มหาตมา คานธี
ผู้ที่ยิ่งเล็ก...ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ยิ่งจน...ที่ยิ่งรวย

๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๒ เป็นวันเกิดของเด็กน้อยชาวอินเดียคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อร้อยปีก่อน ไม่มีใคร คาดคิดว่า เขาจะกลายเป็น รัฐบุรุษเอก ของโลกท่านหนึ่ง โดยมีศาสนา เป็นเครื่องมือบริหารบ้านเมือง จนได้รับการขนานนาม ยกย่องเป็นบิดา ของประเทศว่า "มหาตมา คานธี" ผู้ที่ยิ่งเล็กที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีคุณธรรมที่น่าซาบซึ้งใจ อยู่หลายประการ หวังว่าผู้ใฝ่สันติ ทั้งหลาย คงจะได้พลังใจจากการได้รำลึกถึงชีวิตของท่าน เพื่อช่วยกัน กอบกู้ มนุษยชาติ ให้พ้นจากทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวงกันต่อไป

อารมณ์ขันของคานธี
ตอบคำถามของนักหนังสือพิมพ์ผู้หนึ่ง ซึ่งถามคานธีว่า คานธี มีอารมณ์ขันหรือไม่
"หากไม่มีอารมณ์ขัน ผมคงจะฆ่าตัวเองตายไปเสียนานแล้ว"

ไม่ใช่ ๑๐๐ แต่ ๑๒๕
ในการประชุมใหญ่ของพรรคคองเกรส ( เป็นพรรคการเมืองชาตินิยม ของอินเดีย ซึ่งต่อสู้ กับอังกฤษ จนอินเดีย ได้รับเอกราช) ในค.ศ. ๑๙๔๒ มหาตมา คานธีได้ประกาศ ในที่ประชุมว่า ท่านขอมีชีวิตอยู่ ๑๒๕ ปี ในวันรุ่งขึ้นต่อจากนั้น มหาตมา คานธี และ ผู้นำคนสำคัญอื่นๆ ของอินเดียก็ถูกจับ และถูกนำตัวไปคุมขังไว้ ในวังของอก่า ข่าน (Aga Khan) ในเมืองปูนา (Poona) และ ณ ที่นั้นเอง มหาตมา คานธี ได้ประกาศอดอาหาร ประท้วง การกระทำ ของรัฐบาลอังกฤษ เป็นเวลา ๒๑ วัน ในการอดอาหารอันสำคัญ และโด่งดังไปทั่วโลกครั้งนั้น สุขภาพของคานธี ได้ทรุดโทรมลงมาก จนเป็นที่น่าวิตกว่า จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน ประชาชนทั่วทั้งประเทศอินเดีย ต่างก็ชุมนุมสวดมนต์ ไหว้พระ วิงวอนขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ให้พิทักษ์คุ้มครองมิให้คานธี ต้องเป็นอันตราย โดยประการใดๆ รัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปกครองอินเดีย อยู่ในขณะนั้น ตระหนักเป็นอย่างดี ถึงสถานการณ์อันหนักหน่วง เพราะหากคานธี ต้องเสียชีวิตลงในที่คุมขัง อินเดีย ทั้งประเทศ คงลุกเป็นไฟ และทั่วโลก คงจะประณาม การกระทำของอังกฤษ อย่างแน่นอน

ดังนั้น หลังจากการอดอาหารของคานธี ได้ดำเนินไปจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน รัฐบาลอังกฤษ จึงตัดสินใจปล่อยคานธีเป็นอิสระ

ประชาชนชาวอินเดียทั่วทิศานุทิศ ต่างดีใจที่คานธีได้รับอิสรภาพและต่างก็แสดงความปีติ ด้วยวิธีการต่างๆ

ในบรรดาโทรเลขจำนวนมหาศาลที่มีไปถึงคานธี แสดงความดีใจที่ท่านได้รับอิสรภาพนั้น มีโทรเลขฉบับหนึ่ง จากบัณฑิตมัทนะ โมหัน มาละวียะ มีความว่า

"เพื่อรับใช้มนุษยชาติและภารตมาตา (แม่ธรณีอินเดีย) ขอพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานพร ให้ท่าน มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี"

ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่ามหาตมา คานธี ได้ประกาศในที่ประชุมใหญ่ของพรรค คองเกรสว่า จะขอมีชีวิตอยู่เป็นเวลา ๑๒๕ ปี และอินเดียทั้งประเทศ ก็ทราบปณิธานนี้ ของท่าน เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม บัณฑิตมัทนะ โมหัน มาละวียะ ซึ่งมีอายุ แก่กว่า คานธีหลายปี อาจจะไม่ทราบเรื่องนี้ หรืออาจจะทราบแล้ว หลงลืมไปก็เป็นได้ เพราะการอวยพร ให้คนมีอายุยืน ๑๐๐ ปีนั้น เป็นประเพณีทั่วๆ ไป พอได้รับโทรเลข ดังกล่าว คานธีก็รีบส่งโทรเลขตอบ บัณฑิต มาละวียะ พร้อมด้วย อารมณ์ขันของท่านว่า "ขอขอบพระคุณที่ท่านระลึกถึงและให้พรผม แต่เพราะปลายปากกา ไถลไปเพียงนิดเดียว อายุของผม จึงถูกทอนไปถึง ๒๕ ปี อย่างไรก็ตาม ผมขอมอบ ๒๕ ปีที่ทอนจากอายุผมนี้ สมทบเข้ากับอายุของท่านเอง ก็แล้วกันนะครับ"

ผมไม่ใช่ "มหาตมา"
(มหา + อาตมา = ผู้มีจิตใจสูง เป็นสมัญญาที่ชาวอินเดียมอบให้)
ครั้งหนึ่งมีนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งถามคานธีว่า "ท่านเป็นมหาตมาจริงๆ หรือ ?"

"ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็น" คานธีตอบ "ผมคิดว่าผมเป็นเพียงชีวิตธรรมดาๆ ชีวิตหนึ่งที่ พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้สร้าง"

ท่านจะให้คำนิยามคำว่า "มหาตมา" ได้ไหมครับ ?

"ให้ผมเป็น "มหาตมา" เสียก่อนแล้วคงจะให้ได้ !"

ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่ได้เป็นมหาตมา ทำไมท่านจึงไม่ห้ามผู้คนมิให้เรียกท่านว่า "มหาตมา"

"ผมยิ่งห้ามเขายิ่งเรียกผมมากขึ้น !" คานธีตอบยิ้มๆ

ศาสนาในทัศนะของคานธี
ข้าพเจ้าเป็นนักบวชที่ยากจน ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในโลกนี้ มีกงล้อปั่นด้าย ๖ เครื่อง จานรับประทานอาหาร ตั้งแต่อยู่ในคุก ๑ ใบ กระป๋องใส่นมแพะ ๑ ใบ ผ้านุ่งโธตี และ ผ้าเช็ดตัวทอด้วยมือ ๖ ชิ้น นอกนั้น ก็มีแต่ชื่อเสียง ซึ่งก็ไม่มีราคาค่างวด หรือความหมาย อะไร

ไม่มีศาสนาใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าสัจจะและความเป็นธรรม ท่านต้องเฝ้าดูชีวิตของ ข้าพเจ้า ว่าข้าพเจ้ากิน อยู่ หลับนอน พูดจา และมีความประพฤติทั่วไปเป็นอย่างไร ผลรวมของพฤติการทั้งหมดเหล่านี้ ที่ได้เห็นในตัวข้าพเจ้านั่นแหละ คือศาสนาของข้าพเจ้า

การเป็นผู้รับใช้คือการได้เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า

เป้าหมายขั้นสุดท้ายของคนเราก็คือ การบรรลุ ถึงพระผู้เป็นเจ้า กิจกรรมทุกประการ ของคนเรา ไม่ว่าจะเป็น ในด้านการเมือง การสังคม หรือการศาสนาก็ดี ควรจะมีเป้าหมาย อยู่ที่การบรรลุถึง พระผู้เป็นเจ้า การบริการรับใช้ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นกิจกรรม ที่จำเป็นอย่างหนึ่ง ในการบรรลุถึง พระผู้เป็นเจ้า เพราะการบรรลุถึง พระผู้เป็นเจ้าก็คือ การบรรลุถึง สรรพชีวิต ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา และการทำตน ให้เป็นส่วนหนึ่ง แห่งสรรพชีวิตเหล่านั้น การรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นกิจกรรมที่จะขาดเสียมิได้ หากเราประสงค์ จะเข้าให้ถึงพระบิดาของเรา และเราจะต้อง เริ่มกิจกรรมนี้ จากเพื่อนมนุษย์ ซึ่งอยู่รอบๆ ตัวเรา ซึ่งก็ได้แก่การรับใช้ ประเทศชาติของเรานั่นเอง ข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่ง ของส่วนรวม และข้าพเจ้าไม่สามารถจะพบพระผู้เป็นเจ้า ณ ที่อื่นใดได้ นอกเหนือไปจาก ในส่วนรวม เพื่อนร่วมชาติ เป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนมนุษย์ ที่อยู่ใกล้ที่สุดของข้าพเจ้า เขาเหล่านี้ อยู่ในสภาพที่ระทมทุกข์ ขาดความช่วยเหลือ และไร้ที่พึ่ง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องมุ่งมั่นรับใช้เขา เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ทุกวันนี้ ศาสนามีความหมาย เพียงเรื่องของรูปแบบ และพิธีกรรม หรือไม่ก็เป็นเรื่องของทิฐิมานะ เราทั้งหลาย พากันลืมสารัตถะ อันได้แก่ แก่นแท้ของศาสนาเสียแล้ว ข้าพเจ้าใคร่ขอ แสดงความเห็นว่า ไม่มีอวิชชา หรือความไม่รู้ ที่เสียหายร้ายแรง ยิ่งไปกว่าสภาพเช่นนี้ ชาติกำเนิดก็ดี พิธีกรรมก็ดี สิ่งเหล่านี้มิใช่เป็นเครื่องกำหนด หรือแสดงถึงความดี หรือ ความไม่ดีของคนเลย การกระทำและความประพฤติ ของคนเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องวัด ให้เห็นได้ว่า ใครดี ใครไม่ดี พระผู้เป็นเจ้า มิได้ทรงสร้างผู้ใดขึ้นมา ด้วยการประทับตรา ติดร่างว่า ใครดี ใครไม่ดี ไม่มีคัมภีร์ศาสนาเล่มใด ที่จะบังคับให้เราเชื่อได้ว่า เพราะชาติกำเนิด คนนี้จึงเป็นคนดี และเพราะชาติกำเนิด คนนั้นจึงเป็นคนไม่ดี คำกล่าวอ้างเช่นนี้ เป็นการปฏิเสธ พระผู้เป็นเจ้าและสัจธรรม เพราะพระผู้เป็นเจ้าก็คือ สัจธรรมนั่นเอง

ประสบการณ์ในชีวิตได้สอนข้าพเจ้าตลอดมาว่า นอกจากสัจจะแล้ว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า อื่นใด

ศาสนาของข้าพเจ้าคือการรับใช้
ในช่วงเวลาที่อินเดียจะได้รับอิสรภาพอยู่นั้น มีบาทหลวง ชาวอเมริกันรูปหนึ่ง เข้าพบ เพื่อฟัง ความคิดเห็นของ มหาตมา คานธี

"ท่านมหาตมาครับในแผ่นดินอินเดียที่เป็นอิสระแล้ว ศาสนาใดควรจะเป็นศาสนา ที่เหมาะสม แก่ชาวอินเดียครับ ?" บาทหลวงถาม ด้วยความสุภาพ

ขณะนั้นคานธีกำลังปรนนิบัติคนไข้อยู่ ๒ คนในห้องที่บาทหลวงเข้าพบ คานธีชี้ไปทาง คนไข้ พลางพูดว่า "ศาสนาที่ผมนับถืออยู่ ทุกวันนี้คือ ศาสนาแห่งการรับใช้ผู้อื่น ผมเชื่อว่า ศาสนานี้ เหมาะสมแก่อินเดียเสมอ !"

ศาสนาและการเมืองในทัศนะของคานธี
"การอยู่อย่างมีอิสระภาพแต่แบบตัวใครตัวมันนั้น หาใช่เป็นเป้าหมายของนานารัฐ นานา ประเทศชาติไม่ โลกเป็นอันหนึ่งอันเดียว และต้องพึ่งพาอาศัยกัน และศาสนาที่ข้าพเจ้า รับนับถือ มิใช่เป็นศาสนาแห่ง ความคับแคบเห็นแก่ตัว ซึ่งนักการศาสนาส่วนใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ล้วนเป็นนักการเมือง ที่ปลอมแปลงตัวมา ส่วนตัวข้าพเจ้า ผู้สวม บทบาทเป็นนักการเมืองนั้น ด้วยจิตใจอันแท้จริง แล้วเป็นนักการศาสนาต่างหาก"

ผู้บรรลุสัจธรรมย่อมไม่จำกัดตนเอง
การที่จะบรรลุสัจธรรมอย่างแท้จริงได้นั้น เราจะต้องสามารถรักสรรพชีวิตให้ได้เหมือนกับ ที่เรารักตนเอง ผู้ที่มีความปรารถนาเช่นนี้ จะจำกัดตนเองให้อยู่ในขอบเขตหนึ่งขอบเขตใด ของชีวิตไม่ได้ และเพราะศรัทธาปสาทะ ที่มีต่อสัจธรรมนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมาพัวพัน การบ้านการเมือง

ข้าพเจ้าพูดโดยมิต้องรีรอและด้วยคารวะในทัศนะของผู้อื่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า บรรดา ผู้ที่พูดว่า ศาสนาไม่เกี่ยวกับ การเมืองนั้น เป็นผู้ที่ไม่ทราบความหมาย ของคำว่า "ศาสนา"

"สำหรับผมแล้ว…การเมืองที่ปราศจากหลักธรรมทางศาสนาเป็นเรื่องของความโสมม ที่ควรสละละทิ้งเสีย เป็นอย่างยิ่ง การเมืองเป็นเรื่องของ ประเทศชาติ และเรื่องที่เกี่ยวกับ สวัสดิภาพ… ต้องเป็นเรื่องของ ผู้มีศีลมีธรรมประจำใจ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องเอา ศาสนจักร ไปสถาปนาไว้ใน วงการเมืองด้วย"

ถูกแล้วคุณ…ผมเป็นนักการศาสนา แต่คุณจะว่าผมหลงทางเข้ามาในวงการเมืองไม่ได้ นักการศาสนา จะต้องต่อต้าน ความไม่มีศาสนา ในทุกแห่งหนที่เขาได้พบเห็น แต่ในยุค ปัจจุบัน ความไม่มีศาสนา ได้เข้าไปยึดการเมือง ไว้เป็นป้อมปราการ อันสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องเข้าไปในวงการเมือง เพื่อต่อต้านความไม่มีศาสนา"

การป้องกันตนให้พ้นจากผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมือง เมื่อข้าพเจ้าพบว่าตนเองได้ถูกดึงเข้ามาในแวดวงของการเมืองเสียแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ถาม ตัวเองว่า การที่จะรักษาตน ให้พ้นจากความไม่มีศีลธรรม อสัจจะและจากสิ่งที่เรียกกันว่า ผลประโยชน์ทางการเมืองนั้น จำเป็นจะต้องทำอย่างไร คำตอบที่ผุดขึ้น ในสมองของ ข้าพเจ้า ก็คือ "หากจะรับใช้เพื่อนร่วมชาติด้วยกัน ซึ่งเราเห็นเขาได้รับความทุกข์ยาก อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวันแล้วไซร้ ก็จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องละทิ้ง ทรัพย์สินทุกชิ้นโดยสิ้นเชิง"

ข้าพเจ้าไม่สามารจะคุยด้วยความสัจได้ว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติตนตามความคิดเช่นนี้ได้ใน ทันที ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าจำต้อง สารภาพว่า แรกๆ นั้นทำได้ยากและช้ามาก และไม่ใช่แต่ ยากและช้าเท่านั้น หากยังเต็มไปด้วย ความปวดร้าวใจ เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย แต่เมื่อ กาลเวลาล่วงเลยไป ข้าพเจ้าก็พบว่า ข้าพเจ้าจำต้องทิ้งสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งข้าพเจ้า เคยยึดถือว่า เป็นของตน และต่อมา ข้าพเจ้าก็พบว่า การละทิ้งสิ่งเหล่านี้ ก่อให้เกิด ความสุข อย่างแท้จริง ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าก็สามารถสละทุกสิ่ง ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ ข้าพเจ้ากำลังพรรณนา ถึงประสบการณ์ ของตนเองอยู่นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ภาระอันหนักอึ้ง ได้หลุดลอยไปแล้ว จากบ่าทั้งสองของข้าพเจ้า เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเดินได้อย่างเสรี และ สามารถรับใช้ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยความสุข และความเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง การ "มี" ไม่ว่าสิ่งใด เป็นเรื่องของ ความวุ่นวาย และเป็นทุกข์โดยแท้

ข้าพเจ้าพูดกับตนเองต่อไปว่า การเป็นเจ้าของน่าจะเป็นอาชญากรรมหรือเป็นความผิดอย่างหนึ่ง การขโมย มิใช่ หมายความว่า ไม่ลักทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้น แต่การมีไว้หรือรับไว้ซึ่งสิ่งใด ที่ตนไม่มี ความจำเป็นต้องใช้ ก็หมายถึง การขโมยด้วยเหมือนกัน และการขโมย เป็นหิงสกรรม อย่างหนึ่งแน่นอน

เราควรจะมีเฉพาะสิ่งที่คนอื่นเขามีได้ แต่เราทุกคนทราบดีว่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนจะมีได้ก็คือ ความไม่มี หรือ การไม่เป็นเจ้าของ สิ่งใดเลย กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ยอมตนเป็นคนไม่มีไม่เป็นเจ้าของ เมื่อมีความเชื่อมั่นเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงคิดว่า แม้ร่างกายของเรา เราก็ควรจะมอบให้แด่พระผู้เป็นเจ้า นั่นก็คือ เราควรจะใช้ร่างกายนี้ มิใช่เพื่อความสุข สนุกสนาน หรือเพื่อสนองตัณหา หากควรจะใช้มัน เพื่อบริการผู้อื่น ตลอดเวลา ที่เรายังมีชีวิตอยู่ เมื่อร่างกายของเรา เรายังมอบให้แด่ พระผู้เป็นเจ้าได้ เช่นนี้แล้ว สัมมหาอะไร กับเสื้อผ้า และสิ่งของอื่นๆ เราจะมอบให้แด่ พระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้เล่า

ผู้ที่สามารถทำตนเป็นคนยากจนด้วยใจสมัครเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือกล่าวอีก นัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่ปฏิบัติตน จนบรรลุ อุดมการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นสักขีพยานได้ว่า เมื่อใดที่เราทำตน ให้เป็นคนไม่มีอะไรได้เลย เมื่อนั้น เราจะเป็นคนที่ ร่ำรวยที่สุดในโลก

คาระโว...นิวาโตของคานธี
ข้าพเจ้าไม่เคยอวดอ้างว่า ตนเองมีสิ่งใดวิเศษว่าผู้อื่น ข้าพเจ้ามิใช่ศาสดาพยากรณ์ ข้าพเจ้า เป็นผู้แสวงหาสัจธรรม ด้วยความเจียมใจ เจียมกาย และมีความมุ่งมั่น ที่จะแสวงหาสัจธรรมให้จนพบ ข้าพเจ้ายอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อจะได้เผชิญหน้ากับ พระผู้เป็นเจ้า พฤติกรรมทุกประการของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสังคม การเมือง มนุษยธรรม หรือ จริยธรรม ล้วนมีเป้าหมาย ในอันที่จะได้เผชิญหน้ากับ พระผู้เป็นเจ้า และโดยเหตุที่ข้าพเจ้าทราบดีว่า พระผู้เป็นเจ้านั้น มักจะประทับกับ ผู้ที่ต่ำต้อยน้อยหน้า ที่พระองค์ได้ทรงประทานกำเนิดมา มากกว่าที่จะประทับกับ ผู้ที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าจึงพยายาม ที่จะเข้าถึงผู้ที่ต่ำต้อยน้อยหน้า ข้าพเจ้าจะเข้าถึงเขาเหล่านั้น โดยปราศจาก การรับใช้เขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงฝักใฝ่ที่จะรับใช้ ชนชั้นที่ถูกกดขี่ บีฑา แต่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนั้น โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงต้อง เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ด้วยประการฉะนี้ จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้านั้น หาใช่เป็นนายไม่ หากเป็นคนใช้ ของอินเดีย และของมนุษยชาติ โดยผ่านการเป็นคนใช้ของอินเดีย และเป็นคนใช้ที่เจียมใจ เจียมกาย คนใช้ที่ดิ้นรนต่อสู้ และยังหนีความผิดพลาด บกพร่องไปไม่พ้น

ข้าพเจ้าทราบดีว่าทางที่ข้าพเจ้าจะต้องเดินต่อไปนั้นจะทุรกันดาร ข้าพเจ้าจะต้อง ลดตนเอง ให้เหลือแค่ศูนย์ ตราบใดที่คนเรายังไม่ทำตน ให้เป็นคนสุดท้าย ในบรรดา เพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้วไซร้ ตราบนั้น เขาจะไม่มีทาง บรรลุความหลุดพ้นได้ อหิงสา เป็นขอบเขตสุดท้าย แห่งการเจียมใจเจียมกาย

ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะได้ชื่อเสียงหรือเกียรติยศใดๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องตกแต่ง ประจำสำนัก ของพระราชา ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ ของชาวมุสลิม ชาวคริสต์ และ ชาวปาลาซี เช่นเดียวกับที่เป็นคนรับใช้ ของชาวฮินดู คนรับใช้นั้น ต้องการเพียง ความรัก ความเมตตา หาใช่เกียรติยศหรือชื่อเสียงไม่ และตราบใดที่ข้าพเจ้า เป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ ตราบนั้น ข้าพเจ้าก็คงได้รับความรัก ความเมตตาเป็นแน่นอน

อหิงสา...อโหสิ ของคานธี
ความบกพร่องและความผิดพลาดของข้าพเจ้านั้นเป็นพรจากพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับ ความสำเร็จ และความสามารถ ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย สองสิ่งนี้ ณ เบื้องยุคลบาทของ พระบิดาแห่งเราทั้งหลาย เหตุไฉนพระองค์ท่าน จึงทรงเลือกข้าพเจ้า ผู้ขาดความสมบูรณ์ ให้เป็นอุปกรณ์แห่งการทดลอง อันยิ่งใหญ่นี้ ? ข้าพเจ้าคิดว่าพระบิดาของเรา ทรงเลือก ข้าพเจ้า โดยทรงมีพระทัย เจาะจงให้เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะพระองค์ ทรงต้องการ สงเคราะห์มนุษย์ ผู้ยากจนข้นแค้น อีกทั้งโง่เขลา เบาปัญญา นับจำนวนล้านๆ คนที่มี ความสมบูรณ์แล้ว อาจจะสร้างความผิดหวัง ให้แก่เขาเหล่านั้น แต่เมื่อเขาได้คน อย่างข้าพเจ้า ผู้มีความไม่สมบูรณ์เช่นเขา เป็นผู้นำในการก้าวไปสู่อหิงสา เขาอาจจะเกิด ความมั่นใจ ในตนเองมากขึ้น คนที่มีแต่ความสมบูรณ์ อาจจะเป็นผู้นำของเราไม่ได้ และเราอาจจะไล่เขา เข้าป่าดงพงไพรไป ผู้ที่เดินตามรอย คนที่ไม่มีความสมบูรณ์ เช่นข้าพเจ้า อาจจะมีความสมบูรณ์ขึ้น และเขาอาจจะเข้าใจคำพูด ของคนเช่นข้าพเจ้า ได้ง่ายขึ้น

เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าได้ฟังข่าวเป็นครั้งแรกว่า ระเบิดปรมาณูได้ถูกทิ้งลงทำลายเมือง ฮิโรชิมา ราพณาสูรไปนั้น ข้าพเจ้างงงัน และเนื้อตัวแข็งไปหมด ข้าพเจ้าได้พูดกับตนเองว่า

"หากโลกไม่ยึดอหิงสาเป็นหลักแล้ว มนุษยชาติจะทำลายล้างกันเองตายหมดแน่"

ข้าพเจ้าขอตอบคำถามข้อหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้รับจากหนึ่งในสี่ส่วนของโลก คำถามนี้ก็คือ

"ท่านมีคำที่จะชี้แจงอย่างไรเกี่ยวกับความรุนแรง ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในท่ามกลาง ประชาชน ของท่านเอง ซึ่งเป็นสมาชิก พรรคการเมือง และพรรคการเมืองเหล่านี้ กำลัง ดำเนินงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ? นี่หรือคือผลที่ได้ จากการประกาศใช้หลัก อหิงสา เข้ารณรงค์เพื่อยุติ การปกครองของอังกฤษ เป็นเวลา ๓๐ ปีแล้ว ? คำสอน ของท่าน เกี่ยวกับหลักอหิงสา อันได้แก่การไม่ใช้ความรุ่นแรงนั้น ยังใช้ในโลกนี้ ได้อยู่ละหรือ ? (คำถามเช่นนี้ มีผู้ถาม มหาตมา คานธี หลังจากที่อินเดีย ได้ถูกแบ่งแยก ออกเป็น ๒ ประเทศ คืออินเดียกับปากีสถาน ต่อจากนั้น ได้มีการประหัตประหาร กันอย่างหนัก ระหว่างกลุ่มชนฮินดูกับกลุ่มชนมุสลิม คาดคะเนกันว่า ผู้ที่เสียชีวิต ในช่วงเวลานั้น มีไม่น้อยกว่า ๒๒๕,๐๐๐ คน)

ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาที่จะตอบปัญหานี้ ทั้งนี้ไม่ใช่ความล้มเหลวของ หลักอหิงสา แต่เป็นเพราะ ความล้มเหลว หรือความอ่อนแอของมนุษย์เราเอง อินเดีย ยังไม่เคยมีประสบการณ์ อันเกิดจากการใช้ อหิงสา โดยผู้ที่แข็งแรง เห็นจะไม่จำเป็น ที่จะให้ข้าพเจ้าย้ำอีกว่า อหิงสาของผู้ที่แข็งแรงเท่านั้น ถึงจะเป็นพลังที่แข็งแกร่ง ที่สุดในโลก

เป็นความจริงที่อหิงสาที่เราประพฤติปฏิบัติกันนั้น เป็นอหิงสาของผู้ที่อ่อนแอและเป็น อหิงสา ที่ยังไม่สมบูรณ์ ข้าพเจ้าหมายถึง เราผู้ประพฤติปฏิบัติอหิงสา ยังขาดคุณสมบัติ ของ ผู้ที่จะใช้อหิงสาได้อย่างสมบูรณ์ และถูกต้อง แต่ข้าพเจ้า ขอยืนยันว่า อหิสา ที่ยังไม่สมบูรณ์นี้ มิใช่เป็น อหิงสาที่ข้าพเจ้าแนะนำ หรือสั่งสอน ให้เพื่อนร่วมชาติ ของข้าพเจ้าปฏิบัติ

มูลเหตุที่ข้าพเจ้าแนะนำให้เพื่อนร่วมชาติของเรา ใช้อหิงสาเป็นอาวุธต่อสู้เพื่ออิสรภาพ มิใช่เป็นเพราะ ข้าพเจ้าเห็นว่า ประชาชนของเราอ่อนแอ ไม่มีกำลังและไม่เคยได้รับ การฝึกหัดให้ใช้อาวุธ แต่เป็นเพราะ ประวัติศาสตร์ได้สอนข้าพเจ้าว่า การใช้กำลัง และความเคียดแค้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเหตุ หรือภาระหน้าที่ที่ประเสริฐสุด เพียงใดก็ตาม มีแต่จะก่อให้เกิด การใช้กำลัง และยังให้เกิดความเคียดแค้น มากขึ้นเป็นลำดับ การใช้กำลัง จะไม่ก่อให้เกิดความสงบสุข ตรงกันข้าม การใช้กำลัง มีแต่จะทำลาย ความสงบสุข และก่อให้เกิดความวุ่นวาย โดยไม่มีที่สิ้นสุด

ข้าพเจ้าเชื่อในศาสน์แห่งสัจจะ ที่ศาสดาทุกองค์ประกาศไว้ในโลกนี้ ข้าพเจ้าสวดมนต์ ไหว้พระ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า จะไม่ขอโกรธขึ้งผู้ใด ที่นินทาร้ายข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้า จะต้อง ตกเป็นเหยื่อ ของกระสุนปืน ของผู้ที่ต้องการเด็ดชีวิตข้าพเจ้า ก็ขอให้ข้าพเจ้า ได้มีสติ ระลึกถึง พระนามของพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่ชีวิตออกจากร่าง ข้าพเจ้าเต็มใจ ที่จะให้ ประวัติศาสตร์ บันทึกข้าพเจ้าไว้ ในฐานะผู้ลวงโลก มาตรว่าขณะที่กำลังสิ้นใจอยู่นั้น ข้าพเจ้าจะได้เอ่ยวาจาใดๆ ในทำนองด่าทอ หรือโกรธเคือง ผู้ที่ปลิดชีวิตข้าพเจ้า (ว่ากันว่า ตอนที่มหาตมาคานธี ถูกคนร้ายยิงอย่างเผาขนและกำลังสิ้นใจอยู่นั้น คำพูด ที่ออกจาก ปากของท่านก็คือ " เฮ ราม" : ผู้แปล)

อหิงสาที่ข้าพเจ้าได้ให้อรรถธิบายมาตามนัยข้างต้นนี้หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อหิงสา ของคนกล้านั้น มีอยู่ในตัวข้าพเจ้าละหรือ ? ตอบคำถามข้อนี้ ความตายของข้าพเจ้าเท่านั้น ที่จะให้คำตอบได้ หากข้าพเจ้าถูกฆ่าและสิ้นใจลง ด้วยคำสวดมนต์ ให้พรแก่ฆาตกร ติดอยู่บนริมฝีปาก พร้อมทั้งรำลึกถึง พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในใจ เมื่อนั้นแหละ อหิงสา ที่มีอยู่ ในตัวข้าพเจ้า จึงจะได้ชื่อว่า เป็นอหิงสาของคนกล้า

ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะตายอย่างผู้แพ้ หรือตายอย่างผู้ที่หมดสมรรถภาพในการประกอบ ภาระกิจ กระสุนปืน เพียงนัดเดียว อาจจะจบชีวิตข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเผชิญกับ สภาวการณ์เช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าปรารถนา ที่จะหายใจ เฮือกสุดท้าย ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่

ในอดีตเคยมีคนปองร้ายข้าพเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงปกปักรักษาข้าพเจ้าไว้ ตราบจน ทุกวันนี้ หากจะมีใครสักคนหนึ่ง ยิงข้าพเจ้า จนถึงแก่ความตาย โดยเชื่อว่า การกระทำ เช่นนั้น เป็นการช่วยกำจัดคนชั่ว ให้สูญสิ้นไปจากแผ่นดิน ใครคนนั้น จะมิได้ฆ่าคานธี คนที่แท้จริง หากแต่จะได้ฆ่าคานธี คนที่ในทัศนะของเขา เขาถือว่าเป็นคนชั่ว

หากข้าพเจ้าถึงแก่กรรมด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ยืดเยื้อ หรือแม้แต่เพียงด้วยพิษของฝี หรือ สิวก็ตาม ขอให้ท่านถือว่า เป็นหน้าที่ของท่าน ที่จะต้องประกาศให้โลกทราบว่า คานธี หาใช่เป็นคนของพระผู้เป็นเจ้า ดั่งที่เขาอ้างไม่ (คนของพระผู้เป็นเจ้า จะต้องประกอบ ภาระกิจ จนกระทั่งจบชีวิต)

แม้ว่าการประกาศเช่นนี้จะทำให้คนไม่พอใจท่านก็ตาม วิญญาณของข้าพเจ้า จะเป็นสุขมาก

หากท่านกระทำเช่นนี้ได้ โปรดบันทึกไว้ด้วยว่า หากข้าพเจ้าจะต้องตายด้วยกระสุนปืน ดั่งที่มี ผู้พยายามปลิดชีวิตข้าพเจ้า ด้วยการขว้างระเบิด ไม่กี่วันมานี้ หากกระสุนปืน ต้องกายข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ร้องเลย ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับเอ่ยนาม พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่หายใจเฮือกสุดท้าย หากทำได้เช่นนี้เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงจะได้ชื่อว่า เป็นคนของ พระผู้เป็นเจ้า ตามที่ได้อ้างไว้ (หมายเหตุ : คานธีพูดเช่นนี้ในคืนวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ก่อนที่ท่านจะถูกยิง ถึงแก่กรรม)

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ตายไปแล้วไม่มีผู้ใดคนเดียว ที่จะเป็นตัวแทนของข้าพเจ้า อย่างครบถ้วน แต่ข้าพเจ้า คงจะได้ทิ้ง สิ่งละอันพันละน้อย ไว้กับหลายๆ ท่าน หากแต่ละท่านจะได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม เป็นอันดับแรก ประโยชน์ของส่วนตัวนั้น เอาไว้เป็นอันดับหลังสุด ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่า ช่องว่างอันจะเกิดจาก การตายของข้าพเจ้านั้น คงจะมีไม่มากนัก

ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเกิดใหม่ แต่ถ้าหากจะต้องเกิดใหม่ข้าพเจ้าก็ขอเกิดเป็นคนใน วรรณะศูทร (วรรณะที่ต่ำต้อยของอินเดีย) ทั้งนี้เพื่อจะได้มีส่วนแบ่ง ในความทุกข์ยาก โศกเศร้า และเหยียดหยาม ที่พวกเขาเหล่านั้น ได้รับในชีวิต และเพื่อข้าพเจ้าจะได้ มีความพากเพียร เพื่อปลดปล่อยตนเอง และเขาเหล่านั้น ให้พ้นออกจากสภาพ อันน่าเวทนา ดังกล่าว

- จุลอาตมา-

(เรียบเรียงจาก หนังสือ โลกทั้งผองพี่น้องกัน อมตวาจา ของมหาตมาคานธี และ อารมณ์ขัน
ของ มหาตมา คานธี แปลโดย กรุณา กุศลาศัย)

-สารอโศก อันดับที่ ๒๗๔ สิงหาคม 2547-