- ฝั่งฟ้าฝัน -
อุดมการณ์จริง ต้องทิ้งความสบาย

อุดมการณ์เก่งกล้า ประจญ กิเลสแฮ
ฟันฝ่าอัตตาตน ต่อสู้
มรรคแปดมุ่งฝึกฝน พาสู่ นิพพาน
รวมจิตรวมแรงกู้ ก่อเกื้อพระศาสนา

ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยเปิด ซึ่งมีนักศึกษามากมายหลากหลายอาชีพ มุ่งแสวงหา ความรู้ เพื่อนำความรู้ ไปทำมาหากินเลี้ยงชีพ ชีพที่ยังมอบตนในทางผิด ข้าพเจ้าก็เป็น หนึ่งในนั้นเช่นกัน

เรียนนิติศาสตร์ แต่กิจกรรมที่ทำคืออนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้าพเจ้าเป็นประธาน ชมรม อนุรักษ์ธรรมชาติฯ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมรณรงค์ไม่ให้ทำลายธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชน การช่วยเหลือเด็กยากไร้ ในชนบทและเด็กสลัม เรียนไปด้วย บำเพ็ญประโยชน์ ในกิจกรรม ดังกล่าวไปด้วย

ในความคิดฝันของข้าพเจ้า ถ้าจบแล้วจะไปทำงานราชการ โดยเฉพาะปลัดอำเภอ เพื่อพัฒนาชุมชน ประเทศชาติ โดยอาศัยหน่วยงานของภาครัฐ คงจะช่วยเหลือ ชาวบ้านได้ดี

จากการได้ทำกิจกรรมเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ ทำให้ความคิดของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป ถ้าไปอยู่ในกรอบ ของหน่วยงาน ภาครัฐ คงทำงานได้ไม่เต็มที่ และไม่ได้มากพอ และเมื่อเรียนจบ ข้าพเจ้าก็ไป ทำงานร่วมกับ องค์กรเอกชน พัฒนาชุมชน (NGO) หลายรูปแบบ ตั้งแต่ระดับกลุ่มเกษตรกร หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และ สหกรณ์ยูเนียน ซึ่งเป็นสหกรณ์ที่เป็นมาตรฐาน

ข้าพเจ้าบำเพ็ญประโยชน์และทำงานด้านนี้มาโดยตลอด และประสบความสำเร็จน่าพอใจ ในระดับหนึ่ง ในช่วงที่ข้าพเจ้าทำงาน เพื่ออุดมการณ์ ได้ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค พลังธรรม ซึ่งหัวหน้าพรรค ในสมัยนั้นคือ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ผู้ลงสมัครที่ราชบุรีก็คือ คุณดีแล้ว (ประโยชน์)

ข้าพเจ้าไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เห็นว่าพรรคนี้มีอุดมการณ์เพื่อประชาชนจึงช่วย หาเสียงให้ โดยไม่ได้คาดหวังว่า จะได้รับผลตอบแทนใดๆ

ปี ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าเดินทางมาเยี่ยมลุงดีแล้ว แม้ว่าเป็น ส.ส.สอบตก จุดประสงค์มาเยี่ยม ก็เพื่อจะบอกว่า อย่าทิ้งประชาชนเลย สมัยหน้าก็ลงแก้ตัวได้ แต่ไม่เจอคุณดีแล้ว ข้าพเจ้าก็เลยเดินชมสถานที่ และได้เจอสมณะ สมณะท่านก็ให้หนังสือดอกหญ้า สารอโศกไปอ่านไปศึกษา

เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ทำให้ฉุกคิด ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นสิ่งที่ดี แค่แนวกว้าง แบบสังคมสงเคราะห์ ไม่ได้สร้างคน ไม่ได้พัฒนาจิตวิญญาณ อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าก็มองตัวเอง เราเองไม่ได้สร้างตัวเอง ให้ลดละ กิเลส ไม่ได้สร้างตัวเอง ให้มีโลกุตรธรรม

โอ!...หนอ สิ่งที่ข้าพเจ้าทำยังไม่ได้บุญแนวลึกเลย ข้าพเจ้าเกิดหิริโอตตัปปะ เกรงกลัว ต่อบาป ก็ไปเช็คตัวเอง ตายละหว่า เราเป็นชาวพุทธ แต่เรายังทำผิดศีลผิดธรรม ถึงแม้ข้าพเจ้า ไม่ชอบฆ่าสัตว์ แต่ยังกินเนื้อสัตว์ มันก็ยังผิดศีลข้อ ๑

ศีลข้อ ๒ ข้าพเจ้าเป็นคนไม่เอาเปรียบใครอยู่แล้ว เสียสละเพื่อชาวบ้านอยู่แล้ว

ศีลข้อ ๓ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำผิดนอกใจภรรยาอยู่แล้ว

ศีลข้อ ๔ ผ่านได้ เพราะข้าพเจ้าชอบพูดความจริงเสมอ แม้ความจริงนั้นคนฟัง จะไม่ชอบใจ ก็ตาม

ศีลข้อ ๕ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้กินเหล้า สูบบุหรี่ แต่ยังชอบที่จะดูการพนัน เช่น ดูมวย ดูฟุตบอล ซึ่งมันเป็นอบายมุข อบายมุขในรูปแบบใหม่ของสังคม

เมื่อข้าพเจ้าเช็คตัวเองแล้ว เราไม่ได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ถึงแม้จะช่วยเหลือสังคมก็ตาม ข้าพเจ้าเกิด กลัวบาปขึ้นมา เลยเริ่มมาวัดที่ปฐมอโศกทุกอาทิตย์ และกินอาหารมังสวิรัติ ลดละเลิกเรื่อยมา พาทั้งครอบครัว มาปฏิบัติแนวทางนี้ จนกระทั่งกินมื้อเดียวได้

จากการเป็นนักพัฒนาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็พาพี่น้องชาวบ้านมาที่ปฐมอโศก พามาเรียน วันอาทิตย์ มาเป็นกลุ่มมากขึ้น และข้าพเจ้าก็รวบรวมนักปฏิบัติธรรมมารวมตัวกัน ตั้งเป็นกลุ่ม "กาญจนราช" แล ะขยายวงออกไปหลายจังหวัด ญาติธรรมรวมกลุ่มกันได้ มาประชุมกันทุกเดือนที่วัด ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ปฏิบัติเคร่งครัดขึ้น จนในที่สุด...

ปี ๒๕๓๓ ก็เข้าวัดเพื่อเตรียมตัวบวช แม่บ้านและครอบครัวไม่ขัดข้อง เพราะข้าพเจ้า จัดสรร ภาระวิบาก ได้ลงตัว ก็เข้าวัดเพื่อพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้น เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ไม่ผิดศีลผิดธรรมเหมือนแต่ก่อน ในความตั้งใจบวช ของข้าพเจ้า คือ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒ ด้วยเหตุข้าพเจ้า มาที่ปฐมอโศก แต่ไม่มีใครอยู่เลย

สิกขมาตุรูปหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่า สมณะไปรวมตัวที่สันติอโศกหมด เพราะเกิดกรณี สันติอโศก สมณะถูกจับ ! ข้าพเจ้าฟังแล้ว รู้สึกสะเทือนใจ ทำไมคนดีต้องถูกจับ ถูกกลั่นแกล้ง ถูกทำลาย ใส่ร้าย ทำไมสังคม ถึงเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตแน่วแน่ว่า ต้องมาช่วย วิธีการช่วยที่ดีที่สุด คือ เราต้องมาบวช

วันนั้นเป็นวันเกิดสมณพราหมณ์ และตอนหลังมาพ่อท่านให้เป็นวันอโศกรำลึก ถือเป็น วันของ สมณะ ข้าพเจ้าก็เคลียร์ตัวเอง เข้ามาจนเตรียมตัวบวช ในวันที่ ๒๑ ต.ค.๒๕๓๓ และตั้งใจบำเพ็ญ ประพฤติ ปฏิบัติเรื่อยมา เป็นขั้นตอน ไม่มีสะดุด

ข้าพเจ้าไม่กลัว ไม่สงสัย ไม่ระแวงแคลงใจ แต่กลับเชื่อมั่นว่า แนวทางที่ชาวอโศกทำ คือแนวทาง ที่ถูกต้อง เป็นพุทธ ที่แท้จริง แล้วก็เป็นผู้ที่ช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ได้ทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เป็นคนจริงที่มาเสียสละ เพื่อมวลมนุษยชาติ และที่สำคัญยิ่ง เหนือสิ่งอื่นใด คนไทยทุกคน ควรตอบแทนบุญคุณ องค์พระมหากษัตริย์ไทย พระองค์ท่านทุ่มเท เสียสละ ด้วยพละกำลัง และสติปัญญา ทรงมีพระปรีชาญาณ เพื่อพสกนิกรของพระองค์ท่านทั้งชีวิต! มาช่วยกัน ตอบแทนพระคุณ

นี่แหละที่ข้าพเจ้าตั้งใจทุ่มเทจิตวิญญาณ เต็มที่ ได้ช่วยงานชาติและศาสนา ในช่วงขึ้นศาล ที่ต้องไป ให้ปากคำ ข้าพเจ้ารู้สึกดี เพราะได้ไป แสดงความจริงให้เขาเห็น เราได้ร่วม ขบวนการ ไปกับพ่อท่าน รู้จักอนุโลม ให้สังคม เขาให้ทำอะไรก็ทำ ไม่คิดไปกระด้าง กระเดื่อง ดื้อดึง ดื้อด้าน ขัดขืนขัดเคือง ถือว่าได้ไปเผยแพร่ธรรมะ ในอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อยืนหยัดยืนยัน และภูมิใจที่ได้รับพัฒนาตัวเองและสังคม

ถึงแม้จะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก็ไม่มีปัญหา เพราะสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่ เครื่องแต่งกาย มันอยู่ที่ ข้อประพฤติปฏิบัติ เราจงทำตามหน้าที่ของเราไป

จากการที่ข้าพเจ้าได้มาอยู่ ณ จุดนี้ ได้เป็นนักบวชซึ่งก็สูงสุดแล้วในรูปแบบสมมุติ และได้มี ครูบาอาจารย์ที่ดี มีสัมมาทิฏฐิ และช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ให้มีความทุกข์ น้อยลง ด้วยการปฏิบัติที่ตนเอง มองตนเองให้มาก สังคมก็จะเดือดร้อนน้อยลง ชีวิตก็จะเป็นสุขมากขึ้น

ข้าพเจ้าภูมิใจที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีหมู่สมณะ หมู่สิกขมาตุ ญาติโยม มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ครบถ้วนบริบูรณ์ เส้นทางธรรมก็มีอุปสรรคบ้าง คือกิเลส อุปาทาน ของเรา...ใช่ว่าทุกอย่างจะโรย ด้วยกลีบกุหลาบ... ต้องรับฟังหมู่ นำมาปฏิบัติด้วย หลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ่ายทอดโดย สมณะโพธิรักษ์

ข้าพเจ้าเดินมรรคองค์แปด ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา มามองตัวเองและพยายาม ล้างกิเลสตัวเอง ไม่ใช่ง่าย แต่ก็เป็นสิ่งท้าทายสำหรับคนจริงคนกล้า กล้าที่จะขัดใจตัวเอง (กิเลส) ซึ่งครอบงำตัวเรา มานานแสนนาน ถึงแม้ จะมีองค์ประกอบที่ดีพร้อม มันก็ยัง "ฆ่า" ได้ยากเพราะมันบงการชีวิตของเราตลอดมา

แม้กระนั้นข้าพเจ้าก็ขอสู้อย่างไม่หวั่น.... นักรบทวนกระแส.... กระแสสังคมที่ยั่วย้อม มอมเมาด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข กามคุณ ๕ ทั้งหลาย ที่ผู้คนพากันเดินไป ตามเส้นทางนั้น ข้าพเจ้าขอทวนกระแส เดินหันหลัง ให้กับสิ่งเหล่านั้น....จะขออยู่เหนือ เหนือโลกโลกียสุข ตลอดไป ตราบสิ้นอายุขัย

กราบคารวะ
สมณะนาไท อิสสรชโน



ขวัญเอยขวัญกล้าท้ายืนสู้
อย่าหดหู่ท้อแท้แม้ถูกหยาม
นิ่งสงบรอบรู้ดูความงาม
อย่าครั่นครามตัดกิเลสเหตุทุกข์ตรม

ขวัญกล้าเข้าใจให้ยิ้มสู้
แม้อดสูหมองเศร้าเคล้าขื่นขม
นั่นคือบทเรียนรู้ทุกข์ระทม
เจ้าอย่าซมซานซ้ำจักเนิ่นนาน

เหนื่อยและหนักพักจิตสักนิดก่อน
เจ้าจงย้อนทบทวนเพื่อไขขาน
บุญที่ได้อภัยเป็นไทยทาน
จักเบิกบานด้วยเราเข้าใจตน
สุดทางฝัน

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๒ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๗ -