ทะลวงปัญหา ทะลุโลกาภิวัตน์ สมณะโพธิรักษ์ผู้นำชาวอโศกและผู้พาทำระบบบุญนิยม
ทุกวันนี้ดูว่ากระแสต่อต้านนายกฯ ในหมู่ปัญญาชนจะขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ กระแส ต่อต้าน ที่มีเพิ่ม มากขึ้น เพราะมีสาเหตุจากอะไร......? กระแสต่อต้านนายกฯ มันก็เป็นเรื่องของนายกฯ ที่นายกฯทำงานแล้วเกิดผลเอง เมื่อนายกฯทำงานส่วนใด ที่ผู้รู้ก็ดี ประชาชนก็ดี เห็นว่ามันไม่เข้าตาเขา มันรู้สึกไม่ถูกต้อง มันรู้สึกว่าไม่ได้ผล ไม่ได้ประโยชน์ ตามใจเขา แม้จะมองไปในด้านอัตตา อัตตนียา ไม่ได้ประโยชน์ตน ตนไม่ได้ประโยชน์อะไร ที่มองเห็นอันนี้ อย่างนั้นก็ตาม มันก็ขัดใจ มันก็ขัดข้อง มันไม่ชอบ เป็นธรรมดา จริงๆแล้วคนทำงานมากๆ มันก็มีส่วนที่ถูกใจคนไม่ถูกใจคนกันทั้งนั้นแหละ ทีนี้ยิ่ง ทำงานมาก แม้ส่วน ที่ถูกใจคน มีมากก็ตาม ส่วนไม่ถูกใจคนนี่ คนมันก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ ส่วนที่ถูกใจคนเขา เวลามัน ถูกใจคน แล้วเขาก็ไม่เก็บไว้ เขาก็ดีใจไปชั่วคราว แต่ส่วนที่ไม่ถูกใจคนนี่ มันคือพยาบาท สายโทสมูล เป็นอุปนาหะ ผูกเอาความไม่ชอบใจไว้ เป็นการผูกยึด เป็นความ ไม่วางปล่อย จองเวรจองกรรม ถ้าเข้าใจจิตวิทยาตรงนี้ ก็จะไม่ สงสัยอันนี้ เพราะฉะนั้น ส่วนที่ไม่ดีแม้จะน้อย แต่เขาพยาบาท เขาผูกพัน เขาไม่ยอม ปล่อย เขาจะทวงคืน เขาจะต้องแก้กลับให้ได้ ดังนั้นเมื่อมีส่วนบกพร่องมันก็จะต้องทับถม สะสมเข้ามา จนกระทั่งถึงขนาดหนึ่งมันก็แรงขึ้นๆ เป็นธรรมดา ธรรมชาติ แม้ส่วนดี จะทำมาก ส่วนไม่ดีก็จะเป็นบทบาท อย่างหนึ่ง จนกว่า จะทำสิ่งที่ดี มากๆๆขึ้น เพื่อพิสูจน์กลบความไม่ดีนั้นมากขึ้นๆ มีปริมาณมาก อย่างเพียงพอโน่นแหละ เขาถึง จะยอม จำนนว่าเออ....ใช่ อันนี้ดีจริง ถ้าจะให้ไปวิเคราะห์วิจัยว่าคนที่มีดีมากจะชั่วมากด้วย วิจัยกันจริงๆแล้วนี่ คนเราว่ากัน จริงๆ ว่าไปแล้วนี่ มันไม่ได้เลวร้าย จนกระทั่งชั่วมากกว่าหรอกในโลกคนที่เป็นอยู่นี่ คนสามัญในโลกนั้น ไม่ได้เลวร้ายมาก จนชั่วมากกว่า มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถึงขนาดนั้น อาจจะมีนะบางคน มันอาจจะมีได้จริงๆ แต่ถ้าชั่วขนาดนั้นคนเขารับไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นคนที่มาทำงานกับสังคมจะต้องมีดีมากกว่าชั่วเยอะ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ดังที่กล่าวแล้ว ชั่วมันก็เป็นตัว คู่กันกับพยาบาทกับจองเวร แล้วมันไม่ปล่อยง่าย มันก็เลยสะสมมันก็จะทวงคืน เพราะฉะนั้นการต่อต้านนี่ก็เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของคนผู้ทำงานกับสังคม ยิ่งทำงาน กับสังคม ในระบบของโลกียะ มันเห็นแก่ตัวอยู่มาก จากกิเลสอัตตามานะ ตัวกูของกู มันยังเยอะ ยังโลภอยู่ ก็ยังเยอะ โทสะมันก็ยังเยอะ โมหะมันก็ยังเยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อมันโลภโกรธหลงอะไรอยู่เยอะ เวลาทำงานโลกีย์มากขึ้นๆ ลักษณะที่ มันปรากฏ กับคนที่ทำงาน มันก็ทำให้แก่ตัวเองมากขึ้นๆๆ มันก็จะพอกพูน มองเห็น ได้ชัดเจนขึ้น นอกจากคนโลกุตระเท่านั้นแหละ ที่ทำงานก็ยิ่งปฏิบัติธรรม ก็ยิ่งกิเลสลดน้อยลง ลดน้อยลงๆๆ ให้เห็นปริมาณความดีก็มากขึ้นๆๆ เอามาเป็นของตัว น้อยลงๆๆ จึงจะเด่น จึงจะชัด คนถึงจะยอมรับ บอกแล้วไงว่า มันไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีชั่วเลย ชั่วร้อย เปอร์เซ็นต์ มันไม่มีอย่างว่า และจริงๆ คนก็มีดี มากกว่าชั่วอยู่ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้หรอกในโลก ถ้ามีชั่วมากกว่า คนๆนั้นก็หมาหัวเน่าจริงๆ ธรรมดาธรรมชาติ มันก็คบใครไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นในเรื่องของสัจจะพวกนี้ ถ้าไม่เข้าร่องเข้ารอยของโลกุตระ ความดีมันจะ ไม่สามารถ ที่จะอุ้ม ความชั่วได้ ความดีจะไม่สามารถที่จะมากลบคุมอำนาจ ของสิ่งชั่ว ของตัวเอง จนกระทั่ง ทำให้คนยอมรับ ได้ง่ายๆ ต้องคนโลกุตระ เท่านั้นแหละ ที่เจตนาปฏิบัติธรรมให้ถึงความจริง จนกิเลสลด เห็นแก่ตัวน้อย มีความเข้าใจ ถึงสัจธรรม เลย อ้า.... คนเราไม่ต้อง ไปสะสม ไม่ต้องหลงในโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็ไม่สะสมไม่กอบโกยอะไรอีกแล้ว มีความพอมีสันโดษ แล้วก็มีความมักน้อย ลงไปกับชีวิต ว่าง เบา ง่าย สบาย คนโลกุตระ หรืออาริยชน ที่แท้จริง โดยนัยของ พระพุทธเจ้า อย่างที่ว่านี้เท่านั้น ที่จะยิ่งทำงานก็ยิ่งจะปรากฏความดี หรือปรากฏ สิ่งที่พัฒนาตัวดียิ่งขึ้นไปได้ เพราะฉะนั้นคำถามก็ถูกแล้วว่า ทำไมนายกฯทักษิณถึงถูกต้านมากขึ้น ก็คือนัย อย่างที่กล่าวนี้ เพราะนายกฯ ทักษิณ ทำงานอยู่ในสายโลกียะอยู่ มีผู้รู้อยู่ในสังคม เป็นห่วงเป็นใยว่าท่านนายกฯทักษิณจะพาประเทศชาติล่มสลาย กว่ายุคใดๆ ในทัศนะ ของพ่อท่าน คิดว่า การจะพา ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ควรมีทิศทาง ในการพัฒนาอย่างไร? แบบกำปั้นทุบดินเลย ตอบอย่างตัดเชือกเลยว่า ต้องสร้างคนให้คนเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ ที่แท้จริง ถ้าไม่สร้าง ให้คนเป็นคนอาริยะ อย่างโลกุตระของ พระพุทธเจ้า ถูกต้องแท้จริง คือลดละ กิเลสได้จริงแล้ว จนมีทิฐิ มีปัญญาเห็นเลยว่า โลกุตระ เหนือชั้น กว่าโลกียะ แล้วตัวเองก็จะลดละจนเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์อย่างแท้จริง ธรรมชาติของปุถุชน ก็จะทำงานเพื่อตัวเองทั้งนั้น ยิ่งทำงานเสร็จ ก็ยิ่งได้ ลาภยศ สรรเสริญ สุขโลกีย์มากขึ้นๆ โลภโกรธหลงก็จะโตขึ้นๆ ทุกคนรู้ว่าการโลภไม่ดี การเห็นแก่ตัวไม่ดี การกอบโกยเอาเปรียบเอารัดไม่ดี คนรู้ทุกคน ในโลกรู้ทุกคน นั่นแหละ แต่จะลด มันก็ลดไม่ได้ ทำไม่ได้ๆ เพราะกิเลสมันแรงกว่า เหมือนที่เคยถาม ใครต่อใคร บ่อยๆ ว่าจริงๆ แล้วคนจะคอร์รัปชั่น คนจะโกงนี่ เขารู้มั้ยว่าการโกงนี้ชั่ว ก่อนจะทำการโกงเขา รู้ว่ามันชั่วมั้ย? หรือคนจะปล้ำข่มขืนฆ่านี่ ก่อนจะปล้ำมันรู้มั้ย การข่มขืน มันเป็นความผิด คนจะปล้นมันรู้มั้ยการจะปล้นมันไม่ดี มันชั่ว มันผิดรู้มั้ย เขารู้ทุกคน แต่เขาต้าน ไม่ได้ เพราะกิเลสในตัวมัน เก่งกว่ารู้ เขาต้องทำ ต้องโกง ต้องปล้น ต้องข่มขืน ต้องทำชั่วอะไร ก็แล้วแต่ หรือแม้แต่ ต้องเอาเปรียบ ถามจริงๆเถอะ การเอาเปรียบคน รู้มั้ยว่ามันเลว มันไม่ดี การเอาเปรียบ มันไม่ดีหรอก แต่มันอดไม่ได้ กิเลสของคน มันมีอำนาจแรงกว่า จะต้องได้เปรียบ อดไม่ได้ มันจึงบังคับ ให้ตัวเองทำชั่ว แม้แต่แง่เอาเปรียบมันก็ชั่วแล้ว ยิ่งไปโกงยิ่งไปทุจริตหยาบ กิเลสชั่วร้าย หยาบกว่านี้ คนมันก็รู้ทั้งนั้นแต่มันห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าไม่รู้ เพราะมันรู้ทั้งนั้น ไม่ใช่ไปแก้ที่รู้ ต้องแก้ที่ ลดกิเลส เพราะฉะนั้นทำอย่างไร เมืองไทยจึงจะมีพุทธศาสนาที่เป็นโลกุตระเป็นอาริยะอย่าง
แท้จริง เป็นวิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์ ลดกิเลสได้จริงทำได้ ขอยืนยัน เพราะพวกเรา
ได้พิสูจน์แล้ว ทุกวันนี้ ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า
ปฏิบัติจนกระทั่ง สามารถทำให้คน ทำงานฟรี ทำงาน ไม่ต้องเห็นแก่ตัว ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเกื้อกูล
ไม่ต้องสะสม กอบโกย ไม่ต้องโลภ อย่างแท้จริง เห็นอยู่อย่างทุกวันนี้ แม้แต่พยาบาท
โทสะก็ลดน้อยลงอย่างเห็นชัดๆ ที่ถามว่าทำไมขณะนี้การบริหารประเทศรู้สึกว่าจะพาประเทศชาติลงไปหนักหนากว่าเก่า ก็เพราะว่าสภาพของการทำงานอย่างโลกีย์มันกว้าง มันดูดี คนทุกคนเอาลักษณะดี มาแสดง เอาลักษณะดี มาปรากฏ แต่ในความดี แนวนี้เป็นแนวตื้น ส่วนแนวดิ่งลึก มันก็มีกิเลสโลภ โกรธหลง เจริญด้วย ตามที่พูดมาแล้ว มันทำงาน เป็นตัว ปฏิปักษ์กัน เมื่อยังมีความไม่รู้ หรืออวิชชา มันจะไม่รู้ แนวลึก เพราะฉะนั้น ในลักษณะการทำงาน ทุกวันนี้ เป็นผลดี หรือ เสียอย่างไร พอตอบได้ แต่อธิบาย ยากเหลือเกิน เป็นเรื่องที่เข้าใจ ได้ยาก ขอตอบเป็นภาษาเสียก่อนว่า ที่ถามการทำงาน อยู่เดี๋ยวนี้ ดูผลแนวระนาบ แนวตื้นนี้ดูได้ผล กระจายผลเฉลี่ยเงินทองข้าวของอะไร ออกไปให้แก่คน มองตื้นๆ ง่ายๆ คนก็ชอบ ก็ได้รับผล ไปทำการแจก ไปทำการเผื่อแผ่ไปทำการกระจายออก แต่ในแนวลึก ที่วนซ้อนเข้าไป ในแนวลึกนั้น มันก็เป็นภัย อันใหญ่ มีผลใหญ่เหมือนกัน จึงมีภัยใหญ่ ที่เป็นภัยลึก ภัยลึกที่ว่านี้ เช่น ความโลภ จนมากเกิน คนก็ไม่ชอบ ความโกงที่ซุกซ่อน ความเอาเปรียบ หรือเล่ห์ที่คนจับได้ เป็นต้น ถ้ามีมันก็สะสม ให้ความไม่ชอบ เจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้นอันนี้คนไม่รู้ภัยลึกตอนต้นๆ แต่คนที่เริ่มรู้ภัยลึกขึ้นมาได้เรื่อยๆ จึงเกิด การต้าน สูงขึ้นมา เรื่อยๆ เพราะมันเติมภัย ลึกเรื่อยๆๆ ภัยลึกมันกินเข้าไปเรื่อยๆ คนรู้ความจริงหรือรู้สัจธรรม ดังกล่าวนี้ชัด คือ ผู้รู้เท่านั้นนานๆ จึงจะรู้ หรือผู้รู้ปัญญาดี ก็รู้ๆๆ อ๋อ....เพราะฉะนั้นแม้ข้างบนจะมีผลใหญ่ ประโยชน์ใหญ่ ภัยลึกเขาเห็น เขาก็เอามาเตือน เขาบอกมันไม่ใช่แล้วนะ มันมีอะไรซับซ้อน ไปหาแนวลึก นี่คือสภาพ ที่พออธิบายได้ แต่ความจริงมันอธิบายยากอยู่ ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะไม่ได้เป็น นักวิชาการ ไม่รู้จะอธิบาย ด้วยภาษา วิชาการยังไง ทุกวันนี้ข่าวการเมืองกำลังมาแรง แล้วก็มีการพูดกันไปพูดกันมาทุกวันนี้ จนกลายเป็นว่า พ่อท่านเอง เป็นเจ้าของ พรรคเพื่อฟ้าดิน พ่อท่านเกี่ยวข้องอย่างไร กับพรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งมีผู้รู้หลายท่าน ท้วงติงมาว่า พ่อท่านไม่น่า เข้ามายุ่งกับการเมือง ตกลงตอบคำถามว่าไม่น่าเข้ามายุ่งกับการเมืองก่อน คนในโลกนี้มันขาดจากการเมือง ไม่ได้ ทุกอย่างมัน สัมพันธ์กัน การเมือง เป็นตัวบริหารสังคม การเมืองเป็นตัวที่ทำงาน กับคนทุกคน เพราะฉะนั้น การที่จะบอกว่าตัวเองไม่ยุ่งกับการเมืองนั้นน่ะ คนนั้นแหละ โดนการเมืองย่ำยีแล้ว ก็กลายเป็นเบี้ย ให้แก่ผู้ที่ทำงานการเมือง มาใช้ประโยชน์ กลายเป็นทาส หรือกลายเป็นเบี้ยที่ถูกใช้ตามอำเภอใจ หรือกลายเป็นหน่วยที่เขา จะหยิบจับฉุดถูไถโยนขว้างอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น คนไม่ยุ่งการเมือง จึงกลายเป็นเบี้ย เป็นทาสเต็มเข่งกระบะ อยู่ในสังคม เป็นคนไม่ยุ่งไม่รู้การเมือง นั่นแหละ นักการเมือง จึงตีกินได้ ยุ่ง คือ การทำหน้าที่ ต้องเกี่ยวข้อง ไม่ปล่อยปละละเลย ต้องรู้จักหน้าที่ของเรา และของ นักการเมือง ที่ไปทำงานการเมือง เขาทำถูกหรือผิด ถ้าทำผิดเรามีหน้าที่ มีสิทธิ์จะแสดงออก บอกเขา แม้เขาทำถูก เราก็มีสิทธิ์ แสดงออกเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น เขาก็ฉวยเอาจำนวน ความเป็นประชาชน ที่ไม่รู้ไม่ชี้ หรือไม่ยุ่งกับการเมืองนั้นแหละ เป็นหุ่นเชิด เป็นเบี้ย เป็นทาส ใช้สบายไป เพราะฉะนั้น ใครจะบอกว่าอาตมานี้เข้ามาเล่นการเมืองเข้ามายุ่งการเมือง อาตมาไม่มี ปัญหา เพราะตอนนี้ ได้ตัดสินใจ ที่จะทำตาม ความเชื่อมั่นของตนเองแล้วว่า เราจะทำ อะไรให้แก่สังคม เราจะทำงาน กับสังคมนี้ เราทำเพื่อเห็นแก่ตัว เราทำเพื่อ เห็นแก่ได้ เราทำเพื่อที่จะสร้าง สิ่งเลวร้าย ไม่ดีไม่งาม ให้แก่สังคมหรือไม่ ได้พิจารณาแล้วว่า ไม่ได้ทำเพื่อเห็นแก่ตัว ไม่ได้สะสม กอบโกย ไม่ได้เอาผล เอาประโยชน์ ไม่ได้ทำเพื่อ เห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญสุข โดยเฉพาะ ไม่กลัวที่จะ ไม่ได้สรรเสริญ และไม่ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายอะไรแน่นอนแล้ว เราต้องทำให้ประชาชน เห็นอยู่โทนโท่ว่า การเมือง มันไม่ไป ถึงไหน เพราะประชาชน ไม่รู้การเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อความชัดเจนของตัวเองมีอย่างนี้ ใครจะว่าหลงตัวหลงตนอะไร ก็ตามใจ จึงไม่มีปัญหา เพราะตัวเอง ไม่ได้ทำงานเพื่อที่จะได้รับคำยกย่องเชิดชู ใครลบหลู่ไม่ได้ ใครดูถูกดูแคลนไม่ได้ ใครด่า ใครทอไม่ได้ ไม่ใช่ จะด่าจะทอ ก็ด่าทอ ใครจะมาลบหลู่ ดูถูกอะไร ก็ไม่ว่ากัน เพราะว่า คำลบหลู่ดูถูก ที่เขายังไม่เข้าใจ เขาก็ลบหลู่ดูถูกกันอยู่จริง เพราะเขาไม่รู้ลึก กว่านั้น แต่เชื่อแน่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งดี ที่จะทำให้แก่มนุษยชาติ มันเป็นเรื่อง สัจธรรม อาตมาสงสาร ประชาชน สงสารมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจที่จะทำ ใครจะเข้าใจว่าเป็นเจ้าของพรรคการเมือง พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็ไม่ว่า เพราะจริงๆ อาตมา ไม่ได้เป็น เจ้าของ คนไม่รู้ความจริง ก็ให้เขาว่าไป เพราะเขาไม่รู้ เขาก็ต้องพูดผิด เป็นธรรมดา พรรคเพื่อฟ้าดินคือพรรคที่ตั้งขึ้นตามหลักเกณฑ์ของรัฐตามหลักเกณฑ์ ของกฎหมาย ประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ ตามนิตินัย ของประเทศ ทุกอย่างก็ถูกต้อง ตามนิตินัย ของประเทศ พระไปเป็น หัวหน้าพรรค ไม่ได้หรอก ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไร กับนิตินัย ของเขา แต่ถ้าบอกว่า เป็นเรื่องของพฤตินัย เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ช่วยชี้ช่วยอ่าน มีอะไร ก็ช่วยให้คำแนะนำ อะไรต่ออะไรก็เป็นจริงๆ ไม่ได้ปฏิเสธ โดยพฤตินัย ไม่ได้ปฏิเสธ แต่โดยนิตินัยไม่ได้เป็นอะไรเลยกับพรรคการเมือง จะเรียกว่า อาตมาเป็น เจ้าของ พรรคการเมือง ก็เป็นคำตู่ของเขา ไม่ได้ติดใจอะไรหรอก คนเราจะตู่ยังไง จะว่ายังไงก็ว่าได้ เรื่องนั้น ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ว่าทำงานการเมืองหรือว่าทำงานส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมเมืองหรือเหตุการณ์ บ้านเมือง ในประเทศนี้มั้ย ทำแน่ เพราะฉะนั้น อาตมาก็เข้าใจว่าเรื่องของการเมืองคืออะไร เข้าใจว่าเรื่องของ การศาสนาคืออะไร การเมืองก็คือสิ่งที่จะต้องทำงานกับสังคมในแนวกว้างในแนวกายภาพ ในเรื่องของทาง วัตถุธรรม เน้นในเรื่อง เครื่องอาศัย ของชีวิตด้านกายเป็นหลัก ในแนวระนาบวงกว้าง ส่วนการศาสนานั้นทำงานกับสังคม ไปในแนวลึกแนวจิตภาพ เน้นเนื้อหาของวิญญาณ แนวลึกด้านลึก ของสังคม เป็นด้านหลัก พัฒนาพฤติกรรมศีลธรรม ของสังคม ของคน ไม่ละเว้น แม้แต่คนที่เป็น นักการเมือง หรือกิจกรรมการเมือง ถ้าบกพร่อง ในด้านศีล ด้านธรรม ก็ต้องร่วมเข้าไปทำงานด้วย ก็แบ่งกันง่ายๆ แค่นี้ก่อน แต่ผลเหมือนกันกับ การเมือง คือช่วยให้สังคม เป็นอยู่สุข ช่วยให้สังคม ดำเนินไป มีชีวิตอยู่อย่างสงบ อยู่อย่าง เรียบร้อยเกื้อกูลช่วยเหลือ ไม่เกิดความเดือดร้อน วุ่นวายอะไรกัน เหมือนกันเลย การเมือง ก็ตาม ศาสนาก็ตาม มีจุดเป้าหมายเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่า แยกแบ่งกัน นิดหน่อย เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ ร่วมกันทำกับสังคม ศาสนาพุทธไม่ใช่ฤาษีหนีไปเป็นคนป่า แต่เป็น ศาสนา ของคนเมือง ขอยืนยัน เพราะฉะนั้น เมื่อจุดมุ่งหมายอันเดียวกันทำไมจะไม่ร่วมกัน ทำไมจะต้องแยกศาสนา ออกจากการเมือง ที่พูดว่า ทำไม.... ที่จริงอาตมารู้ เพราะนักการเมือง หรือผู้ไม่ใช่ นักการเมือง ไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เห็นว่า การเมือง มันเป็นเรื่องเลวร้าย มันเป็นเรื่อง ร้ายกาจ ส่วนศาสนาเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องสะอาด ก็เลยเห็นกันว่า ไม่ควรจะให้ ศาสนา ไปแปดเปื้อน กับสิ่งนั้น เขาก็เลยกันออก นี่คือ คนที่เจตนาดี ส่วนคนเจตนาร้ายก็คือ เอามันออกไป มิฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่จะต้องมาฟ้อง มันจะมา ประจาน มันจะมา จับผิดได้ เพราะธรรมะ เป็นตัวแนวลึก เป็นตัวความสะอาด เป็นตัว แนวรู้สัจธรรม เพราะฉะนั้น เขาจะทำชั่ว ทำเละ ทำเลอะอะไรได้ลำบาก เมื่อนักการเมือง พวกนี้ มีอำนาจทางการเมือง จึงใช้เล่ห์เหลี่ยม กันธรรมะ ออกจากการเมือง นี่ก็เป็น อันหนึ่ง เพราะฉะนั้น การจะทำงานการเมือง เมื่ออาตมาเข้าใจอย่างนี้แล้วใครจะเข้าใจว่า อาตมาเป็น เจ้าของพรรค จริงๆ มันก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่า ทำงานการเมืองมั้ย ก็ไม่ปฏิเสธ แต่เที่ยวไปทำงาน การเมือง อย่างฆราวาสหรือไม่ ไม่ทำอยู่แล้ว โดยมีกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ ของสังคม มีกฎมีระเบียบอะไร เราก็ไม่ไปละเมิด อยู่แล้ว เราก็ทำตามสิทธิ ของมนุษยชนที่พอทำได้ ดังนั้น ใครเขาจะเข้าใจไม่ได้ เข้าใจผิด หรือว่าเข้าใจถูก ก็ตามใจเถอะ จะมาถล่มทลายก็ตาม ก็บอกแล้วแต่ต้นว่า ก็ยอมที่จะให้เขา ดูถูกดูแคลน ไม่ว่ากัน จะทำงานอย่างเดียว เพราะอายุก็มากแล้ว ๗๐ ขึ้นไปแล้ว นี่ก็เดินทางใกล้เข้าสู่ หลุมฝังศพแล้ว ก็จะขอทำงานไป จนกว่าจะตาย จะเสียมากกว่าได้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าอะไร ก็ไม่ได้อยากได้เด่นได้ดีอะไรหรอก อยากจะด่าก็ด่าได้ไม่ว่ากัน ไม่มีปัญหา อะไรหรอก อาตมาเอง บอกเลยได้ว่า เขาจะเห็นอาตมา เป็นหมูเป็นหมา ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาจะทำงานไป ไม่กลัวเปื้อนอะไร จะเป็นแบบอรหันต์จี้กง บ้าๆบอๆ เขาจะเข้าใจ ยังไง แล้วแต่ แต่เราทำประโยชน์ ให้เกิด เพราะเราแน่ใจ เราทำของเราไป เพราะอาตมา มั่นใจว่า เรามีผู้ที่เข้าใจเราแล้ว มีความจริง ที่ยืนหยัด เนื้อหาแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะสร้าง เนื้อหาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นประโยชน์ทางสังคม ที่จะต้องได้รับรู้ คือคนในสังคม ก็ยังไม่รู้ อีกเยอะ เพราะฉะนั้น ในจำนวนปริมาณของคนที่จะรู้ มีน้อยกี่ต่อ ก็แล้วแต่ อีกหน่อย อาจจะมีเพิ่มแต่อาจจะได้มา ๑ ส่วนใน ๑๐ ก็เอา แม้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจผิด อีก ๙๐ จะเข้าใจผิด ก็ไม่มีปัญหา ดูเหมือนว่าที่ผ่านมานี่ พอพระเข้ามายุ่งเรื่องการเมืองทีไร มันเป็นผลเสียมากกว่า ? ที่บอกว่าพระมายุ่งกับการเมืองทีไรเป็นผลเสียมากกว่านั้นก็เป็นไปได้ เพราะว่า ๑. พระไม่สามารถที่จะนำสัจธรรมที่แท้ที่จริงมาใช้ให้ได้ประสิทธิภาพประสิทธิผล
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ถึงสัจธรรมจริง ฉลาดไม่พอทางโลกีย์เขาหรอก ต้องฉลาดเข้าใจ สัจธรรม ทั้งโลกียะ และโลกุตระ อย่างเพียงพอ จึงจะรู้จักว่าทำกับสังคมเขาอย่างไร โดยเฉพาะ ทำอย่างสุจริต หรือ ถ้าพระแคร์ เรื่องลาภยศสรรเสริญ ที่มีเชื้อของโลกีย์ อยู่เยอะ พระก็จะไปสู้คน ที่เขามีอำนาจ ทางการเมือง ทางประเทศ ซึ่งเขามีอำนาจ ทางรัฐทางประเทศ ทางนิตินัยอยู่ด้วย ส่วนพระนั้น ไม่มีอะไรเลย ทั้งนิตินัย ทั้งธรรมวินัย แม้แต่การเข้าถึง สัจธรรม ก็ไม่มี เมื่อไม่มีอะไรเลย แล้วไปทำงานการเมืองกะเขา ลาภยศ สรรเสริญ ตัวเอง ก็ยังอยากได้อยู่จากเขา เขาเป็นคนให้ เขาเป็นคนป้อนทรัพย์สิน เงินทอง อำนาจ เงินของรัฐ เงินของอะไร รัฐเขามี แต่ตัวพระมีที่ไหน พระแบบนี้ ก็ทำให้คน ลบหลู่ศาสนา เพราะฉะนั้น เมื่อไปต่อสู้หรือไปร่วมกับเขา ก็เป็นเบี้ยล่างเขาทุกทีไป แต่ถ้าพระที่เป็น โลกุตระ ไม่ได้ง้อเงิน ง้อทอง ไม่ได้ง้อ อำนาจเลย ไม่แม้แต่จะกลัวว่า ไม่ได้รับความยกย่อง จริงๆ ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ พวกการเมือง จึงไม่มีอำนาจ หรือไม่มีส่วน ที่จะเอาสิ่งเหล่านั้น มาเป็นเครื่องต่อรองได้ อันนี้ต้องเป็น พระที่มีโลกุตระ และโลกวิทูถึงจะทำได้
พัฒนาการของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม นับตั้งแต่อดัม สมิธ จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็น สังคมนิยม ของคาร์ลมากซ์ แล้วระบบบุญนิยม ที่พ่อท่านพาทำมีนัยที่เหมือน และแตกต่าง กับ ระบบเศรษฐกิจ ที่มีอยู่ในโลกอย่างไร ? เศรษฐกิจบุญนิยมมีความต่างแน่นอน และเป็นนวัตกรรมทางเศรษฐกิจแน่นอน ขอยืนยัน เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจที่เขาใช้กันมา เรียนกันมาอย่างเศรษฐกิจอดัม สมิธ แม้จะวิวัฒนาการ มาเป็นเศรษฐกิจ นีโอคลาสสิค จนกระทั่งมาถึงเศรษฐกิจอย่าง คาร์ลมากซ์ หรือแม้แต่ที่สุด จะมาเหมือนกับ เศรษฐกิจประสมประสาน ทางคุณธรรม อย่าง ชูเมกเกอร์ ก็ตาม มันก็ไต่ระดับมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจต่างๆ ก็เป็นไป เพื่อที่จะทำให้คนให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข เหมือนกันกับการเมือง ก็มีแบ่งแจกกัน ผู้ที่มีความสามารถมาก มีความรู้มาก แม้เป็นผู้ที่สามารถที่จะเอาเปรียบได้ ก็เป็นคน เสียสละ เป็นคน ช่วยเหลือ ปลาใหญ่ช่วยปลาเล็ก มันก็เป็นสัจธรรมที่ถูกต้อง แต่ความจริงแล้ว ปลาใหญ่ มันไม่ช่วย ปลาเล็ก มันกินปลาเล็ก เอาเปรียบปลาเล็ก เมื่อมีการแบ่งสัดส่วน ก็เป็นสัดส่วน ที่ได้เปรียบ ยิ่งกว่า ปลาเล็กมาตลอดกาลนาน เศรษฐกิจของโลกโลกียะตั้งแต่อดัม สมิธ ผ่านคาร์ลมากซ์ มาถึงชูเมกเกอร์ ก็ตาม มันก็ยังไม่เปลี่ยน แม้แต่ชูเมกเกอร์ก็ยังไม่ชัดเจนในโลกุตระ ถึงคาร์ลมากซ์ คาร์ลมากซ์นี่เน้นความสำคัญ ของส่วนกลาง ทำเฉลี่ย เป็นส่วนกลางให้มาก พอมาถึงชูเมกเกอร์ก็บอกว่า ส่วนกลางนั้น ต้องมีคุณธรรม มันถึงจะเกิด ความเสมอภาคได้ ชูเมกเกอร์ก็พยายามจะเอาคุณธรรมมา แต่ชูเมกเกอร์ ไม่เก่งโลกุตระ ยังไม่ก้าวล่วง เข้าโลกุตระ อย่างสำเร็จประโยชน์ เพราะฉะนั้น จึงนำพารูปแบบ นำพาทฤษฎี นำพาหลักการ มาปฏิบัติ จนเกิดผลกับสังคม กับประชาชนมนุษยชาติไม่ได้ แต่เศรษฐกิจบุญนิยมนี้เหนือชั้นกว่าชูเมกเกอร์ตรงเป็นโลกุตระที่แท้จริง เป็นคุณธรรม เป็นสัจธรรม ที่ละลดความเห็นแก่ตัว เฉลี่ยจนเผื่อแผ่ มักน้อยสันโดษ ปลาใหญ่ช่วย ปลาเล็กแท้จริง เป็นเศรษฐกิจ ที่ปลาใหญ่ ช่วยปลาเล็กอย่างบริสุทธิ์ใจ พร้อมกับเต็มใจ ตั้งใจที่จะช่วยด้วย เพราะรู้แจ้งว่า เป็นหน้าที่ ของผู้สูงต้องมีหน้าที่ช่วยผู้ต่ำ ตนเอง ก็ช่วยตนเอง ได้แล้ว การช่วยเขา การเสียสละ เป็นสิ่งประเสริฐ และเป็นการ ปฏิบัติตน มักน้อยสันโดษได้จริง ลดได้จริง เสียสละจริง ไม่ต้องใช้มากกินมาก แต่ประสิทธิภาพสูง สามารถทำได้มากสร้างได้มาก จึงเผื่อแผ่เกื้อกูลออกไป ได้กว้างขวาง และ ทุกคน ที่มา ในระบบบุญนิยมนี้ อย่างจริงจัง ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะฉะนั้น ผลประโยชน์ ที่ได้ ก็จะมีมารวมกันเยอะเพราะต่างไม่สะสม ไม่กักตุน ไม่กอบโกย แล้วก็เผื่อแผ่เสียสละ ออกไปสู่คนจน คนด้อย ที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือได้มากขึ้นๆ ดังนั้นเศรษฐกิจบุญนิยมจึงเป็นเศรษฐกิจที่เกิดจากสัจธรรมที่แท้จริงในมนุษย์ เป็นจิตวิญญาณ ของมนุษย์ ที่เข้าถึงอาริยะ เป็นอาริยจิต เป็นจิตอาริยบุคคลที่แท้จริง จึงสามารถที่จะทำ เศรษฐกิจเหนือชั้น ทุกวันนี้ในโลกศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ ไม่รู้จักโลกุตระ มีศาสนาพุทธรู้จักโลกุตระ เข้าไปถึง จิตวิญญาณ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต และสามารถที่จะทำจิต ให้ลดกิเลส อย่างแท้จริง แล้วเกิดปัญญา เกิดญาณทัสนะวิเศษ เกิดวิชชา เกิดความรู้ถึง สัจธรรม ที่แท้จริงว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องของมนุษย์ ที่ควรได้ ควรเป็น ควรมี การเสียสละเป็นเรื่องควรได้ การมักมากเป็นสิ่งที่ไม่พึงทำ การมักน้อย การไม่มีกิเลสโลภ โกรธหลง เป็นสิ่งที่จริง และเป็นสุขที่จริง ทุกอย่างสงบอย่างยั่งยืน ถาวรได้จริง เมื่อปฏิบัติความจริงอันนี้ ที่เป็น โลกุตระ จึงเกิดผลเกิดประโยชน์ที่แท้จริง มีความจริงปรากฏ เศรษฐศาสตร์บุญนิยม เป็นของใหม่ เป็นเศรษฐกิจพันธุ์ใหม่ Alien species ที่จริงเป็นของพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าเคยมี แต่มันเลือน มาแล้ว มันเพี้ยนมาจนกระทั่งลืม นี่ก็กลับมากู้ โลกุตรธรรม ของพุทธขึ้นมาให้ปรากฏ จะบอกว่า เป็นนวัตกรรม เป็นสิ่งใหม่ ก็เป็นเศรษฐกิจ แบบใหม่ของโลกอยู่ในขณะนี้ เคยมีมานานแล้ว แต่ว่ามันลืม ไปหมดแล้ว มันไม่มีให้ปรากฏแล้ว มันเกือบจะไม่มีร่องรอย แต่เนื้อแท้ของทฤษฎีนั้น เมื่อรื้อฟื้นแล้ว เอามาปฏิบัติกับมนุษย์ พิสูจน์ได้เป็นเอหิปัสสิโก อกาลิโก ไม่จำกัดยุคกาล และสามารถ ท้าพิสูจน์ได้ เพียงแต่ยุคก่อน กับยุคนี้ มันคนละบริบทกันเท่านั้น พ่อท่านมองเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาว่า การศึกษาทุกวันนี้มีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน และ จะแก้ไข ได้อย่างไร ? การศึกษาทุกวันนี้จุดอ่อนก็คือ ไปหลงแนวระนาบกว้างไปหลงความรู้ที่เป็นความรู้ของ ชาวโลกีย์ ชาวทุนนิยม ชาวอำนาจนิยม ชาวอวิชชานิยม ไปนิยมความรู้ ไปนิยมอำนาจ ไปนิยมทุน ไปนิยมบริโภค ไปนิยม สิ่งที่เป็นจักรวรรดินิยมอะไรพวกนี้ สรุปแล้วเป็นโลกีย์ เพราะฉะนั้นความรู้ที่เป็นเชิงโลกีย์นี้ยิ่งตะกละตะกลาม ยิ่งเห็นแก่มาก เห็นแก่ได้ เห็นแก่กว้าง เห็นแก่เยอะ เห็นแก่ดัง เห็นแก่เด่น เห็นแก่โลกีย์พวกนี้ไปหมดเลย เด่นดังในลาภ เด่นดังในยศ เด่นดัง ในสรรเสริญ เด่นดังในการเสพกาม เสพอัตตามานะ เบ่งศักดิ์ศรีอะไร ก็แล้วแต่พวกนี้ มันหลงแต่พวกนี้ แล้วคนก็นิยม อย่างนั้นในโลกีย์ การศึกษาก็ศึกษาเพื่อที่จะเพ่งไปได้ลาภเยอะๆ เพ่งไปได้ยศเยอะๆ เพ่งไปได้สรรเสริญ เยอะๆ เพ่งไป ได้เสพกามกันอย่างพิสดารวิตถาร เพ่งไปในการสร้างศักดิ์ศรี ตัวเอง ให้ได้ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าโลก อะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้แหละมันปรุงกัน หลอกกัน ให้คน หลงไปศึกษา โน้มไปหาโลกียะ หรือโลกธรรม พวกนี้หมดเลย นี่คือความบกพร่อง ของการศึกษา ขอยืนยันว่า เร่งส่งเสริมแต่ความรู้ ไม่เรียนไม่ลดกิเลส แก้ปัญหาประเทศไม่สำเร็จ ถ้าการศึกษาใด ทำให้คน ลดกิเลสไม่สำเร็จ พัฒนาสังคมไม่เสร็จอย่างยั่งยืนแน่นอน ส่วนการศึกษาที่ควรจะเป็นก็ควรจะเป็นการศึกษามาหาโลกุตระ เป็นการศึกษา มาสร้างคน ให้คนเข้าใจสัจธรรม แล้วคนที่เข้าใจสัจธรรม ก็จะพึ่งตนเองรอด และจะเป็น คนช่วยผู้อื่นได้อีก จะเป็นคน เห็นแก่ตัวน้อยลง จะเป็นคนเห็นคุณค่าของ การช่วยมนุษยชาติ ไม่ใช่ไปเอามนุษยชาติ มาเป็นเหยื่อ ไม่ใช่จะเป็น นายใหญ่ แล้วเอาคนอื่นๆ มาเป็นทาสเรา...หรือเป็นเครื่องมือ สนองกิเลส ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นการศึกษาที่ไม่เน้นมาหาโลกุตรธรรมจึงเป็นการศึกษาที่เสื่อม ทั้งโลก เป็นการศึกษา แนวโลกียะ อย่างนี้ จึงเสื่อมทั้งโลก หลงเฟ้อ เป็นการศึกษาหลงเฟ้อ ใช้งานไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เฟ้อเกิน จนทิ้งขว้าง ศึกษามาก็มาใช้กับชีวิตจริงไม่มาก แต่หลงว่าเรารู้มากๆๆๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว ใช้ประโยชน์ ไม่ได้มาก แล้วก็ทั้งตื้น ทั้งฟ่าม ทั้งสูญเสียผลาญพร่าทำลายในตัวด้วย ที่สำคัญคือ การศึกษา เป็นเครื่องมือ หรือ เป็นอาวุธที่ทำร้ายตนเองและสังคม ยิ่งสูงยิ่งเก่งยิ่งเอาเปรียบซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะฉะนั้นการศึกษาของโลกนี่ ถ้าวิจารณ์กันจริงฟังแล้วหนัก เพราะมันไม่เข้าใจ เป้าหมาย ของความเป็นจริง ของมนุษยชาติ เป้าหมายความเป็นจริงของมนุษยชาตินั้น มนุษยชาติ จะต้องกลับ เข้าไปถึงสัจธรรม ในระดับโลกุตระ เป็นการศึกษาที่ล้างกิเลส ความเห็นแก่ตัวจริง เมื่อไปถึงโลกุตระแล้ว จึงจะเข้าใจโลกีย์ เพราะคนโลกุตระนั้น เข้าใจโลกีย์ดี แล้วก็ไม่ติดโลกีย์แล้ว ตัวเองก็หลุดพ้น ออกมาจากโลกีย์ จึงไปหาสูญ ไปหาความไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นเขาจึงช่วยคนอื่นได้จริง เพราะมัน ไม่ติดตัวตน ไม่มีติดอะไร ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องมีไม่ต้องเป็นอะไรของตัวเอง เพราะฉะนั้น จึงสร้างสรร โลกุตระ จึงไม่ไร้สมรรถภาพ ไม่ไร้ความสามารถ ไม่ไร้ความรู้ สูงส่งในความรู้ สูงส่ง ในความสามารถ เป็นศาสนา เพื่อสังคม ทุกวันนี้เข้าใจศาสนาพุทธผิด เพราะพุทธไม่ได้ใช้สมาธินั่งหลับตาสะกดจิต แล้วทิ้ง บ้านเมือง หรือลืมทิ้งสังคม ไม่รับรู้อะไร ไม่เอาอะไร อย่างฤาษีสมัยก่อน.....ไม่ใช่ ศาสนาพุทธนั้นใช้ "สัมมาสมาธิ" ที่ลืมตา ปฏิบัติ มรรค ๗ องค์ ตามคำสอนใน "มหาจัตตารีสกสูตร" (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒ ถึง ๒๘๑) เป็นโลกุตระที่อยู่กับโลก ช่วยเป็นประโยชน์กับมนุษยชนเป็นอันมาก (พหุชนหิตายะ) เป็นสุขกับ มนุษยชน เป็นอันมาก (พหุชนสุขายะ) อนุเคราะห์เกื้อกูลโลก (โลกานุกัมปายะ) อย่างแท้จริง ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ทำให้เราต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆทั่วโลก ถ้าเราไม่ทำตาม กระแสโลก เช่น เรื่องการเงินเสรี การค้าเสรี หรือใหม่ล่าสุดเร็วๆนี้ คือการปลูกพืชจีเอ็มโอ เราจะมีวิธีรับมาใช้อย่างไร จึงไม่ทำให้ตกขบวน โลกาภิวัตน์ สรุปแล้ว....ก็คือจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจโลกุตระอย่างแท้จริง ถ้าเข้าใจโลกุตระที่แท้จริงแล้ว จะทำให้เราเข้าใจ เท่าทันโลกียะ และเข้าใจความหลอกของโลก ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนว่า โลกนี้เต็มไปด้วย อิสระ-เสรีภาพ ภราดรภาพ หรือสันติภาพ มีสมรรถภาพ บูรณภาพ แต่ความจริง มันไม่เป็นความจริง สาเหตุมันเริ่มมาจาก การศึกษานั่นแหละ เมื่อการศึกษา ไม่ถูก มันก็เลยไม่ได้สัจธรรม ไม่รู้สัจธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีความจริง มันก็มีแต่ความหลอก จะบอกว่าเรามีอิสระเสรีภาพ มันก็หลอก เพราะฉะนั้น จะค้าขายเสรีจะปล่อยให้เป็นเสรีโน่นเสรีนี่ ล้วนแต่เป็น คำหลอก ของผู้ที่ฉลาดเอาเปรียบ โดยเฉพาะ คนที่อยู่ในฐาน อำนาจยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งไม่มีใครมาต้าน มากั้น มันก็มีสิทธิ์ที่จะกวาดมาเป็น ของตัวเองได้มาก เพราะการศึกษาในโลก ไม่สอน วิชาลดกิเลสได้จริง ที่เป็นโลกุตระ เพราะฉะนั้นยิ่งเปิดเสรีเท่าไหร่นายทุนหรือผู้มีอำนาจจริงๆในโลกในสังคมที่มีอำนาจ เหนือชั้นกว่า ก็มีโอกาส ที่ยิ่งจะได้เปรียบมาก เปิด FTA ก็ทำสัญญากับคนนั้นคนนี้ เสร็จแล้ว ทำสัญญากับ คนที่มี อำนาจมากกว่า คุณก็แพ้เปรียบเขาแน่นอน ระบบเสรี จะเสรีในอะไรก็แล้วแต่ คนที่มีอำนาจ มันก็ได้เปรียบหมด แล้วมันก็ทำลาย ไอ้ตัวน้อยๆ เล็กๆ หญ้าแพรกแหลกลาญหมด เพราะยิ่งเสรี เท่าไหร่ ถ้ายังตะกละ ตะกรามอยู่ ยังโลภ โมโทสันอยู่ เราก็เป็นเหยื่อ เป็นเหยื่อผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เป็นเหยื่อ เป็นระดับๆๆ ไปเลย คุณมีอำนาจสูงกว่าฉลาดเล่ห์มากกว่าก็เอาเปรียบเอารัด ไปเรื่อยๆๆ แต่ถ้าเราเป็นคน ที่เสียเปรียบได้ เราก็ไม่ว่า เมื่อเราเป็นโลกุตรบุคคลแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะไม่กลัว เสียเปรียบ เพราะเรารู้จัก ขอบเขตของความเหมาะสม เป็นมัชฌิมาปฏิปทา โดยเฉพาะ เราไม่ต้องการ ของคนอื่น พึ่งตนเองได้แท้จริง และเหลือพอแจกคนอื่น เผื่อคนอื่นได้ ดังนั้นเมื่อรู้จักขอบเขตของความเหมาะสม เราก็ทำไปตามที่เรามีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ รู้จักของจริง รู้จักธรรมะ ธรรมะคือความจริงทั้งหมด เท่าที่ตัวเราสามารถ มีปัญญา รู้ธรรมะ ทั้งหมด ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา คือรู้เป้าหมาย รู้จุดสำคัญ เมื่อเรารู้องค์ประกอบทั้งหมด และรู้จุดสำคัญ แล้วก็รู้อัตตัญญุตา รู้ตัวเรา เมื่อเรารู้ตัวเรา ตัวเรา ก็เท่านี้ เราก็ทำได้เท่านี้ เราก็พออยู่แล้วเพราะศาสนาพุทธสอนให้มักน้อยสันโดษ รู้จักความพอ เพราะเรา ไม่ได้ต้องการมากเกิน ไม่ได้มักมากมักใหญ่ มีมากทำได้มาก เราก็แบ่งก็ช่วยผู้ด้อย เราก็ทำ เท่าที่เป็น สัดส่วน ที่เราพออยู่พออาศัยเหมาะสมกับตัวเรา เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มักมากไม่มักใหญ่ เราก็ไม่ตก หลุมพราง ของพวกชาวทุนนิยม หรือ พวกที่ใช้เล่ห์กลสร้างเครือข่ายสร้างเล่ห์กลในสังคม แล้วเราก็ตก เป็นเหยื่อ เข้าไปในวงจร ของเขา เพราะฉะนั้นเราเองเราเข้าใจโลกุตระอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ตกเป็นเหยื่อเข้าไปตกอยู่ในกระแส วงจรหมุน หรือ กระแสดูด อะไรของเขา ก็ไม่ไปเป็นทาสของเขา เพราะฉะนั้น ไม่ต้อง ไปกลัวว่า เราจะไม่ทันโลก จะไม่ใหญ่ ไม่ดังในโลก หรือว่าเราจะตกยุค แม้แต่ความรู้ว่า เขาจะสูงจะมากจะไปไกลถึงไหนๆๆ ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะชีวิตของมนุษย์ คือ การเป็นอยู่ ที่เป็นสุข และก็มีประโยชน์คุณค่าเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นประโยชน์ คุณค่าแล้วเราก็เป็นสุขได้ เราไม่ต้องไปมักมาก ไม่ต้องกลัวว่า เราจะต้องเด่น ต้องดัง ต้องไม่ทันโลก โลกทั้งโลกเขาจะเป็นพวกหลงการศึกษาจนมันเฟ้อมันฟ่าม มันไม่ได้ ใช้ประโยชน์อะไร ก็เฟ้อกันไปอยู่เยอะแยะ แต่ไม่ตรวจสอบให้จริง หลายอย่างมันเป็น ของเปล่า หลายอย่าง มันเป็นสิ่ง สักแต่ว่ารู้เท่านั้น แล้วมันก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ และแล้วแม้แต่จะเหลือ เป็นร่องรอย เป็นความจำ ที่หลากหลาย มันก็ล้าสมัยไปเรื่อยๆ ตามกาละ มันตกยุคจนแทบเอาไปทิ้งได้ หรือเป็นเพียงแค่ ประวัติศาสตร์ฟ่ามๆ ฟุ่มเฟือย เอามาเทียบเคียงได้เล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นในชีวิตที่จะเดินไปข้างหน้าไปสู่อนาคต มันก็มีแต่ร่อยหรอมีแต่แย่งชิง ทั้งนั้น แล้วถ้าขืน เราไปหลงกับความโลภที่เขาปั่นกันต่อไป เราก็จะไปอยู่ในกระแสแย่งชิง แข่งขันต่อสู้ แล้วกิเลสก็ไม่ลด เมื่อกิเลสไม่ลด เราก็ทุกข์มาก เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราลด กิเลสเราได้ แล้วเราก็สามารถ เป็นอยู่อย่าง พึ่งตนเองได้ ไม่กินมากไม่อยากใหญ่ ไม่ใช้เฟ้อ ไม่กอบไม่โกย มีแต่สร้างสรรเกื้อกูลให้คนอื่น รับใช้กันไป เมื่อคน พึ่งตนเองรอด ช่วยคนอื่น อยู่ได้ด้วยตน คนนั้นก็เป็นดาวฤกษ์แล้ว แล้วก็ช่วยคนอื่นอีก สร้างคนอื่น ให้เป็นดาวฤกษ์ อีกต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นดาวฤกษ์แต่ละดวงๆ มีแต่จะช่วยดาวบริวารอื่นๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ เมื่อเกิด ดาวฤกษ์ อย่างนี้ มากๆๆขึ้น สังคมนี้ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะไม่มีใครมาแย่งใคร ดาวฤกษ์ ไม่เป็น ตัวแย่ง ดาวฤกษ์ เป็นตัวช่วย มีประโยชน์ต่อผู้อื่นทั้งนั้น -สารอโศก
อันดับที่ ๒๗๔ สิงหาคม ๒๕๔๗-
|