้องดำเนินคดี ใช้สงฆ์ ๔ รูป ๕ รูป ๘ รูป ๒๐ รูป อะไรก็ตามแต่ทำสังฆกรรม ถ้าสงฆ์ไม่ครบ ไปเอาสงฆ์อีกนิกายหนึ่ง มาร่วมแม้องค์เดียว กิจนั้นก็โมฆะ ใช้ไม่ได้ ไม่เป็นอันทำ อันนี้ไปเอาทั้งมหานิกายและธรรมยุติ มารวมกัน ไม่รู้กี่ร้อย เป็นพันรูป กี่รูปก็แล้วแต่ มารวมกัน อันนี้ก็เป็นโมฆะ แต่เขาก็ละเมิดวินัย ทำตามอำเภอใจ สาม ไม่เป็นสัมมุขาวินัย จะพิจารณาความ ไม่ให้จำเลยเข้าไปร่วมด้วยเลย เราไม่ได้เข้าไป เบิกความเลย โจทก์ฝ่ายเดียวตัดสินเองเสร็จหมดเลย เราก็บอกเหตุผลพวกนี้ไป แต่เราก็ อ่อนน้อมถ่อมตน เขาจะทำอย่างไร เราก็ไม่ได้ดื้อดึงดัน จะให้เราเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ จะให้เรา ทำอะไร เราก็ยอมทั้งนั้น ไม่ยอมอยู่อย่างเดียวคือ เราไม่ยอม สละสมณะเพศ หรือเราไม่ยอมสึก สุดท้าย แม้แต่เอาขึ้นศาลเราก็ต้องขึ้น ขึ้นศาลไปแล้วเราแพ้ ก็แพ้ซิ เราแพ้กฎหมาย กฎหมายนั้น ก็เป็น กฎหมายที่เขาบัญญัติกันขึ้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าบัญญัติ สั่งให้เราสึก เราไม่สึกก็ ผิดกฎหมาย แพ้ก็แพ้ ก็จบ" มีเสียงคุณแก่นฟ้าถามขึ้นมาว่า "ใครเป็นคนริเริ่มที่จะให้ตั้งสังฆราชขึ้นมาสององค์" พ่อท่านตอบ "ไม่รู้ ก็ติดตามข่าว เขาก็ไม่เปิดโปงกันขึ้นมา เปิดโปงมาก็โดนน่ะสิ" สมณะทิฏฐุชุกัมโมถาม "แล้วเหตุผลที่เขาคิดอยากจะให้มีสังฆราชสององค์คืออะไรครับ" พ่อท่าน "ก็เกิดจากคนหาเรื่อง ที่จริง เขาไม่ได้ตั้งสังฆราช ๒ องค์ รองนายกฯวิษณุ เครืองาม ออกมาแถลง เรื่องตั้งผู้ทำงานแทนสังฆราชที่ประชวร ตั้งสองสามชั่วโมงแน่ะ พระทั้งนั้นนั่งฟัง เป็นพันรูป แล้วก็เลยมีคน ตั้งแง่หาเรื่อง มีคนกล่าวว่าจะต้องมีสังฆราชสองรูป อะไรต่ออะไร ท่านวิษณุ ก็เอามาเล่า รวมทั้งเรื่องนิกาย เรื่องเงินพระก็ตาม มีสามประเด็นนี่แหละ หนึ่ง เรื่องสังฆราชสองรูป สองนิกายมีเกิดมาก แต่รัฐบาล ก็ไม่ยอมรับหรอกว่างั้น สันติอโศกก็ตาม โยเรก็ตาม รัฐบาลก็ไม่ส่งเสริมไม่สนับสนุนหรอก แต่มันไม่ผิด กฎหมาย เพราะตามกฎหมายนี่ ไม่ได้กำหนดว่าห้ามมีนิกายใหม่ หรือให้ปฏิบัติธรรมได้ ตามแต่ความนับถือ บังคับความคิด กันไม่ได้ เพียงแต่ต้องไม่ขัดกันกับรัฐธรรมนูญ สามก็เรื่องให้พระไปแจ้งบัญชีทรัพย์สิน" ครูขวัญดินถาม "พ่อท่านคะ แล้วที่มีการพูดถึงสันติอโศกอย่างนี้น่ะค่ะ จะมีผลอะไร กับพวกเราไหมคะ" พ่อท่าน "เราถึงได้ทำหนังสือขึ้นไป แล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง มาถามอาตมาจะไปรู้ได้อย่างไร เราติดต่อยืนยัน ไปว่า เราไม่ได้เป็นนิกาย คุณเองมาเข้าใจผิดว่าเป็นนิกายนี่ไม่ถูก ก็เป็นโอกาส ที่เราจะได้เปิดเผยบางอย่าง บางสิ่ง" สมณะทิฏฐุชุกัมโม "พ่อท่านครับ มันเหมือนกับเขาคิดว่า เอ้ พวกเราหรือเปล่าที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นไป อยากให้ ยอมรับสันติอโศกเป็นนิกาย...." พ่อท่าน "เราไม่เคยไปดิ้นรนให้ยอมรับ เราบอกว่าเราไม่ได้เป็นนิกาย แล้วเราจะไปดิ้นรนเอาอะไร แต่โยเร จะไปดิ้นรนหรือเปล่าเราไม่รู้นะ แต่เราไม่เคย แล้วเขาก็มาผนวกเอาเราขึ้นไปนัวเนียๆ เราก็เลยบอกว่าเราไม่ใช่ เราไม่เคยบอกอยากให้รัฐบาลมารับรอง ไม่มี เราก็เป็นนานาสังวาส เราไม่ใช่นิกาย จะให้เราเป็นนิกาย บาปนะ! มาหาว่าเราเป็นนิกายแล้วอยากให้รัฐบาลรองรับ เราไม่เคยทำ แล้วเราก็ยืนยันว่าเราไม่ใช่นิกาย แล้วจะต้องไปดิ้นรนอะไร เราก็บอกความจริง ของเราไปเท่านั้น แล้วเราก็ได้พูดความจริงอีกหลายๆอย่าง ว่าเถรสมาคมทำอะไรกับเรา มันก็ดี เหมือนกัน เรื่องมันเยอะ เราก็ไม่ต้องไปพูดตอบโต้อะไรมาก เราแถลงอันนี้ ก็ได้แถลง แต่หนังสือพิมพ์อื่นเขาไม่เล่นกับเราหรอก ดีที่เรายังมีกระบอกเสียงของเราบ้าง เราก็ทำของเราไป อาตมายังเล่าไม่หมด เกี่ยวกับนานาสังวาส พระพุทธเจ้าว่าเมื่อเกิดความเห็นที่แตกต่างกัน อย่างนี้ ประชาชน จะทำอย่างไร จะนับถือเจ้าไหน แล้วจะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็แนะนำว่า จงไปฟังธรรมทั้งสองฝ่าย ฝ่ายไหน เป็นธัมมวาทีคุณก็รับเอา อันไหนเป็นอธรรมวาที คุณก็อย่า ไปรับ นี่คือความจบ อิสระเสรีภาพที่สุด ประชาธิปไตยที่สุด นี่เป็นทางออกที่สวยที่สุดแล้ว สมัย พระพุทธเจ้าสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ท่านประชาธิปไตย ขนาดนี้คุณคิดดูซิ ท่านจะสั่งว่า อันไหนถูก อันไหนผิดทำไมท่านจะสั่งไม่ได้ ท่านจะตัดสิน ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ทำไมท่าน จะตัดสินไม่ได้ แต่ท่านไม่ตัดสิน แสดงถึงภูมิธรรม แสดงถึง พระปัญญาธิคุณ อันชาญฉลาด ท่านก็วางระบบระเบียบเอาไว้ เพราะอันนี้มันต้องเกิดขึ้นในจิตวิญญาณ ในความคิดของมนุษย์ มันต้องเกิดไปห้ามมันไม่ได้ เกิดแล้วมีวิธีอย่างไร อันนี้คือวิธีของพระพุทธองค์ เขาก็รู้ ธรรมยุติเกิดมาก็ทำนานาสังวาสกับมหานิกาย สมเด็จฯ ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ก็ยังมีลงชื่อ ขอเป็น นานาสังวาส ในตอนโน้นด้วยเลย ธรรมยุตินี่แหละ ตามประวัติของศาสนาพุทธ ในเมืองไทย อาตมาก็เคยเจอ หลักฐานอันนี้ แต่เรื่องที่จะให้มีสังฆราชของแต่ละนิกายเขาก็ว่ามีคนดำริกันเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครดำริขึ้นมา เขาก็ไม่พูดกัน เขาก็คงจะรู้กันบ้างว่าใครพูด แต่เราไม่รู้...." ผนึกวิญญาณ ประสานสัมพันธ์ สถาบันอโศก ผนึกวิญญาณ ประสานสัมพันธ์ สถาบันอโศก เป็นคำขวัญของการเข้าค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ หรือนักเรียน สัมมาสิกขาทุกแห่ง ซึ่งในปีนี้มีทั้งหมด ๑๑ สถาบัน จำนวน ๖๒๗ คน ช่วงปลายเดือนธันวาคมหรือปลายปีของทุกปี มีการเข้าค่ายของนิสิต ม.วช.ทุกวิชชาเขต และ นักเรียน สัมมาสิกขา ทุกแห่ง จุดประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี ทั้งของนิสิตและ นักเรียน ต่างสถานศึกษา อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อ อาศัย กำลังพลเหล่านี้มาช่วยเตรียมงานปีใหม่ สำหรับปีนี้ มีเรื่องการลากเรือใหญ่ ขนาดน้ำหนัก ๘๐ ตันเพิ่มเข้ามา ซึ่งนับเป็นสุดยอด กิจกรรม แห่งปี เป็นรูปธรรมของการผนึกวิญญาณ ประสานสัมพันธ์ สถาบันอโศกที่ชัดเจนมาก แต่ในที่นี้ ข้าพเจ้า ขอข้ามผ่าน ผู้สนใจรายละเอียดติดตามได้ จากข่าวอโศกรายปักษ์ ๑-๑๕ ม.ค. ๒๕๔๗ สำหรับ VCD ก็มี และน่าสนใจมาก หลายท่านดูแล้วซาบซึ้ง ประทับใจอย่างยิ่ง จึงขอแนะนำ ชาวอโศกทุกท่านควรหาโอกาส ดูให้ได้ เพราะสุดบรรยายจริงๆ จะเขียน จะพูดยังไงก็ไม่สู้ดูจาก VCD พ่อท่านได้พบกับนิสิตและนักเรียน ทั้งการแสดงธรรมและเอื้อไออุ่นกับค่ายทั้งสองนี้ ปิดท้าย การเข้าค่าย ด้วยการ แจกขวัญธรรม จากบางส่วนที่พ่อท่านให้โอวาทดังนี้..... ".....พวกเราชื่อว่านักเรียนสัมมาสิกขา สัมมาแปลว่าถูกถ้วน ดี ไม่ผิด ถูกต้อง ถูกแท้ๆ ดีพร้อม มิจฉาแปลว่า ผิด เหลวไหล ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น สัมมาสิกขาก็คือการศึกษาที่ถูกต้อง ตั้งแต่ เริ่มทำมา เปิดโรงเรียนมา สิบปีเศษแล้ว เราก็ได้นักเรียนเพิ่มขึ้นๆ จนขยายโรงเรียน ขยาย เครือข่าย ออกไปๆๆ จนทุกวันนี้ต้องมีการ กำหนดใหม่ ว่าที่ใด ชุมชนชาวอโศกใด จะตั้งโรงเรียน ขึ้นมาอีก ถึงขั้นมีสีประจำโรงเรียน จะต้องมี นักเรียน ไม่น้อยกว่า ๒๕-๓๐ คนขึ้นไป จึงจะอนุญาต ให้ตั้ง ไม่อย่างนั้นก็ดูไม่สมเหมาะสมควร อย่างเลย์ไลย์อโศก มีนักเรียน ๓ คน อย่างนี้ เป็นต้น เป็นโรงเรียน มันดูตลก มันเหมือนกับขี่ช้างจับตั๊กแตน เหมือนตำน้ำพริก ละลาย แม่น้ำ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้ไป เรามาออกกฎตามหลัง เมื่อเหตุการณ์มันเกิด มามากแล้ว สำหรับผู้ที่ได้ตั้งแล้วก็ตั้งไป ขณะนี้มีโรงเรียนและ เครือข่าย รวมแล้ว ๑๑ แห่ง ที่เป็นโรงเรียน แล้วจริงๆมี ๗ ปฐมอโศก ๒ (สามัญและอาชีวะ) ศีรษะอโศก ๒ สันติอโศก ๑ บ้านราชฯ ๑ หินผาฟ้าน้ำ ๑ นอกนั้น ยังตั้งไม่ได้ สีมาอโศกและศาลีอโศกก็ยังเป็นเครือข่ายอยู่.... ....ที่อาตมาทำเป็นโรงเรียนแล้ว และก็ได้พาศึกษาก็ขอบอกให้พวกเราทราบ คำว่าสัมมานี้ บอกกำกับเลยว่า เราจะสร้างคนให้เป็น"สัมมา" ให้เป็นคนที่มีความคิด"ถูกต้อง" ไม่เหลวไหล เละเทะ เน้นได้เลยว่า "ไม่เป็นแบบโลกย์ๆ" ยกตัวอย่าง แม้แต่เรื่องใช้เงิน ก็ต้องมีภูมิธรรม แบบโลกุตระ มิใช่แบบโลกีย์ หรือแบบโลกย์ๆ แบบโลกย์ๆ ก็คือ ใช้เงินไปในการล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญ หาความสนุกสนานเอร็ดอร่อย เพลิดเพลิน สร้างอำนาจ มาให้แก่ตนเอง แข่งดีแข่งเด่นกัน ตีกัน ฆ่าแกงแย่งชิงกัน ให้มีอำนาจ ให้มีเงินทองเยอะๆ ทุจริต หลอกลวงโกหก แม้ที่สุดถึงปล้นถึงจี้ก็ทำกันอยู่ การเงินไปใช้ แบบโลกย์ๆ ก็คือ ใช้แบบไม่ได้สร้างสรร อย่างมีคุณค่า แก่ตน แก่สังคมแท้จริง มันมีเชิงแฝง อยู่มาก ที่เห็นชัดๆส่วนมากก็คือ ใช้เงินบำรุงกิเลสตน เงินถ้าเผื่อเอาไปใช้ เพื่อซื้อสิ่งของ เอามาใช้งานที่ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย งานที่เป็นประโยชน์สมกับความจำเป็น หรือซื้อของกิน เพื่อเลี้ยงชีวิตแท้ๆ ไม่ได้ซื้อของอร่อย ของหรูหรา หรือของกินเล่นเพลิดเพลินอะไร ก็ถูกต้อง ไม่เสื่อม ไม่เสียหาย แต่ถ้าซื้อของไปกินเล่น อร่อย เพลิดเพลิน เป็นต้น กิเลสก็อ้วน เท่ากับ เอาเงินไป ทำลายตนเอง หรือใช้เงิน ไปในทางทำให้ตนตกต่ำ ทำให้สังคมสูญเสีย คนใช้เงิน แบบนี้ ถ้าเรียกในภาษา ธรรมก็คือ ได้บาป เรียกตามภาษา สามัญ ก็เป็นความเสื่อมต่ำ หรือ เสื่อมเสียแก่ตนแก่สังคม เพราะฉะนั้น การมีเงินนี่ล่อแหลม การใช้เงินจึงเป็นภัย มหาศาล ทางโรงเรียนสัมมาสิกขา จะไม่ให้เด็กใช้เงินเอง อย่างที่ ทางโลกย์ๆทำกัน โดยไม่ฝึกตน เรียนรู้ ศึกษา อบรมโลกุตรธรรมเพื่อคุ้มกันตนเองเสียก่อน เด็กๆตัวเล็กๆ ยังไม่รู้เรื่อง ใช้เงินไม่เป็น พ่อแม่ก็จึงไม่ให้เงิน เด็กต้องกิน ต้องอยู่ พ่อแม่ก็ต้องมีหน้าที่หามาให้กินให้อยู่ ให้มีชีวิตดี อยู่ได้อยู่ดี โดยที่เด็กเล็กๆนั้นไม่จำเป็นต้องมีเงิน ใช้เงินเอง แต่เด็กสมัยนี้พอโตมานิดหนึ่งรู้เงิน แล้วก็อยากใช้เงิน พ่อแม่ที่ไม่รู้ว่ามันเป็นภัย ตามใจเด็ก เอาเงินใส่มือเด็ก เท่ากับ เป็นการสร้าง กิเลสทุกคน เด็กจะเอาไปใช้ซื้อของเล่น ของกิน เป็นของไม่มีประโยชน์ ซ้ำมิหนำเป็นโทษแท้ๆ ดังที่เกิด ที่เป็นอยู่ ในสังคมเห็นๆกันอยู่เกลื่อน ด้วยนัยอย่างนี้แหละ อาตมาจึงตั้งใจจะให้พวกเราเรียนรู้อย่างสำคัญ ไม่บำเรอกิเลส โดย พยายามไม่ให้ ใช้เงินกัน อย่างไม่มีภูมิ อบรมสร้างภูมิคุ้มกันไปจนจบ ม.๖ ใครที่มาอยู่มาเรียน ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยมไป ก็จะต้อง อยู่ในกรอบอย่างนี้ จะหัดไม่ใช้เงิน แต่จะสร้าง จิตวิญญาณให้มีภูมิปัญญา มีภูมิคุ้มกัน ที่ใช้เงินไม่เป็นโทษ ใช้เงิน ไม่เป็นพิษในอนาคต อาตมา มั่นใจว่าอยู่ที่นี่ แม้จะอยู่ตั้งแต่อนุบาล รวมแล้ว อาจจะเกิน ๑๒ ปี หรืออายุ ๑๘ ปีก็ตาม จะไม่ได้ ใช้เงินอย่างตามใจเลย อาตมามั่นใจว่า คนๆนั้น....ไม่โง่ และคนๆนั้นจะใช้เงินเป็น อย่างยิ่งด้วย จะใช้เงิน อย่างไม่เป็นโทษภัยแก่ตนเอง ไม่เป็นภัยเป็นโทษแก่สังคม จะใช้เงิน อย่างมีประโยชน์คุณค่า และจะเป็นคนที่ ไม่มีความเดือดร้อนในอนาคต ถ้าได้ทำอย่างที่ อาตมาว่า เรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญ อาตมาให้เงินขวัญธรรมนี่ไปเป็นเครื่องเตือนสติ ไม่ได้ให้ไปใช้ หลายคน เอาไปใส่ ซอง ซีลไว้ อาตมาไม่ได้บังคับเท่านั้นแหละ ลองใจดู หลายคนเอามาคืนอาตมา ที่พูดนี่ ไม่ได้หมายความว่า อยากให้เอามาคืน นะ แต่เขาคิดของเขาเอง แล้วก็เอามาคืน ก็แล้วไป แต่ก็ไม่กี่คนหรอกที่เอามาคืน ที่จริง ไม่ได้อยากเอาคืน อยากให้ เอาไปเก็บไว้ เอาไปเป็นเครื่อง เตือนสติ เป็นที่ระลึก เป็นเครื่องสังวร ถึงขนาด มีผู้ใหญ่บางคนบอกเอาไปบูชา เพื่อให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นพิษร้ายก็ได้ และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด ให้แก่ชีวิต ก็ได้ เรื่องเงินนี่เป็นสิ่งสมมุติ ในโลก ที่มีฤทธิ์แรงได้ทั้งดีและชั่ว ชั่วก็ชั่วได้สุดๆ ร้ายก็ร้าย อย่างเลวร้าย ดีก็ดีได้สุดดี เพราะฉะนั้น จะเป็นเครื่องหมาย ให้พวกเราได้เป็นเครื่องเตือนสติ ได้ไปแล้ว จะเอาไปทำยังไง นี่ก็บอกให้เข้าใจถึงเป้าหมายการให้เงินขวัญธรรม ขณะนี้โรงเรียนสัมมาสิกขาของเรากำลังรวนเร แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจในอุดมคติ ก็ยังมี ความเห็นแตกแยก ว่า ควรจะอนุโลมให้เด็กใช้เงินได้โดยมีหลักเกณฑ์ ส่วนอาตมาบอก.... ไม่มีหลักเกณฑ์ให้ใช้เลย ไม่ให้เด็ก มีเงิน เป็นส่วนตัวเลย ใครเอาเงินไปฝากไว้ให้....มีความผิด พ่อแม่ก็มีความผิด ต่อไปจะออกกฎระเบียบ ถ้ายังลักลอบ ให้อยู่ ทำไม่ได้ตามกฎระเบียบ ก็จะให้มาเอาลูกออกไป คือพ่อแม่หลายคน ก็ยังเข้าใจไม่ได้ บอกเท่าไร ก็ยังไม่เชื่อฟัง บอกแหม ....สงสารลูก ไว้ใจเราว่าจะสอนลูกให้ดี แต่ไม่เชื่อว่าเราจะสอนให้ลูกดีได้ ก็แอบเอามาฝากไว้ ให้ลูก เกิดกรณีมากมาย อาตมาไม่พูดซ้ำพูดซากแล้ว ว่าเหตุอะไร มีความไม่ดีอย่างไร หรือ แอบเอามาฝากเอาไว้ให้ลูกใช้ มันเลวอย่างไร เด็กคนหนึ่งมีเงิน อีกคนหนึ่งไม่มี ก็เกิดกรณีได้แล้ว เหลื่อมล้ำบ้าง ยั่วใจคนบ้าง คนไม่มีก็ไปขโมย ของคนที่มี ถ้าเด็กทุกคนของสัมมาสิกขา ไม่มีเงินเลย .... ขโมยไม่เกิด เพราะมันไม่มีเงินให้ขโมย แต่นี่เริ่มมีเงิน ก็ยั่ว ให้ทำผิด ทำชั่ว เหลวไหลจริงๆ เอาไปฝากไว้ให้ผู้ใหญ่ก็เกิดความลำเอียง เกิดความไม่เท่าเทียมกัน คนมีสตางค์มากๆ ก็เอามา ฝากไว้ เกิดการใช้เงิน ไม่เสมอภาค เหลื่อมล้ำกัน ดีไม่ดีก็ใช้เงินเป็นอำนาจอยู่ในสังคม คนร่ำรวย ในโรงเรียน ประจำนี่ส่วนมาก จะเป็นเต้ย (ใหญ่) เป็นนาย คนไม่มีเงินก็เป็นลูกน้อง สร้างอำนาจ เบ่งอำนาจด้วยเงิน ซึ่งเป็นการสร้างนิสัยที่เลวร้ายในสังคม เด็กๆยิ่งไม่มีภูมิปัญญายิ่งจะทำ เมื่อมีเงินก็มีอำนาจ เด็กก็มีปฏิภาณ รู้ว่ามีอำนาจ มันก็ฝึกความเลวไปเรื่อยๆ โตขึ้นมา ก็มีความเลวติดตัว อาตมาไม่อยากให้เกิดความเลว ติดตัวไปตั้งแต่เด็กๆ เรื่องเลวร้ายที่ซ้อนแฝง กับ เรื่องเงินนี่ มีเยอะ อาตมาไม่อยากจะพูดมาก เรามาฝึกไม่ใช้เงิน เท่ากับเป็นการฝึกเป็นอาริยะ ขอยืนยันว่าการไม่ใช้เงินไม่ได้เป็นเรื่องเลวลง เป็นเรื่องดีขึ้น ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่าหาเรื่องทำให้ตนเลวลง พาทำดีแล้ว ดังนั้นอย่าไปคิดแยก คิดแตกอะไรไม่เข้าเรื่อง เข้าราว แล้วเราจะรู้ ความลึกซึ้งของการไม่มีเงิน ไม่ใช้เงิน อู้ฮู้.... มันสุขสบาย สุดยอดของความเป็นคน ประเสริฐ นี่คือ การฝึกฝนอบรมที่จะทำให้พวกเราอยู่ในสาระสัจจะแก่นสาร ที่จะได้สิ่งดีของความเป็นมนุษย์ อาตมาว่าอาตมาเป็นคนไม่ได้สุดโต่ง เพราะสอนอยู่ในขั้นฐานะที่ควรจะทำ ในฐานะคนยุคนี้ ในกาละ อย่างนี้ เราจะต้อง ทำทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ถ้าพวกเราเป็นนักเรียน ที่ไม่ใช้เงิน จะเป็นตัวอย่าง อันดีงาม ของโรงเรียน อื่นใดในโลก...." หลังจากเสร็จพิธีแจกเงินขวัญธรรมให้กับเด็กๆและนิสิต ม.วช.ทุกคนแล้ว พ่อท่านได้ให้โอวาท ปิดดังนี้.... "เงินที่แจกให้นี่ไม่ใช่รางวัล เพราะได้กันทุกคน ไม่ใช่คนนั้นดี คนนั้นเก่ง ชนะนั่นชนะนี่ แล้วได้ รางวัล แต่นี่เป็น เงิน ขวัญธรรม เป็นเงินที่มีความหมาย เป็นเงินสร้างจิตใจ เป็นเงินการศึกษา เป็นเงินที่เราจะใช้ เป็นจิตวิทยาสังคม จิตวิทยามนุษย์ เงินนี่อย่างที่อาตมาย้ำแล้วว่า ดีที่สุดก็ได้ เลวที่สุดก็ได้ เมื่อมาศึกษา อยู่ที่นี่ ก็ให้มีความรู้ว่า มันมีเงิน ในโลก ปีหนึ่งเราก็แจกเงิน ให้เห็น ใบใหม่ๆสดๆเลย รับไปแต่ไม่ได้ใช้ อย่างอนุบาลก็รับแม้จะไม่รู้เรื่องอะไรก็รับไป รู้ว่าโลกนี้มีเงิน แล้วเราก็พยายามศึกษาฝึกฝนว่า การเป็นคน ไม่ใช้เงินจะเป็นคนอย่างไร จะเป็นไปได้แค่ไหน เพราะ การที่เราอยู่เหนืออำนาจเงิน เห็นเงินเป็นเรื่องสามัญ มันก็คือเงิน มันไม่มีอำนาจอะไร แก่เราเลย เราไม่ได้อยากใช้เลย ถ้าจะใช้....ก็ใช้อย่างเรียนรู้อย่างมีปัญญา จริงๆ ก็เหมือน เราทำงานทำการ ต้องมีเครื่องมือเครื่องไม้ แล้วเราก็ใช้ไป ประกอบการใช้ จะใช้แลกเปลี่ยน อะไรก็ใช้ไป ด้วยปัญญาที่รู้ว่า แลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เกิดโทษ ทั้งในรูป และนาม อย่างนี้เป็นต้น จึงจะเป็นคนที่มีภูมิปัญญาเหนือชั้นกว่าคนธรรมดา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ จำไว้นะ อาตมาตั้งใจอย่างเด็ดขาดเลย ไม่ได้พูดเล่นๆ เรามาเรียนที่นี่ เราจะไม่ใช้เงิน อาตมา มั่นใจว่า ตลอดเวลาที่เราเรียนอยู่ที่นี่ ๖ ปี ๑๒ ปี หรือ ๒๐ ปี ก็ไม่ตาย ไม่ใช้เงินแล้ว....ไม่ตาย และไม่ตกต่ำด้วย และ ไม่มีเหตุวุ่นวาย และจะใช้เงินเป็น หรือจะใช้เงินอย่างไม่ให้เงินเป็นพิษภัยแก่ตนแก่สังคมด้วย ใช้อย่างเป็น ประโยชน์แบบโลกุตระ" ใส่ใจ....เอาภาระ....สุดจะบรรยาย พ่อท่านเดินทางมาอยู่ที่ราชธานีอโศก ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม เพื่อช่วยเตรียมงานและช่วยคิด แก้ปัญหา ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้งานปีใหม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดีที่งานเขียนของพ่อท่านลดลง เนื่องจากหนังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจมีปัญหาบางอย่าง ทำให้พ่อท่าน มีเวลา ออกแดด ช่วยดูและเตรียมงานต่างๆได้มากกว่าปีที่ผ่านๆมา พอดีเป็น จังหวะเดียวกับที่ปีนี้ มีการขนหินทราย จำนวนมาก เพื่อใช้งานตบแต่งสถานที่ พ่อท่านจึงใช้ เวลาส่วนมากกับการคัดเลือกหิน ตบแต่งสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะ ที่เวทีและลานหินหงส์ อาจเป็นเพราะผลการตรวจเลือดก่อนการเดินทางมาราชธานีอโศก ที่แสดงว่าเม็ดเลือดขาว ลดลงกว่าที่ เคยมี ทำให้มี ข้อแนะนำจากฝ่ายดูแลสุขภาพว่า พ่อท่านควรถูกแดดบ้าง และ ควรทำงานเคลื่อนไหวบ้าง แทนการนั่งคิด เขียนนานๆการช่วยงานจัดแต่งหินไว้ในที่ต่างๆ ทำให้พ่อท่านต้องอยู่กับแดดทั้งวัน โดยเฉพาะ ที่บ้านราชฯนี้ ต้นไม้ ยังไม่มีต้นใหญ่ แดดที่ บ้านราชฯ จึงจัดกว่าสันติอโศกและปฐมอโศก การออกแดดเช่นนี้ทำให้ผิวสีของพ่อท่าน คล้ำขึ้น อย่างเห็นได้ชัด ใครเห็นก็ทักว่าคล้ำดำผิดตาจากที่เคยเห็น
เมื่องานจัดหินเพลาลงแล้ว พ่อท่านมีเวลาเดินตรวจดูงานทั่วๆไปได้มากขึ้น เดินผ่านฝ่าย เขียนป้าย ก็แวะดู ผ่านเด็กๆ ที่กำลังทำหน้าที่ดูดส้วมก็หยุดแวะดู ผ่านเวทีชาวบ้าน ตลาด อาหาร ตลาดสินค้าของใช้ต่างๆ รวมถึง งานขนย้ายลากเรือ จากบริเวณด้านนอก ที่ใช้จอดรถ หรือข้างโรงปุ๋ย มาไว้ที่เนินดินหน้าเฮือนศูนย์สูญ การตรวจดูงานบางวันตั้งแต่เช้าดวงตะวันแรกแย้ม จนลับขอบฟ้า กลับเข้าห้องทำงาน เพียงตอน ฉันอาหาร แต่วันที่ ลากเรือใหญ่ (๒๔ ธ.ค.)นั้น อยู่ฉันอาหารที่ใต้ถุนบ้านคุณดินดอน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดพักเรือ เพื่อประหยัดเวลา ฉันเสร็จ จะได้ช่วยดูงานลากเรือต่อได้ทันที แม้พ่อท่านไม่ได้ร่วมออกแรงลากเรือเอง แต่ก็อยู่ดูตลอดมองในมุมกว้าง เพื่อจะได้เห็น ความเป็นไปได้ทั่วๆ มีปัญหาที่ควรแก้ไขจะได้บอกได้ทันที แรกๆก็เดินดูความเป็นไปในพื้นที่ ส่วนล่าง ต่อมา สภาพการณ์ทำให้ต้องยืนอยู่ในที่สูงๆ บางทีก็ยืน บนส่วนของรถแบ็คโฮล ยืนบนหลังคารถหกล้อบ้าง สุดท้าย ก็ได้รับนิมนต์ให้ไปยืนอยู่บนหัวเรือ ในช่วงท้าย ของการลากเรือ การยืนอยู่ในที่สูงอย่างนั้นก็เป็นประโยชน์ ทั้งพ่อท่านเอง จะได้เห็นภาพ ความเป็นไป ได้ถ้วนทั่ว และเหมือนเป็นพลังใจให้พวกเราชาวอโศกที่ช่วยงานนั้นอยู่ ด้วยพ่อท่าน เป็นศูนย์รวมใจของพวกเรา ถ้าอยู่ในสภาพที่ช่วยออกแรงได้พ่อท่านก็ช่วย ไม่ได้มีท่าทีถือตัวว่าเป็นผู้นำอะไร ช่วยยก ช่วยโยก ช่วยแบก ช่วยตัก ช่วยประคองดัน ที่สโตร์เก็บวัตถุดิบให้ร้านอาหาร พ่อท่านผ่านไปพอดีได้ช่วยเด็กขนย้ายผักพืช งานย้ายลากเรือก็ช่วยโยกแม่แรง ยกเรือขึ้นเพื่อหนุนท้องเรือให้ลอย ผ่านสระน้ำเอิ้นขานเห็นถุงปุ๋ยตกน้ำก็ช่วยตักช้อนขึ้น บางวันก็แวะไปดูงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเข้าบุ่งที่หาดแนมตะเว็น (หาดชมตะวัน) คุณผ่านฟ้า ที่ควบคุมเรื่อง การติดตั้ง เครื่องสูบน้ำ มีลูกชายชื่อกอแระติดตามไปด้วย เสร็จจากการดูงาน แล้ว พ่อท่านช่วยอุ้ม เจ้ากอแระ ไว้ที่ข้างเอว เพื่อไปขึ้นรถ เป็นภาพที่ให้ความรู้สึก ที่สุดจะบรรยาย อีกภาพหนึ่ง วันสุกดิบก่อนงานปีใหม่ (๓๐ ธ.ค.) งานหลายอย่างลงตัวเตรียมพร้อมแล้ว ก็เดินตรวจดู ตลาดสินค้าทั่วๆไป วันนั้น พอดีพญาแร้งโลหะหนัก ๔๘๐ กิโลกรัมมาถึง พ่อท่านช่วยคิด หาที่ตั้งและช่วยประคองให้ไปตั้ง ในที่ที่เหมาะสม จากภาพ ดูพ่อท่านจะออกแรงประคองเต็มที่ หน้าตา ท่าทีบอกเลยว่าหนัก งานปีใหม่วันแรก(๓๑ ธ.ค.) ช่วงบ่ายพ่อท่านออกเดินตรวจดูตลาด เดินจากด้านท้ายไปได้ ไม่ทันไร ต้องถอยกลับ เพราะคนเยอะแน่นมาก ตลาดอาหารปีนี้ขยายพื้นที่ทำให้ดูกว้างขึ้น จึงเดินผ่าน ดูบรรยากาศไปอย่างสบายๆ ค่ำวันที่ ๒ ม.ค. ๔๗ ก่อนรายการแสดงภาคค่ำ มีการยกเรือขึ้นคานเสาไม้บริเวณโรงครัวเดิม พ่อท่านแวะดู ช่วยคิด ช่วยบอก ซึ่งเรือนี้จะให้เป็นเรือประชาสัมพันธ์ หรือที่ภาษาถิ่นเรียกว่า "เอิ้นขาน" เนื่องจากเสาไม้เดิม พอจะรับ น้ำหนัก ของเรือได้ ฝ่ายช่างจึงเพียงนำไม้มาตีประกบ ยึดโยง เพื่อความแข็งแรงไม่โยกไหวได้ง่าย และหาไม้วาง เป็นคานเท่านั้น ก็คิดว่าจะใช้ได้ แต่พอยกตั้งจริงๆคานตัวหนึ่งหักลั่นเสียงดัง ขณะที่พ่อท่าน กำลังเดินจะไปดู รายการแสดง ที่เริ่มมาหลายรายการแล้ว พ่อท่านได้ยินเสียงดังนั้น จึงรีบวกกลับเดินมาดู เพื่อช่วยฝ่ายช่าง คิดแก้ปัญหาต่อ เมื่อฝ่ายช่างหาทางแก้ปัญหาชั่วคราวได้แล้ว จึงไปนั่งดูการแสดงที่กองหิน ข้างเวที ร่วมกับหมู่สมณะ ปิดท้ายบันทึกนี้ด้วยโอวาทที่พ่อท่านกล่าวกับกลุ่ม อสบ.หรืออาสาสมัครบุญนิยม ที่มีสัญลักษณ์ ปลอกแขน สีเขียว ทำหน้าที่ช่วยเหลือทุกงานทุกจุด ที่จะเกิดปัญหา ในช่วงงานปีใหม่ จากบางส่วน ดังนี้..... "นี่ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง เมื่อมีงานรวมหมู่ใหญ่ๆเราเนี่ย มันจะต้องใช้คนช่วยกัน แต่ละคน ช่วยกันคนละ ไม้ละมือ มันก็เบาแรง งานจะได้เรียบร้อย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเราจะได้ ฝึกฝนทำงานร่วมกัน ประสาน ผนึก เป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน มันจะมีการขัดแย้งกันบ้าง แล้วก็มา ปรึกษาหารือกัน ตัดสินกัน มาตกลงกัน อะไรพวกนี้ มันจะได้เกิด จากเหตุพวกนี้ อย่างน้อยที่สุด เราจะได้ลงทุนลงแรง ว่าเราได้เสียสละ เราได้เป็น ผู้ที่ทำงาน ได้ช่วยเหลือ เฟือฟายกัน งานก็จะ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะฉะนั้น หน่วยนี้เป็นหน่วยเสริม จะต้อง หูไว ตาไว สำเหนียก ฟังเสมอ จุดไหน บกพร่อง จุดไหนต้องการความช่วยเหลือ หรือเราเองเห็น ข้อบกพร่อง ที่จะต้อง ช่วยเสริม ก็ต้องหูไวตาไวอย่างที่ว่านี่ เห็นอันนั้นอันนี้ที่จะต้องปรับปรุงพัฒนา ก็ไปบอกเพื่อนฝูง กัน มาช่วยกันแก้ไขทำให้ดีขึ้นตรงนั้นตรงนี้เป็นต้น ทุกอย่าง มันก็จะเรียบร้อย ลุล่วงไปได้ ซึ่งเป็นหน่วยที่อาตมาคิดว่าพวกเรานี่ทันสมัยหรือล้ำสมัยนะ เพราะฉะนั้น ทุกงานผู้ใดที่รู้วิธีการ รู้ว่าเราจะทำอะไร จะทำอย่างไร พอเวลามีงานแล้ว ถามหาหน่วยนี้เลย หน่วย อสบ. หน่วย อสบ. อยู่ที่ไหน แล้วรีบมาสมัคร ถ้าผู้ใดมีเพื่อนที่สนใจ ก็พามาสมัครเติมได้เสมอ แล้วก็แบ่งงานกันไป ย่านนั้นย่านนี้ พวกเราจะได้ช่วยกันดูแล ความขาดตกบกพร่องก็จะน้อยลง จะเกิด ความสมบูรณ์ เกิดความเรียบร้อยกันดี นี่เป็นการ ฝึกฝนชีวิต ที่จะอยู่กับสังคม ต่อไปเราจะฝึกฝนกับสังคม กลุ่มใหญ่ แล้วก็เล็กลงมา แม้ที่สุด ก็สังคม ครอบครัว เราก็จะได้นิสัยที่เราได้ฝึกฝนอบรมอันนี้ มาใช้กับ ชีวิตไปทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะกับสังคมใหญ่ หรือสังคมเล็ก ในครอบครัว ยิ่งสังคมเล็กก็ยิ่งสบาย เมื่อสังคมใหญ่ ได้แล้ว สังคมเล็กก็ยิ่งเป็นไปได้เลย เราพยายามทำตาม ที่เรารู้ เข้าใจแล้วให้เกิด ความชำนาญ ก็ขอขอบคุณทุกคนที่มาทำงานเสียสละ และตั้งใจทำสิ่งที่ดีขึ้นมา....." - อนุจร. - - สารอโศก อันดับที่ ๒๖๙ กุมภาพันธ์ - มีนาคม ๒๕๔๗ - |