กว่าจะถึงอรหันต์ - โดย..ณวมพุทธ -
พระพาหิยทารุจีริยเถระ


แม้นุ่งห่มหญ้าเปลือกไม้
หาใช่อรหันต์ไม่
ต้องกิเลสหมดสิ้นไป
จึงได้ถึงนิพพานจริง.

มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ พาหิยทารุจีริยะ เขาเกิดอยู่ในตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรว ยแห่งภารุกัจฉนคร อันเป็นนครที่อุดมสมบูรณ์

วันหนึ่ง เขาลงเรือพร้อมกับพ่อค้าอื่นเพื่อไปค้าขาย แล่นเรือไปในมหาสมุทรได้แค่ ๒-๓ วัน ก็ประสบภัยเรืออับปาง ต้องอาศัยเกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่งลอยคออยู่กลางทะเลใหญ่ แล้วเพียรพยายามว่ายน้ำเอาชีวิตรอด จนกระทั่งขึ้นฝั่งได้ที่ท่าสุปปารกะ

ทรัพย์ที่มีมาก็สูญสิ้น หมดเนื้อหมดตัว แม้แต่ผ้านุ่งห่มก็ไม่เหลือติดกายเลยสักชิ้น เขาจึงเอาหญ้าและเปลือกไม้มาทำเป็นเครื่องปกปิดร่างกาย แล้วเที่ยวขออาหาร จากชาวบ้าน อาศัยเป็นเครื่องประทังชีวิตไปวันๆ แต่หมู่ชนในที่นั้นกลับเข้าใจเอาเองว่า

"นี่เป็นผู้มักน้อยสันโดษจริงหนอ เป็นผู้หมดกิเลสแล้วหนอ"

ต่างพากันศรัทธายินดีพอใจนัก ถึงกับกล่าวขานกันว่า

"พระอรหันต์ท่านมาถึงที่นี้แล้ว พวกเราสมควรสักการะท่านด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน และยาทั้งหลาย แล้วพวกเราจะได้รับความสุขความเจริญ"

พาหิยทารุจีริยะจึงได้รับความเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง ทั้งได้ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อีกมากมาย ลาภและสักการะเหล่านี้ทำให้เขาเกิดความหลงผิดขึ้นมาว่า

"หรือว่าเราเป็นพระอรหันต์จริงๆ"

และเพราะความคิดดังนี้ เขาจึงไม่นุ่งห่มผ้าทั้งหลายที่ได้มา ด้วยเห็นว่า

"หากเรานุ่งห่มผ้าเหล่านี้ไซร้ ลาภและสักการะของเราก็จะเสื่อมสิ้นไป"

ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธการรับผ้าทั้งปวง ยังคงนุ่งห่มด้วยหญ้าและเปลือกไม้เท่านั้น

มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เขาเกิดคิดขึ้นมาอีกว่า

"เราคงเป็นคนหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกนี้"

ในเวลานั้นเอง มีเทวดา(ผู้มีจิตใจสูง)ตนหนึ่ง รู้ความคิดของเขา มีใจช่วยเหลือ หวังประโยชน์แก่เขา ได้กล่าวกับพาหิยทารุจีริยะว่า

"ท่านไม่ใช่พระอรหันต์อย่างแน่นอน ท่านไม่มีข้อประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงอรหัตตมรรคเลย"

"ก็แล้วถ้าเราไม่ใช่ ใครเล่าเป็นพระอรหันต์"

"ทางทิศเหนือของที่นี่ มีพระนครหนึ่งชื่อว่า สาวัตถี เป็นนครหลวงแห่งแคว้นโกศล บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในพระนครนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า นี่แหละ เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน ทั้งทรงแสดงธรรม เพื่อความเป็น พระอรหันต์ด้วย"

เมื่อเขาได้ฟังคำของเทวดานั้นแล้ว แทนที่จะเศร้าสลดใจ กลับรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ราวกับคนกำพร้าได้รับขุมทรัพย์มหาศาล เข้าถึงความอัศจรรย์ใจ มีอารมณ์เบิกบานใจไม่มีที่สุด ที่จะได้พบพระอรหันต์ผู้ประเสริฐสุด จึงออกเดินทางจากท่าสุปปารกะในทันใดนั้นเอง

มาถึงพระวิหารเชตวัน ซึ่งตั้งอยู่นอกพระนครสาวัตถี อันเป็นที่ประทับของพระศาสดา โดยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถวายเป็นอารามสงฆ์ เขาพบเห็นภิกษุหลายรูป กำลังจงกรม (เดินไปมาอย่างมีสติ) อยู่ในที่แจ้ง จึงเข้าไปถาม

"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงที่ใด ข้าพเจ้าประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น"

"พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่ละแวกบ้านแล้ว เพื่อบิณฑบาต"

โดยมิได้รอช้า พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไปตามหาในพระนครสาวัตถีทันที ได้เห็นพระศาสดากำลังบิณฑบาตอยู่ด้วยอาการน่าเลื่อมใส มีอินทรีย์(กาย)สงบ มีพระทัยสงบ มีตนอันฝึกดีแล้ว คุ้มครองดีแล้ว เขาจึงตรงเข้าหมอบกราบลงแทบพระบาทของพระองค์ด้วยเศียรเกล้า แล้วกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ โปรดทรงแสดงธรรมอันเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด"

"ดูก่อน ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาอันสมควร เรากำลังบิณฑบาตอยู่"

แต่เขาก็ยังปรารถนาได้ฟังธรรมยิ่งนัก จึงทูลอ้อนวอนพระศาสดาอีกเป็นครั้งที่ ๒

และสุดท้ายแม้ครั้งที่ ๓ เขาอ้างเหตุผลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความมีอันตรายถึงแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตาม ความมีอันตราย ถึงแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ตาม รู้ได้ยาก ฉะนั้นขอพระองค์ โปรดทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด"

"เอาละ! ถ้าอย่างนั้น จงศึกษาให้ดีว่า

ในเวลาใด....
เมื่อท่านเห็น จะเป็นสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น
เมื่อฟัง จะเป็นสักแต่ว่าฟังเท่านั้น
เมื่อทราบ จะเป็นสักแต่ว่าทราบเท่านั้น
เมื่อรู้แจ้ง จะเป็นสักแต่ว่ารู้แจ้งเท่านั้น

ในเวลานั้น....ท่านย่อมไม่มีอะไร(ติดยึด)เลย ไม่มีทั้งในโลกนี้ ไม่มีทั้งในโลกหน้า ไม่มีทั้งในระหว่าง โลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์"

ได้ฟังธรรมโดยย่อเพียงเท่านี้ จิตของพาหิยทารุจีริยะก็หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง สำเร็จอรหัตตผล เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นกิเลสได้ในขณะนั้นเอง ส่วนพระศาสดาก็เสด็จบิณฑบาตต่อไป

ช่วงเวลาต่อมา ปรากฏวัวแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง มีอาการคลุ้มคลั่ง ตรงเข้าขวิด พระพาหิยทารุจีริยเถระ เต็มแรง ทำให้ล้มลงเสียชีวิตอยู่ ณ ตรงนั้นเอง โดยที่ยังไม่ได้ อุปสมบทเลย

ครั้นพระศาสดาเสด็จกลับจากบิณฑบาต พร้อมกับภิกษุจำนวนมาก ได้ทอดพระเนตร เห็นศพของ พระหาหิยทารุจีริยเถระแล้ว จึงรับสั่งว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงช่วยกันนำศพของพาหิยทารุจีริยะแบกเอาไปเผาเสีย แล้วจงทำสถูปไว้ เพราะพาหิยทารุจีริยะนี้ ประพฤติธรรมอันประเสริฐ เสมอกับเธอ ทั้งหลาย"

ภิกษุทั้งหลายช่วยกันกระทำตามที่พระศาสดารับสั่ง เมื่อเสร็จสิ้นทุกสิ่งแล้ว ได้หาโอกาส ทูลถามพระศาสดาว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญการจากไปของพาหิยทารุจีริยะนี้เป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร"

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต(ผู้ฉลาดในธรรม) ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบากเพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม ได้ปรินิพพานแล้ว

ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุ(ธาตุที่สูญสนิทหมดตัวตน)

ดวงดาวทั้งหลาย แม้ดวงอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ ความมืดก็ไม่มีในนิพพานธาตุ

เมื่อใดพราหมณ์(นักบวชในลัทธิหนึ่งของอินเดีย)ชื่อว่า เป็นมุนี(ผู้มีปัญญารู้แจ้งเข้าถึงธรรม)

เพราะรู้แจ้งแล้วด้วยตนเอง เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป จากสุขและทุกข์ทั้งปวง"

แล้วทรงแต่งตั้งพระพาหิยทารุจีริยเถระ ด้วยการยกย่องให้เป็นภิกษุที่เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลาย ในด้านการตรัสรู้ได้ฉับพลัน เพราะเพียงแค่ได้ฟังธรรมบทเดียวเท่านั้น แล้วตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า

"คาถาแม้ตั้ง ๑,๐๐๐ บท ถ้าประกอบด้วยบทที่แสดงความฉิบหาย ไม่เป็นประโยชน์ แล้วไซร้ คาถาบทเดียว ที่ฟังแล้วเกิดความสงบระงับได้ ย่อมประเสริฐกว่า"

- ณวมพุทธ -
พุธ ๑๑ ส.ค.๒๕๔๗
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๔๗
พระไตรปิฎกเล่ม ๓๓ ข้อ ๑๒๖
อรรถกถาแปลเล่ม ๗๒ หน้า ๒๗๔)

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ -