ฉบับนี้ได้รับข้อมูลจากคอลัมน์"ธรรมชาติบำบัด" โดย น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
หนังสือมติชน สุดสัปดาห์ ฉบับ ๑๔-๒๐ ก.พ.๒๕๔๖

มุมมองใหม่ว่าด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะ

น้ำปัสสาวะจะรักษาสารพัดโรคได้อย่างไร? เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ นั่นเป็นเพราะการแพทย์ แบบแผนได้ตอกย้ำความเชื่อที่ว่า ปัสสาวะเป็น "ของเสีย" ที่ขับออกจากร่างกาย ดังนั้น การดื่มปัสสาวะกลับเข้าไปใหม่ ก็เท่ากับการเติมของเสียให้ตัวเอง มันเรื่องอะไรที่จะไปทำ อย่างนั้น

ก่อนอื่นลองพิจารณากันว่า ปัสสาวะประกอบด้วยอะไรบ้าง

โดยปกติคนเรา จะกลั่นปัสสาวะออกมาประมาณ ๗๕๐-๑,๕๐๐ ซีซีต่อวัน ขึ้นอยู่กับว่า คนคนนั้น ดื่มน้ำเข้าไปมากหรือน้อย คนที่กินของทอดหรืออาหารเผ็ดร้อน จะกระหายน้ำมากกว่า

ฤดูกาลก็มีส่วน หน้าร้อนคนเราขับน้ำออกทางเหงื่อมากขึ้น ปัสสาวะก็น้อยลง พอฤดูหนาว อากาศเย็น คนเราไม่ค่อยมีเหงื่อ ก็จะขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น

ปกติปัสสาวะจะมีสีเหลืองอ่อนๆ ไปจนถึงขาวใส ถ้าปริมาณปัสสาวะน้อย ปัสสาวะก็จะข้น และมีสารในนั้นมากกว่าปัสสาวะใส คนที่เป็นโรคดีซ่าน ปัสสาวะจะมีสีเหลืองขมิ้น กระทั่งเป็น สีน้ำตาล คนที่เป็นโรคไตหรือโรคทางเดินปัสสาวะ ก็อาจขุ่นหรือเป็นสีแดง ถ้ามีเม็ดเลือดแดง ออกมากับปัสสาวะด้วย

รสของปัสสาวะของคนปกติจะเป็นรสเค็มๆ ถ้าปัสสาวะเข้มมากอาจมีรสขมนิดๆ อย่างไรก็ดี สิ่งที่เรากินเข้าไปยังมีผลต่อสีและรสของปัสสาวะ

ดร.ฟารอน นักชีวเคมี ได้วิจัยสารต่างๆของปัสสาวะ พบว่า ๙๕ % เป็นน้ำ ๒.๕ % เป็น Urea ๒.๕ % เป็นสารอื่นๆ ถ้าแยกส่วนประกอบ(มก.) ในน้ำปัสสาวะ ๑๐๐ ซีซี (Intro. to Biochem. by Dr.Pharon) จะพบว่า
๑. Urea nitrogen ๖๘๒.๐๐ ๒. Urea ๑,๔๕๙.๐๐
๓. Creatinin nitrogen ๓๖.๐๐ ๔. Creatinin ๙๗.๒๐
๕. Uric acid nitrogen ๑๒.๓๐ ๖. Uric acid ๓๖.๙๐
๗. Amino nitrogen ๙.๗๐ ๘. Ammonia nit ๕๗.๐๐
๙. Sodium ๒๑๒.๐๐ ๑๐. Potassium ๑๓๗.๐๐
๑๑. Calcium ๑๙.๕๐ ๑๒. Magnesium ๑๑.๓๐
๑๓. Chloride ๓๑๔ ๑๔. Total sulphate ๙๑.๐๐
๑๕. Inorganic sulphate ๘๓.๐๐ ๑๖. Inorganic phosphate ๑๒๗.๐๐

ที่น่าสนใจกว่าก็คือ มีสารอื่นๆในปัสสาวะ ได้แก่ เอนไซม์ : Amylase(diastase), Lactic dyhydrogenate(LDH), Leucine amino-peptifasea(LAP) และ Urokinase มีฮอร์โมน : Catecholamines, ๑๗ - Catosteroids, Hydroxy-steroid, Erythropoietine, Adenylate cyclase, Prostaglandin, ฮอร์โมนเพศ และอินซูลิน เป็นต้น

แต่นักวิจัยเชื่อว่ามีสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากในปัสสาวะ

กล่าวเฉพาะที่พอจะรู้จักดังกล่าวข้างต้น ก็พบว่ามีประสิทธิผลที่ดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น

-Urokinase เป็นสารละลายลิ่มเลือด รักษาเส้นเลือดอุดตัน สารนี้งานวิจัยของ น.พ.เมเชล ที่โรงพยาบาลเอดจ์วอเตอร์ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ สำหรับรักษาผู้ป่วย โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และพ.ญ.ซาลาเรีย ศัลยแพทย์อาวุโส ที่อาเมตาปัด รัฐกุจราช ประเทศอินเดีย ได้นำไปใช้ฉีดแก่ผู้ป่วยล่วงหน้าก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนของโรคหัวใจที่อาจเกิดขึ้น

-Erythropoitin สารกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือด นี่อาจเป็นคำตอบว่า ผู้ป่วยโรคเลือดจาง ที่ดื่มน้ำปัสสาวะ มักจะพบว่าภาวะเลือดจางดีขึ้นในเวลาไม่นาน

-Adenylate cyclase ประสานการทำงานฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกาย โดยผ่านการทำงานของสาร cyclic AMP

-Prostaglandin สารประจำถิ่นในเนื้อเยื่อหลายชนิด ควบคุมการอักเสบ การรับรู้ความปวด การจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยการทำงานของมดลูก

-ฮอร์โมนเพศ และ Insulin พบได้ในน้ำปัสสาวะด้วย กลุ่มนี้เป็นฮอร์โมนประเภทเสริมสร้าง (anabolic hormones) จึงช่วยสร้างความกระชุ่มกระชวย ผิวพรรณดี ลดรอยย่นและความหย่อนยาน สร้างสุขภาพจิตที่ดี ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันกระดูกผุ ซึ่งคนที่เป็นน้อยๆอาจนำมา ด้วยอาการปวดตามเนื้อตามตัว คนที่เป็นเบาหวานยังได้อินซูลินเข้าไปเสริมจากน้ำปัสสาวะด้วย ฮอร์โมนเสริมสร้างช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย

-Melatonin พบในปัสสาวะตอนเช้า สารนี้ทำให้ช่วยจิตใจสงบ ลดความกระวนกระวาย หลับสบาย

-Urea เป็นสารขับปัสสาวะ เป็นสารต้านอักเสบ ต้านไวรัส และแบคทีเรีย ผิวหนังอ่อนเยาว์ สารยูเรียยังช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดี ในทางเดินอาหารของผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารอีกด้วย

-Uric acid สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง

ดร.อัลเบิร์ต เซนต์ กีออร์กี นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล เคยทดลองใช้สาร methyl glyoxal ซึ่งพบในปัสสาวะผู้ป่วยโรคมะเร็ง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจหลายราย

สารต่างๆเหล่านี้ แม้ว่าจะมีเพียงปริมาณน้อยในปัสสาวะ แต่ถูกพบว่าอยู่ในรูปแบบที่มี ศักยภาพสูง เมื่อดื่มเข้าไปจะซึมผ่านเยื่อบุกระเพาะอย่างรวดเร็ว และเกิดผลต่อร่างกาย

งานวิจัยชิ้นใหญ่ ที่ทำโดย น.พ.ธรรมาธิกรี รัฐมหาราษฎร์ ประเทศอินเดีย ได้ทดลองให้ผู้ป่วย จำนวน ๒๐๐ คน ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเอง และติดตามผลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด ได้ข้อ สรุปสำคัญๆ ดังนี้คือ

๑. เมื่อดื่มน้ำปัสสาวะ เซลล์ร่างกายจะสามารถรับออกซิเจนได้มากขึ้น และอัตราเผาผลาญ ในร่างกายจะสูงขึ้น

๒. การดื่มน้ำปัสสาวะ จะช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในผู้ป่วยทุกราย และ ปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดก็สูงขึ้นด้วย

เขาเชื่อว่าบทบาทสองประการนี้สำคัญมาก ช่วยให้เกิดการบำบัดรักษาโรค และอาการเจ็บป่วย ได้หลายกรณี ด้วยกลไกของเอนไซม์

ฮอร์โมน และเกลือแร่ ทั้งช่วยให้ภูมิต้านทานดีขึ้นอีกด้วย

อีกบางทฤษฎีทางโอมีโอพาธีกล่าวว่า น้ำปัสสาวะรักษาโรคได้ ก็โดยกระบวนการพิษต้านพิษ คล้ายๆกับการฉีดวัคซีน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา หรือคล้ายกับการที่เรา แก้พิษงูโดยการใช้เซรุ่มม้า เซรุ่มม้าทำขึ้นมาได้ โดยคนเราเอาพิษงูมาเจือจาง แล้วฉีดเข้าม้า ทีละน้อย ให้ม้าสร้างสารภูมิต้านทานขึ้นมา เมื่อมาฉีดให้คนที่ต้องพิษ สารต้านพิษที่กระตุ้น ขึ้นมา ก็สามารถขจัดพิษได้

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีนี้อย่าง พระ ดร.สิงห์ทน นราสโภ จะแนะนำให้ดื่มน้ำปัสสาวะ ก่อนนอนสัก ๑/๓ แก้ว เพื่อไป"หมัก"ในร่างกายตลอดคืน จากนั้นดื่มน้ำปัสสาวะตอนเช้า ซึ่งน้ำนั้นแหละ ร่างกายได้สร้างสารต้านพิษออกมาเรียบร้อยแล้ว จึงมีบทบาทรักษาโรค

และด้วยทฤษฎีนี้ท่านจึงกล่าวว่า "ถ้าน้ำปัสสาวะของคนสมัยใหม่ จะมีสารพิษมากมาย ที่กินเข้าไป แล้วถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ก็ไม่เห็นเป็นไรที่จะดื่มเข้าไป เพราะเท่ากับว่า ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารต้านพิษออกมา พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว แต่ก็ยังทันสมัย ใช้ได้ในปัจจุบัน แม้เราอยู่ในสังคมมลพิษ"

ความเชื่อที่ว่า "น้ำปัสสาวะอุดมด้วยสารพิษ กินเข้าไปอาจเป็นอันตรายได้" ส่วนมากเสนอขึ้น โดยแพทย์แบบแผน กลับเป็นความเชื่อที่ไม่มีข้อพิสูจน์จนทุกวันนี้ ที่ผ่านมามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรคหัวใจ ที่มีชื่อเสียงมากในบอมเบย์ ทนไม่ได้กับความนิยมของประชาชน ที่ดื่มน้ำปัสสาวะ รักษาโรค จึงออกประกาศกับหนังสือพิมพ์ว่า ให้ใครต่อใครที่ดื่มน้ำปัสสาวะ ช่วยเขียนผลดี ผลร้ายที่ตนได้รับจากการดื่มน้ำปัสสาวะ ความตั้งใจของเขาก็คือ ต้องการให้ผู้คนช่วยกัน รายงาน ถึงอันตรายที่เกิดจากการดื่มน้ำปัสสาวะ ผลกลับปรากฏว่า มีจดหมายถึงเขาเป็นร้อยๆ ฉบับ ที่รายงานแต่ผลดีของการดื่มน้ำปัสสาวะ ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียว ที่จะระบุถึงผลข้างเคียง ของวิธีนี้เลย

ผู้อ่านล่ะครับ คุณอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่ดื่มน้ำปัสสาวะ ลองเขียนเรื่องราวของคุณ มาให้ทราบบ้าง