บันทึกคนวัด "สุขนาฏกรรม"


๓๐ ก.ค. ๒๕๔๗
มาอยู่วัดอย่าคิดว่าจะมีความสุขสบายเหมือนที่อื่น ก็ที่อื่นเขานั่งสมาธิในห้องแอร์ เดินจงกรม อาหารก็อร่อย อยากจะนอนอยากจะนั่งก็ตามใจ แต่ที่นี่ต้องฝึกตัวเอง สติปัฏฐาน ๔ เดิน ยืน นั่ง นอน กินอร่อย กินของประณีตหลายทีก็ละอายใจ ยังอดไม่ได้ นี่นา กัมมัฏฐานของชาวอโศก กิน อยู่ หลับ นอน อีก ๒ วันก็ถึงวันเข้าพรรษาแล้ว ตบะธรรม ก็ยังต้องทำอยู่ในเรื่องกินเรื่องนอนนี่แหละที่ยังติดอยู่มากหลาย อาหารที่กิน ประจำนั้นหนะ ก็ผัดผัก ผักสด ผักลวก น้ำพริก เป็นแกงบ้าง วันก่อนที่กลับบ้าน มีคนถาม น้องชายที่เดี๋ยวนี้หันมากินผักเป็นส่วนใหญ่ว่าไม่เบื่อเหรอ คงไม่กล้าถาม ฉันตรงๆ กินมังสวิรัติ ทั้งเดือนทั้งปี ทำไมกินได้ ทำไมไม่เบื่อ ก็กินสลับกันมีผักหลายๆอย่าง น้องชาย ตอบอย่างสบายใจ บางทีกินผักนับเป็นสิบชนิดได้เลย ก็กินอยู่อย่างนี้ ฉันก็ไม่ได้เบื่อนะ มังสวิรัติ คิดทบทวนตัวเอง ไม่ได้กินเพราะเป็นแฟชั่นที่ทำ ประเดี๋ยว ประด๋าว ไม่ได้กินเพราะไว้ทุกข์หรือเพื่อลดน้ำหนัก ฉันมาถือศีล รักษาศีล ศีลข้อ ๑ ไม่ทำร้ายเบียดเบียน และไม่ฆ่าสัตว์ เท่านี้ก็ไม่มีสิทธิ์จะกินแล้ว ไม่ต้องหาเหตุผลอื่นเลย

๓๑ ก.ค. ๒๕๔๗
แค่ได้ยินว่าผู้ที่เข้าร่วมประชุม ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ ต่างคนต่างมีความคิดเห็น มีเหตุผล ส่วนตน ความคิดของตน รู้สึกใจมันกระเพื่อม ไม่ทำตามมติ ถ้างั้นจะประชุมทำไม? มองเพ่งโทษ ดูถูก คิดอกุศลมันชำนาญจริงนะ ปล่อยให้ใจมันขึ้นสนิมอีกแล้ว พยายาม ไม่ให้ ไปคิดเบียดเบียน อย่าไป ติดอยู่ที่ผิดของเขา แต่ก็ยังคิดอีก ปล่อยให้ความคิด เตลิดเปิดเปิง ทำไมทำให้มากเรื่องมากราว ทำไม เอาแต่ใจ คิดไปคิดมา แล้วฉันเป็นอะไร ไปเนี่ย ก็แค่เขามาเล่าให้ฟังเท่านั้น นี่แหละนะตัวตนก็สำแดง ความใหญ่ขึ้นมาในใจ คนที่เล่าก็ไม่เห็นทีท่าว่าเขาต้องการให้ช่วย ไม่เห็นเขาเดือดร้อน แล้วเขาก็ไม่ได้ให้ไป ไกล่เกลี่ยซะหน่อย ก็กิเลสของคนอื่นนะ อย่าหลงว่าเราวิเศษกว่าเขา มันไม่สนุกที่เห็นแต่ ของเขาผิด แต่พลังความชั่วร้ายนะของเรา เหตุการณ์บางอย่าง อาจเปลี่ยนแปลงได้ ตามเหตุปัจจัยเฉพาะหน้า สิ่งที่เดินเรื่องไปก็คงจะใช้ได้ ถ้ามันเสียหายจริงๆ หนีไม่พ้น ก็ต้องโดนว่า หรือหมู่กลุ่มถล่ม เลิกซะ นิสัยที่จะไปสร้างสนิมให้ใจที่มันเขรอะอยู่แล้ว ศึกใหญ่ก็คือ อัตตามานะของตัวเอง พอจับจิตทัน ปรับจิตได้ รู้สึกเบาขึ้น ใจก็ค่อยดีขึ้น ถ้าเป็นตัวเอง อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ หรือจะยิ่งกว่า คิดแล้วก็ให้อภัย ลดทิฐิลง พลังชีวิต กลับคืนมา พลังที่จะเข้าใจตนเอง ที่จะเข้าใจคนอื่น ได้พลังที่ดีๆที่จะเอาไว้เสียสละ มาให้กำลังใจ ซึ่งกันและกันดีกว่า ทำให้ฉันรู้สึกกับหมู่กลุ่มว่ายังอบอุ่นเช่นเคย

การทบทวนตนเอง เป็นอาวุธของนักปฏิบัติธรรม


 

๒ ส.ค. ๒๕๔๗
บรรยากาศอย่างนี้ชอบจริงๆ สายลมเย็นอ่อนๆลอยมา มันมีอานุภาพที่ทำให้ใจสงบ ผ่อนคลาย สุขใจ เอ้า! ก็เป็นกิเลสอีกแหละ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง กระทบแล้วมีเวทนา อย่างไร สายเรียนอภิธรรมจะอธิบายได้อย่างดีเชียว

การช่วยเหลืองานส่วนกลาง ช่วยเหลือคนรอบข้างตามที่ท่านสมณะอบรม น่าจะเพียงพอ แต่หาใช่ไม่ บางอย่างทำเหมือนกัน แต่ผลที่ได้รับต่างกัน ก็เพราะยังมีรายละเอียด อีกหลายอย่าง รวมทั้งวิบากส่วนตน ทุกคนที่มาอยู่รวมกันต่างคนต่างที่มา มาเพื่อทำสิ่งดีๆ แม้มีความฝันที่อยาก ความสบายที่ชอบ ก็ต้องทิ้ง ต้องขัดใจ มีความหวังก็ต้องพร้อม จะผิดหวัง เพื่อละตัวตน เพื่อละทิฐิ

โจทย์ที่เจออย่างเดียวกัน แต่วิธีใช้สำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในความเหมือน ก็มีความต่าง ในความหนักก็มีความเบา สิ่งที่คิดว่าใช่อาจไม่ใช่ก็ได้ ฉันจึงต้องค้นหา ความพอดี ในเส้นทางของตนเอง ความรับผิดชอบ ภาระอีกหลายอย่างที่ควรช่วย ความเจ็บปวด ที่ได้เจอะเจอเพราะกิเลสเราเอง เรื่องราวมากมาย แต่สิ่งหนึ่งก็คือ นั่นเป็น ประสบการณ์และความทรงจำที่หาซื้อไม่ได้ตามห้างสรรพสินค้า ร้านรวง กิ๊ฟช็อป

ฤดูแห่งการเข้าพรรษา วาระแห่งความเพียร เริ่มอีกครั้ง พ่อท่านสอนเรื่อง ๗ อ. ฉันเลย ถือเอามาเป็นตบะ ข้อหนึ่งที่ต้องทำคือตัวเองยังมีอิทธิบาทน้อย เวลางานมาก ก็เหน็ดเหนื่อย ไม่อยากหาภาระมาบังคับใจ ถ้ามองให้ลึกแล้ว การทำงานก็เป็นสิ่งเดียว กับ การปฏิบัติธรรม และต้องชัดลงไปว่า เป็นการงานที่ถูกต้องคือเป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ไม่ใช่แยกส่วนเหมือนกับสายที่นั่งหลับตาที่หลงว่า นั่งสมาธินี่แหละ ถึงจะเรียกว่า เป็นการปฏิบัติธรรม บางคนยังมองจุดนี้ไม่ชัดเจน ต้องลดงานลง ถึงจะมีเวลา มาปฏิบัติเพ่งเพียร อย่างนี้ก็ไม่เป็นสมังคี คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องประกอบ ไปด้วยกัน ไม่แยกส่วน ตบะธรรมก็ทำไปพร้อมกับชีวิตประจำวันได้ ไม่แบ่งแยก ว่าต้องมีเวลาว่างเสียก่อน

ความพ้นทุกข์ เป็นความบันเทิงใจที่สุด



๔ ส.ค. ๒๕๔๗
เดือนแห่งวันแม่ แม่รู้ไหม? สิ่งต่างๆที่ผ่านมาให้ฝึก ถ้านึกถึงความเป็นโพธิสัตว์ของพ่อท่าน บวกกับ ที่พ่อท่านอายุมากขึ้นอีก ฉันยังเหน็ดเหนื่อยไม่เท่า แต่หลายบทที่ฉันเผชิญ ทั้งกิจวัด กิจตน ความถือดีลงได้มาให้เห็นหน้าก็ใช่ย่อย มันกุมใจของฉันจนฝ้าฟาง เลยแม่ บางทีเหนื่อย แล้วยังถูกว่าอีก พ่อท่านเป็นแบบอย่างที่ฉันแอบสังเกตเห็น ท่านมีแต่ ความเบิกบาน ร่าเริง ชีวิตในวัด มันยิ่งกว่าวรรณกรรม ยิ่งกว่าละคร การละเล่น ที่เขาแต่งขึ้น ซะอีก ทุกวันนี้เชิดหน้าพูดกับชีวิตได้แล้วว่า คุ้ม และยังพอใจอยู่ในทิศทาง ตรงนี้อย่างมั่นใจ สิ่งที่ลดละได้ ปฏิบัติได้นับเป็นสุขนาฏกรรมที่คุ้มค่า เพราะมันเป็นสมบัติ ที่ติดตัวฉันไป

วันนี้นักเรียนได้พูดถึงความรู้สึกให้ฟัง

อา ผมยังคิดไม่ออก จบไปแล้วจะไปทำอะไร ภาระดูแลน้อง ม.ต้นก็ต้องทำ ไหนจะเรื่อง การเรียน มีเรื่องให้คิดหลายอย่าง รู้สึกสับสน

น่าเห็นใจนะเด็กๆ จริงสิ ค่ำคืนวานมีอาคันตุกะมาเยือนอีก เราคุยกันหลายเรื่อง

อา ถ้ามีคนมาชอบ เราจะรู้ได้ยังไง จะทำยังไง

อา มีผู้ใหญ่คนหนึ่ง เขาทุกข์ใจเรื่องครอบครัว.....

เป็นคำที่ถามมาเป็นช่วงๆ แล้วคำถามใหม่ก็ดังมากระทบความคิดที่กำลังสรรหา

อา ผู้ใหญ่เขาอยากได้อะไร หนูไม่รู้จะซื้ออะไรให้

ความจริงผู้ใหญ่เขาไม่ต้องการอะไรหรอกนะ เป็นลูกก็ทำหน้าที่ลูก ขอให้ตั้งใจเรียน ทำหน้าที่ ให้ถูก เธออยากจะทำอะไรถ้าเป็นสิ่งที่ดี อยู่ในระเบียบ ก็ทำได้ ขอแต่อย่า ทำให้ พ่อแม่ร้องไห้ อย่าทำให้คนในครอบครัวเสียใจ อย่าลืมตัว และอย่าหลงตัว ทำไปได้เลย

เด็กนักเรียนที่นี่โชคดีมาก เรียนแบบบูรณาการ มีการฝึกงาน มีทัศนศึกษา ต่างจาก สมัยก่อน ที่ฉันเรียนก็เรียนอย่างเดียว แต่นับว่าฉันยังโชคดีเหมือนกัน อยู่ในนี้ก็ได้เรียน แบบบูรณาการ มันเป็นบทสะท้อนให้เห็นอุปนิสัยที่ต้องหักล้าง ต้องหัดฝืนอดทน ให้สมกับ ที่แม่พามาฝากไว้กับพ่อท่าน หากไปทำงานหาเงิน ต้องดิ้นรนเหนื่อยหนักกว่าหลายเท่า สำหรับข้างนอก ชาวบ้านร้านถิ่นในต่างจังหวัด เขาร้องเพลง เงินกำลังจะไหลมา... ได้จนขึ้นใจแล้ว เพราะรัฐบาลให้ความหวังไว้ คนจนจะหมดไป แต่ในที่นี้พ่อท่านให้มาจน ความจนที่พ่อท่านพาทำ เป็นความจนของคนที่มีศักดิ์ศรีในความเป็นคนมีศีล มักน้อย แต่ขยัน ทำงาน ไม่ขี้โลภ ทำแล้วแบ่งเจือจาน เราอยู่กันอย่างสาธารณโภคี

วันนี้ใจกรุ่นๆ ไม่ชอบ แต่ทุกข์มากๆคราใด นึกถึงความเสียสละของแม่ที่ให้มาใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่นี้ ก็คลายทุกข์ สิ่งที่แม่อบรมสั่งสอน ความรักของแม่ยังอบอุ่นอยู่ข้างกายฉัน ฉันรู้สึก สุขใจ ไม่ต้องห่วง นอนหลับให้สบายนะแม่



๖ ส.ค. ๒๕๔๗
คืนสุดท้ายแล้วที่เด็กนักเรียน ม.๔ นับร้อยคนมาเข้าค่ายอบรม วัยรุ่นสมัยนี้เหมือนกัน
หมดทั่วโลก เด็กยุคโลกาภิวัฒน์ หากถูกปล่อยให้ไปตามกระแสสิ่งแวดล้อม ด้อยการอบรม เขาจะถูกกลืน กลืนไปในสิ่งยั่วยุรอบข้างที่ประโคมปลุกเร้า บัตรเครดิต มือถือ รถเก๋ง อบายมุข อาหารขยะ เขาจะเป็นคนสร้างชาติได้ยังไง เด็กรุ่นนี้ นับว่าเฮี้ยว ทีเดียว ถึงเป็นโรงเรียนมีชื่อเสียง ในกทม.ก็เถอะ จอมกวนก็มี ก็วัยรุ่นน่ะ บอกหลายรอบ ก็ไม่เชื่อ คุยกันให้แซด หยั่งกะมางาน พบปะสังสรรค์ เลี้ยงรุ่น ช่างมาทดสอบ สมรรถนะ ของพี่เลี้ยงจริงเชียว สมณะต้องออกปากบอก เงียบเสียงลงหน่อย ก็ดังอีก แค่ ๑๐-๑๕ นาทีก็ดีแล้ว ถ้าเป็นเรื่องถูกใจก็จะเงียบตั้งใจดี นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน ครูผู้ปกครอง คงลงโทษ ให้ยืนขาเดียว แล้วคาบไม้บรรทัดเป็นแน่ มาวัดไม่รู้จักสำรวม ความเคยชินเดิมๆ ก็ขนมาด้วย ก็มาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เขาคงเหมือนถูกตีกรอบ ให้ละทิ้งความสกปรก จากที่เคยทำๆไว้ ก็จะกลับไปเหยียบย่ำรอยเดิมๆ แต่ก็บอกสอนพอได้ น่าเห็นใจ ถือว่า เป็นบุญ ของเขาที่มารับการอบรมสร้างเสริมพลังชีวิตใหม่ เรียนรู้วิถีแห่งวัฒนธรรม ชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง วันพรุ่งนี้เป็นวันจากลา หวังว่าสิ่งที่ได้จะทำให้ชีวิตเขา เปลี่ยนไปดีขึ้น ไม่มากก็น้อย กลับไปดิ้นรนต่อสู้ในวิถีแห่งปุถุชน หากทุกข์มากๆหาทางดิ้นรน หาทางดับทุกข์ ไม่เจอ มาได้ ชุมชนแห่งนี้ยินดีต้อนรับ

ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด
ยกแต่ชั่วดีกระด้าง อ่อนแก้ ฤาไหว

* โคลงสุภาษิตฯ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕



๘ ส.ค. ๒๕๔๗
นักเรียนพุทธธรรม และนักเรียนสัมมาสิกขา ร่วมกันจัดกิจกรรมวันแม่ พ่อแม่และ ผู้ปกครอง ก็มาร่วมในพิธีกรรม เป็นยัญพิธีที่ประทับใจมาก เด็กๆเล่นละคร สื่อถึงความรัก ของแม่ แม้ลูกหลงผิดทาง ติดยา แม่ยังรักและให้อภัยไม่มีเลือน สิ่งที่เด็กแสดงออกมา ในละครต่างๆ นับเป็นคุณธรรมในตัวเอง ถ้าเป็นจริง ทำได้ ก็ขอชื่นชมว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่ทำ ให้เธอเสียใจ และคงไม่ทำให้คนที่รักเราพลอยเสียใจไปด้วย เพราะแม่รักและเป็นห่วงเธอ จริงๆ

ใครเอ่ย อาบน้ำ แต่งตัว ป้อนนม ทำกับข้าว จัดที่นอนให้ ตั้งแต่เรายังไม่รู้ความ

- ร้อยดอกศีล -

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ -