กรรมตามสนอง

ตีหลังงู


เรื่องราวของคนตีหลังงูนี้ เป็นเรื่องวิบากกรรม ของคุณแม่เสงี่ยม ศรีบุญโฮม อาชีพทำนา อายุ ๕๗ปี บ้านหนองค้า ต.โนนท่อน อ.เมือง จ.ขอนแก่น

คุณแม่เสงี่ยมได้เล่าถึงเรื่องกฎแห่งกรรม ที่ตนเองได้เคยพบมากับชีวิตของตัวเอง ให้กับผู้เขียนฟังว่า

ฉันเกิดมาเป็นลูกชาวนาแต่กำเนิด พ่อแม่พาทำไร่ ทำนา ทำสวน จนกระทั่งโตเป็นสาวได้มาแต่งงาน มีผัวมีลูก ฉันก็ยังทำสวนทำนาเรื่อยมา

จนปีพ.ศ. ๒๕๑๖ ตอนนั้นอายุราว ๒๗ หรือ ๒๘ ปีเห็นจะได้ วันหนึ่งหลังจากที่ฉันรับประทาน ข้าวปลาอาหารเสร็จแล้ว ฉันก็เดินลงไปปักดำนา ในขณะที่ฉันเดินไปตามคันคูนานั้น พลันสายตา ก็เหลือบไปพบเห็นงูสิงตัวใหญ่ ลำตัวยาวดำมะเมื่อม กำลังเอาส่วนหัวมุดเข้าไปในรูหนู เพื่อเอาหนู มากินเป็นอาหาร

พอเห็นแค่นั้น ก็เป็นธรรมดาของคนที่ยังไม่เคยศึกษาธรรมะ ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม และยังไม่มี ดวงตาเห็นธรรม จึงไม่มีใจยั้งคิดว่า สิ่งใดควรกระทำ หรือสิ่งไหนไม่ควรกระทำ และสิ่งที่เรากระทำ ขึ้นมานั้น มันจะส่งผลให้เราเป็นทุกข์ เป็นบาปกรรมเวรภัย มาถึงตัวเราในภายหลัง หรือว่าสิ่งที่เรา กระทำลงไป มันจะเป็นผลบุญหนุนส่งให้เราได้ไปสู่ที่ดีและมีความสุขในภายภาคหน้า

ฉันคิดได้แต่เพียงว่า ต้องฆ่ามันเอาไว้ก่อน เพราะหากเราไม่ฆ่ามัน สักวันหากมันยังมีชีวิตวนเวียน อยู่บริเวณแถวๆนี้อยู่ ลูกของเรา สามีเรา หรือญาติพี่น้องเรา เผลอตัวไปเหยียบ หรือไปใกล้ตัวมันเข้า มันอาจจะกัดหรือทำร้ายได้

คิดได้แค่นั้น ฉันก็รีบวิ่งไปคว้าเอาไม้มาอันหนึ่ง ตีกระหน่ำสุดแรงลงไปที่หลังงูใหญ่ตัวนั้นทันที ตีงูตัวนั้นอยู่ตั้งหลายครั้ง แต่งูยักษ์นั้นก็ยังเฉยๆอยู่ มันไม่ดิ้น ไม่ทุรนทุราย ไม่ทำอาการ เจ็บปวด ใดๆเลย

พอฉันเห็นว่า ขืนเอาไม้อันนี้ตีงูอยู่อย่างนี้ มันคงจะไม่ตายเป็นแน่ มันคงแค่เจ็บปวดตามหลัง ตามลำตัวของมันเท่านั้น ดีไม่ดีหากมันโผล่หัวออกมาจากรูหนู เห็นเรามันอาจต่อสู้ฉกกัดเรา ถึงตายก็ได้

คิดแล้วรีบวิ่งไปยังเถียงนา เพื่อไปเอาจอบเอาเสียมมาสับให้มันเป็นท่อนๆ มันจะได้ตาย แต่พอฉัน ไปได้จอบแล้ววิ่งกลับมา ปรากฏว่างูสิงยักษ์ตัวนั้นได้หนีหายไปแล้ว ในใจก็ยังคิดเสียดายอยู่นะ ที่ฉันไม่สามารถฆ่างูให้ตายได้ เพราะกลัวงูจะพยาบาท กลัวจะ หันมาเล่นงานเราในภายหลัง สรุปแล้วก็คือ ใจไม่เป็นสุขเลย

ต่อมาอีกหลายปี ฉันได้ลืมเหตุการณ์นั้นเสียสนิท เพราะไม่เคยพบเห็นงูใหญ่ตัวนั้นอีกเลย มันคงเจ็บปวดเนื้อตัว ไม่กล้าเพ่นพ่าน มาบริเวณแถวนี้อีก

พออายุฉันได้ประมาณ ๔๐ ปี ราวพ.ศ.๒๕๓๐ ในฤดูทำนาฉันและสามีพากันปักดำนา แต่นาตรง ที่ปักดำลงไปแล้ว ไม่ค่อยจะมีน้ำขัง ฉันและสามีเลยช่วยกันหาบเครื่องสูบน้ำ เพื่อจะได้เอาไป สูบน้ำขึ้นมา ให้ต้นข้าวที่กำลังจะแห้งเหี่ยวเฉาตาย

แต่พอช่วยกันหามขึ้นบนบ่า สำหรับตัวของฉันนั้นรู้สึกว่า มันหนักเกินแรงและกำลังที่ฉันมีอยู่ หนักจนแทบจะทิ้งลงเลย แต่ทว่า ฉันก็ฝืนกัดฟันทนหามช่วยสามี ระยะทางที่จะหามไป มันก็ไม่ไกลนะ แต่ทว่าความหนักของมัน ทำให้รู้สึกว่ามันไกลมากทีเดียว พอถึงจุดหมายปลายทาง ฉันนี้แทบจะโยนมันลงไปเลยละ

ในคืนนั้น ปรากฏว่าฉันมีอาการเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย จะลุก จะนั่ง จะยืน จะเดิน ลำบากไปเสีย ทุกอย่าง ตามลำตัว ตามหลัง ตามเอว มันเจ็บจนตัวแข็งทื่อไปหมด จะก้มตัวลงก็ไม่ได้ จะเหลียว ซ้ายแลขวาก็แสนลำบาก มันเจ็บปวดไปหมดทั่วตัวเลย คล้ายๆมีใครเอาไม้เอาฆ้อน มาทุบตี ตามหลัง และลำตัวของฉัน

ฉันต้องทนเจ็บปวดอยู่ทั้งคืน พอตอนเช้าเลยให้สามีและลูกๆพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หลังจาก หมอตรวจดูอาการแล้ว ฉีดยาให้และให้ยาแก้ปวดมากิน ได้กินยาอาการปวดนั้นก็พอทุเลา แต่พอ หมดฤทธิ์ยา อาการปวดนั้นก็มีมาเหมือนเดิม

ต้องเทียวเข้าเทียวออกจากโรงพยาบาล และคลินิกหมออยู่เป็นประจำ แต่ทว่าอาการปวดเพียงแค่ ทุเลาลงเท่านั้น ฉันเลยหันไปหาหมอบีบนวดเพื่อคลายเส้นให้ ในระยะนวดมาใหม่ๆ ดูคล้ายๆ จะหาย แต่พอฉันไปทำงาน อาการปวดเจ็บก็กลับคืนมาเหมือนเดิม

ฉันต้องทนเจ็บปวดอยู่ตั้งนาน รักษามาก็มากมายหลายวิธี กว่าอาการเหล่านั้นจะค่อยๆหายไป ทุกวันนี้หากฉันทำงานหนัก ความเจ็บปวดก็จะคืนมาอีก เรียกว่ามันยังไม่หายขาดหรอก

ปีพ.ศ.๒๕๓๑ ฉันได้มาพบธรรมะของชาวอโศก จากการแนะนำให้มาพบหมู่กลุ่มคือ คุณแก่นเกื้อ ทำให้ฉันได้มารู้จักการถือศีล ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการลดละกิเลสที่เป็นส่วนเกินของชีวิต และเพื่อ เรียนรู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกศีลถูกธรรม เป็นการเดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์ และเป็นการสั่งสมกรรมดี ให้แก่ตนเอง สมกับคำที่ว่าได้เกิดมาเป็นคน

หลังจากที่ฉันได้มาอยู่กับหมู่กลุ่มของชาวขอนแก่นอโศกแล้ว ได้มาศึกษาธรรมะจากหนังสือ จากการฟังเท็ปธรรมะบ้าง จากการฟังเทศนาสั่งสอนของท่านสมณะบ้าง แต่สิ่งที่ฉันชอบฟังที่สุด คือ เรื่องของกฎแห่งกรรมจากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์สอน ฉันจับใจความได้ดังนี้

พ่อท่านบอกว่า กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นของตน ใครทำชั่วมาก็เป็นชั่วของคนนั้น ไม่เอาก็ไม่ได้ กัมมทายาโท เราเป็นทายาทของกรรม เราทำกรรมใดแล้ว เราต้องเป็นผู้รับมรดกกรรมของเราเอง ทั้งหมด ไม่มีตกหล่นรั่วซึม แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ กัมมปฏิสรโณ การกระทำของเราอีกนะแหละ เป็นที่พึ่งพาอาศัย กรรมนี้แหละคือพระเจ้า เป็นสิ่งจริงที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุด คนเราเกิดมา ชาติหนึ่งๆ ไม่ได้เอาวิบากกรรมมาทั้งหมด วิบากไม่ดีวิ่งตามเรามาเสมือนหมาไล่เนื้อ สักวันหนึ่ง เมื่อกรรมตาม มาทัน ก็หนัก กรรมเป็นสิ่งที่ทำลงไปแล้ว ก็สั่งสมเป็นวิบาก จะออกฤทธิ์ทำให้เป็นไปต่างๆนานา

ฟังธรรมะแล้ว ฉันก็หวนคิดถึงกรรมที่เคยทำมา อาการเจ็บป่วยเป็นโรคปวดหลัง ต้องทนทุกข์ ทรมาน จนทุกวันนี้ แท้จริงมันก็คือกฎแห่งกรรมตามมาสนอง ที่ฉันเคยเอาไม้ไปตีหลังงู ในครั้งก่อน นั่นเอง

ฉันศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมจากปีพ.ศ. ๒๕๓๑ เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นงานหมู่กลุ่ม งานบุญของ ชาวอโศกจัดขึ้นที่ใด ฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าร่วม เป็นกองทัพธรรม ช่วยงานศาสนา กอบกู้ศีลธรรม ให้กลับคืนมา เพื่อความผาสุกของมวลมนุษยชาติ

ทุกวันนี้จากการมาช่วยงานหมู่กลุ่มเป็นบางครั้งบางคราว ก็เลื่อนฐานะมาอยู่ประจำ มีหน้าที่รับใช้ หมู่กลุ่มที่โรงสีสมาคมขอนแก่นอโศก หรือว่าจะเป็นบ้านสวน ไม่ว่าจะเป็นงานทำนา ทำสวนผัก ทำอาหารการกินให้หมู่กลุ่ม ฉันรับใช้สารพัดอย่าง พ่อท่านบอกว่า รายได้จากการทำงาน คือ ได้ลดกิเลสของเรา และเป็นการสั่งสมบุญบารมีให้แก่ตนเอง

ชีวิตนี้สั้นนัก ชีวิตนี้น้อยนัก ผู้ไม่รู้จักชีวิตจึงใช้ชีวิตเป็นโมฆะไปตลอด ให้ได้รับบาปกรรม ได้รับหนี้ ชีวิตติดตัวไปมากกว่ามาก ดังนั้นผู้ฉลาดจึงพยายามศึกษาชีวิตของตนให้รู้ซึ้งว่า เกิดมาทำไม เกิดมา เพื่ออะไร เกิดมาแล้วถึงจะเป็นชีวิตที่ได้กำไร ได้ประโยชน์คุณค่าแก่ชีวิต ทั้งแก่โลกได้ฉันใด

ผู้ฉลาดแท้ รู้แจ้งในชีวิต และกระทำชีวิตของตนให้เป็นชีวิตมีค่าประเสริฐได้เท่านั้น จึงชื่อว่า ไม่ใช่โมฆะ

คุณแม่เสงี่ยม ศรีบุญโฮม กล่าวกับผู้เขียนในที่สุด ก่อนจากผู้เขียนขอฝากคติธรรม ประจำใจ ของชาวอีสาน บทหนึ่ง
ใจความว่า

คันเจ้าทำดีแล้ว ใผสิชังกะตามซาง (เหมือนพญาอีแร้ง) คันเจ้าทำชั่วแล้ว ใผสิย้องกะซาง กะซางตามเด้อ (ผู้ข้าบ่ สะออนดอก)

[หมายความว่า ถ้าคุณทำความดีแล้ว ใครจะเกลียดชังก็ช่างเขาเถิด (เหมือนพญาแร้ง) ถ้าคุณทำ ความชั่วแล้ว ใครจะยกย่องก็ช่าง (ฉันก็ไม่ชื่นชมหรอก)]

- ก่อแก่น -



เราเป็นทายาทของกรรม
เราทำกรรมใดแล้ว
เราต้องเป็นผู้รับมรดกกรรม
ของเราเองทั้งหมด
ไม่มีตกหล่นรั่วซึม
แบ่งให้ใครก็ไม่ได้

-สารอโศก อันดับที่ ๒๗๐ เมษายน ๒๕๔๗ -