ตอน.... ปลูกฝัง....สืบสาน....สร้างสรรค์ กุมภาพันธ์-มีนาคม การศึกษาวิธีการปลูกฝังค่านิยมทางสังคมในเยาวชน น.ส.จันทร์เพ็ญ วรวณิชชา นักศึกษา ปริญญาตรี วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กำลังทำงานวิจัยเพื่อเขียนสารนิพนธ์ เรื่อง "การศึกษาวิธีการปลูกฝังค่านิยมทางสังคมในเยาวชน" ได้ขอสัมภาษณ์พ่อท่าน บทบาทและ วิสัยทัศน์ ของพ่อท่านที่มีต่อสัมมาสิกขาเป็นอย่างไร เตือนสมณะผู้ใหญ่ ๑๙ ก.พ. ๔๗ เสร็จจากการทบทวนพระปาติโมกข์พ่อท่านได้เตือนสมณะผู้ใหญ่ของชาวอโศกว่าอย่างไร จดทะเบียนคนจน ตามประสาบุญนิยม การจดทะเบียนคนจนตามนโยบายที่รัฐพยายามจะสำรวจ เพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยแยกประเภทคนจนเป็น ๑๐ ประเภท พ่อท่านเห็นว่าชาวอโศก ก็เป็น คนจน อีกประเภทหนึ่ง แม้ไม่ได้อยู่ใน ๑๐ ประเภทเหล่านั้น แต่ก็ควรไปจดด้วย เพื่อให้สังคม ได้รู้ว่า คนจนอย่างนี้ก็มี และควรส่งเสริมให้ทำประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้นด้วย มีเรื่องราว มีคำแนะนำใด ที่น่าสนใจ เชิญพลิกไปอ่านได้ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ๒๑ ก.พ. ๔๗ พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการ ที่รัฐจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จะมีผลดีผลเสียต่อสังคมไทยอย่างไร พ่อท่านได้แสดงความเห็น ในเรื่องนี้ว่าอย่างไร พลาดไม่ได้ต้องรีบพลิกไปอ่านแล้ว รัฐให้ฆ่าไก่ จะทำอย่างไรดี หญิงคนหนึ่งโทรมาปรึกษา
กรณีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ทำให้รัฐ พยายามแก้ปัญหาในหลายๆด้าน รวมถึงคำสั่งให้ผู้เลี้ยงในท้องที่
ที่พบการแพร่ระบาด ของโรค ช่วยฆ่าสัตว์เลี้ยงประเภทปีกที่มีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดนกได้
แต่หญิงรายนี้ไม่อยากจะฆ่า จึงโทรมาปรึกษาพ่อท่านว่าจะให้ทำอย่างไรดี แล้วพ่อท่านแนะนำว่าอย่างไร
น่าสนใจเหมือนกัน การสร้างภาพยนตร์ธรรมะ ๑๔ มี.ค. ๔๗ ที่สันติอโศก มีการประชุมเกี่ยวกับจะสร้างภาพยนตร์ ธรรมะ โดยมีบริษัท APS ซึ่งจัดจำหน่าย CD อาสาออกทุนในการสร้างให้ โดยไม่ได้หวังว่า จะได้กำไร คือ ไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ ด้วยอยากจะสร้างภาพยนตร์ที่สื่อเผยแพร่คำสอนของ พระพุทธเจ้า ขึ้นมาบ้าง การประชุมวันนั้นพ่อท่านให้ข้อคิดอะไรที่น่าสนใจ การบวชของผู้หญิงชาวพุทธในไทย ๒๐ มี.ค. ๔๗ ที่สันติอโศก คุณวราภรณ์ แช่มสนิท นักศึกษา ปริญญาเอก ภาควิชามานุษยวิทยา สถาบันวิจัยแปซิฟิกและเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ออสเตรเลีย ได้มาขอสัมภาษณ์พ่อท่านเรื่อง "การบวชของผู้หญิงชาวพุทธในประเทศไทย" [Buddhist Womens Monasticism in Thailand] มีประเด็นที่น่าสนใจ การดำริให้มีสิกขมาตุมีความเป็นมาอย่างไร รูปแบบ การใช้ชีวิตนักบวชมันสำคัญและจำเป็นอย่างไรต่อการปฏิบัติธรรม การเกิดเป็นผู้หญิง จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ นอกจากนี้มีแถมเรื่องของกะเทยหรือความวิตถารทางเพศ การสัมมนา "ธรรมะ-เศรษฐกิจพอเพียง กับการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น" ๓๐ มี.ค.๔๗ ณ ห้องโกมุท สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี จัดโดย รวมมิตรคิดทำ ภาคีทุกภาคส่วนอุบลราชธานี และ อนุกรรมการคณะทำงานการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ไปพูดในหัวข้อ "โรงเรียนวิถีพุทธ-ชุมชนบุญนิยม ราชธานีอโศก" พ่อท่านไปพูดอะไร กับคำถามที่ว่าสังคมมีแต่เจริญทางเศรษฐกิจและวัตถุ พ่อท่าน มองเรื่องนี้อย่างไร ถ้าจะนำเอาการเรียนการสอนอย่างนี้ไปทำให้ทั่วประเทศพ่อท่านเห็นอย่างไร และ คำถามที่ฟังแล้วก็ขำดี ทำอย่างไรจึงจะเอารัฐมนตรีก่อนจะเข้ารับตำแหน่งให้มาอบรมกับท่าน พ่อท่าน ตอบคำถามนี้อย่างไร ก็น่าสนใจนะ ปิดท้ายบันทึกด้วยโอวาทให้กับบรรดาศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ซึ่งได้ไปร่วมประชุมกันเพื่อเตรียมจัดงาน "คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา" ครั้งที่ ๒ พ่อท่านให้ข้อคิดอะไรกับบรรดาหนุ่มสาวเหล่านั้น
ฝ่ายกระทรวงกลาโหมเองก็สนใจ ส่งคนมาร่วมประสาน ฝ่ายมหาดไทยเองก็ส่งคนมาดูแล เนื่องจากข่าวสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ที่มีการก่อการร้ายหลายแห่ง ทำให้ฝ่ายมหาดไทย จึงต้องทำหน้าที่ป้องกัน ขณะเดียวกันผู้ใหญ่ฝ่ายทหารพอใจต่อการจัดงานอย่างนี้ เท่ากับว่า ได้ประสานความขัดแย้งระหว่างศาสนาได้ส่วนหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐให้ความสนใจ และส่งเสริมด้วยดี แต่ก็มีประเด็นสะดุดใจจึงถามคุณนิติภูมิว่า ทำไมถึงได้เลือกเอาท่านโพธิรักษ์ มาเป็นประธานฝ่ายพุทธ ซึ่งได้รับคำตอบจากคุณนิติภูมิสั้นๆว่า ก็ท่านโพธิรักษ์ปฏิบัติดี เมื่อไปถึงบ้านคุณนิติภูมิ เห็นตำรวจรักษาความปลอดภัยมากกว่าปีที่ผ่านมา ชาวอโศกมีส่วนร่วม ในงานนี้ก็คือเป็นผู้รับใช้ เป็นแรงงานที่คอยบริการทุกด้าน พ่อท่านเองก็พอใจให้พวกเรา ไปเป็น เช่นนั้น ก่อนการจัดงาน มีการประชุมร่วมกับหลายฝ่าย แต่ละองค์กรที่ได้เข้ามาร่วม ก็แบ่งงานกัน เป็นส่วนๆไป ถึงอย่างไรงานส่วนใหญ่ชาวอโศกรับ และเชื่อว่าถ้าจะให้รับงานทั้งหมดเลย ก็ไม่เกิน ความสามารถของพวกเรา พ่อท่านลงเดินดูซุ้มจำหน่ายผักไร้สารพิษและเท็ปหนังสือของชาวอโศก มีชาวมุสลิมหลายคนนั่ง อยู่ในเต็นท์นั้น ต่างมองมาที่พ่อท่านด้วยสายตามีไมตรี เดินดูรอบบริเวณด้านหลังเวทีเล็กน้อย มีซุ้มอาหารเลี้ยงแขกวีไอพี มีมุมแต่งตัวของนักแสดง สันติอโศก ทราบต่อมาว่านักแสดงของอัสสัมชัญใช้ในบ้านคุณนิติภูมิ นักแสดงของอิสลาม และนักศึกษาเวียดนาม ใช้บ้านอีกสองหลังติดกัน มีของชาวอโศกที่ใช้ซาแลนด์ล้อมรอบ ทำเป็นห้องแต่งตัว อยู่ด้านนอกของบ้าน เรียกว่ามอซอซอมซ่อกว่าเขา หรือพูดให้ดีๆก็คือ เราเสียสละ สถานที่ดีๆให้คณะอื่น งานนี้ควักทั้งเงิน ให้ทั้งเวลาและแรงงานอย่างมาก เพื่อให้งานนี้ ดำเนินไปได้ มีผู้มานิมนต์ให้พ่อท่านเข้าไปพักรอในบ้าน เข้าไปได้สักพัก พ่อท่านออกมานั่งรอด้านนอก ทั้งๆที่ แดดยังจ้าอยู่ ขณะที่คุณนิติภูมิยังติดงาน ต้อนรับท่านรองนายกฯวิษณุอยู่ที่อิมโพเรียล ร.ต.อ.สิทธิเมธ นามสกุลอะไรไม่ทราบได้ ทราบจากคุณนิติภูมิในภายหลังว่า ร.ต.อ.สิทธิเมธ เป็นคนของ ผบ.ตำรวจ พล.ต.อ.สันต์ ศรุทตานนท์ เป็นผู้ส่งมาให้มาดูแลความปลอดภัย คุณนิติภูมิ โทรศัพท์มาสั่งเสียให้ ร.ต.อ.สิทธิเมธ คอยดูแลพ่อท่านด้วย ดังนั้นเมื่อพ่อท่านจะเดินไปดูบริเวณงาน เพื่อให้เกิดความเป็นกันเองกับแขกที่มา พวกเราที่ ทำงานอยู่ ก็จะได้เกิดพลังใจด้วย ร.ต.อ.สิทธิเมธคอยเดินตามอยู่ห่างๆ เมื่อพ่อท่านทราบ ด้วยความรู้สึกเกรงใจ ที่จะทำให้เป็นภาระ เพื่อให้ ร.ต.อ.สิทธิเมธ ได้ทำงานประสานอื่นๆได้ พ่อท่าน จึงเดินกลับไปนั่งในที่พวกเราได้เตรียมไว้ ได้เวลาอภิปรายคุณนิติภูมิมาไม่ทัน คณะจัดงานจึงให้อาจารย์ปกรณ์ ตัวแทนจากมุสลิม เป็นผู้ดำเนินรายการ และอภิปรายด้วย ในหัวข้อ "ศาสนาจะช่วยสังคมได้อย่างไร?" พ่อท่านได้รับ นิมนต์ให้พูดเป็นท่านแรก ขณะที่โต๊ะรับแขกมีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ สำหรับพวกเรามีบ้าง ส่วนใหญ่ช่วยงานรับรองแขก ทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ กลุ่มชาวคริสต์จากอัสสัมชัญก็มีเหมือนกัน ข้าพเจ้าขอข้ามผ่านส่วนที่ท่านอื่นได้กล่าว ขอนำเฉพาะส่วนที่พ่อท่านได้กล่าวบางส่วนมาถ่ายทอด ดังนี้ (ผู้สนใจรายละเอียดของการอภิปราย ติดตามได้จากฝ่ายเผยแพร่เท็ป) "ศาสนาจะช่วยสังคมได้อย่างไร ศาสนาทุกศาสนาเป็นเรื่องที่มนุษย์ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ศาสดา ได้นำมาบอกกล่าวแก่มนุษย์ ให้นำมาปฏิบัติ เพื่อความเป็นอยู่สุขของตนเองและสังคม อาจจะมีบางคนแย้งว่า เมื่อศาสนาก็มีอยู่แท้ๆ แต่ทำไมสังคมจึงเป็นอย่างนี้ อาตมาก็ขอยืนยันว่า ศาสนานี่จริง แต่คนน่ะไม่จริง คนไม่เรียนรู้จริง แล้วคนก็ไม่เอาจริง ไม่ปฏิบัติจริง แต่ละศาสนาก็มีวิธีปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันไป แต่มีเป้าหมายอันเดียวกัน คือให้คนดี สู่ที่เจริญ ศาสนา ทำให้คนเจริญได้ แต่โลกทุกวันนี้มันเลวลง ผู้คนในสังคมนั่นแหละเลวลง พุทธนั้นก็ยืนยันว่ากิเลสในตัวคนนี่แหละ ทำให้คนเสื่อมเลวลง สื่อสารก็ตาม สังคมแวดล้อม ก็ตาม ล้วนปฏิบัติโน้มนำไปสู่ความเสื่อมทั้งสิ้น โลภจัด โกรธจัด หลงเลอะเทอะ แต่ศาสนาพุทธสอนให้เรารู้จักกิเลสเหล่านี้ ในใจของตนๆ เรียนรู้จริงๆ มันเป็นนามธรรม แต่มันมี อาการอยู่ในจิต เมื่อเรารู้อาการนั้นในใจ จับอาการเหล่านั้นได้แล้ว ก็มีวิธีกำจัดทำลาย เมื่อทำลาย มันได้จริง คนก็ลดความโลภ ลดราคะ ลดความโกรธ ไม่ว่าศาสนาใด คริสต์ก็ดี อิสลามก็ดี ก็มีหลักของพระศาสดา ที่จะสอนให้ปฏิบัติไปสู่ความเจริญ ของตนๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคนจะต้องเรียนรู้คำสอน แล้วปฏิบัติให้จริง กระแสของสังคม ที่เหนี่ยวนำ ให้คนเสื่อมลงๆน่ะ มันเกิดจริงอยู่ในสังคม เกิดจากจิตวิญญาณที่มีกิเลสของคน นี่แหละ แล้วก็ชักจูงแนะนำกัน ทำให้หลงเข้าใจผิด แล้วก็เอาตาม เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น แล้วเขา ก็ทำจริงๆ จนกระทั่งมันจัดจ้าน รุนแรง อาตมาไม่ได้ไปว่าตัวบุคคลนา อาตมาว่าตัวความไม่ดี พอพูดออกไปแล้วมันก็ไปกระทบกับคน ที่ไม่ดี ที่มีตัวไม่ดีนั้นอยู่ แล้วคนนั้นก็ถือตัว ถือสาว่าอาตมาไปว่าท่าน อาตมาก็ต้องขออภัย เพราะไม่มีเจตนา ที่จะไปว่าใคร อาตมายังซาบซึ้ง ภาคภูมิแทนชาวอิสลามด้วยเลยว่า อิสลามนี่ยังเคร่งครัดในศาสนาจัดมาก จึงเห็นชัดเจนเลยว่า ศาสนาอิสลามอยู่รอด แล้วก็ยังอยู่ได้ดีอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะความเอาจริง เอาจัง กับศาสนา ปฏิบัติศาสนาอย่างแข็งแรงอยู่ แต่ศาสนาพุทธนั้น ขออภัยที่พูดความจริง แย่ คือไม่เอาถ่านกับศาสนา สักแต่ว่าตัวเองมีชื่อว่า เป็นพุทธ แต่แค่ศีลพื้นฐานสักข้อก็ยังไม่สมาทานกันเป็นข้อปฏิบัติจริงกันเลย ขอยืนยันว่า อาตมา พูดด้วยจิตเมตตา ปรารถนาดี ไม่ได้มีจิตคิดร้ายอะไร ถ้าผู้ใดรู้สึกว่าไม่จริงตามที่อาตมาพูด ก็ไม่เป็นไร เพราะอาตมาก็ไม่ได้ไปว่าท่าน แต่ถ้าผู้ใดที่จริง อย่างที่อาตมาว่า ก็อย่าว่าอาตมาเลย ก็เมื่อมันจริงน่ะ เป็นพุทธเพียงชื่อ แต่ไม่เอาใจใส่กับ ศาสนธรรมของพุทธ โดยเฉพาะประเทศไทยชาวพุทธมาก ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีประสิทธิภาพ ในทางธรรม ศาสนาไม่มีน้ำหนัก สิกขา ๓ ของพุทธไม่มีในพฤติกรรมของคนที่เป็นพุทธส่วนใหญ่ เมื่อศาสนาพุทธให้อิสรเสรีภาพมาก คนก็เลยตามใจตัวเอง แล้วในใจมันมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน คนก็เลยไปกับกิเลส กิเลสก็พาเสื่อมดังกล่าวแล้ว ดังนั้นศาสนาจะมีประโยชน์ ช่วยเหลือมนุษยชาติได้ ก็ต่อเมื่อคนต้องใส่ใจกับศาสนา ผู้ใดที่ใส่ใจ ในศาสนา อาตมาขอเทิดทูนยกย่อง ไม่ว่าศาสนาใดๆ ประพฤติตนตามคำสอนของศาสดาจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็จะได้ดีไปตามที่ตัวเองพากเพียร มีข้อแม้อยู่นิดหนึ่ง ต้องศึกษาให้ถูกต้อง ตามคำสอน ของศาสดาจริงๆ เพราะศึกษาเพี้ยนกันมาเยอะแล้ว อันนี้สำคัญมาก ถ้าศึกษา ไม่ถูกต้อง ตามคำสอนของพระศาสดาแล้ว ไม่ว่าศาสนาไหน ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน แต่ถ้าศึกษา ให้ดีจริงๆ ให้ถูกตรง แล้วประพฤติให้จริง ศาสนาช่วยคนได้" และการอภิปรายในรอบที่สอง เป็นการพูดฝากข้อคิดทิ้งท้ายของวิทยากรแต่ละท่าน คราวนี้พ่อท่าน ใช้น้ำเสียงจริงจัง เน้นคำหนักแน่น ต่างไปจากการพูดรอบแรก "อยากให้ทุกคนที่ใฝ่ดีอย่างนี้แหละ เข้ามาจับมือกัน ปรึกษาหารือกัน อำนาจความรวมกัน เป็นฤทธิ์ แรงอย่างมากในสังคม ฤทธิ์แรงอันนี้แหละอาตมาว่าจะแก้ปัญหาที่มันเกิดวิกฤติ แม้ขณะนี้หรือ ขณะใดๆ ก็ตามได้แน่นอน จึงอยากจะฝากความหวังไว้กับทุกๆคน ขอให้สำนึกตรงนี้ จงมาจับมือ กันเถิด แล้วก็มาร่วมมือกันเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ถ้าเผื่อว่าเราได้ทำอย่างนี้จริง อาตมาว่า วิกฤติใดๆ ก็ต้องสลายไปได้แน่นอน" ช่วงค่ำหน่อยแทบไม่เห็นชาวมุสลิมเลย เขากลับกันไปหมด ทราบว่าระหว่างรอการอภิปราย มีการแสดงที่เวที ช่วงหนึ่งเขาขอเวลาประมาณ ๕ นาทีเขาขอเวลาสงบ เพื่อไปทำละหมาด ที่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งได้จัดเตรียมไว้ มีผู้บอกเล่าให้ฟังว่าเขาละหมาดวันละ ๕ เวลา ทุกครั้ง ไม่เคยให้กลุ่มคณะอื่นเข้าไปถ่ายภาพใดๆ แต่ครั้งนี้เขาเปิดโอกาสนั้น เข้าใจว่าเขาต้องการ ให้ภาพเหล่านี้แพร่ออกไป คุณนิติภูมิมาภายหลัง พอดีกับนักศึกษาศิลปินชาวเวียดนามเพิ่งมาถึง คุณนิติภูมิจึงไปต้อนรับ นักเรียนและผู้ใหญ่บางส่วนของเราคอยต้อนรับแขกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็ตาม ข้าพเจ้า ไม่รู้รายละเอียดเรื่องอาหารและการค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆเป็นอย่างไร รู้สึกหลายครั้งว่า คุณนิติภูมิ ทำงานโครงสร้างใหญ่ แต่เนื้องานไม่มีคนทำ พ่อท่านก็รู้ จึงพาพวกเรามาช่วยเป็นผู้รับใช้โดยแท้ พ.อ.ดร.อะไรเราจำชื่อไม่ได้ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขาของ รมช.กลาโหม ได้ขึ้นกล่าวปราศรัย หรือ ที่เรียกว่าปาฐกถา พูดยกอ้างคำสอนของอิสลาม ใช้คำภาษาอาหรับประกอบ ดูมีความรู้ ในศาสนา อิสลามไม่น้อย แต่ลีลากร้าวแข็งอย่างทหาร และพร้อมจะใช้อำนาจกับฝ่ายผู้ไม่หวังดี ที่พยายาม ก่อให้เกิดความไม่สงบในภาคใต้ เสร็จจากพูดที่เวทีแล้ว พ.อ.ดร.คนดังกล่าวนั้นได้มานมัสการพ่อท่านและนั่งสนทนาด้วย เป็นพักใหญ่ พ่อท่านมีท่าทียิ้มแย้มตอบรับแต่ไม่คุยอะไรมาก คุณนิติภูมิขึ้นกล่าวคำต้อนรับการจัดงานนี้ และพูดอะไรอีกเราไม่ได้ฟัง เสร็จจากการพูดแล้ว คุณนิติภูมิ ได้มานมัสการพ่อท่าน พูดคุยอะไรข้าพเจ้าไม่ได้ยิน เพราะเสียงลำโพงดังมาก ระหว่างการแสดงมีฝนตกลงมาแม้ไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้ผู้คนต่างทยอยเข้าหลบฝน ผู้แสดงของ เวียดนามเองต้องหยุดชั่วคราว พวกเราช่วยกันทำความสะอาดเวทีและเก้าอี้โต๊ะที่เปียก ใช้ผ้าเช็ดถู เพื่อให้นักแสดงและแขกสะดวก พ่อท่านแนะให้ไปถ่ายภาพเก็บไว้ เด็กๆของเราเข้ากันได้ดีกับนักศึกษาชาวเวียดนาม ท่าทีดูจะเข้ากันได้ง่ายกว่าอิสลาม รองนายกฯ ฯพณฯ ปองพล อดิเรกสาร ได้มาร่วมงานด้วย หลังจากกล่าวคำต่างๆแล้ว เดินผ่าน พ่อท่านไป แต่ถูกคุณนิติภูมิเชิญให้มากราบพ่อท่านก่อน ทำให้ ฯพณฯปองพล ต้องมากราบพ่อท่าน ดูท่านรีบมากใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที ก่อนลุกจากไปนั่งชมรายการต่อ การแสดงดำเนินต่อไปจนถึงเวลาสี่ทุ่มประมาณนั้น พวกเราช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด บริเวณการจัดงานมาเรื่อยๆก่อนแล้ว เมื่อการแสดงยุติลงจึงเหลืองานไม่มาก พ่อท่านเดินทักทาย พวกเราที่ยังอยู่กันเป็นส่วนใหญ่ หนุ่มเวียดนามคนหนึ่งได้ฟังคำบอกเล่า ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อท่าน ทำให้มีศรัทธาจึงขอมากราบพ่อท่าน โดยบอกถึงตนเองว่าไม่เคยกราบใครอย่างนี้นานแล้ว ต่อมา ไม่นาน พ่อท่านและพวกเราบางส่วนเดินทางกลับ กว่าจะกลับถึงสันติอโศก ก็ปาเข้าไป ห้าทุ่มกว่าแล้ว การศึกษาวิธีการปลูกฝังค่านิยมทางสังคมในเยาวชน
ถาม : บทบาทของพ่อท่านที่มีต่อโรงเรียนสัมมาสิกขา พ่อท่าน : อาตมาเป็นผู้วางรูปแบบแนวการศึกษา แต่อาตมาไม่ใช่นักวิชาการที่จะวางระบบ หลักสูตรอะไร อาตมาเพียงวางเป้าหมายของการศึกษา ให้เกิดการศึกษาที่สร้างคนให้ได้ผลอย่างไร โดยอาตมาตั้งกรอบ หรือตั้งปรัชญาเอาไว้ว่า จะต้องให้คนนี่มีคุณธรรมเป็นเอก สองเป็นงาน ศึกษาแล้ว ต้องทำงานได้ระดับหนึ่ง ตามขั้นตอน ขั้นมัธยม ขั้นอุดมศึกษาอะไรก็ว่ากันไป ส่วนวิชาการ ที่โลกเขาหลงใหล อาตมาเห็นความล้มเหลวของวิชาการ เขาหลงใหลความรู้ ความรู้เฟ้อ จนเลอะเทอะออกนอกความมีประโยชน์ต่อชีวิตเยอะเลย หลักการหรือกรอบที่อาตมาให้ไว้คือ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เป็นภาษาที่อาตมาตั้งไว้สามคำ ศีลเด่น หมายถึงคุณธรรมของมนุษย์ เป็นงานก็คือสมรรถนะของมนุษย์ เป็นความรู้ความสามารถ ที่จะทำได้ ส่วนความรู้ที่โลกทั้งโลกหลงกันอยู่ทุกวันนี้ วิชาการนี่ อาตมาว่าโดยสามัญแล้ว คนเรา สามารถเรียนรู้ได้ด้วยสิ่งแวดล้อม ด้วยสิ่งที่มีอยู่ในโลก เรียนเอาเองก็ได้ ไม่ต้องไปเข้าโรงเรียน ก็เรียนได้ ถ้าคนตั้งใจจะเรียน เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นว่ามันเฟ้อ แล้วมันพากันล้มเหลวมากกว่า ไม่ว่าโรงเรียน ไม่ว่ามหาวิทยาลัย จบมาแล้ว เอาไปใช้งานจริงๆไม่ถึง ๒๕ % นอกนั้นเรียนฟรี ๗๕ % เพื่ออลังการตัวเอง หลายอย่าง ไม่ได้ใช้งานอะไรเลย ดีแต่เป็นรูปแบบ อาตมาให้ศีลเด่นนี่ ๔๐ % หรือความมีคุณธรรมของมนุษย์นี่ ๔๐ % ส่วนเป็นงาน ๓๕ % วิชาการนั้น ๒๕ % แรกๆอาตมาก็สอน ต้องอบรมสอนเด็กด้วย จนกระทั่งครูก็รู้ระบบ แล้วก็เกิดเป็นระบบต่างๆนานา เป็น ๑๐ ปีแล้วมีรูปร่าง มีระบบ มีความเป็นไปได้ขึ้นมา ถาม : อยากทราบวิสัยทัศน์ของพ่อท่านที่มีต่อสัมมาสิกขา ในฐานะที่พ่อท่านเป็นผู้นำ และเป็น ผู้วางแนวทาง พ่อท่าน : การศึกษาของสัมมาสิกขานี่ จะมีประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ในสังคมที่ขาดแคลน คนไม่มี คุณธรรม การศึกษาทุกวันนี้ทำไม่เป็น ได้แต่รู้ เมื่ออาตมานำพาให้ทำอย่างนี้ขึ้นมา ก็จะเกิดคนมี คุณธรรม จะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ อย่างน้อยเรียนมัธยมศึกษา ๖ ปี ถูกหล่อหลอม ๖ ปี เราเน้น การศึกษาทางด้านศีลธรรม เด็กต้องถือศีล ต้องมีไตรสิกขา ต้องมีคุณธรรม ใครปฏิบัติผิดศีลธรรม นี่ ถึงขีดหนึ่งเราไล่ออก โทษเบาก็มีเราไม่ละเว้น ไม่ได้เห็นแก่เงินทอง เพราะเราไม่ได้ทำการศึกษา เพื่อหาเงิน เรียนฟรี ออกค่าใช้จ่ายให้ด้วยซ้ำไป เด็กนักเรียนที่นี่มาอยู่ยิ่งกว่าลูกยิ่งกว่าหลาน เรียนเหมือนกันหมด คนยากคนจน คนร่ำรวยก็มาเรียนได้ทั้งนั้น แต่มาแล้วฐานะต้องเท่ากัน คนร่ำรวยจะเอาเงินมาให้แก่ลูกเต้าเหล่าหลานไม่ได้ เราให้เขาอยู่ด้วยกันใช้จ่ายเหมือนกัน ดังนั้น เด็กที่อยู่ที่นี่ หนึ่งจึงมีคุณธรรมขึ้นมาแน่นอน ซึ่งมันขาดแคลนในโลกเป็นอย่างมาก สอง เป็นงานก็จะไปแก้ไขการศึกษาที่ล้มเหลว คนเรียนรู้แล้วไม่เป็นงาน แต่โลกมันนิยม ใบประกาศนียบัตร แล้วเอาสิ่งนี้เป็นค่าวัด อาตมาว่าในอนาคตความเชื่อใบประกาศนี่จะลดลงๆ อันนี้ไม่พูดถึงศีลธรรมนะ พูดถึงเรื่องงาน สมรรถนะการทำงานจะมีราคา หรือมีคนยอมรับมากกว่า ใบประกาศปริญญา สามวิชาการ อาตมาจะไม่กลัวเลยว่าคนจะไม่รู้เรื่อง เพราะความรู้รอบตัว มากกว่าความรู้เนื้อหาแท้ๆที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ ยิ่งสังคมเป็น Globalization อย่างนี้ คนจะมี ความรู้พวกนี้เองโดยปริยาย ใครสนใจแขนงไหนเขาก็จะไปฝึกฝนติดตามเอง นั่นแหละคือ การแยกคณะของแต่ละบุคคล เขาจะศึกษาเองไม่ต้องไปเข้าในสถาบันไหนๆ อันนี้เป็นเรื่องสัจจะ เป็นเรื่องธรรมชาติ เตือนสมณะผู้ใหญ่ พวกเรานี่เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ ญาติโยมเขาก็รู้นา เขาสะกิดใจสะดุดใจ ก็สามารถ ที่จะทำให้สิ้นสุดศรัทธาได้ แล้วก็จะทำให้อยู่ไปไม่ได้นาน เรื่องสตางค์กับเรื่องสตรีนี่ระวังให้ดีๆ อีกเรื่องที่ผู้บริหารหรือผู้ใหญ่นี่ มักจะใช้ tactic วิธีการของตนเองที่จะเป็นการเหลิงอำนาจตนเอง เราต้องการอะไร เราก็อยากให้มันได้อย่างใจเรา แล้วก็ใช้วิธีการซึ่งเขาก็จำนน ใช้กลเม็ดอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็ได้อย่างใจเรา เป็นต้นว่าเราอยากจะทำอะไร อยากจะได้อะไร ก็ทำทีเหมือนไม่มีเจตนา ผู้น้อยเขาก็จะรู้สึกศรัทธาเคารพนับถือว่า เออไม่เผด็จการ ไม่ใช้อำนาจตัวตนออกไปทำ เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องละเอียด สำคัญคือพวกเรายังไม่ต้องเอาภาระกับเรื่องที่จะต้องก่อสร้าง สร้างวิหาร สร้างอาคาร อันนี้ผมคิดว่าในฐานะผม ผมคงต้องทำบ้าง ในฐานะพวกเรานี่ไม่น่าจะกังวล มีเท่าไร ก็ทำไปแค่นั้น ซึ่งมันก็จะไม่น้อยอยู่แล้ว ผมว่าไม่น้อยหรอก มันมากพอ แล้วมันก็เป็นอยู่พอ และ มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอยากให้มันมี ตรงนั้นตรงนี้มากมาย แค่ที่ผมกำหนดก็น่าจะพอแล้ว เรื่องใช้เงินอยากทำอันนั้นอันนี้ เหมือนอย่างที่เขาทำกัน มันก็กลายเป็นว่าเราก็ติดเป็นโอฬาริกอัตตา ถ้าเราหมดกิเลสจริงๆ โอฬาริกอัตตามันไม่มีจริงๆ ผู้สร้างจะมีใจรู้ว่า เอออะไรควร อะไรเหมาะ ทำโดยไม่ได้เอากิเลสของตัวเองไปทำ ทำโดยไม่อคติแล้วก็ประมาณตามฐานะหรือตามสิ่งที่ควร มันจะเป็นจริง แต่ถ้าเผื่อว่าเรายังไม่หมดอัตตา ยังไม่เป็นอรหันต์ หรือยังไม่หมดโอฬาริกอัตตาแท้ มันก็ต้องเกิด มันก็ต้องบำเรออัตตาอยู่นั่นแหละ มันก็ช้า มันก็ไม่เจริญ มันผสมกันคือ โอฬาริกอัตตา กับอรูปอัตตา มันมาเกี่ยวข้องกับวัตถุนอกมันก็คือโอฬาริกอัตตา มันมีแต่นามธรรมของเรา ตามใจ เรา มันก็เป็นอรูปอัตตา บำเรอตน บำเรอตัวกูของกู ตามใจกู บำเรอกิเลสของตน ถ้ามันโยงใย หยาบไปถึงขนาดวัตถุรูปข้างนอก มันก็เป็นโอฬาริกอัตตา แม้มันไม่โยงใยไปถึงข้างนอก แล้วก็มี อยู่ในใจเรา สมใจเราด้วยอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ละเอียดไปจนถึงนามธรรม มันก็เป็นอรูปอัตตา ตามให้ดี เรียนรู้อัตตา ละลดอัตตา จดทะเบียนคนจน...ตามประสาบุญนิยม รินไท : เรื่องจดทะเบียนคนจนนะครับ ทางอำเภอเขาบอกจะต้องให้ชาวบ้านทุกคนที่มีชื่อ ไปที่อำเภอ ไปเซ็นชื่อแล้วก็ไปรับใบที่จะติดต่อกับทางอำเภอนะครับ ผมเลยเสนอไปว่า จะขอยื่น เป็นหมู่บ้าน ทางอำเภอทีแรกเขาจะไม่ยอม แต่ตอนหลังผมไปถามใหม่ เขาก็ตกลงว่าได้ คือให้ ผู้ใหญ่บ้านไปคนเดียว แต่มีข้อแม้ว่าต้องยื่นเรื่องเดียว พอดีเราก็ตั้งใจยื่นเรื่องเดียวอยู่แล้ว คือเรื่อง ขอสร้างอาคารเรียน ๒ หลัง สร้างบนเรือสองลำนะครับ ก็ไปแจ้งทางอำเภอ ปลัดฯก็บอกว่าได้ และ จะหมดเขตพรุ่งนี้ ผมก็รวบรวมมาได้ประมาณร้อยกว่าคน พ่อท่าน : ที่มีทะเบียนอยู่ในนี้นา รินไท : ครับ ร้อยกว่าคน คิดว่าน่าจะได้ เพราะนายกฯเคยพูดออกทีวีว่า โรงเรียนไหน ไม่มีอาคารเรียน ให้แจ้งมาเลย พ่อท่าน : โรงเรียนเราก็ได้รับอนุมัติเป็นโรงเรียนแล้วนี่นา ยังไม่มีอาคารเรียนเลยนะ รินไท : ครับ ทีนี้มดเขาค้านผมอยู่นิดหนึ่งว่า ตอนเราขออนุญาตนี่เราแจ้งว่าเรามีอาคารเรียน แต่ผมก็บอกไปว่า เราไม่ได้บอกว่าเราไม่มีอาคารเรียน เราบอกว่าเราขาดอาคารเรียนที่เหมาะสม กับพื้นที่ ซึ่งน้ำมันท่วมบ่อย คือเราจะสร้างบนเรือนะ ที่แจ้งไปนั้นมันเป็นเฮือนศูนย์สูญ ซึ่งสร้าง ไว้ก่อน เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เราไม่ได้เจตนาจะสร้างเป็นโรงเรียน พ่อท่าน : เป็นอาคารที่โรงเรียนอาศัยสถานที่ไปพลางๆก่อน รินไท : ครับ คิดว่าไม่น่ามีปัญหา มดแกกลัวจะมีปัญหา พ่อท่าน : เราก็แจ้งว่ามีโดยอาศัย ทางโลกเขาก็เรียกว่าเช่า แต่พวกเราไม่มีการแลกเปลี่ยน เงินทอง ซื้อขาย เรามีระบบบุญนิยม เราใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคี เราขออาศัยใช้ ทางโลกก็คือขอยืม ให้ใช้ฟรี หรือให้เช่าอะไรอย่างนี้ โลกๆเขาก็ต้องทำกันอย่างนั้น แต่ของเรานี่จะให้ใช้ฟรี โดยไม่ต้องเช่า เพราะมันไม่ได้เป็นส่วนตัวของใคร รินไท : ผมก็เลยเขียน (นำเอกสารของทางราชการให้ดู) เขามีข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ที่เป็นเรื่องที่เราขอครับ สาเหตุทำไมเราขอไปเพราะอะไร เราต้องการอะไร เขามีให้เติม ผมก็เติมลงไปว่าเราต้องการโรงเรียน พ่อท่าน : กำลังเรียนด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นเด็กๆของเราก็ใส่ได้หมดซี รินไท : ครับ เด็กที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่บ้านราชฯด้วยครับ ประมาณ ๕๐-๖๐ คน ๒๖ ก.พ. ๔๗ สมณะดินไท ธานิโย โทรมาปรึกษาพ่อท่านเรื่องการไปจดทะเบียนคนจน เพื่อความชัดเจน เนื่องด้วยญาติธรรมที่สีมาอโศกกำลังจะไปขอจดทะเบียนกัน สมณะดินไท : เรื่องการขึ้นทะเบียนคนจนนะครับ ทางนครราชสีมาเขาก็กำหนดว่า จะขึ้นทะเบียน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายครับ พวกเราก็จะไปกันแล้วก็มีพวกเราได้ถามเจ้าหน้าที่เขา เจ้าหน้าที่บอกว่า ของเราไม่ได้เข้าข่ายอะไร ไม่ต้องไปจดก็ได้ ผมฟังพ่อท่านก็อยากให้พวกเราไปจด ว่าเราเป็นชุมชน ในลักษณะที่ไม่เหมือนเขา พ่อท่าน : ถ้าจะไปก็ให้มันชัดเจน เราจะไปบอกว่าเราเป็นคนจนชนิดไหน ใน ๗ ประเด็น ที่เขามีไว้ นั้นนา เราไม่ได้มีความเดือดร้อนในทั้ง ๗ ประเด็นนั้นเลย เราใช้ประเด็นที่ ๘ ประเด็นอื่นๆ โดยเขียน ลงไปในประเด็นอื่นๆว่า เราเป็นคนจนเพราะไม่สะสมเงินทอง ทำงานสร้างสรร แล้วสะพัดออก จึงจนนั้นหนึ่ง แต่เขียนแล้วเขาคงงง อะไรวะ ทำงานแล้วไม่เอาเงิน ทีนี้อีกอันหนึ่งก็คือ มีความเดือดร้อน ที่จะต้องให้รัฐบาลช่วย อันนี้เป็นประเด็น เช่นเดือดร้อนเป็นหนี้ เดือดร้อน ไม่มีที่ทำกิน ของเขามี อันนี้รัฐบาลเขาจะช่วยล้างหนี้ใช้หนี้อะไรก็แล้วแต่ ทีนี้จนของเราที่ต้อง ให้รัฐบาลช่วยก็คือ ช่วยในส่วนที่เราจะเอามาใช้ในส่วนกลาง ในส่วนรวมของสังคม เหมือนกับเขา ช่วยทำถนนหนทาง ช่วยอาคารบ้านเรือน ช่วยไฟฟ้าช่วยทำอะไรต่ออะไร คือช่วยสงเคราะห์เนี่ย เพราะเราไม่ได้สะสม เราทำอะไรต่ออะไรแล้วเราสะพัดไปให้สังคมทันที เรามีงานการ เราขายถูก สะพัดออกไปไม่ได้สะสม ไม่ได้กอบโกย ไม่ได้เอาเปรียบอะไรต่ออะไรต่างๆ อย่างนี้มันเป็นลักษณะ ของคนอีกชนิดหนึ่ง แน่นอนเราเต็มใจจน แล้วเราก็เป็นคนจน ในคำว่าจน สมณะดินไท : ที่เขาต้องการให้เราแจ้ง มันเหมือนเป็นเหตุผลส่วนตัว เช่น ต้องการมีรายได้เพิ่ม หรือต้องการที่ทำกินอะไรเนี่ยครับ พ่อท่าน : ก็เราช่วยส่วนรวมไง ถ้าอยากจะให้เราก็ต้องการ ต้องการส่วนรวมต้องการสร้าง อย่างที่ ราชธานีอโศกนี่ยืนยันเลยว่า เราอยากให้ช่วยสร้างอาคารเรียน เพราะเรามีโรงเรียน เราก็อยากได้ทุน มาสร้างอาคารโรงเรียน เพราะเราไม่มีอาคารเรียน ทางราชธานีอโศกระบุเรื่องนี้เลย ทีนี้ทาง สีมาอโศก อยากจะให้ช่วยอะไรในเรื่องของหมู่บ้าน ในเรื่องส่วนรวมของชุมชน เราก็ดูสิว่า มีความจำเป็นอะไรล่ะ แล้วก็เสนออันนั้นไป สมณะดินไท : ให้ระบุในช่องอื่นๆใช่ไหมครับ ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับ ๗ ข้อที่รัฐบาลให้มา พ่อท่าน : ก็เกี่ยวกับรัฐบาลจะช่วยเหลือไง ก็เราเองมีพฤติกรรมอย่างนี้ ไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ ไม่กอบโกย สะพัดไปให้สังคม ซึ่งเป็นการช่วยสังคมอยู่แล้ว รัฐบาลช่วยเราอีกที รัฐช่วยเราบ้าง เราก็จะช่วยเหลือสังคมได้ยิ่งขึ้น ทำงานให้สังคมได้มากขึ้นอีก มันซับซ้อน เมื่อรัฐบาลช่วยเรา เราก็เป็นคนไม่สะสมกักตุน ไม่เอาเปรียบเอารัดอยู่แล้ว เราก็จะได้มีแรงงานสร้างเสริม เพราะว่าเรา ไม่มีทุนรอนที่เป็นก้อนใหญ่ๆทำอะไร ซึ่งมันจะเพิ่มงานเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างสรรอะไรพวกนี้ มันต้องมีโรงงาน มันต้องมีอะไรต่ออะไร มันต้องมีอาคาร มันต้องมีเครื่องมือ เราไม่สะสม เราก็ไม่มี เงินก้อนใหญ่ รัฐจะช่วยเราไหมล่ะ ถ้าช่วยเราก็จะได้มีประสิทธิภาพในการสร้างสรร แล้วก็จะได้ สะพัดไปตามพฤติกรรม คนอย่างชนิดพวกเราที่ไม่สะสม ไม่กักตุนกอบโกย คือสะพัดออกนี่ เป็นลักษณะเศรษฐศาสตร์อีกแบบหนึ่ง เพื่อให้รัฐบาลได้รู้ว่า คนอย่างนี้มันมีแล้ว มนุษยชาติอย่างนี้ มันมีในโลกแล้ว มันเป็นนวัตกรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะไปแจ้ง เราต้องรู้จักประเด็น จะสื่อ อย่างไร อย่างที่ผมพูดเนี่ยเข้าใจใช่ไหม พูดกับญาติโยมให้เข้าใจก่อน หนึ่งเราเป็นคนจนจริงๆ สองเราเป็นคนจนเพราะมีการประพฤติอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้ มีวัฒนธรรมอย่างนี้ เราเป็นคน สร้างสรรเสียสละ ไม่ได้เอาเงินเอาทอง ทำงานนี่ทำส่วนรวม ไม่ได้ทำส่วนตัว ไม่ได้มากอบโกย เราจนจริงๆ ถึงแม้ให้มา ก็ไม่ได้เป็นของส่วนตัวใครเลย ถ้ารัฐให้มา เราก็ยังเป็นคนจนอยู่นั่นแหละ แต่มันเป็นคนจนอีกลักษณะหนึ่ง เพราะจนเป็นกลุ่ม จนเป็นพลังงานร่วม จนเพราะมีวัฒนธรรม แบบนี้ จนเพราะมีการดำเนินชีวิตแบบนี้ ซึ่งมันเป็นของใหม่ ที่ต้องการให้รัฐบาลได้รู้บ้างว่า มีคน ชนิดนี้อยู่ในโลก การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ๒๑ ก.พ. ๔๗ ที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถานวีรชน ๑๔ ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ พ่อท่านได้เดินทางมาตามคำนิมนต์ของ อาจารย์สมาน ศรีงาม ให้มาร่วมอภิปราย ทั้งๆที่พ่อท่าน พยายามปฏิเสธแล้วว่า "จะให้อาตมามาพูดอะไร เพราะอาตมาไม่เข้าข้างใคร ดีไม่ดี อาตมาตี ทั้งฝ่ายรัฐบาล ตีทั้งฝ่ายที่จะต่อต้านรัฐบาล อาตมาตีทั้งสองฝ่ายแหละ เพราะทั้งสองฝ่าย มีกิเลส ทั้งคู่ แล้วจะให้อาตมามาทำไม หาเรื่องมาให้อาตมาเจ็บตัว อาตมาว่าอาตมาไม่มาจะดีกว่า" แต่ก็ยังถูกคะยั้นคะยอขอให้มา ยกย่องว่าจะได้มาช่วยให้เกิดปัญญา พ่อท่านเดินทางไปถึงเมื่อเวลา ๑๐.๔๗ น. มีอาจารย์สมานและใครอีกคนมาต้อนรับ นิมนต์ให้เข้าไปนั่งในห้องประชุมที่กำลังมีการพูดกันอยู่ ในห้องประชุมขณะนั้นมีคนไม่เกิน ๒๐ คน แถมเป็นชาวอโศกเกือบ ๑๐ คน ผู้พูดสองคนดูยังหนุ่มอายุประมาณสามสิบต้นๆ สวมเสื้อของการไฟฟ้า ข้าพเจ้าไม่รู้จักว่าเป็นใคร เขากำลังพูดถึงการแปรรูปนั้นทำได้ แต่ต้องแปรอย่างเสรี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภค ไม่ใช่แปรแล้วไปให้กับกลุ่มทุนไม่กี่ตระกูลมาถือหุ้นอย่างนี้ ๑๑.๑๖ น. มีการจุดธูปเทียนไหว้พระพุทธรูป ก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงการเปิดประชุมอภิปรายหรือเปล่า ต่อจากนั้นมีบุคคลที่เกี่ยวข้องมาพูดถึงการจัดการประชุมในวันนี้ พ่อท่านและคณะติดตาม ได้รับเอกสาร ที่แจกให้กับทุกคนที่เข้ามานั่งในห้องประชุมนี้ มีเอกสารแผ่นหนึ่งบอกถึงกลุ่มผู้จัดและรายชื่อ ผู้ร่วมอภิปราย ดังนี้ สภาแรงงานแห่งชาติ ร่วมกับ สภาประชาชนแห่งราชอาณาจักรไทย ขอเชิญร่วมการประชุมอภิปราย "วิเคราะห์สถานการณ์การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฟผ. กปน. ฯลฯ เพื่อกำหนดแนวทางต่อสู้ ไปสู่ชัยชนะของประชาชนและประเทศชาติ" ผู้ร่วมอภิปรายอาทิ พระศรีปริยัติโมลี มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พ่อท่านและปัจฉาฯได้นั่งฟังการแสดงความเห็นของหลายๆคน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่คัดค้านวิธีการ แปรรูปของรัฐบาล บางคนใช้ภาษาที่รุนแรง ผู้ร่วมฟังเองก็แสดงความเห็นที่รุนแรงเช่นกัน ดูเหมือนเขา จะเป็นกลุ่มคนขาประจำกับเรื่องเหล่านี้ เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน มีอาหารกล่องนำมาแจก ให้ผู้เข้าร่วมทั้งหมด พ่อท่านและปัจฉาฯนั่งอ่านเอกสารที่ได้รับแจกไปเรื่อยๆ ก่อน ๑๔ นาฬิกา ดร.ณรงค์และดร.วุฒิพงษ์ได้เดินทางมาถึง ขณะที่พระศรีปริยัติโมลีและพระมหาโชว์ ทัศนีโยไม่ได้มา มีเพียงพระโฆสนาโม ซึ่งมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกับคณะเรา ครู่ต่อมาการอภิปรายจึงเริ่ม โดยผู้ดำเนินรายการได้นิมนต์ให้พ่อท่านพูดก่อน จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้ "อาตมาฟังตั้งแต่มาถึงหลายชั่วโมง จนกระทั่งถึงวินาทีนี้อาตมายังไม่รู้เลยว่าอาตมาจะพูดเรื่องอะไร เพราะว่าที่ฟังไปแล้วนี่ มันคนละเรื่องกับอาตมา แล้วก็มายกยอปอปั้นให้อาตมามาพูด เพื่อที่จะได้ระงับ หรือว่าหาทางออก อาตมาไม่แน่ใจหรอกว่า ท่านทั้งหลาย ถ้าฟังอาตมาไปแล้วนี่ จะเจอทางออกหรือว่าเจอ ทางตัน อาตมาขอพูดเหมือนอยู่ในภพคนเดียวนา ท่านทั้งหลายก็ฟังเพื่อให้รู้ว่าอาตมาคือใคร อาตมาทำ อะไรเท่านั้นแหละ ส่วนฟังแล้วท่านจะวินิจฉัยว่ามันเป็นไปไม่ได้หรือฟังแล้วบ่มิไก๊ก็แล้วแต่ ท่านที่อายุ ๔๐ ขึ้นไปแล้วก็คงจะรู้จักอาตมาดี อาตมาก็โลดแล่นอยู่ในโลกมนุษย์สามัญธรรมดา ของทุนนิยม แต่อาตมาอาจจะมีพื้นฐานของบารมี ที่ไม่ไปเละเทะวุ่นวายอะไรตามโลกมายาเขา อยู่ในโลกมายาแค่ ๑๐ กว่าปีก็ฟื้นตัว อาตมาไม่ได้ถูกอะไรมากระตุ้นหรือชี้นำให้มาทางนี้ อาตมามาด้วยบารมีตัวเอง แล้วก็เลยออกมาทำงาน ในด้านนี้ จนกระทั่งทุกวันนี้ ๓๐ กว่าปี ยิ่งเห็นชัดเจนว่าโลกมันไปไม่รอด ที่พูดกันนี่นา ต่างคานกันไว้ เจตนาดีกัน แต่เจตนาดีบนพื้นฐานของทิฐิของแต่ละคน ท่านนายกฯทักษิณก็เห็นอย่างท่านนายกฯทักษิณ คงจะเชื่อว่าท่านจริงใจน่ะนา แต่ท่านไม่ได้มีคนเดียว ท่านมีบริวาร แล้วท่านก็มีหลายๆอย่าง โดยเฉพาะ ท่านก็มีกองทุน มันก็เป็นอำนาจทั้งนั้นแหละ ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตนเพื่อลดละกิเลส อำนาจของทุน อำนาจ ของโลก อำนาจของโลกีย์ มันมีอำนาจจริงๆ มีอิทธิพลต่อคน อาตมาทำงานศาสนา เขาก็บอกว่าธรรมไม่ควรจะมาเกี่ยวกับโลกีย์ ธรรมะไม่ควรจะเกี่ยวกับการเมือง แม้ที่สุดในประเทศไทยนี่เมืองพุทธนา ก็ยังเข้าใจว่า ธรรมไม่ควรจะมาเกี่ยวกับผู้คน มันเหลวไหลถึง ขนาดนั้น อาตมาก็ว่า โอ้โฮ....ไปกันใหญ่แล้วศาสนาพุทธนี่ พระพุทธเจ้าถ้าเผื่อว่าอุบัติขึ้นมา ขณะนี้นี่ คงจะต้องร้องไห้ เพราะว่ามันหมดศาสนาพุทธไปแล้ว ถ้าคนเราไม่มาปฏิบัติธรรมจริงๆ ให้ถูกต้อง ตามธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วลดกิเลสได้ เมื่อลดกิเลสได้แล้วจะเป็นอย่างไร ต้องขออภัยอีก อาตมา ขอสรุปเอาผล หรือว่าเอาสิ่งที่อาตมาได้ทำมาแล้วมาอวดอ้าง มันเป็นสังคมที่อิสรเสรีภาพ สังคมที่มี ภราดรภาพ มีสันติภาพ และมีสมรรถภาพ ทั้ง ๔ ภาพนี้ก็จะต้องบูรณาการไปสู่บูรณภาพอยู่ตลอดเวลา เพราะโลกไม่เที่ยง ที่อาตมาพูดไปนี่เป็นคุณภาพของผล ที่ได้จากการประพฤติปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าอิสรเสรีภาพ คือความพ้นจากอะไรอื่นๆทั้งหมด ยกตัวอย่างอิสรเสรีภาพง่ายๆ ที่ชาวอโศกปฏิบัติมาแล้ว เพื่อชี้ให้เห็น เป็นรูปธรรม ชาวอโศกไม่เดือดร้อนเรื่องห่าไก่ ห่าไข้หวัดนก นี่หลุดพ้นแล้ว ทั้งๆที่มันมีอยู่ในสังคม เพราะชาวอโศก ไม่กินเนื้อสัตว์ และไม่เลี้ยงสัตว์เป็นหรือขายสัตว์ตาย แม้เศรษฐกิจปี'๔๐ จะพัง ชาวอโศก ก็ไม่เดือดร้อน เพราะชาวอโศกไม่ได้ไปขึ้นกับวงจรของทุนนิยมเลย สรุปง่ายๆชาวอโศกนี่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า มาเป็นคนอย่างพระพุทธเจ้า คือเป็นคนจน ไม่สะสม เงินทอง แต่เป็นคนจนมหัศจรรย์นา เพราะคนจนมีความสุข แจกจ่ายเจือจานคนอื่น คนจนที่ไม่ก่อเรื่อง อาตมาก็ทำทวนกระแสกับ ดร.ทักษิณ ดร.ทักษิณจะทำให้คนรวยทั้งประเทศ แต่อาตมานี่พาคนมาจน ให้มากที่สุด ขออภัยอาตมาไม่ได้พูดเล่นนะนี่ พูดด้วยความจริง พาคนมาจน อาตมาก็มาจน พระพุทธเจ้า ท่านก็มาจน ท่านมีทุกอย่างแต่ท่านก็มามีบาตรเดียว พระบาทเปล่า จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ แล้วท่านก็พา คนมาจน พาเศรษฐีสารีบุตร พาเศรษฐีโมคคัลลานะมาจน แม้แต่ที่จนไม่หมด จนไม่ลง อย่างอนาถ บิณฑกเศรษฐี อย่างนางวิสาขาอะไรก็ตาม รวยมหาศาล รวยจนกระทั่งคนใช้ของปู่นางวิสาขานี่ เป็นเศรษฐี อันดับ ๖ ในยุคนั้น ถ้าเราสามารถที่จะมาเป็นคนลดกิเลสจริงๆ แล้วถูกต้องตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า คนก็จะไม่มีกิเลส แล้วคนไม่มีกิเลสนี่ไปอยู่ป่าหรือ ไม่ใช่เลย ทฤษฎีของพระพุทธเจ้านั้น พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ศาสนาพุทธเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อมาช่วยโลก โลกานุกัมปายะ ไม่ใช่ไปมุดอยู่ป่า อยู่เขา อยู่ถ้ำโน่น นั้นเป็นความเข้าใจผิดมานานแล้ว ถ้าเราไม่มาปฏิบัติธรรมจริงๆ จิตของคนไม่ลดกิเลสจริงแล้ว จะไม่ลดอัตตา โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา โอฬาริกอัตตา หมายความว่า เป็นอัตตาที่ยึด บ้านกู ที่ดินกู ทรัพย์ศฤงคารของกู ผัวกู โอฬาริกอัตตา แปลว่า อัตตาใหญ่ จิตมันยึดจริงๆว่าเป็นของเรา มโนมยอัตตาก็คือไปปั้นถึงนิมิตต่างๆ เช่น ปั้นพระพุทธเจ้าอย่างธรรมกายเขาปั้นนิมิต หรือสายอาจารย์มั่นก็เหมือนกัน ก็ปั้นเทวดา แม้ที่สุดปั้น รูปฌาน อรูปฌาน ไปติดอยู่ในอัตตาเหล่านั้น อรูปอัตตาน่ะคือยึดตัวกู ความเชื่อของกู ความรู้ของกู เอาตามใจกู โดยสรุปแล้วถ้าไม่เรียนรู้อัตตา ๓ อย่างนี้ แล้วก็ล้างอัตตาให้หมดจนเป็นอนัตตา คนก็จะมีความลำเอียง เพราะมันมีอัตตา ไม่เห็นแก่ใครหรอก เห็นแก่ตัวกูเท่านั้นแหละ จะมากหรือน้อยเท่านั้น เมื่อไม่ได้ลดอัตตา แล้วจะมาเสียสละ มาเกื้อกูลคนอื่นนั้น อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย ไม่จริงหรอก ดังนั้นคนจึงต้องมาเรียนรู้ ปฏิบัติ ลดละกิเลสให้ได้จริง จึงจะสามารถเอาความจริงมายืนยันได้ พอเห็น จริงแล้ว เขาถึงจะมาเป็นคนจนหรือเป็นคนไม่โลภ หมดอัตตาก็คือเป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่โลภ ก็มาเสียสละสร้างสรร แล้วก็เป็นคนมีความสุข เป็นคนจนที่เกื้อกูลคนอื่น เป็นคนจนที่ประหลาด ไม่สะสม แต่อยู่ได้ ชาวอโศกที่เป็นเนื้อแท้แล้วลดกิเลส เคยมีเงินทองก็ละเงินทอง จนกระทั่งมาเป็นคนส่วนกลาง มาเป็นคน ที่ทำงานอยู่ในหมู่กลุ่ม ขยันหมั่นเพียร มีสมรรถนะ มีสมรรถภาพ มีความชำนาญ ก็จึงสร้างสรรอะไรๆ ขึ้นมาได้ คนที่ได้ปฏิบัติลดละ มันก็มักน้อย สันโดษ พอเพียง สันโดษนี่คือพอเพียง อัปปิจฉะหรือมักน้อยนี่ คือกล้าจน ไม่ต้องมีเงินทอง อปจยะเป็นคนไม่สะสม ไม่สะสมวัตถุ ไม่สะสมกิเลส แล้วอยู่ได้ไหม อยู่ได้ เพราะเรามีสภาพที่ไม่ต้องเป็นของเรา แต่มันยิ่งเป็นของเรา อาตมาบอกเด็กๆที่เป็นนักเรียนชาวอโศก นี่หนูต่อไปนี่นา พวกพี่ป้า น้าอา ปู่ป้า ทั้งหลายนี่เขาก็จะต้องไปสู่เมรุ พวกเรานี่จะโตขึ้นมาทดแทน ทรัพย์ศฤงคารของชาวอโศกทุกอย่างทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนไหนๆก็ตาม หรือที่กำลังจะเกิดเป็นกลุ่มย่อย ขึ้นมาอีกก็ตาม เป็นสังคมใหม่ ที่อาตมาให้ชื่อว่า สังคมบุญนิยม ซึ่งมีวิธีหรือวิถีชีวิตแบบสาธารณโภคี เหนือชั้นกว่าคอมมิวนิสต์ คือทรัพย์ศฤงคารเป็นของส่วนกลาง กินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณะ มีโภคี บริโภคร่วมกัน ทุกคนทำงานฟรี ทำแล้วก็เอาเข้ากองกลางหมด จึงเกิดมีกองกลางของชาวอโศก สันติอโศกเป็นอันเดียวกับราชธานีอโศก ราชธานีอโศกเป็นอันเดียวกันกับศีรษะอโศก ศีรษะอโศก เป็นอันเดียวกันกับภูผาฟ้าน้ำ ภูผาฟ้าน้ำเป็นอันเดียวกันกับดินหนองแดนเหนือ ดินหนอง-แดนเหนือ เป็นอันเดียวกันกับของดอยรายปลายฟ้า ชุมชนต่างๆเหล่านี้ ก็มีถิ่นฐาน มีทรัพย์ศฤงคาร มีบ้านช่อง เรือนชาน ก็เพียงอาศัยชั่วชีวิตหนึ่ง ตกลงชาวอโศกมีที่ดินทั่วประเทศ ทุกคนไม่มีเป็นของตนเอง แต่ก็เป็นของทุกคน เพราะฉะนั้นไปไหน ก็ไม่ต้องไปนอนโรงแรม ไม่ต้องไปซื้อกินตามร้านอาหาร ไปที่นั่นที่นี่มีที่พักอาศัยทุกภาค เหนือ ใต้ ออก ตก ไปมีกินได้ ขออภัยนะ ที่อาตมาต้องเอาตัวเนื้อแท้ที่ปฏิบัติแล้วมายืนยัน เพราะถ้าพูดแล้วเป็นปรัชญา ก็ดูมีเหตุผล แต่มันทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ คำพูดที่สวยหรูเป็นนามธรรมนั้น ก็ไม่มีผลอะไรต่อการเปลี่ยนแปลงสังคม เพราะรูปธรรมยังไม่มี ทำให้ไม่มีใครอยากจะทำตามอย่างที่พูดๆนั้น ส่วนมนุษย์อย่างที่อาตมาพาทำนี้ มันแปลกจากสังคม เป็นคนจนมหัศจรรย์นั้นหนึ่ง สองอยู่ในสังคม ทุนนิยมที่มันทวนกระแสอย่างมหาศาล ทุนนิยมจะต้องขายเกินทุน ถือว่าเป็นความสำเร็จ แต่บุญนิยมนี่ จะต้องขายต่ำกว่าทุน จึงจะถือเป็นความสำเร็จ เป็นความประเสริฐ เป็นความดีงาม...." ช่วงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ถาม มีคำถามหนึ่งถามว่า พวกเราเป็นคนส่วนน้อยที่กำลังต่อสู้กับการเอาสมบัติ ของวีรชนไปแปรรูป ถ้าทางสันติอโศกจะขยายแนวร่วมกับคนนอก บางทีอาจจะไม่สามารถ เป็นไปตาม คนของสันติอโศกได้ แต่เป็นคนไทยที่กำลังเดือดร้อน และต้องการพระเป็นผู้นำ ผมถือว่าท่านอาจารย์ เป็นสมณะที่นำด้วยความชอบธรรม ผมก็อยากจะถามท่านอาจารย์ว่า จะกำหนดให้พวกเราร่วมเดินกัน อย่างไรครับผม พ่อท่านตอบ "ฟังหลายคนพูดมานี่นา อาตมาเห็นด้วยหมดนั่นแหละ แต่อาตมาทำด้วยไม่ได้ เพราะอาตมา ไม่มีเวลา แล้วไม่มีแรงงาน ที่อาตมาทำอยู่นี่ อาตมามีจุดมุ่งหมายทำเพื่อให้เกิดสมบูรณ์อีก ๕๐๐ ปีนา ที่อาตมากำลังทำ อาตมาทำเพื่อกอบกู้ศาสนา ศาสนานี้จะมีผล ถ้าคุณฟังเป็น อาตมามั่นใจว่าก่อนตายนี่ ระบบหรือทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นมรรคองค์ ๘ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ที่อาตมาปัดฝุ่นออก แล้วเอามาใช้ มันเกิดเป็นรูปร่างแล้ว ตอนนี้มันเกิดเป็นระบบ เกิดเป็นชุมชน เป็นพุทธบริษัทแล้ว มีอุบาสก อุบาสิกา มีนักบวช มีพระอาริยะแล้ว มีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ คือมีคนที่ลดกิเลส ได้แล้วจริง เขาจึงไม่โลภหรือกล้าสละบ้านช่องเรือนชานข้าวของจริงๆ แล้วไปอยู่รวมกันอย่างที่มันเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมาไม่มีเวลาอื่น อาตมามีเวลาที่จะต้องสร้างอันนี้ขึ้นไปจริงๆ โลกทั้งโลกนี่ คุณห้าม ไม่หยุดหรอก กลียุคเกิดแน่ แต่พวกคุณทำเถอะ อาตมาให้กำลังใจ ถูก ดี แต่อาตมาไม่มีเวลา แล้วก็ไม่มี พลังงาน หรือว่าแรงงานที่จะมาร่วมด้วย สิ่งที่อาตมาจะทำนี่ มันจะเป็นมนุษยชาติอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นมนุษย์อีกแบบหนึ่ง คือเป็นมนุษย์ที่ไม่แย่ง ไม่ชิง เป็นมนุษย์ที่มีอิสรเสรีภาพดังกล่าว เป็นมนุษย์ที่มีภราดรภาพ คือเป็นพี่เป็นน้องกันหมด กินใช้ของ ส่วนกลาง แต่ไม่ได้มารวมกันอยู่ที่เดียว เป็นเครือข่ายทั่วประเทศ แต่ทำเป็นกลุ่มย่อยๆๆๆ แล้วก็สานกัน เป็นเครือข่ายทั่วกันไปทั้งประเทศ อีก ๕๐๐ ปีจะเกิดผลทั่วโลก ที่พูดกันมานี่อาตมาไม่ได้ขัดแย้งอะไร อาตมาเห็นด้วย อาตมาไม่รู้ว่าคุณทักษิณ จะทำอย่างนั้น ลึกๆนั้นน่ะรู้ว่ามันจะเสียหรือว่าไม่รู้ อาตมาไม่รู้นา ถ้าทำไปโดยไม่รู้ หนังจีนเขาบอกว่า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เขาว่าใช่ไหม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูข้อมูลตามภูมิตามปัญญาของอาตมา ลักษณะอย่างที่พูดกัน นี่แหละถูกกว่า อาตมาขอพูดอย่างนี้ ด้วยความเป็นกลางนา ถ้าบริหารรัฐวิสาหกิจแล้วนี่จะเป็นอย่างไร จะเป็นของ ต่างชาติ หรือรัฐวิสาหกิจจะยังเหลือเป็นของไทยอีกต่อไปหรือไม่ อาตมาพยากรณ์ไม่ได้ แต่อาตมาขอทำ เท่านั้นแหละ โลกมันต้องเกิดกลียุคแน่นอน อย่าว่าแต่คนไทยต่อคนไทยมันตีกันเลย ต่างชาติมันก็จะมา ตีกัน คนในโลกนี้จะตีกันทั้งหมด เพราะมันเลือดทุนนิยมทั้งหมด ต่างคนต่างแย่ง ต่างคนต่างฆ่าแกงกัน คนจนก็ฆ่าคนรวย คนรวยก็ฆ่ากันเอง จะเป็นคนต่างชาติหรือคนไทยก็แล้วแต่ ถ้าเลือดทุนนิยม มันแย่งหมด มีบุญนิยมเท่านั้นที่ให้ ไม่เอา ไม่สะสม มักน้อยจริงๆ เพราะฉะนั้น คนบุญนิยมก็จะอยู่ เลี้ยงคนพวกนี้ ทุนนิยมมันเอาไม่จบ คนจนก็จะเอา คนรวยก็จะเอา มันก็เหมือนเสือสิงห์ ฆ่ากันไป หมดแหละ แต่ชาวบุญนิยมนี่ไม่ฆ่าใคร จะหาอาหารให้กิน เก็บมาเลี้ยงดูรักษา สงครามจะเกิด ทุกหย่อมหญ้า ในโลก แล้วก็จะมีชาวบุญนิยมนี่ไปคอยรักษาพยาบาล เอาอาหารไปให้กินในสนามรบ เพราะฉะนั้นคนทั้งโลกจะตายหมด เหลือพวกบุญนิยมเท่านั้น เอวัง" รัฐให้ฆ่าไก่ จะทำอย่างไรดี ผู้หญิงคนหนึ่ง : หมู่บ้านดิฉัน มีประกาศเสียงตามสายของหมู่บ้านน่ะค่ะว่า หมู่ ๕-๖-๗-๘ นี่เป็นพื้นที่สีแดงของการระบาดไข้หวัดนก เพราะฉะนั้นประชาชนทุกคน จะต้องฆ่าสัตว์ปีกทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นเป็ด ไก่ หรือนก ที่เลี้ยงไว้ในบ้านของตัวเอง ภายในเสาร์อาทิตย์นี้ค่ะ คือหลายๆคนเขาก็เอาไปทำลายกันแล้ว บ้านดิฉันยังเลยค่ะ คือไม่ได้เลี้ยงเพื่อจะขายหรือกินอะไรเลยนะคะ คือแบบบางทีมันจรมาบ้าง พลัดหลงมาบ้าง มีข้าวก็โปรยให้มัน จนกระทั่งมันขยายมากขึ้น มันกำลังกกไข่ พ่อท่าน : ก็เราไปเลี้ยงสัตว์ จนกระทั่งมันเสียสัตว์ ซึ่งอาตมาก็เคยเทศน์ไปตั้งหลายทีแล้ว ว่าการเลี้ยงสัตว์นี้ไม่ใช่การทำบุญ เป็นการทำให้สัตว์มันเสียนิสัย เป็นการทำให้สัตว์มันเสียความเป็นของของมัน มันดูเหมือนว่ามันเป็นบุญ ที่จริงมันไม่ใช่ ก็เคยบอกแล้วว่ามันเกิดมา มันก็ไปตามวิบากของมัน ไปตามเรื่องตามราว ตามธรรมชาติของมัน หญิง : สมมุติว่าลูกเจี๊ยบที่มันร้อง มันหลงแม่น่ะค่ะ พ่อท่าน : มันหลงแม่ก็ต้องไปหาให้ใครไป ใครที่เขามีแม่ไก่ให้มันเลี้ยงอะไรไป อย่าไปคิดเอามาเลี้ยงสิ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ส่งเสริมให้เลี้ยงสัตว์ หญิง : ดิฉันก็คิดว่าจะต้องทำเช่นนั้นน่ะค่ะ พ่อท่าน : ก็ปัญหาเกิดอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร หญิง : พ่อท่านคะ ดิฉันควรจะฆ่าหรือเปล่าคะ พ่อท่าน : อ้าว ถ้าไม่ทำ คุณก็ต้องผิด ทางการเขาก็จะต้องเอาโทษได้ เมื่อเราอยู่ในสังคมที่เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็เกิดทำอย่างนี้ขึ้นมา หญิง : ในความเห็นของดิฉันนะคะ ดิฉันว่าไข้นี้เขาจะมาโยนความผิดให้กับสัตว์ทุกตัวเลยไม่ได้ โรคนี้มันเกิดจากที่เขาเลี้ยงแออัด เป็นฟาร์มต่างหาก แล้วก็มาเหมาเข่งอย่างนี้ไม่ได้ พ่อท่าน : พวกที่เขาเลี้ยงเขาสู้กันมาหนักแล้ว คุณจะไปสู้กับเขาอย่างไรล่ะ ถ้าคุณคิดจะสู้ คุณก็ลองดูสิ เขาก็ต่อสู้กันมาแล้วทั้งนั้นแหละ เรื่องมันเลวร้าย มันก็เป็นไปแบบนี้ หญิง : พ่อท่านหมายถึงคงต้องโอนอ่อนตามเขาไปอย่างนั้นหรือคะ พ่อท่าน : อ้าว ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วคุณจะทำอย่างไร คุณจะหาทางออกยังไง อาตมาก็นึกไม่ออก คุณจะไปโยนให้คนอื่นเขาหรือ หญิง : ดิฉันก็จะเก็บมันไว้ไม่ฆ่า พ่อท่าน : อ๋อ ถ้าเผื่อว่ามันเกิดเป็นไข้หวัดนกขึ้นมา คราวนี้คุณต้องเข้าคุก อย่าว่าแต่เป็นไข้หวัดนกเลย แม้แต่คุณไม่ฆ่านี่มันผิดหรือเปล่าล่ะ มันก็ผิดแล้วใช่ไหม ถ้าเขามาตรวจพบแล้วจะเป็นยังไงล่ะ หญิง : ดิฉันก็จะเถียงว่าความจริงเขาก็ไม่สามารถฆ่าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี ถ้าเขาสามารถฆ่าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วถึงจะค่อยมาเอาผิดกับดิฉัน นี่เป็นความเห็นของดิฉันเองนะคะ พ่อท่าน : ก็ความเห็นของคุณ หวงๆแหนๆอย่างนี้ เขาก็เห็นกันเยอะไป เขาก็ว่าเขาเลี้ยงอย่างดี แต่รัฐเขาประกาศรวมไปหมดแล้วนี่ มันเป็นวิธีการที่จะต้องจัดการ อาตมาไม่มีความเห็นอะไรที่จะไปห้ามกั้นอะไรได้หรอก จะส่งเสริมก็ไม่ได้ จะห้ามกั้นก็ไม่ได้ เพราะมันนอกเรื่องผิดมาตั้งแต่ไปเลี้ยงแล้ว พวกเราไม่ได้ส่งเสริมให้เลี้ยง ทำมาแล้วก็ต้องแก้ปัญหาไปจะทำยังไง หญิง : พ่อท่านจะกรุณาฟันธงลงไปไม่ได้หรือคะว่า ควรทำหรือ ไม่ควรทำ พ่อท่าน : อ้าว ก็ไม่ควรไปเลี้ยงมาตั้งแต่ต้น เพราะอาตมาก็ไม่เคยส่งเสริมให้ไปเลี้ยง แต่เมื่อคุณไปเลี้ยงมาแล้วจะให้อาตมามาแก้ปัญหาอีก มันแก้ได้ยังไง อาตมาจะบอกว่าให้ฆ่าก็ไม่ได้ จะบอกว่าไม่ให้ฆ่าก็ไม่ได้ อาตมามันบอกไม่ได้สักอย่างนี่ มันจะบอกไปได้ยังไงล่ะ หญิง : อ้อ พ่อท่านคะ เขามีการแจกยาฆ่าให้มา บางคนก็จับเอาเป็นๆไปใส่ถุง เพื่อเอาไปฝังเป็นๆ พ่อท่าน : ก็เห็นลงข่าวกัน ไม่รู้จะทำยังไง มันเกิดวิกฤติกันแล้ว หญิง : แล้วดิฉันก็ต้องเป็นคนหนึ่งที่จะต้องทำอย่างนั้น กราบขอบพระคุณพ่อท่านค่ะ พ่อท่าน : อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จนด้วยปัญญาละนะ
การสร้างภาพยนตร์ธรรมะ นอกจากคณะของบริษัทซีดี APS คุณวิชาญ จิระเวชบวรกิจ ผู้ประสานในการประชุมครั้งนี้ ได้ติดต่อ บริษัทสร้างภาพยนตร์ชื่อดังค่ายหนึ่ง แต่วันนี้ไม่ได้มาร่วมประชุมด้วย พล.ต.จำลองก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้มาร่วมประชุม เนื่องจากเป็นบุคคลสำคัญที่บริษัท APS มีความศรัทธา อยากจะให้ พล.ต.จำลองเป็นผู้แสดงนำในเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง "กองทัพธรรม" ที่เขียนโดยอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ซึ่งยังมีปัญหาตกลงกันไม่ได้กับผู้ถือลิขสิทธิ์ ส่วนท่านอื่นๆ เป็นเพียงผู้สนใจกับการประชุม ครั้งนี้ แรกทีเดียวมีผู้คิดจะกลับไปเจรจากับผู้ถือลิขสิทธิ์ใหม่ แต่ต่อมามีผู้เสนอให้เปลี่ยนเรื่องใหม่ โดยเลือกหา จากนิยายอิงธรรมะในหลายๆเรื่องที่มี เป็นต้นว่า อานนท์พุทธอนุชา หรือลีลาวดี แต่ได้รับข้อท้วงติงว่า สาระน้อยกว่า แถมมีเนื้อหาที่ไม่ค่อยจะสัมมาทิฐินัก ทำให้มีผู้เสนอใหม่ให้หาผู้เขียนบทใหม่ไปเลย เราจะได้ แทรกอะไรที่เป็นเนื้อหาตามที่เราต้องการได้ พล.ต.จำลองระลึกถึงคุณวิมล ศิริไพบูลย์ หรือที่ใช้นามปากกาว่า "ทมยันตี" และอีกหลายๆนามปากกา ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักอ่าน ซึ่ง พล.ต.จำลองมีความสนิทสนมด้วย จึงต่อโทรศัพท์คุยกัน เพื่อจะให้มา ช่วยเขียนบทภาพยนตร์ธรรมะนี้ ได้รับการตอบรับด้วยดี แต่รายละเอียดยังไม่ได้คุยกัน ทำให้ต่อมา จึงมีการพูดถึงเรื่องชื่อภาพยนตร์ มีหลายเสียงเห็นว่าน่าจะใช้ชื่อว่า "กองทัพพุทธธรรม" จึงตกลงกัน คร่าวๆว่าจะใช้ชื่อนี้ ส่วนทางด้านบริษัท APS นั้นไม่เกี่ยงเลย ไม่ว่าจะชื่ออะไร หรือใครจะเขียนบทอย่างไร เพียงแต่อยากให้มี พล.ต.จำลองร่วมแสดงด้วยเท่านั้น ด้วยเชื่อว่าภาพยนตร์ธรรมก็ต้องคนที่มีธรรมนั้นแหละถึงจะเหมาะสม พ่อท่านแสดงความเห็นในวันนั้นอย่างน่าสนใจ "อาตมาอยากจะเล่าอะไรให้ฟังสักนิดหนึ่ง ตามที่อาตมา เข้าใจ อาตมาเองอาตมาไม่กลัวว่าจะไม่ได้สร้างหนัง จริงๆแล้วในสังคมขณะนี้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักธรรมะ แล้วเราพยายามที่จะสื่อศิลปะอะไรก็แล้วแต่ ให้คนได้รู้อะไรๆออกไป ทุกวันนี้ อาตมาเชื่อ อยู่ว่า สักวันหนึ่งคนทางโลกเขาจะต้องเข้ามาเอา Plot [เค้าโครงเรื่อง] จากอโศก เพราะ Plot ของโลกีย์ มันเละแล้ว มันวนน้ำเน่าอยู่ตรงนั้น ไม่มีทางออกแล้ว มันเป็น Plot เก่าๆหมด แต่ Plot ที่จะแปลกใหม่ เป็น Plot ที่มาทางโลกุตระ เข้ามาหาชุมชน เข้ามาหาสังคมความเป็นอยู่ของชาวอโศกอย่างนี้ ซึ่งจะเป็นแนวคิด อีกอย่างหนึ่ง ต่างไปจากสังคมโลกีย์ที่เขาเป็น อาตมาอยู่ในวงการศิลปะทุกแขนงอยู่ในหัวอาตมา แต่อาตมาไม่มีเวลาที่จะทำ เคยคิดจะเขียน Plot เรื่อง มันก็ไม่มีเวลา รับรองว่า Plot จะไม่เหมือนอย่างที่สังคมเขาเป็นกันแน่ มีอะไรที่จะต่างกัน พูดไปคนละมุม ตั้งแต่ Dialogue(บทสนทนา) จนกระทั่งถึงจุด Climax (สำคัญ, ตื่นเต้นสูงสุด)ของเรื่อง อาตมาถึงได้บอกว่าอาตมาไม่กลัวว่าจะไม่ได้สร้างหนังของชาวอโศก เพียงแต่ว่า จะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง และเมื่อไหร่ใครจะมา ก็ให้มันเป็นไปตามธรรม ซึ่งก็เห็นอยู่ว่าคนนั้นจะมา คนนี้จะมา อาตมาก็ดู ที่จริง อาตมาไม่ได้เป็นคนผลักดัน แหมจะต้องรีบจี้แล้ว จะปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย อะไรจะเกิด ใครจะเข้ามาเอาก็ว่ากันไป มันจะถึงรอบที่สังคมจะต้องเปลี่ยน จะต้องมีอะไรที่แปลกหูแปลกตา และ แปลกใจด้วย อันนี้มันไม่ใช่เรื่องนอกโลก มันไม่ใช่เรื่องอย่าง Star wars มันไม่ใช่เรื่องคนเหล็กอะไรบ้าๆบอๆ หาสมบัติเพ้อๆๆ อย่างนั้นไม่ใช่ แต่มันเป็นเรื่องความเป็นจริงของมนุษยชาติ แล้วมีตัวอย่างยืนยัน สิ่งที่เกิดแล้วเป็นแล้วด้วย ถ้าจะฝัน ก็ฝันต่อจากนี้ขึ้นไปอีก มันเป็นอุดมคติอะไรต่ออะไรขึ้นไปเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น คนมาจน คนมีแนวคิดที่จะมาเสียสละ ไม่ใช่คำพูดเล่น มันเป็นเรื่องจริง แล้วคนจะเห็นว่า เรื่องไปแย่งชิงทรัพย์สมบัตินั้นนะ ในหนังมันก็มี ในโลกีย์มันก็มี ก็แค่นั้นเอง แต่อันนี้มันเรื่องจริงนะ เขาไม่แย่งชิงสมบัติแล้วต่อไปเขาจะเป็นอย่างไร อะไรต่างๆเหล่านี้ เป็นภูมิที่จะมาอย่างโลกุตระ ไม่ใช่ภูมิอย่างโลกียะที่หลงใหลแย่งชิง แต่อย่างนี้จะมีเหตุผล จะมีความจริงยืนยันเลยว่า สิ่งเหล่านั้นมันคืออะไร อาตมาดูหนังที่เขาทำกันออกมา คำพูดโต้ตอบของเขาที่ทำกัน Dialogue(บทสนทนา) ของเขาดูทีก็พอจะเดาออกได้เลยว่าจะพูดอะไร แต่ Dialogue อย่างโลกุตระนี้ มันจะหักมุม เป็นคำตอบไปคนละมุมเลย ดูแล้วจะแปลกเลย แล้วมันมีเหตุผล มีหลักฐานความจริงอะไรด้วย แม้แต่การดำเนินเรื่อง ทุกวันนี้เขาก็พยายามหาทางหักมุม แต่อันนี้ ไม่ต้องเลย มันเป็นความจริง เอาคนโลกๆ กับเอาคนโลกุตระมาคุยกัน มันจะคุยกันคนละมุมเลย แต่คนดู จะรู้ได้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้ อาตมาก็จะดูซิว่ามันจะไปถึงไหน จะเริ่มต้นอย่างไร จะเกิดเมื่อไหร่ จะเป็นเมื่อไหร่ อาตมาก็ไม่รู้ละนะ อาตมาเพียงเล่าอะไรให้ฟังเท่านั้น จะว่าสร้างหนัง อาตมาก็เคยสร้างมา ทีวีโทรทัศน์ อะไร อาตมาก็ทำมาทั้งนั้นแหละ สิ่งเหล่านี้มันเป็นศิลปะ ถ้าเราจะทำให้มันเป็นศิลปะที่เป็นมงคลอันอุดม ที่จะนำพาสร้างจิตวิญญาณ ให้แก่มนุษย์ เพราะถ้าเราจะมีอุดมคติ แม้แต่จะเสียสละทรัพย์สมบัติ แรงงาน เวลา อะไรต่ออะไร ให้มันเกิด คุณค่าต่อสังคมมนุษย์ก็ดี เพราะฉะนั้นคนไหนที่คิดจะทำ แม้ต้องการกำรี้กำไรอยู่บ้างก็เอา อาตมาก็ยินดีที่จะทำงานร่วมกันได้ ซึ่งอาตมามั่นใจในพวกเรา ที่จะมาทะเลาะวิวาทในเรื่องค่าตัว ค่าแรงอะไรเนี่ย พวกเราไม่มี รับรองปัญหานี้ จะไม่เกิด แต่จะมีก็เป็นเรื่องของอุดมคติ อุดมการณ์ ทิศทางที่จะพาให้ไปสู่เป้าหมายเท่านั้น ถ้ามันจะเป็นไป อย่างเลอะเทอะ เราไม่เอาละ ต้องขอค้าน ขอแย้งกันบ้าง ถ้าใครจะคิดทำอย่างโลกย์ๆ เราก็คงทำร่วมด้วยไม่ได้" การบวชของผู้หญิงในประเทศไทย วราภรณ์ : ขอเรียนถามถึงความดำริของพ่อท่านที่ให้มีนักบวชหญิงค่ะ พ่อท่าน : อันนี้มันเป็นความจริง ที่อาตมาเห็นว่าการบวชไม่ใช่เรื่องเล่นๆ การบวชเป็นเรื่องการแสวงหา ความเจริญของชีวิต ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วจะรู้ว่า มันเป็นความประเสริฐจริงๆ อาตมารู้ว่าพระพุทธเจ้านี่คือคนเหมือนเราๆท่านๆทั้งหลายแหล่ แล้วพระองค์ก็แสวงหาความประเสริฐ ที่สุด ไม่ใช่ศาสนาอย่างที่มีพระเจ้า ที่จะมีอวตารมาเกิดเป็นศาสดา แต่พระพุทธเจ้าเราไม่ใช่ พระพุทธเจ้าเราเป็นคน แล้วสั่งสมคุณธรรมมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จนกระทั่งท่านบรรลุสุดยอดของ ความเป็นคนได้ แล้วก็มาประกาศเผยแพร่ให้คนประพฤติตาม สรุปแล้วจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อเป็นคนก็ต้องศึกษามาหาสิ่งที่ประเสริฐในชีวิต ทีนี้ในเมืองไทย ไม่เคยมีภิกษุณีเลย ไม่มีฐานะนักบวชที่จะปฏิบัติให้ได้อะไรขึ้นมาเลย เป็นชีอาตมาก็เห็นอย่างนั้นๆ เหมือนหาที่หลบไปเฉยๆ ดูแล้วไม่ใช่นักศึกษานักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง เมื่อไม่มีทางออกอาตมาก็เลยเห็นว่า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านี่แหละแค่เป็นอย่างเณรถือศีล ๑๐ ก็สบายแล้ว เป็นทางออกที่จะทำให้ผู้หญิง พิสูจน์ตัวเอง ปฏิบัติธรรมอย่างมีสิ่งแวดล้อม มีกฎระเบียบ มีศีลมีวินัย ผู้หญิงก็ตามสามารถที่จะ ปฏิบัติธรรม ได้อย่างมีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีมิตรดีสหายดี ก็เลยเห็นว่าศีล ๑๐ นี่สามารถเป็นไปได้ จึงให้ผู้หญิง บวชกัน พอเริ่มต้นก็ทำอยู่ที่วัดอโศการามนั้นมีแต่ชีขาวเต็ม เริ่มออกจากวัดอโศการามก็เลยให้นุ่งสีกรัก ตั้งแต่วันนั้นเลย เตรียมไว้ตั้งแต่กลางคืน พอรุ่งเช้าตั้งแต่ตี ๓ ตี ๔ ก็ออกกันมาแต่เช้า ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ก็พัฒนากฎระเบียบหลักเกณฑ์ขึ้นมา ซึ่งผู้มาศึกษาฝึกฝนถึงสภาพนี้แล้วเขาก็พอใจกัน สำหรับผู้หญิง เจตนารมณ์โดยสรุปก็คืออาตมาเห็นว่าเป็นทางออกสำหรับผู้หญิง สำคัญก็คือ มันจะได้ครบพุทธบริษัท ไม่อย่างนั้นก็มีแค่พุทธบริษัท ๓ แม้จะมีชี แต่ทางการเขาก็ไม่ได้รับรองว่า เป็นนักบวชใช่ไหม แต่อย่างนี้แม้ทางการจะไม่รับรองก็ไม่เป็นไร นอกกรอบเขา แต่พฤติกรรมเราก็ทำ ให้มันจริง ก็แล้วกัน จริงๆแล้วกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ สิกขมาตุเราถูกฟ้องเหมือนกัน แต่ศาลพิจารณาแล้ว ไม่เข้าข่าย เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญหลักมีอยู่แล้ว สามารถที่จะฝึกฝนศึกษาอย่างไรก็ได้ โดยไม่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะฉะนั้นอันนี้จะไปบอกว่าแต่งกาย ลอกเลียน แบบ ก็ไม่ใช่ เพราะก็เป็นชุดอย่างชีขาวนั่นแหละ เพียงแต่เอามาย้อมสีกรักเท่านั้นเอง จนกระทั่ง เขามา เล่นงานอะไรเรามากขึ้น เดี๋ยวนี้ก็เลยแปลงไม่เหมือนชีขาวแล้ว วราภรณ์ : มีคนโต้แย้งว่าถ้าผู้หญิงอยากจะปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติได้ไม่จำเป็นที่จะต้องบวช อยากจะถาม พ่อท่านว่า รูปแบบการใช้ชีวิตนักบวชมันสำคัญกับโอกาส ความสำเร็จ ความสามารถในการปฏิบัติ อย่างไรบ้างคะ พ่อท่าน : คำพูดที่ว่าไม่จำเป็นต้องบวช เป็นคำพูดของคนที่ไม่มีจิตถึงบวช เขาก็ว่าไม่จำเป็น แต่คนที่มีจิตถึงบวชแล้วนี่ เขาจะรู้ว่ามันเป็นความจำเป็น เพราะฉะนั้นก็เป็นคำพูดของความรู้ หรือความรู้สึกของคน เขามีความรู้อย่างนั้น แล้วก็มีความรู้สึกแค่นั้น เขาก็ว่าเอาอย่างเขาเป็น แต่ความจริงที่สุดแห่งที่สุดแล้ว แม้แต่จะเป็นผู้ชายก็ตาม ก็จะต้องบวชเข้ามา เพื่อที่จะอยู่ในกรอบ อยู่ในทฤษฎี อยู่ในธรรมวินัย เพื่อที่จะพิสูจน์ธรรมวินัยต่างๆนานา แม้แต่ศีลหรือวินัยที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอันนี้ควรละเว้น อันนี้ไม่ควรละเมิด มันจะได้พิสูจน์ทุกอย่างเลยว่า อันนี้ถ้าเผื่อให้เราละเว้นแล้วจิตของเราสงบพอ เราเองเราจบกิจ จิตของเรานิ่งสนิท อย่างแข็งแรงเป็นอนุตรจิตที่สมบูรณ์หรือไม่ เท่ากับเราจะต้องพิสูจน์ต่อบทเรียน หรือต่อหลักเกณฑ์ เพื่อที่จะเป็นข้อสอบ ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมอย่างไม่มีรูปแบบถึงขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็ได้ แต่ถ้าจะถึงขั้นอรหันต์แล้วก็จะต้องมีรูปแบบนักบวช เพื่อจะได้ตรวจสอบถึงที่สุด วราภรณ์ : แล้วความเป็นผู้หญิงนี่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมไหมคะ พ่อท่าน : ไม่หรอก ไม่เป็นอุปสรรคเลย เป็นแต่เพียงว่าเราต้องรู้ฐานะของเราว่าเราเป็นผู้หญิง เราก็อย่าไปเป็นปฏิปักษ์หรือเป็นเหตุปัจจัยให้มันเสื่อมเสีย เราก็ประพฤติอยู่ในฐานะอันควร จะมีอยู่หน่อยหนึ่งที่เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้กันเท่าไร ก็คือเรื่องหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง คือพวกกะเทย บัณเฑาะก์ หรือลักเพศ เรื่องกะเทยทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้บวช แม้บวชแล้วมารู้ภายหลังก็ต้องให้สึก ถ้าไม่รู้สัจธรรมอย่างบางคนบอกว่ากะเทยก็ดีนี่ มันเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน จะไปวุ่นวายอะไรกับเขา มันไม่ดี ถ้าดีพระพุทธเจ้าก็ให้บวชสิ เขาไปคิดง่ายๆตื้นๆว่า ถ้ากะเทยมาบวช มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย มันก็ผู้ชายด้วยกัน กะเทยนี่คือผู้ที่จิตวิญญาณไม่ปกติ คือกิเลสมันจัดจ้านมากเรื่องเพศ จัดจ้านมากเรื่องสัมผัสเสียดสี มันเป็นกามที่เป็นกามอย่างจัดจ้านแล้ว ตามธรรมดาผู้ชายผู้หญิงมีกามในเรื่องเพศก็ล้างไม่ได้ง่ายๆ แต่มาปฏิบัติธรรมต้องมาล้าง มาบวชก็มาเพื่อละกิเลส คนเรามีกามผู้หญิงผู้ชายมันเป็นธรรมชาติของสัตวโลก แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วสูญได้ แต่คนที่เป็นกะเทยนี่ กิเลสไม่ธรรมดา คนสมสู่ระหว่างผู้หญิงผู้ชายเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องของเพศ เรื่องของการสืบต่อเผ่าพันธุ์ แต่ทีนี้คนที่เป็นกะเทยเนี่ย มันไม่ใช่ธรรมชาติ มันเกินธรรมชาติ มันกิเลสล้วนๆเลย มันจะเอาแต่สมสู่อย่างเดียว สัมผัสเสียดสีอย่างเดียว มันไม่เกี่ยวกับสืบพันธุ์มันไม่เกี่ยวกับธรรมชาติ สัตว์เดรัจฉานไม่มีกะเทยนะเข้าใจไหม นี่มันวิตถารผู้ชายกับผู้ชาย ผู้หญิงกับผู้หญิง ขนาดธรรมชาติยังล้างไม่ได้ง่ายๆเลย นี่มันซับซ้อนเกินธรรมชาติ จึงบอกว่าอันนี้ปล่อยให้เป็นไปชาติๆๆต่อไปดีกว่า แต่สูงกว่านั้นเป็นเรื่องของวิบาก ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่จะไปเอื้อไปหาต่ำ แต่เป็นศาสนาที่จะคัดคนไปหาเวไนยสัตว์ ส่วนที่ต่ำกว่านั้น ท่านก็ปล่อยให้เป็นวิบากของโลก ศาสนาอื่นๆที่เป็นกัลยาณธรรมก็ช่วยกันอยู่แล้วในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่ต้องไปทำกับคนในระดับนี้ ธรรมะ - เศรษฐกิจพอเพียง ๓๑ มี.ค. ๔๗ ที่สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี ณ ห้องโกมุท ได้มีการประชุมสัมมนา "ธรรมะ-เศรษฐกิจพอเพียง กับ การป้องกันและแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น" จัดโดย รวมมิตรคิดทำ ภาคีทุกภาคส่วนอุบลราชธานี และ อนุกรรมการคณะทำงานการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อไปถึงการอภิปราย "ธรรมะ-เศรษฐกิจพอเพียง กับการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น" กำลังดำเนินอยู่ มีหลายท่านได้พูดอะไรๆกันไปแล้ว นั่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง วิทยากรหลายท่านได้ทยอยลงจากที่นั่งด้านบน รวมถึงพระรูปหนึ่ง เข้าใจว่าคงจะเป็น พระราชโมลี รองเจ้าคณะภาค ๑๐ (มหานิกาย) ตามแผ่นปลิวกำหนดการประชุมสัมมนาเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ก็คงจะเป็นตัวแทน พ่อท่านก็ได้รับนิมนต์ให้ขึ้นไปร่วมแสดงความคิดเห็นทั้งๆที่ยังไม่ถึงรายการที่คณะจัดได้กำหนดให้พ่อท่าน พูด ในรายการถัดไป ในหัวข้อ "โรงเรียนวิถีพุทธ-ชุมชนบุญนิยมราชธานีอโศก" เข้าใจว่าคณะจัด ได้เลื่อน เปลี่ยนแปลงให้พ่อท่านได้พูดร่วมไปด้วยเลย เพราะรายการอื่นๆได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เนื่องด้วย วิทยากร ที่ได้เชิญมานั้น ไม่สะดวกในเวลาที่กำหนดบ้าง ไม่ได้มาร่วมบ้าง ในห้องประชุมวันนั้นมีแต่ชาวบ้านราชฯ กลุ่มคณะอื่นๆมีบ้างประมาณ ๑๐ กว่าคนเท่านั้น จากบางส่วน ที่พ่อท่านได้กล่าวดังนี้ "อาตมาเพิ่งมาถึงไม่นานนี้ ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง ก็มีผู้สรุปให้ฟังบ้างนิดหน่อย อาตมาได้รับฟังสัจจะ จากหลายท่าน ที่พูดคนละเล็กคนละน้อยในที่นี้ สรุปเรื่องแล้ว เท่าที่จับความได้ ว่าเราจะช่วยกันแก้ปัญหา ของสังคม อาตมาอุทิศชีวิตมาเพื่อทำงานให้กับมนุษย์ ให้กับสังคม เราก็แก้ปัญหา จะเรียกว่าปราบปราม ก็เป็นภาษาไทย จะเรียกว่าสร้างสรรก็เป็นภาษาไทย เราก็ทำไปในลักษณะนี้ อาตมามองสังคมไทยที่ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ แล้วเราก็ภาคภูมิใจในความเป็นพุทธของเรามาก ทุกวันนี้นี่ อาตมาทำงานกับสังคมมา ๒๐-๓๐ ปีแล้ว อาตมายิ่งเห็นชัดว่า คนไทยที่เป็นพุทธนี่ ยังไม่ได้มี ความเป็นพุทธ หรือมีเพียงยี่ห้อ เมื่อกี้อาตมาได้ฟังท่านผู้อภิปรายพูดผ่านไปบ้างแล้วว่า เมืองไทยนี่ เนื้อหาพุทธไม่มี มีแต่ชื่อว่า พุทธ โดยอาตมาเห็นยิ่งกว่านั้น ที่ว่าเห็นยิ่งกว่านั้นก็คือ ความเป็นพุทธที่ว่านี้ อาตมาเน้นเลยว่า พุทธนั้น มีเนื้อแท้ของความเป็นพุทธอยู่ที่ อเทวนิยมและโลกุตรธรรม พุทธต่างจาก ศาสนาอื่นหมดเลย ตรงที่เป็นอเทวนิยม และโลกุตรธรรมนี่เอง หลายศาสนาเขาตู่ว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนา เป็นปรัชญา ว่าอย่างนั้น อันนี้อาตมาก็เห็นชัดเจนว่า เขาเอง ก็เหมือนกับลูกปูแม่ปูที่ทักท้วงกัน ทักเขาว่าเป็นอย่างนั้น แต่ตัวเองนั่นแหละเป็น เขาหาว่าพุทธเป็นปรัชญา แท้ๆ นั่นน่ะศาสนาเทวนิยมนั่นน่ะคือปรัชญา ศาสนาพุทธนั้นคือศาสนาแห่งสัจธรรม คือศาสนาแห่ง ความจริง ที่พิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ ส่วนศาสนาเทวนิยมนั้นคือปรัชญา ปรัชญาอย่างไร อาตมาขอเวลา นิดหนึ่งอธิบายตรงนี้ ปรัชญาที่ว่านั้นก็คือ ศาสนาเทวนิยมนั้นไม่รู้จักคำว่าพระเจ้าจริง มีแต่พูดถึงคำว่า พระเจ้า พระเจ้าคือพระเจ้า ใครไปแตะต้องพระเจ้าไม่ได้ ห้ามแตะต้อง ผู้ที่มาเป็นศาสดา ต้องเป็น พระบุตร หรือ เป็นอวตารของพระเจ้า แล้วก็นำโองการของพระเจ้ามาประกาศ ห้ามวิจารณ์โองการ ของพระเจ้า เชื่ออย่างเดียว ฟังอย่างเดียวแล้วทำตาม ความจริงแล้วก็ไม่รู้จักพระเจ้า และไม่มีใครสามารถ บังอาจ พิสูจน์ ความเป็นพระเจ้า จึงเชื่อตามๆกันมาเท่านั้นว่าพระเจ้ามีจริง แต่ไม่มีใครพิสูจน์ตัวตน ของพระเจ้าได้เลย พระเจ้าจริงมีแต่สิ่งที่พูดถึงเท่านั้น เป็นอัตภาพเป็นปรมาตมัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเพียง"อัตตวาทุปาทาน" แปลว่า การยึดถือได้แค่คำพูดว่าตัวตน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาท่ามกลางศาสนาที่มีพระเจ้ากันทั้งนั้น แล้วทรงประกาศศาสนาของ พระองค์ว่า เป็นศาสนา"อเทวนิยม" ที่ไม่มีพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด แม้จะมีศาสนาอเทวนิยมอยู่บ้างในยุคนั้น แต่นัยสำคัญ ต่างกัน อาตมาคงพูดรายละเอียดไม่ได้ในตอนนี้ ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาของพระองค์ ว่าเป็น อเทวนิยม จึงเป็นเรื่องยากสุดยากมากๆ ที่จะเผยแพร่นำพาศาสนาของพระองค์ให้ตลอดรอดฝั่ง รุ่งเรือง ขึ้นมาได้ เพราะล้อมรอบล้วนมีแต่ศาสนาเทวนิยมทั้งนั้น พระพุทธเจ้าต้องระมัดระวังตัวอย่างที่สุด ทรงพยายามทำงานเสี่ยงสุดเสี่ยงยากสุดยาก ท่านประกาศความเป็น"อเทวนิยม" ด้วยศาสตร์และศิลป์ ยอดสุดยอด ยกตัวอย่างเช่น ท่านกล้าประกาศว่า ในความเป็นพุทธนั้นต้อง....อัตตาหิ อัตตโน นาโถ อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งนัยสำคัญของญาณวิทยาข้อนี้ก็คือ พุทธนั้นพึ่งตนเอง ไม่พึ่งพระเจ้า การพูดอย่างนี้ อหังการ มากนะ เพราะผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาพึ่งพระเจ้ากันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าบังอาจมากล่าวเช่นนี้ ท่ามกลาง ความเชื่อถือเทิดทูนที่ฝังลึกกันอยู่ทั่วไป ก็ลองคิดดูแล้วกัน แต่ท่านไม่ได้พูดมะลื่อทื่อ อย่างอาตมาพูดนี้ หรอกนะ ถ้าพูดไม่มีศิลปะหรือไม่มีสัปปุริสธรรม ๗ แบบอาตมาพูดนี้ ท่านประกาศ ศาสนาไม่ได้แน่ ตาย! ต้องพูดอย่างมีศิลปวิทยา แต่วันนี้อาตมาหยิบมาพูด ให้พวกเราฟังได้แล้ว เพราะพูดกัน ในชาวพุทธล้วนๆ และ ผ่านมานานกว่าสองพันปีแล้วด้วย หรือว่า....ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้ศาสตร์และศิลป์อันแสดงถึงความเป็นอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่เป็น อนัตตา ไม่ใช่ศาสนาพึ่งอัตตา หรือพึ่งอาตมันพึ่งพระเจ้า ดังศาสนาเทวนิยมทั้งหลาย ก็คือ ท่านใช้ศาสตร์ และศิลป์ใน"อุปาทาน ๔" เป็นต้น กล่าวคือ นอกจากจะเรียนรู้ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงกามุปาทาน รู้แจ้ง ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทานแล้ว ท่านก็ยังประกาศคำว่า "อัตตวาทุปาทาน" อีกด้วย ซึ่งอุปาทาน ข้อนี้เป็นญาณวิทยา (epistemology) สุดยอดยิ่ง อันหมายถึงการยืนยันถึงนัยลึกล้ำของ ความเป็นอัตตา อัตตวาทุปาทาน แปลกันชัดๆ ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในคำพูดว่าอัตตา(ตัวตนของจิตวิญญาณ) แต่ท่าน ผู้รู้ครูบาอาจารย์สมัยนี้ส่วนมาก ก็แปลคำว่า อัตตวาทุปาทานนี้แค่ว่า ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา หรือ ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเท่านั้น แต่ความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงหมายถึง ความเป็นอัตตา-ความเป็น ปรมาตมัน หรือพระเจ้า ที่ชาวเทวนิยม ยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ทั้งหลายนั่นเอง ที่พระพุทธองค์เจตนาชี้บ่งว่า พระเจ้า หรือปรมาตมันที่ชาวเทวนิยม ยึดถือ อยู่นั้น ที่แท้เป็นเพียงความยึดถือที่ยึดมั่นถือมั่นกันได้แค่ "คำพูด" ที่พูดถึงกล่าวถึงกันไปเท่านั้น แต่เข้าถึง ความจริงแท้ที่เป็น "พระเจ้า"กันไม่ได้ พระเจ้าคืออาตมัน คือปรมาตมันจึงได้แต่พูดถึง แล้วก็จินตนาการ และ เชื่อไปตามคำพูดอยู่แค่นั้น ดีอย่างไร เยี่ยมยอดแค่ใด ก็เป็นเพียงปรัชญา ไม่สามารถสัมผัสปรมาตมันนั้นๆ จริง พระเจ้าคืออะไร พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้าเป็น อย่างไร ไม่รู้จักของจริง ไม่ได้สัมผัสของจริง มีแต่พูดว่า เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ได้แต่พูดถึง ดังนี้เป็นต้น ทุกคนต้องเชื่อฟังโองการที่พระเจ้าสั่งก็แล้วกัน ซึ่งพิสูจน์กัน ไม่ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ นี้คือ นัยสำคัญของคำว่า "อัตต-วาทุปาทาน" ที่พระพุทธเจ้าต้องใช้ศิลป์และศาสตร์ด้วยสัปปุริสธรรม ๗ ในการสื่อเพื่อบุกเบิก กว่าจะสร้างศาสนาของพระองค์มาได้อย่างยากยิ่งสุดๆในยุคนั้น พระองค์รอดได้ ไม่ต้องสิ้นพระชนม์เหมือนศาสดาองค์อื่นๆก็เยี่ยมยอดแล้ว เพราะพุทธเป็น"อเทวนิยม" หนึ่งเดียวเดี่ยวโดด อยู่ท่ามกลาง ลัทธิศาสนาที่เป็น"เทวนิยม"เกือบทั้งหมดทั้งสิ้นแท้ๆ เอาละ ! มันคงจะเป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง วันนี้เวลาไม่มากนัก ผู้ร่วม : ท่านมองสภาพสังคมขณะนี้นะครับ บ้านเราเมืองเราขณะนี้ มีหลายคนเขาบอกว่า พัฒนาแต่ เศรษฐกิจ ไปเรื่อยๆ วัตถุนิยมก็ค่อนข้างจะเจริญก้าวหน้า แต่ว่าในแง่ของพัฒนาจิตใจของเรา ยังตาม ไม่ทัน มีปัญหาคอรัปชั่น มีการเอารัดเอาเปรียบ สังคมค่อนข้างจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวันๆ นะครับ ขณะนี้ มุมมองของพระเดชพระคุณท่าน มองอย่างไรครับ พ่อท่าน : อาตมาขอตีหัวเข้าบ้านไปเลยนะ ศาสนาพุทธนี้ ได้สอนให้คนมาจน ท่านไม่ได้สอนให้คนไปรวย แม้พระองค์ ก็ไม่ปฏิบัติตนรวย แต่ก่อนนี้พระองค์รวยทุกคนก็รู้ พระองค์ทิ้งหมด มาพบพระเจ้ามคธ ก็ศรัทธา พระพุทธเจ้ามาก จะแบ่งเมืองให้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งครึ่งหนึ่งของมคธนี้ใหญ่กว่ากบิลพัสดุ์ เสียอีก พระองค์ก็ไม่เอา มีบาตรหนึ่งใบ ห่มผ้าบังสุกุล ดำเนินด้วยพระบาทเปล่าเปลือยตลอดพระชนม์ชีพ ไม่สะสมเงินทองอีกเลย เด็ดขาด แม้แต่มาสกเดียว พระพุทธเจ้ามาจนใช่ไหม? เงินบาทหนึ่งก็ไม่มี ที่ท่านมีก็ทิ้งหมด รองเท้าคู่หนึ่งก็ไม่มี ไม่ได้ใส่รองเท้า ไม่ใส่ฉลองพระบาท จนสิ้นพระชนม์ สมบัติอะไรก็ไม่มี นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ผ้าเขาทิ้งแล้ว ผ้าเขาไปห่อศพ สรุปง่ายๆ คือท่านพามาจน เช่นคำว่า อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ อปจยะ อะไรก็แล้วแต่ ท่านสอนให้มาจน อัปปิจฉะ นี่แปลว่ามักน้อย อาตมาว่ามันไม่ค่อยชัด อาตมาเลยแปลใหม่ว่า อัปปิจฉะ นี่แปลว่า กล้าจน คนมากล้าจนนี่ เป็นคนศาสนาพุทธ ถ้าไปกล้ารวย ไม่ใช่ศาสนาพุทธหรอก คนในโลกนี่ กล้ารวยทั้งนั้น แหละ เพราะกิเลส มันหมักหมม แต่คนไม่มีกิเลสนี่ ไม่ต้องรวยหรอก จน จนได้อย่างประเสริฐ อาตมา เรียกความจนนี้ เป็นคนมี ความจน ที่มหัศจรรย์นา เพราะเป็นความจนหรือเป็นคนจนที่มีความสุข เป็นคนจน ที่มีสมรรถนะ ความสามารถ เป็นคนจนที่มีการสร้างสรร แล้วก็เสียสละ เมื่อเสียสละๆ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ ไม่สะสม มันก็ต้องจน อปจยะนี่ก็แปลว่าไม่สะสม ท่านสอนให้คนมักน้อย ไม่สะสม พยายามสะพัด เกื้อกูลผู้อื่น ไม่ต้องกอบโกย ไม่ต้องมีมาก มักน้อยก็คือไม่มีมากนั่นแหละ อัปปิจฉะ ใจพอ สันโดษ สันตุฏฐิ ไม่มีมาก แล้วอยู่ให้ได้ โดยไม่มีมาก พระพุทธเจ้าท่านสอนครบหมดทุกอย่างเลย ที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้นี่ จะเรียกศาสตร์อะไรก็ตามแต่เถอะ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ จิตวิทยา ปรัชญา อะไรก็ตามใจเถอะ อยู่ในเนื้อหาของพระพุทธเจ้าหมดแล้ว ขอให้ปฏิบัติ ตรงตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ ส่วนศาสตร์ผสมเหล้า ศาสตร์แฟชั่นทำผม ศาสตร์กีฬาการเล่นเลอะๆเทอะๆ จะไม่มีในศาสนาพุทธ นอกนั้น ศาสตร์ที่เป็นเนื้อแท้แก่นแท้ของมนุษยชาตินี่ รับรองครบหมดในศาสนาพุทธ อาตมาขึ้นต้นแล้วว่า เป็นพุทธแต่ว่าไม่มีความรู้ของพุทธ และไม่มีความเป็นพุทธ ไม่มีสัจธรรม ความเป็นพุทธ พุทธเป็น "โลกุตระ" พุทธเป็น"อเทวนิยม" เทวนิยมนี่คือนับถือศาสนาที่มีสิ่งอื่นนอกตัวตน อันไม่ใช่พลวปัจจัย ของตนมาดลบันดาลให้ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ของพุทธนี่สามารถ พิสูจน์ได้ เป็นเอหิปัสสิโก แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้นี่ ก็เป็น"เทวนิยม" กันไปหมดแล้ว แล้วก็หลงใหลงมงายเลอะเทอะกันไป ยิ่งกว่า ชาว เทวนิยม เขาเองเสียอีก อาตมาคงขยายความเทวนิยมไม่ไหววันนี้ แต่ขอยืนยันว่า เกือบจะไม่เหลือ เชื้อพุทธ แล้ว เป็นเทวนิยมเกือบทั้งนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ พระพุทธเจ้าบอกอย่ารดน้ำมนต์ ก็รดน้ำมนต์ พระพุทธเจ้า สอน บอกอย่าใช้ธูปใช้เทียนท่านตรัสไว้ อย่าใช้กำยาน อย่าใช้ไฟที่จุด อย่าบูชาไฟนะ ใช้ไฟ เป็นเครื่องบูชา เรียกว่า อัคคียัญ หรือจะใช้น้ำ เรียกว่า สิญจนยัญ อะไรพวกนี้ อย่าใช้ พระองค์ตราไว้ เป็นศีล ในจุลศีล มัฌชิมศีล มหาศีล ให้เวรมณี ให้เลิก ให้เว้นขาด แต่ไม่มีวัดไหนเลยที่ไม่มีการรดน้ำมนต์ ไม่จุดธูปจุดเทียน ไม่มี ถ้ามีรดน้ำมนต์ จุดธูปจุดเทียน เดรัจฉานวิชา บ้าๆบอๆทำไอ้ขิก ทำไอ้จิ้งจกตุ๊กแก อะไรก็แล้วแต่ อาตมา พูดไม่หมด มันมากมายแล้ว เป็นเรื่องนอกพุทธทั้งนั้น ไม่ถูกเนื้อหาของศาสนาพุทธ มันเป็นเทวนิยม โดยเฉพาะ ไม่มีผลของ "โลกุตระ" กันแล้ว เพราะฉะนั้นความจริงที่มาพูดกัน สอนกัน สอบกันเป็นเปรียญ ๙ เปรียญ ๑๐ อะไรทุกวันนี้ เรียนถูก ภาษาถูก แต่ทิฏฐิผิด จึงปฏิบัติผิด เรียนว่าพุทธเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ อะไรนี่ ปฏิจจสมุปบาท อะไร ก็แล้วแต่ พูดถูกแต่ไม่รู้เรื่อง ปฏิบัติไม่ถูกเนื้อหา อวิชชาคืออะไร ยังไม่รู้เลย อวิชชา ก็คือโง่ ไม่รู้อะไรก็ว่าอวิชชา หมด ซึ่งไม่ใช่เลย อวิชชาของพระพุทธเจ้านั้นหมายถึงอริยสัจสี่ อวิชชาของ พระพุทธเจ้านั้นจริงๆแล้วมีแค่ ๘ ท่านตรัสไว้ ในพระไตรปิฎกเล่ม ๓๔ เล่ม ๓๕ ข้อห้าร้อยกว่า อาตมา จำไม่แม่น อวิชชามีแค่ ๘ ได้แก่ ไม่รู้ใน อริยสัจ ๔ ไม่รู้ในส่วนของอดีต ไม่รู้ในส่วนของอนาคต ไม่รู้ใน ส่วนอดีตและส่วนอนาคต และไม่รู้ใน ปฏิจจสมุปบาท อวิชชาจำกัดความอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นโง่ ไม่รู้จักวิธีทำกับข้าว วิธีทำจรวด วิธีแต่งเนื้อ แต่งตัว วิธีหาเงินให้มันรวย วิธีอะไรสารพัด ไอ้นั่นมันโง่ เรื่องของโลกๆในส่วนโลกียะ ไม่ใช่อวิชชาของ พระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น ขอสรุปว่า ศาสนาพุทธนั้นสอนให้คนมาจน สอนให้คนมาลดกิเลส พูดง่ายๆ มีศีล สมาธิ ปัญญา ศาสนา พุทธ ต้องรู้จักไตรสิกขา แล้วก็ต้องเรียน ปฏิบัติศีลให้ไปขัดเกลากิเลส สอนกันทุกวันนี้ ศีลขัดเกลา แค่กาย กับวาจาเท่านั้น ก็ผิดแล้ว มันก็เลยไม่ไปไหน เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเป็นองค์รวมแยกกันไม่ได้ ศีลพยายามปฏิบัติให้ตรง แล้วมันก็จะไปขัดเกลากายวาจาและ"ใจ"ให้เป็นสมาธิ ตามศีลที่เราสมาทาน นั้นๆ มีสติปัญญา รู้ตั้งแต่ต้นเลยว่าศีลคืออะไร ศีล เราปฏิบัติศีลถูกหรือไม่ สังวรศีลคืออะไร จนกระทั่งถึง ศีลสัมปทา ศีลที่บรรลุธรรมคืออะไร ศีลที่พาให้บรรลุธรรมนี่ แปลว่า บรรลุธรรมได้ ขัดเกลาถึงใจ หรือ กิเลสได้ รู้จักกิเลส รู้จักอัตตา อัตตาคือตัวตนของกิเลส รู้ว่ากิเลส อย่างนี้เป็นราคะ อย่างนี้เป็นโลภะ อย่างนี้เป็นโทสะ แล้วก็ลดอัตตานั้นๆลงไปได้จริงๆเลย เห็นความจางคลายของตัวตน เห็นความดับ มีการตามเห็นเรียกว่า อนุปัสสี ตามเห็นวิราคะ ตามเห็นนิโรธ วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี อะไรนี่เป็นต้น ไปตามเห็นของจริงเลย มีตาทิพย์ มีวิชชา ๘ มีวิชชา ๙ วิชชาก็มี .... วิปัสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธีอะไรนี่ ต้องมี แต่ไปสอนผิดว่าวิชชาเหล่านั้น คนไม่มีก็ได้ มีก็ได้ มันจึงไม่สามารถบรรลุธรรม ศาสนาพุทธนั้น ต้องมี วิชชา จึงจะบรรลุธรรม จึงจะพ้นอวิชชา พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยจรณะ ท่านตรัสไว้ชัดว่า วิชชาจรณสัมปันโน แต่พวกเราไม่รู้จักวิชชา แถมตัดทิ้งเสียอีก เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงไม่มีเนื้อทุกวันนี้ ไม่มีเนื้อ สอนกันไปแค่ โลกียะนิพพาน คือเป็นแค่ ศาสนาโลกีย์ เหมือนโลกๆ ให้ละชั่วประพฤติดีเท่านั้น แต่เรื่องปรมัตถ์ไม่รู้จัก แล้วก็ปฏิบัติกันไม่ถูก ไปนั่งหลับหูหลับตาเหมือนอาฬารดาบส อุททกดาบส ออกป่า ออกเขา ออกถ้ำ ผิดหมด อาตมาพูดเข้า เขาก็เลยจะจับอาตมาเข้าคุก หาว่าอาตมาทำธรรมวินัยให้วิปริต สั่งให้อาตมาสึก แต่อาตมา ไม่ยอมสึก เพราะอาตมาไม่มีความผิดถึงขั้นสึกตามธรรมวินัย สุดท้ายพิพากษาอาตมาแพ้คดี ก็ต้องแพ้ เพราะฟ้อง ทางกฎหมายว่าถ้าไม่สึกต้องแพ้ อาตมาก็ต้องแพ้คดีแน่นอน เพราะอาตมาไม่ยอมสึก อาตมาไม่ได้ ผิดวินัย อาตมาก็ต้องเป็นพระตลอดไป เมื่อไม่ยอมสึก ก็ไม่ขาดจากความเป็นพระ จึงต้องแพ้คดี อาตมาก็เอา ความเป็นพระ แม้จะแพ้คดีหรือจะติดคุกก็ตาม ทว่ายังดีที่ยังไม่เข้าคุก รอลงอาญาถึง ๒ ปี แต่อาตมาไม่หยุด หย่อน ไม่หยุดยั้งการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งอาตมาก็พาทำ จนกระทั่ง กลายเป็น คนที่ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นคนลดโลภ โกรธ หลง หรือว่าเป็นคนที่ มักน้อยสันโดษ เป็นคน กล้าเสีย (สละ) ไม่ใช่กล้าได้ เป็นคนที่รู้จักพอ กินพอ ใช้พอ จนกระทั่งเป็นกลุ่ม เป็นหมู่มากมายขึ้น ขออภัย เป็นอย่างมาก ถ้าอาตมาจะตีหัวเข้าบ้าน ขอยกตัวยกตน อวดโอ่หน่อย ข้อนี้ อวดมากไม่ได้ ประเดี๋ยวจะอยู่ ลำบาก อาตมาปฏิบัติธรรมทำงานมา ๓๐ กว่าปี ตั้งแต่บวชมาจนทุกวันนี้ก็ได้อธิศีล ที่อาตมาเข้าใจว่าของ พระพุทธเจ้า เป็นอย่างนี้นี่แหละ มาทำกับมนุษย์ ประกาศให้มนุษย์ฟัง ทั้งๆที่ทวนกระแส ทั้งๆที่ศาสนา พุทธ กระแสหลักอยู่ในประเทศไทยนี่ ถล่มทลายอาตมา หาว่าอาตมานอกธรรมนอกวินัย ทำธรรมวินัย วิปริต วิปริตไปจากธรรมวินัยอะไรก็แล้วแต่ แต่คนที่เชื่ออาตมาว่าไม่วิปริต คนที่เข้าใจ ก็มาทำกับอาตมา มาปฏิบัติ กับอาตมา จนเป็นกลุ่มหมู่ เป็นสงฆ์ เป็นสังคมชาวอโศกในทุกวันนี้ และมีกระทั่งหมู่บ้าน มีกระทั่งชุมชน มากมาย ตอนนี้ก็มีหลายหมู่บ้านแล้วในประเทศไทย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อาตมากล้าพูด ขอพูด อย่างไรก็ขอ แล้วกัน... เพราะว่ามันจำเป็นจะต้องพูด เพราะเวลาก็เร่งมาแล้วนา คือเราอยู่อย่าง หมู่ชุมชน ที่อาตมากล้า พูดว่า เป็นกลุ่มพุทธบริษัท ๔ เพราะมีทั้งอุบาสกอุบาสิกา นักบวชชาย นักบวชหญิง อุบาสกอุบาสิกา ก็เป็นคน ที่ไม่โกนหัว หมายถึงฆราวาส รวมอยู่เป็นหมู่พุทธบริษัท แต่ละคน มีคุณธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นสมณะที่ ๑ คือ โสดาบัน สมณะที่ ๒ คือ สกิทาคามี สมณะที่ ๓ คือ อนาคามี สมณะที่ ๔ คือ อรหันต์ นี้คือความเป็นหมู่พุทธบริษัท ๔ ที่อยู่เป็นหมู่เป็นชุมชน ขอประกาศ อย่างนี้แหละ คุณธรรมของ พระพุทธเจ้า ก็คือ ลดโลภ โกรธ หลง แล้วก็อยู่กันอย่างเป็นพี่เป็นน้อง อาตมาพยายามพิสูจน์ธรรมของ พระพุทธเจ้า จนถึงขั้น"สาธารณโภคี" คือมีของส่วนกลางกินใช้ร่วมกัน ทั้งชุมชน มีของสงฆ์ หมายความว่า ทรัพย์สิน ทั้งหลาย รวมกันเป็นของส่วนกลาง ที่ทุกคนในหมู่กินใช้ ร่วมกัน ไม่แยกเป็นของส่วนตัว สงฆ์แปลว่า หมู่ ความเป็นหมู่ร่วมกัน อย่าไปหลงแปลกันอยู่แต่ว่า สงฆ์คือพระ สงฆ์นั้นแปลว่าหมู่ ไม่ใช่แปลว่าพระ แต่คนไทย เพี้ยนจากความหมายของ"หมู่" ไปเป็น"พระ" สาธารณโภคี หมายถึง เป็นของส่วนกลาง เป็นของหมู่ทั้งหมด แต่ปัจจุบันแม้แต่พระในวัดทุกวันนี้ ก็ไม่มี ความเป็นของสงฆ์กันแล้ว ไม่เป็นของหมู่แล้ว เป็นของส่วนตัว เป็นของใครของมัน หลายคนก็แย่งกัน แต่คุณสมบัติสาธารณโภคีนี้สังคมชาวอโศกเราทำได้ เป็นของส่วนกลาง ของทั้งหลายเป็นของส่วนกลาง เป็นของหมู่ แม้แต่ฆราวาสที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็กินใช้ของส่วนกลาง ไม่สะสมส่วนตัว ทำมาหาได้ ก็เข้าส่วนกลาง เป็นทรัพย์สมบัติส่วนกลาง เงินทองส่วนกลาง ใช้ของส่วนกลาง เหมือนกระเป๋าเดียวกัน เป็นสังคมสาธารณโภคี นี้คือ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ สังคมของกลางสงฆ์ เข้าใจนะว่า ฆราวาสชายหญิง ก็เป็น"สงฆ์"ได้ เป็นสาวกสงฆ์ แปลว่าหมู่ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ที่หมายถึง สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คือโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ เพราะฆราวาสก็เป็นสมณะหรือเป็นอาริยบุคคลได้นั่นเอง มีความจริง ในการลดกิเลสได้จริง และรวมกันเป็นหมู่ชุมชนสาธารณโภคี จึงอยู่กันได้อย่างไม่ได้เอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมาล่อ มาเป็นอามิส ซึ่งเป็นสังคมที่แปลกประหลาดในโลก ใครจะมาอยู่ก็บอกกันตรงๆเลย ต้องประพฤติตามนี้ ใครจะมาก็มาศึกษาปฏิบัติละลดกิเลสกันจริงๆ แล้วก็อยู่กันอย่างทุกวันนี้เป็นสุข แก้ปัญหา เศรษฐกิจได้ แก้ปัญหาอาชญากรอาชญากรรมได้ แก้ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นได้แน่นอน อันนี้ขอ ตีหัวเข้าบ้านแค่นี้ก่อน ผู้เข้าร่วมสัมมนาหยุดพักรับประทานอาหารเกือบบ่ายโมงแล้ว เมื่อกลับเข้ามาอีกในช่วงบ่าย แทบจะเหลือ แต่ ชาวบ้านราชฯ คณะอื่นๆเหลือไม่ถึง ๑๐ คน พ่อท่านว่า นี่ถ้าพ่อท่านกลับไป คงเหลือเข้าร่วมรายการ ภาคบ่าย ไม่กี่คน รายการภาคบ่ายจึงแทบจะเป็นรายการของชาวอโศกไป มีเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. มานำเสนอ งานที่ทำ นิดหน่อย แต่ก็อ้างอิงถึงบ้านราชฯ หลังการนำเสนอภาพวิถีชีวิตของนักเรียนสมุนพระราม และ นักเรียน สส.ธ. ในระดับประถม และมัธยมฯแล้ว ได้เปิดโอกาสให้ถามปัญหา จากคำถามคำตอบ บางส่วนดังนี้ ถาม : หลักสูตรที่ท่านดำเนินการนี้ สังกัดกรมการศึกษาเอกชน หรือว่ากรมการสามัญ เมื่อจบ ม.๖ แล้วท่าน มีโครงสร้างที่จะส่งไปศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยหรืออุดมศึกษาในประเทศ หรือต่างประเทศ หรือไม่ แล้วก็ เงินสนับสนุน เป็นเงินมูลนิธิท่านเอง เงินบริจาคของท่านเอง หรือรัฐบาลไทยช่วยหรือ UN สหประชาชาติ หรือต่างประเทศให้การสนับสนุนอย่างไร อันนี้ก็ขอเรียนถามด้วยความไม่รู้จริงๆ ถ้าเป็น ไปได้ ถ้าผมจบ การศึกษาไป ผมจะนำแนวความคิดนี้ไปดำเนินการตั้งโรงเรียนขึ้นมา จะสงวนลิขสิทธิ์ ตามกฎหมายหรือไม่ ขอขอบคุณครับ พ่อท่าน : หลายประเด็นเหลือเกิน ที่ถามมานี่ ก็ตอบเท่าที่จำได้ ตอบรวมๆ ไปก็แล้วกัน ไม่เป็นข้อๆละ การศึกษาอันนี้นี่ เป็นการศึกษาที่เรียกว่าอยู่ในระบบ ไม่ใช่ศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาเอกชนการกุศล มาตรา ๑๕(๓) เป็นการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการโดยตรง การกุศลที่ว่านี้ไม่มีแป๊ะเจี๊ยะ ไม่มีการรับเงิน จริงๆ อย่าว่าแต่ไม่รับเงินใดๆเลย ห้ามพ่อแม่เอาเงินไปใส่มือลูก ในขณะเป็นนักเรียนที่นี่ ถือว่าเป็นความผิด ถ้าพ่อแม่เอาเงินไปให้ลูกไว้ใช้ในโรงเรียน เพราะเด็กอยู่ที่โรงเรียนจะไม่ให้ใช้เงินส่วนตัว จะใช้เงินก็ต้องใช้เงิน ของส่วนกลางของชุมชน เด็กคนไหนจำเป็นจะต้องใช้เงินอะไรก็ไปแจ้งแก่คณะครู ครูที่นี่เราไม่เรียกครู เราเรียก คุรุ เพื่อที่จะให้ต่างกับข้างนอกเขา หรือไม่เราก็เรียกอา เรียกป้า เรียกลุง แต่ส่วนมากจะเรียกอา ไม่เรียกป้า ไม่เรียกน้าเท่าไร คือทำให้เป็นญาติ น้อยมากที่จะเรียกคำว่าครู ครูก็จะใช้ในเวลาที่จะพูดกันเพื่อสื่อ สื่อให้รู้ว่านี่เป็นครู คุรุหรือครูก็เหมือนพ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา เราจะต้อง ทำตนให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เลี้ยงกัน ดูแลกัน เหมือนคนในครอบครัวทั้งหมด ไม่เสียเงินเสียทอง ครูก็สอนฟรี ไม่มีรายรับรายได้ใดๆ ก็เป็นคน ในชุมชนนั่นแหละเป็นครูหลักๆ คนนอกชุมชนเป็นครูมาช่วยสอนก็มีด้วย โรงเรียนสัมมาสิกขาของเราทั้งหมด ขณะนี้มีอยู่ ๑๑ แห่ง บางโรงเรียนนักเรียนยังไม่มาก บางโรงเรียน ครูมากกว่านักเรียน เราสอนกันจริงๆ เรียนเพื่อชีวิต ไม่ใช่เรียนเพื่อเอาความรู้ไปหาเงิน ทีนี้ปรัชญาการศึกษานั้นคือ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา โดยเน้นแบ่งเปอร์เซ็นต์ของการเรียน แบ่งน้ำหนัก ของ ๓ จุดนี้ออกเป็น ศีลเด่นนี่ต้องพยายามที่จะศึกษาให้เด็กศึกษาให้ได้ถึง ๔๐ % ก็คือศีลธรรมนั่นเอง ส่วน เป็นงาน นั้นก็ ๓๕ % สำหรับวิชาการก็ให้ ๒๕ % เพราะอาตมามองเห็นว่า ทุกวันนี้โลกเรานี่เฟ้อ ในเรื่องความรู้ แต่ศีลธรรมด้อยที่สุด การเรียนก็เหมือนกัน ด้อยที่สุดในเรื่องศีลธรรม และแม้แต่เป็นงาน เรียนมาแล้ว ก็ไม่เป็นอะไร ได้แต่ท่องจำ บางทีสอบออกมาก็มีผลได้ด้วย พอสอบออกมาแล้วก็ได้ใบ ได้ใบมา บางคนเก่ง ได้ความรู้มาก แต่ความรู้ต้องเอาไปขายอีกทีจึงจะยังชีวิตรอด ความรู้มันเป็นเปลือก ที่เฟ้อไกลตน ไม่เป็นแก่น ของชีวิต ไม่ได้สร้างเนื้อหาแห่งความเป็นสังคมสงบสุข ของเราจึงเน้นการศึกษา ให้เป็นคนประเสริฐ คนที่เลี้ยงตนได้ ชนิดพึ่งตนเองได้ให้เป็นจริง ส่วนวิชาการเราก็เรียนตามกำหนด หลักสูตรของกระทรวง เราก็เรียนให้ได้ เราเรียนแบบธรรมชาติ อยู่ด้วยกันบางทีตี ๕ เราก็เรียน สอนกันแล้ว ถ้าจะสอนทางวิชาการกัน ส่วนนอกนั้น ก็เป็นชีวิตประจำวัน เราจะมีการศึกษา เหมือนกับมีชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่า การศึกษาที่จะต้อง เอาไปใส่กรอบ บรรจุอยู่ในห้อง ใส่ในตู้ ตื่นเช้ามาก็เข้าไปอยู่ในห้องเรียน พอถึงเย็นก็กลับบ้าน ทำการบ้าน เราจะไม่เอา เราจะเรียนเหมือนกับมีชีวิตประจำวัน มีชีวิตร่วมอยู่กับ สังคมชุมชน เป็นชีวิตร่วมกันหมด บ้าน-วัด-โรงเรียน เพราะฉะนั้นเด็กนักเรียนของเรานี่ ก็จะเหมือนคน ในชุมชน มีงานการเรียนบ้าง มีงานการ ทำงานบ้าง รับผิดชอบส่วนนั้นส่วนนี้บ้าง ประสานอะไรไปกับ สังคมบ้าง งานในชุมชน จะมีกิจการมีงานอะไร เด็กเราก็จะมาช่วยงาน ทั้งเรียนทั้งทำงานทั้งเป็นอยู่ร่วมกัน The whole life เพราะฉะนั้น เด็กของเรา จะไม่แปลกแยก จะไม่แผกแยกจากความเป็นสมาชิก ของสังคม ชุมชน เด็กก็จะเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนจริง การสัมผัสสัมพันธ์กับคน ใครไปใครมา อาชีพทำโน่นทำนี่อะไร เด็กจะร่วมรู้ไปหมด จะร่วมรู้กับสังคม กลุ่มอาชีพ ไม่ใช่ว่ารู้แต่ในตำรา รู้แต่ในห้องเรียน สังคมข้างนอก เป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ เด็กจะรู้เรื่อง สังคม จะรู้เรื่องชุมชน จะรู้เรื่องของวิธีดำเนินชีวิต ภารกิจ กิจกรรม พฤติกรรม พิธีกรรมอะไร เด็กจะร่วมรู้ ของเด็กไปด้วยทั้งหมด เราก็แนะนำสอนเขา อะไรควรทำ อะไร ไม่ควร อย่างนั้นน้อยไป อันนั้นอย่าทำเกินนั้น ไปนะ อันนี้มันมากไป มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา ยังไม่ถึงเวลา วาระอะไร เราก็จะสั่งสอนไปตามชีวิตจริง สรุปแล้วการเรียนการศึกษานี้ก็คือการพัฒนาชีวิต ทีนี้ที่ถามประเด็นหลังๆว่า จบไปแล้วนี่ เราจะไปเรียนต่อ ข้างนอกได้ไหม ได้ เด็กของเราก็จบปริญญาไปก็หลายคน กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ก็มี เราเพิ่งจะตั้งมาได้ ๑๐ กว่าปี เพราะฉะนั้นเด็กของเราที่จบ ม.๖ ไปแล้ว จบปริญญาตรีแล้ว มี ทำปริญญาโทอยู่ก็มี ส่วนมากจะไม่ ไปเรียน มหาวิทยาลัยปิด สอบเอ็นทรานส์ได้ไหม สอบได้ เด็กของเราสอบได้ทุกปีแหละ แต่จะมีเด็กไปสอบ ไม่มากหรอก ปีนี้มีเด็กจบ ม.๖ เพียง ๕๙ คน ทุกโรงเรียนของเครือข่ายอโศก ก็อยาก จะสอบเอ็นทรานส์บ้าง คงจะมีไปสอบ ๑๐ คน ๒๐ คนอย่างมาก ถึงจะมีติดบ้าง คิดเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็เหนือกว่าโรงเรียนต่างๆ ที่มีนักเรียนไปสอบมาก แต่สอบติดก็ไม่มากอะไร โรงเรียนของเรานี่ เรียนวิชาการ ความรู้ตามกระทรวงศึกษา ๒๕ % นี่ จะบอกว่าเราอ่อน ไม่จริงหรอก เพราะเราพิสูจน์มาแล้ว สอบเข้า นักเรียนนายร้อยยังได้เลย ไม่มีคะแนน ช่วยอะไร ก็ไปสอบ นักเรียนนายร้อยยังสอบติด แต่ไปตกสัมภาษณ์ ที่ตกสัมภาษณ์เพราะอะไร เพราะพวกเรา เด็กพวกเราไม่ใส่รองเท้าไปสอบ เขาเป็นพวกศักดินาอยู่หน่อย ตกสัมภาษณ์ แต่ผ่านข้อเขียน สอบทหาร แต่สอบมหาวิทยาลัยมีหมด ไปเรียนอยู่ก็มี สอบได้แล้วไปเรียน ก็มี ที่สอบแล้วก็ไปสอบโก้ๆ สอบแล้ว ก็ไม่เรียนก็มี ไปสอบเฉยๆ อยากจะลองของ มักจะมีคนมาถามบ่อยเหลือเกิน ถามว่าเด็กของเรานี่ สอนแบบนี้ อบรมแบบนี้ แล้วจะไปเข้ากับสังคม ข้างนอก ได้อย่างไร เป็นคำถามที่ยอดฮิตเหมือนกันปัญหานี้ เพราะเขาดูแล้ว ของเรานี่ มันไม่เหมือนคน ข้างนอกเขา กินอยู่ไม่เหมือน รสนิยมไม่เหมือน ค่านิยมไม่เหมือน อะไรพวกนี้ มันไม่เหมือนข้างนอกเขา แล้วเขาก็มักถาม อาตมาก็เลยบอกให้พวกเรานี่ไปตอบเขา เราไม่ได้ทำเพื่อที่จะให้ได้เป็นอย่างเขา เราสอน ไม่ให้เป็นอย่างเขา เราสอนให้เป็นคนที่อยู่สบายกว่าเขา แล้วไม่ต้องไปเป็นอย่างเขา เพราะฉะนั้นคำถาม จึงเป็นคำถามที่ตอบยาก เด็กจะเข้ากับเขาได้ไหม เป็นอย่างเขาได้ไหม อ้าว ! เราไม่ได้สอนให้เป็นอย่างเขา อย่างเขาไปติดอบายมุข ไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยอะไรต่ออะไรอย่างนี้ มันไม่เป็นหรอก แต่เราเข้ากับเขาได้ไหม สบายๆ แล้วไม่เปลืองอย่างเขาด้วย อยู่กับเขา เขากิน เขาใช้ อะไรต่ออะไรต่างๆนานา เขามีมือถือ เขามีไอ้โน่น ไอ้นี่ฟุ้งเฟ้ออะไร เราก็ไม่มีปัญหา นอกจากเขามีความจำเป็น จะต้องรับผิดชอบงานการ สมเหมาะ กันมากขึ้น ก็ว่าไป แต่ถ้าเผื่อว่าไม่มีหน้าที่ ไม่มีความสมควรที่จะมีอะไร ก็ไม่ต้องมี ใช้วิจารณญาณ จะต้องมีมือถือ มีเครื่องใช้ อะไรที่เกินเฟ้อ มันสมควรจริงหรือ ก็ต้องสำรวจความจริง ของตนๆ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เด็กจบ ออกไปจากที่นี่แล้ว เขาจะทำงานเป็น บางคนนี่ถึงขั้นเป็นอาชีพ ได้เลย เพราะฉะนั้นเด็กที่นี่จบ ม.๖ แล้ว เรียนต่อก็มาก ส่วนผู้ที่ทำงานอาชีพเลี้ยงตนมีรถส่วนตัวกันหลายคนแล้ว แค่จบ ม.๖ ออกไปไม่กี่ปี ๓-๔ ปี ก็มีรถส่วนตัว มีกิจการส่วนตัว ส่วนหนึ่งก็สมัครใจอยู่เป็นสมาชิก ของชุมชน ต่อไปเลย ก็มีไม่น้อย อยู่ในชุมชนก็สามารถเรียนต่อได้ด้วย มีเงินส่วนกลางส่งเสีย แต่ต้องเรียน มหาวิทยาลัย เปิด ไม่ไปเสียเวลาเรียนอย่างมหาวิทยาลัยปิด ก็จบปริญญากันมามากคนแล้ว ก็ได้ประโยชน์ เหมือนกัน นำความรู้ ที่ได้เพิ่มเติมมาทำงานให้กับชุมชนตามที่เราเลือกเหมาะสม ส่วนในชุมชนเรามีกิจการของชุมชน มีงานของชุมชน งานของหมู่บ้าน เพราะฉะนั้น เด็กนักเรียน อยากมี งานอะไร ฝึกงานอะไร อยู่ในนี้หมด อยากจะฝึกงานอะไร ฝึกเอาจริงๆจังๆ เอาจนเป็นเลย เอาให้ได้เลย ฝึกได้หมด ใครสนใจเด็กคนไหนมีพรสวรรค์ มีนิสัยอยากจะเข้าไปฝึก ไปศึกษาเอา ก็แล้วแต่ เด็กคนไหน ต้องการได้ อย่างนี้เป็นต้น เขาก็จะเข้าไปฝึก เพราะฉะนั้นจบ ม.๖ ๖ ปีนี่ เด็กทำกิจการอะไรเป็น ทำเป็น จริงๆ ไม่ใช่ว่าทำแค่ฉาบฉวย ฝึกหัดสองสามครั้ง ออกแบบสองสามที เข้าห้องแล็บสองสามครั้ง ออกมาทำ ข้อสอบได้ ไม่ใช่ ฝึกได้ฝึกเอา ทำกันจริงๆ สรุปแล้วก็คือ การสอนการเรียนนี้ เน้นคุณธรรมศีลธรรมนำหน้า และทำงานเป็น พึ่งตนเองด้วยเรี่ยวแรง ความสามารถ ก่อนที่จะตื่นตัวกันเรื่อง"วิถีพุทธ"ขึ้นมานี่ ซึ่งก็เพิ่งไม่กี่ปีมานี่เอง อาตมาพาเน้นเรื่อง ศาสนา มาก่อนแล้ว ทำมาตั้ง ๑๐ กว่าปีแล้ว เริ่มตั้งโรงเรียนสัมมาสิกขาก็ใช้วิถีพุทธมาตั้งแต่เริ่มแรกมาเลย เด็กที่จบ ออกไปจึงอยู่กับสังคมชนิดมีคุณธรรมในสังคม ไม่ไปก่อเรื่องในสังคม อาตมาเห็นว่า การเรียนทุกวันนี้นี่ เป็นการเรียนที่...เรียนแล้ว ไม่ได้เรียนมาเป็นคนดีของสังคม แต่เรียนเพื่อ เป็นคนเก่งของสังคม อาตมาเห็นความบกพร่อง หรือว่าความล้มเหลวของการศึกษาของโลกก็คือ เรียนไป เพื่อที่จะติดอาวุธไปแย่งชิง มหาวิทยาลัยใดๆก็ตาม สอนให้ผู้ที่จบออกไป เพื่อที่จะแย่งชิง ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขให้แก่ตัวเอง เพื่อร่ำ เพื่อรวย เพื่อใหญ่เพื่อโต เพื่อที่จะได้มามากๆจากสังคม อันนี้ อาตมา ถือว่าเป็นความล้มเหลวของสังคม จึงเป็นการศึกษาที่ล้มเหลว เพราะฉะนั้นก็เลย ไม่เอา เน้นศีลธรรม ให้เขารู้จักมักน้อย สันโดษตามพุทธ ตามที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ เพราะฉะนั้น เด็กเขา ก็จะได้ รับซับซาบไป อย่างน้อย ๖ ปีนี่ ก็ได้แน่นอน มากหรือน้อยแล้วแต่ นอกจากว่าเด็กที่จะมี รากฐานเดิม ของจิตวิญญาณ ที่กิเลสหนา ก็จะรับได้น้อย แต่ส่วนมากเด็กที่กิเลสมากก็จะอยู่ไม่ค่อยรอด ต้องออกกลางคันก็ไม่น้อย ถ้าเด็ก กิเลสหนาอยู่กับพวกเรานี่จะอยู่ยาก แม้แต่สอบเข้า ก็ยาก เด็กจะสอบเข้า ของเรานี่ยาก โรงเรียนสัมมาสิกขา จะรับแต่ ม.๑ เท่านั้น ไม่รับกลางคัน เด็กจบ ม.๒ ม.๓ ม.๔ ม.๕ มา จะมาเรียนกลางคัน ไม่รับ รับ ม.๑ เท่านั้น เพราะฉะนั้น เด็กจะอยู่กับเรา ๖ ปี ดังนั้นใครจะมาเข้าโรงเรียนนี้ ก็ต้องมาเริ่มต้นตั้งแต่ ม.๑ ใหม่ ซึ่งมันก็มี ประหลาด เด็กที่จบจากข้างนอกนี่ จบ ม.๒ มา ก็มาลดชั้น ม.๓-ม.๔ ก็เหมือนกัน เข้ามาก็ต้อง มาลดชั้นเริ่มต้นเรียน ม.๑ ใหม่ แต่เราก็มี หลักเกณฑ์ว่าถ้าเด็กคนไหนดี วิชาการก็ใช้ได้ เมื่อมาเรียนที่นี่แล้ว เขาก็มีศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชาได้เร็ว เราก็ Pass ชั้นให้ ขนาดนั้นก็มีเด็กไม่ยอมขึ้น มันเป็นเรื่องประหลาด จริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องการศึกษาของเรา เท่าที่พอจะหยิบมาบอกเล่าได้ ที่ถามว่าจะส่งไปศึกษาในต่างประเทศไหม ตอนนี้ยังไม่มี และยังตอบตายตัวไม่ได้ทีเดียว เพราะเรื่อง การศึกษา นี้ อาตมาส่งเสริมอย่างยิ่ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะควรด้วย แม้การศึกษาโดยทั่วไป จะล้มเหลว อย่างที่อาตมากล่าวไปแล้ว มันเป็นโลกีย์ไปหมด แต่ในอนาคตก็อาจมีการส่งคนไปเรียน ต่างประเทศ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า ไปเรียนอะไร คนนั้นสมควรส่งไปเรียนไหมด้วย ส่วนทุนรอนที่ถามมานั้นว่าได้มาจากไหน เรามีระบบสาธารณโภคี มีกองกลางของชุมชน เพราะฉะนั้น การศึกษา เราก็ใช้ทุนรอนของส่วนกลางชุมชน ซึ่งถ้าใครจะมาบริจาคก็ได้ แต่เราไม่เคยไปขอเอาจาก ผู้ปกครองเด็ก ถ้าใครจะมาช่วยบริจาคให้กองกลางก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้มาบริจาคเราก็ไม่เคยไปเรียกเก็บเอา ผู้ที่มาบริจาคให้การศึกษาจริงๆก็มีบ้างแต่น้อย ผิดจากต่างประเทศเขาเลย เรื่องการศึกษานี่เขาให้กันมาก แต่อาตมาคิดว่า ในอนาคตข้างหน้าคงจะมี เพราะเขาไม่รู้กัน ทุกวันนี้เราก็ยังช่วยกันได้ ไม่เดือดร้อนอะไร เรื่องจะเลียนแบบเราได้หรือเปล่านั้น เรายินดีที่จะให้เลียนแบบอย่างยิ่ง ถ้าสงสัยข้องใจที่จะให้ได้ แบบอย่างนี้ ก็ยินดีเลยขอให้บอก ไม่สงวนลิขสิทธิ์เลย ไม่จดสิทธิบัตรด้วย ไม่ต้องขโมย เอาไปได้เลย เต็มใจที่จะให้ได้ อย่างที่เราเป็น อย่างที่เรามีอย่างยิ่ง ถาม : ทำอย่างไรจึงจะทำการศึกษาอย่างที่ท่านทำนี้ไปให้ทั่วทุกจังหวัด ที่บอกว่าปฏิรูปการศึกษานั้น ผมก็เห็นว่า ยังไปไม่ถึงไหนเลย พ่อท่าน : อาตมายินดีอย่างยิ่งเลยนะ ถ้าระบบการศึกษาอย่างนี้จะแพร่ไปได้ แต่อาตมาตอบไม่ได้ว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะอาตมาไม่ได้เป็นนักพยากรณ์ด้วย แต่ทุกวันนี้ก็เห็นอัตราการก้าวหน้า อยู่ในการเกิด แต่ก่อนมีแค่โรงเรียนเดียว แล้วก็เพิ่มขึ้นๆ ทีนี้ในการเกิดนี่ ไม่ได้อยู่ที่มีเงินมีสถานที่ แล้วจะสร้างขึ้นมา มันไม่ได้ อยู่ที่วัตถุหรือสถานที่ แต่มันอยู่ที่คน ต้องมีคนที่จะมีคุณธรรม คุณภาพ คุณสมบัติ เพียงพอที่จะ เป็นครู นั้นหนึ่ง สองการเรียน โรงเรียนจะต้องประกอบไปด้วย บ้าน-วัด-โรงเรียน คือจะต้องประกอบไปด้วย องค์ประกอบของชุมชน และวัดด้วย อย่างน้อยจะต้องสร้างคน จะต้องมีคน มีคุณธรรม มีวัด มีคุณสมบัติ เพียงพอที่จะเป็นครูได้ จะต้องมีครูที่รับผิดชอบในด้านวิชาการ รับผิดชอบ ในเรื่องของงานการอาชีพ รวมถึง เอาใจใส่ดูแลคุณธรรมด้วย จึงจะทำโรงเรียนอย่างนี้ได้ อาตมาเห็นว่าเรื่องมวลปริมาณเป็นเรื่องรอง มันจะมากขึ้นไม่ได้เลยถ้าคุณภาพคุณธรรมยังไม่มากพอ แต่ละปีๆ เราไม่ได้รับเด็กมาก เพราะเราคัดเลือกมากเลยกว่าจะรับได้ เราไม่ได้ทำโรงเรียนอย่างการค้า เราจึงเพิ่มมากไม่ได้ เราไม่ได้จ้างครูอย่างโรงเรียนทั่วๆไปเขาทำ ใครจะมาเป็นครูที่นี่ไม่มีเงินเดือนรายได้ และต้องเต็มใจมาทำด้วย ดังนั้นจะเพิ่มได้หรือไม่ได้อยู่ที่มีครูที่มีคุณภาพคุณธรรมพอไหม เพราะฉะนั้น ที่ถามนี่จะแพร่ไปทั่วประเทศได้ไหม ก็ตอบไม่ได้เลย มีอยู่คำถามหนึ่งฟังแล้วก็ขำๆดี พ่อท่านเองก็ตอบได้สนุกไม่แพ้กับคำถามที่ได้รับ ซึ่งก็ฟังไว้เป็นเกร็ด สนุกไป เท่านั้นเอง คือมีผู้ถามว่า ทำอย่างไรจึงจะเอาพวกรัฐมนตรีทั้งหลาย ก่อนจะไปเป็นรัฐมนตรี ให้มาผ่าน การอบรมจากท่าน เหมือนอย่างผู้จะเป็นผู้พิพากษาได้ต้องผ่านการอบรมจากท่านพุทธทาสก่อน พวกรัฐมนตรี เหล่านั้น จะได้มาฝึกตัวปั้นดินหรือมาทานมังสวิรัติ ไม่ไปกินเนื้อสัตว์จิตใจจะได้ไม่เป็นอย่างนั้น พ่อท่านตอบว่า "แหม อาตมายินดีมากเลย แต่ถามว่าใครจะเอากระพรวนไปผูกคอแมว เรื่องนี้เราไม่รอ เราไม่หวัง แต่เราทำก็แล้วกัน ถ้าคิดว่าสิ่งนี้ดี และเมื่อสังคมมองเห็นได้ว่าสิ่งนี้ดี ก็คิดว่าจะเป็นไปได้ทั้งนั้น" ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ด้วยโอวาทที่พ่อท่านให้กับศิษย์เก่าสัมมาสิกขา(๒๙ ก.พ.) ที่ได้มาร่วมประชุม เตรียมงาน "คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา" ครั้งที่ ๒ "พวกเราเป็นวัยเจริญที่จะสืบต่อจากผู้ใหญ่ ที่อาตมานำพาทำ จนมาถึงตอนนี้ เป็นเพียงรูปร่างเท่านั้น อาตมาเห็นว่ามันมีคุณค่ามากทีเดียว มันลึกซึ้งเกินกว่าจะคาดคะเน ถ้าพวกเรา มีคุณธรรมของพุทธธรรมมากกว่านี้อีก มันจะดีกว่านี้ขึ้นอีกเท่าไร ถ้าเราอุดรูรั่วได้มากกว่านี้ มีน้ำใจมากกว่านี้ มันจะดีขึ้นจริงๆ ถ้าไปเอาอย่างทุนนิยมจะได้ขนาดนี้หรือ มันไม่ได้ อาตมาอยากให้เจริญเร็วๆ เพื่อพวกเราจะได้เห็นด้วย อาตมาก็ได้เห็น จึงต้องพยายามพากเพียรทำ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาปิด เป็นศาสนาเปิด เรารู้โลก รู้แล้วเราก็อยู่เหนือโลกีย์ เค้าจะฆ่าแกงกัน แต่จะละเว้นเรา เราจะเป็นกลางช่วยเหลือคนอื่น และมันก็เป็นไปได้ด้วย เขาต้องเอาเพราะว่ามันดี และ เป็นทางเลือกทางเดียว ถ้าใครเห็นว่ามีลัทธิใดที่มันดีกว่านี้ อาตมาก็จะไปเข้าร่วมด้วย แต่ตอนนี้มันยังไม่มี หลายๆอย่างที่เราพยายามเสนอให้สังคมตามแนวทางพุทธก็เห็นว่าดีวิเศษ แต่เราก็ยังทำได้ไม่มาก ถ้าเรา ทำได้ มากกว่านี้จะสุดวิเศษ โลกทั้งโลกจะหันจ้องมาทางนี้ พูดไปเหมือนหลงตัวเอง แต่ว่าเราไม่ได้หลง หรอก เราไม่ได้เป็นคนมืดบอดไม่ได้งมงายอะไร ก็ให้พวกเราพยายามทำตาม อย่าไปหลงกับโลกเค้าเลย ความรู้ ของพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของความรู้แล้วว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุดที่ดีที่สุด ที่สบายที่สุด วิเศษที่สุด อาตมาก็พยายามพิสูจน์อยู่ว่าสุดยอดแห่งคนจะขนาดไหน ถ้าเราเชื่อ อย่าเสียชาติเกิดเลย พิสูจน์ให้ได้ สักชาติได้ไหม ชาติหน้าค่อยไปหัวหกกันขวิดก็ไม่ได้ว่าอะไร ฝากเอาไว้คิด ฟังให้เข้าใจและฝากเอาไว้คิด ก็หยิบเอาไปย่อย พิจารณาไตร่ตรองกันเอาเองก็แล้วกัน" - รักข์ราม - - สารอโศก อันดับที่ ๒๗๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ - |