สมณะโพธิรักษ์ บทเทศนาจากริมฝั่งน้ำมูล

นี่คือ บทสัมภาษณ์ครั้งแรกในรอบ ๑๐ ปี ของผู้นำทางจิตวิญญาณที่ได้รับการกล่าวขาน มากที่สุดคนหนึ่ง ของประเทศไทย

ผู้นำที่กล้าท้าทายระบบทุนนิยม อันเป็นคำตอบเดียวที่โลกยังคงเชื่อถือศรัทธา อยู่ด้วย สิ่งที่เรียกว่า บุญนิยม

เปิดใจคุณให้กว้าง ก่อนอ่านบทสนทนาต่อไปนี้


*** ผู้อ่านรุ่นใหม่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าท่านสมณะโพธิรักษ์เป็นใคร อยากให้ท่าน ช่วยเล่าประวัติคร่าวๆให้ฟังหน่อยครับ

อาตมาเรียนมาด้านจิตรกรรมมาโดยตรง ตอนนั้นก็ยังสงสัยเกี่ยวกับตัวเอง ว่าทำไม ต้องมาเรียน pure art แต่อาตมาก็ชอบ และทำ หมดทุกอย่าง เกี่ยวกับศิลปะ เพราะศิลปะ เป็นแกนของทุกสิ่ง แต่ทุกวันนี้ศิลปะกลายเป็น มหรสพ มันเป็นอนาจาร มันเป็นลีลา มันไม่เอาแก่น ตอนนี้สิ่งที่มีผลต่อสังคมมากก็คือ วรรณกรรม drama และ music เพราะยุคนี้ คือ ยุคสื่อสารมวลชน

ช่วงที่ทำงานอยู่อาตมาออกไปสู้กับคนอื่นเยอะมันเห็นทุกข์เลยคิดว่าออกมาดีกว่า ถ้าเราจะไปแข่งสู้ อย่างนั้นมันบาป บางคนบอกว่า อาตมาออกมาทำงาน อยู่ตรงนี้ เพราะอยากเด่นดัง อาตมาจะทำทำไมในเมื่ออาตมาอยู่ตรงนั้นก็ดังอยู่แล้ว เมื่ออาตมา ไม่เอาทางโลก ก็มาทางธรรม อาตมาเป็นพุทธต้องมาทางธรรม มาศึกษามาปฏิบัติ อย่างไม่มี อาจารย์แนะนำ บางคนบอกว่า อาตมาไม่มีอาจารย์ แล้วคิดเองได้ ก็เป็น พระพุทธเจ้าซิ ไม่ใช่อย่างนั้น อาตมา เป็นแค่โพธิสัตว์ ไมใช่มหาโพธิสัตว์ เขามาประชด อาตมาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่ความจริงแล้ว อาตมาเป็นแค่ลูกพระพุทธเจ้า สืบสาน ศาสนาของพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติ ธรรมได้แล้ว ก็ออกมาเริ่มต้นทำงาน ทางด้าน ช่วยเหลือคน อาตมามาทำทางนี้ เพราะมัน born to be ไม่ได้ฟลุ๊ค



*** ช่วงที่ก่อตั้งชุมชนสันติอโศกมีความคิดริเริ่ม หรือมีที่มาอย่างไร ?

ชุมชนสันติอโศกเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติของศาสนาพุทธ เมื่ออาตมาศึกษาจนมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่ค้นพบเป็นศาสนาพุทธที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิจริง ก็นำมาประกาศให้คนฟัง ให้คน ได้เรียนรู้

ตั้งแต่เริ่มประกาศมาก็มีคนฟังรู้เรื่องเข้าใจ แล้วปฏิบัติตามจนเกิดมรรค เกิดผล จนกระทั่ง สามารถเกิดความชัดเจนในชีวิต แล้วก็เริ่มมากขึ้นๆ จนรวมเป็นหมู่ขึ้นมา อยู่กันแบบสังคม โดยธรรมชาติ ไม่ได้ดึงคนแยกออกไปโดดเดี่ยวเหมือนฤาษี ดาบส ที่แยกความจริง ออกจากมนุษยชาติ

มนุษย์เป็นสัตว์โขลง อยู่กันเป็นสังคม มีวัฒนธรรม มีพิธีกรรม กิจกรรม พฤติกรรม ที่ผสาน สมานกันอยู่ อาจมีทะเลาะกันได้ แต่ไม่มีศาสนาไหนหรอกที่สอนให้ทะเลาะกัน มีแต่สอน ให้สมัครสมานสามัคคีกัน แต่อยู่ที่ว่าใครจะมีทฤษฎีที่เยี่ยมกว่ากันเท่านั้นเอง ซึ่งศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่อาตมายืนยันว่าเยี่ยม เป็นศาสนาที่เป็นภราดรภาพ เป็นอิสรภาพ เป็นสันติภาพ มีสมรรถภาพอยู่ข้างใน และบูรณภาพด้วย เป็นศาสนา ที่มีอย่างนั้นจริงๆ

เมื่ออาตมาศึกษาตรงนั้นจนเข้าใจและเห็นความจริงแล้ว จึงกล้าที่จะถอนชีวิตจากเดิม กล้าที่จะทิ้งชีวิตในแนวทางเดิม คำตอบของแนวทางใหม่ที่ได้คือ อาตมาเป็นคนที่ เห็นแก่ตัว น้อยลง หรือไม่เห็นแก่ตัวเลย ไม่ใช่ไปพึ่งความเห็นแก่ตัวเหมือนระบบทุนนิยม

เมื่อคนมาปฏิบัติแล้วจะเห็นว่าการให้เป็นสิ่งที่ดี กิเลสในตัวก็ลดลง บางคนลดได้มาก บางคน ก็ลดได้น้อย บางคนเห็นพอสมควรถึงขีดหนึ่งแล้วก็ไม่ปฏิบัติต่อ แต่ถ้าฝึกได้ถึง ระดับ เป็นโสดาบัน เป็นอนาคามี เขาก็จะลด ละ เลิก ถ้ามีคุณธรรม มีจิตใจถึงระดับ อนาคามี เขาก็จะไม่สะสมแล้ว ทรัพย์ต่างๆจะไม่สะสมเอาไว้มากๆ ความรู้ทาง เศรษฐศาสตร์ เริ่มขึ้นแล้ว ถ้าเราสะสมเอาไว้มากๆ คนอื่นก็ขาดแคลน การกักตุน เมื่อมีมากๆเราก็ใช้ไม่หมด ไม่ถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ การสะพัดออกดีกว่า ทรัพย์ไม่ได้อยู่ที่เงินทองบ้านช่อง ทรัพย์อยู่ที่ความขยันของมนุษย์ อยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกย ถ้าเราขยันเราก็สามารถกินน้อยใช้น้อยได้ ตนเป็นที่พึ่ง แห่งตนเองได

เมื่อคนคิดเช่นนี้มารวมกันมากขึ้นก็เป็นระบบสังคมกันขึ้นมา มีอาชีพ มีการงาน มีกิจกรรม มีพิธีกรรม แล้วคนก็จะพัฒนาพฤติกรรมของตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ พฤติกรรมเหล่านี้ ก็จะมา ก่อเกิด เป็นพิธีกรรม กิจกรรมเกิดขึ้นมา พิธีกรรมเป็นกรรม หรือเป็นงานของมนุษย์ ที่แสดงออกมาทางจิตวิญญาณ ส่วนกิจกรรมก็จะเน้นไปทางอาชีพ ทางวัตถุ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องอาศัยทั้งทางจิตวิญญาณและทางวัตถุ แล้วก็ค่อยพัฒนาการ กันขึ้นมาเป็น สังคมที่มีระบบ อาตมาจึงตั้งชื่อระบบนี้ว่า ระบบ"บุญนิยม"



*** อะไรคือแก่นของบุญนิยม ?

แก่นของบุญนิยมคือไปนิพพาน เพราะฉะนั้น ก็จะมีหลายบริบท หลายๆงานหลายๆหน้าที่ อยู่ที่ชีวิต ต้องอาศัยกิจกรรม พิธีกรรมร่วมกันจึงจะเกิดเป็นรูปแบบ เป็นประเพณี เป็นโครงสร้าง เป็นกระบวนการของกิจขึ้นมา จนในที่สุด จึงกลายเป็นชุมชนสันติอโศกขึ้น

๒๐-๓๐ ปีก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่ยังไม่สมบูรณ์ทีเดียว สรุปแล้วเรื่องของสังคมบุญนิยม นี่ เกิดขึ้นมาด้วยการมาท้าทายทฤษฎีของพระพุทธเจ้า จนอาตมาได้พบ และคิดว่า ทฤษฎีอย่างนี้ถูกต้อง อย่างคนอื่นเขาก็ว่า ของเขาถูก แต่อาตมาเชื่อว่าอย่างนี้ถูกกว่า แล้วเราก็เอามา อบรมสั่งสอน มาพิสูจน์กัน จนเกิดเป็นจริงขึ้นมา ถ้าไม่จริงคนที่มาฝึก เขาก็ไป เรื่องที่เขาเข้ามาพิสูจน์คือ ไม่เอาได้จริงไหม ไม่โลภ ไม่โกรธ ได้จริงไหม จนแล้ว อยู่ได้จริงไหม ถ้าพิสูจน์แล้วไม่จริงก็ไป นี่คือแนวคิดในทฤษฎีนี้ จนแล้วอยู่เป็นสุข ดีกว่า การไปเอาของเขามา มันอยู่ไม่เป็นสุขหรอก เสพมากๆก็เหนื่อย เลิกเสพเถอะ เลิกติดเถอะ อย่างนี้ดีกว่า เมื่อเขาเห็นดีเขาก็มาเลิกเสพ เลิกติดกัน ดังนั้นจึงเกิดสังคมคนอย่างนี้ขึ้นมา มีแนวทางร่วมกัน มีเจตคติร่วมกัน มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน มันก็เริ่มขยายกันขึ้นมา แต่ยังขยาย ได้ไม่มาก



*** ในเมื่อคนส่วนหนึ่งลองปฏิบัติแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งดี เป็นประโยชน์ ทำไมถึงไม่สามารถ ขยายในสังคมวงกว้างได้มากนัก

ที่ขยายได้ไม่มากเพราะมันมีสนามแม่เหล็กของทุนนิยม สนามแม่เหล็กของโลกีย์มันใหญ่ พลังฉุดรั้งมันมาก สนามแม่เหล็กของทุนนิยม สนามแม่เหล็กของโลกีย์ มันมีความ ควบแน่น มีแรงเหนี่ยวนำสูง เราเกิดมาท่ามกลางสนามแม่เหล็กอันนี้ เราซ้อนทับอยู่ ดังนั้น เราต้องควบคุมตัวเองไม่ให้สนามแม่เหล็กของโลกีย์ สนามแม่เหล็กของทุนนิยม มาโน้มน้าว ฉุดรั้งเราไปได้ เราต้องเพาะสร้างสนามแม่เหล็ก ที่มันตรงข้ามกับ ทุนนิยม ขึ้นมาป้องกันตัวเองไว้

แต่สิ่งที่เรียกบุญนิยมนี้ไม่ไปค้านแย้งกับทุนนิยม ไม่เป็นภัยกับทุนนิยม มันเป็นศาสนา ที่ลด ละ ปลด ปล่อย และให้ เป็นลัทธิที่ให้ แต่กับทุนนิยมนี่เป็นลัทธิที่เอา มีแต่เอา กอบโกย รวยเท่าไหร่ ก็ไม่พอ คนทุนนิยมนี่ เหมือนตระกูลเดียวกัน คือ ตระกูล"เอา" สะสม ความร่ำรวย ต่างคนต่างจะรวย เขาจึงแย่งกัน ฆ่าแกงกัน แต่ของเรานี่เป็นอีก สายพันธุ์หนึ่ง เป็นสายพันธุ์ที่"ให้" ใครได้ให้คนนั้นวิเศษ ใครได้ให้คนนั้นเป็นประโยชน์ เพราะมันเป็นกุศลที่ดีงาม ใครปฏิบัติการให้จนสำเร็จ คนนั้นก็จะสำเร็จไปเรื่อย คนหนึ่งให้ อีกคนหนึ่งเอา จึงไม่ทะเลาะกัน จึงอยู่ด้วยกันได้ ทุนนิยมมีแต่เอากับเอา มันทะเลาะกัน แต่กับเรามีแต่ให้กับให้มันก็เหลือ ทรัพย์ของคนอยู่ที่ความขยัน และ สมรรถนะของคน เราก็สร้างมากๆ แล้วก็กินให้น้อย ใช้ให้น้อย เราอย่ากินมากนัก เราอย่าหลงโลก ที่พาเรา ไปผลาญ



*** เมื่อมีคนสนใจอยากก้าวเข้าสู่ระบบบุญนิยมเพื่อมาปฏิบัติตนให้ลด ละ เลิกกิเลส แต่ในความเป็นจริงแล้วเขายังคงต้องอยู่ในระบบทุนนิยม ต้องผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ต้องดูแลลูก และยังมีภาระต่างๆอีกมากมาย บุญนิยมจะตอบคำถามนี้อย่างไร ?

อาตมาตอบได้เลยว่า เราต้องเป็นคนที่ไม่มีกิเลสตั้งแต่ต้น ไม่มีกาม ไม่มีลูก ไม่มีกิเลส ที่ต้องมีทรัพย์ มีบ้าน ถ้าเรามั่นใจใน "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" เราก็พอกินพอใช้ มีความมั่นใจ ได้เลยว่า พอกินพอใช้ เพราะเราทำมากกว่ากิน สมรรถนะเรามากพอ ที่จะทำกิน ทำใช้ เราไม่ต้องไปผลาญกิเลสทางกาย เราจะป่วยน้อยกว่า แต่อย่าลืมว่า คนเป็นสัตว์สังคม แม้คนจะเข้าใจสิ่งที่อาตมาทำได้ยาก แต่ก็ยังมีคนเห็นได้ ในสิ่งที่อาตมา ได้พิสูจน์ ออกมาแล้ว คนเราต้องมีกลุ่ม มีหมู่ ต่างคนต่างมาพึ่งพากัน ไม่ใช่แค่คน ในสายเลือด เท่านั้น เราเห็นแก่ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน แล้วความลำเอียงก็จะลดลงไป คนมีคุณธรรมสูง ก็จะได้รับการยอมรับ มันเป็นสัจธรรม เป็นสังคมภราดรภาพ พึ่งพา อาศัยกันได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปปกป้องตัวเองมาก สังคมจะคอยดูแลให้ อย่างใน ชุมชน สันติอโศกคนทำงานเอาเงินมารวมกันไว้เป็นกองกลาง ทำอย่างนี้ บางคนมองว่า เป็นคอมมิวนิสต์หรือเปล่า อาจมีส่วนคล้าย แต่คอมมิวนิสต์ ยังมีเก็บสมบัติส่วนหนึ่ง ไว้เป็นส่วนตัว รัฐเอามากหน่อย ประชาชนถูกบังคับให้เอาเงินมาเป็นส่วนกลาง อย่างเรานี่ ไม่ได้บังคับเลย

ระบบนี้เรียกว่า ระบบสาธารณโภคี เราเอาเงินเข้ามาที่ส่วนกลางทั้งหมด เอามาอย่าง เข้าใจ อย่างมีปัญญา อย่างเต็มใจจะให้ ล้างกิเลสตัวเอง และเรามั่นใจว่า คนที่บริหาร เงินส่วนกลาง ทำงานด้วยความสุจริต เห็นแก่ตัวน้อย ถ้าเราเอาระบบบริหารนี้ไปใช้ ในสังคมระดับสูงขึ้นไปก็จะดี ดึงเอาส่วนกลางมาบริหารด้วย เอาคนดีมาบริหาร ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทยอะไรก็แล้วแต่ เมื่อคนดีขึ้นไปบริหาร ก็จะกระจายความดี ไปถึงคนอื่น เพราะฉะนั้น ระบบสาธารณโภคี จะมากอบกู้ คนทั้งโลกเลย คอมมิวนิสต์สู้ไม่ได้ ประชาธิปไตยสู้ไม่ได้

ระบบบุญนิยมที่ทำอยู่นี้มีความเป็นเอกเทศ เป็นชุมชนที่มีอิสระและเสรีภาพ เมื่อคุณ อยู่ในสังคมนี้ คุณก็ต้องปฏิบัติตามเขา เมื่อคุณไม่อยากอยู่คุณก็ออกไปได้ ไม่ได้ห้าม เหมือนกับคอมมิวนิสต์ เมื่อสมัครใจอยู่ก็อยู่ แต่เมื่อทำตัวเป็นแกะดำคุณก็อยู่ไม่ได้ คุณก็ต้องออกไป

ตอนนี้ศาสนาพุทธปฏิรูปไปแล้ว เมื่อปฏิรูปแล้วมันก็ไม่มีมรรคผลของศาสนา จริงๆแล้ว อาตมาพาพิสูจน์เกินกว่าพระพุทธเจ้าอยู่นิดหน่อย เกินที่ว่าคือ ตอนที่พระพุทธเจ้าพิสูจน์ อยู่ในยุคที่สังคมเสื่อมแล้ว สิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทำไม่ได้ในตอนนั้นคือชุมชนสาธารณโภคี ท่านทำได้ ในสังคมสงฆ์เท่านั้น ไปถึงขั้นฆราวาสไม่ได้ เพราะในสังคมตอนนั้น ยังเป็น สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นสังคมทาส และยังไม่มีความเข้าใจ ในเรื่องสิทธิมนุษยชน พระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถล้มล้างระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ จึงทำให้เกิดระบบ สาธารณโภคีขึ้นไม่ได้ ตอนนี้อาตมาก็เลยเอาตรงนั้น มาขยายลงไป ในสังคมฆราวาส และขยาย จนเกิดเป็นสังคม สาธารณโภคีได้

เมื่อโลกถึงวาระหนึ่งก็จะมาเอาสังคมบุญนิยมไปใช้คือ เมื่อสังคมมันทุกข์กัน ขนาดหนัก มันเข่นฆ่า แย่งชิงกันรุนแรง เมื่อไม่มีทางออก ก็จะมีทางนี้ทางเดียว อีกอย่างคือ ทรัพยากรโลก มันไม่พอแล้ว ลัทธิบุญนิยม ต้องรีบสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ได้มามากกินมาก แบบทุนนิยม เมื่อทุนนิยมมันฆ่ากันเองมันก็จะล้างกันไปหมดแล้ว มันก็จะตาย คนที่ไม่ได้ ไปเกี่ยวข้องก็จะอยู่รอด โลกจะสงบลงและเหลือคนดีอยู่ คนดีก็จะมากขึ้น คนเลวที่เหลือ ก็จะฝ่อลง โลกก็จะรุ่งเรืองไปอีกนาน



*** ในยุคปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ต้องศึกษาวิชาการต่างๆ โดยมีกระแสของทุน เป็นตัวนำ การเรียนการสอน ก็เป็นไปเพื่อป้อนแรงงานเข้าสู่ระบบทุนนิยม แต่เมื่อมาเจอ วิกฤตเศรษฐกิจ อย่างภาวะปัจจุบัน ทุนนิยมเองกลับให้คำตอบทั้งหมดไม่ได้ คนรุ่นใหม่ จะมีวิธีการตั้งสติอย่างไร ?

ต้องศึกษาสัจธรรม เมื่อคนรู้ว่าทางที่อาตมาเดินอยู่นี้มันดี ก็จะทยอยเข้ามาแสวงหา คนที่มีภูมิปัญญาดี ก็จะเข้ามาเอา เมื่อเข้ามาเอาก็จะขยายออกไปเรื่อยๆ ทุนนิยม เขาก็แพร่ของเขาไปเรื่อย คนเรามันมีความปรารถนาดีอยู่ เมื่อมั่นใจว่าตรงนี้ดีแท้ๆ เขาก็จะ มาเอาไปใช้ นี่คือความหวังของโลก ของมนุษยชาติ ศาสนาอื่น ก็จะเป็นขั้นตอนหนึ่ง ที่มา เชื่อมโยงกันกับกระบวนการโลกุตระ ศาสนาพุทธเท่านั้น ที่สอนเรื่อง ล้างความเป็นตัวตน ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า ปล่อย เลิก เป็นนิพพาน ทำดีแต่ไม่ยึดติดในความดี มีจิตที่บริสุทธิ์ เราต้องเอาส่วนที่ดีงามของศาสนาพุทธมาใช้ ไม่ใช่ว่า เข้าวัดเอาน้ำมนต์มารด สวดมนต์ ขอพร อย่างเดียว แต่ไม่เคยเอามรรคองค์ ๘ มาสอนกัน

(ตัดตอนจาก นิตยสาร OPEN ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๐ หน้า ๒๔-๓๓)

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๒ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๗ -