ตอน.... จริยธรรมกับการเมือง ในบริบทขององค์กรบุญนิยม มิถุนายน ๒๕๔๗ กรณีหวยหงส์ การที่พ่อท่านเขียนจดหมายปิดผนึกถึงนายกฯ แสดงความไม่เห็นด้วยกับ การจะออกหวย ระดมทุน ไปซื้อหุ้น สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ทำให้เป็นข่าวใหญ่ พาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ หลายฉบับ ในเช้าวันที่ ๑ มิ.ย.นั้น ผู้จัดรายการวิทยุ หลายสถานี สนใจขอสัมภาษณ์ต่อ จากประเด็นคำถามที่น่าสนใจ เป็นต้นว่า จุดผลักดัน ที่ทำให้ท่าน ออกมาต่อต้านคืออะไร? หัวใจของจดหมายคืออะไร? จดหมาย ปิดผนึก จะมีผลมากน้อยแค่ไหน กับเรื่องหุ้นหงส์แดง? ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการ ออกหวย ของรัฐ เพื่อซื้อหุ้นหงส์แดง พ่อท่านเห็นอย่างไร กับเรื่องนี้? แล้วถ้านายกฯ ตั้งใจจะออกหวย เพื่อซื้อหุ้นหงส์แดงให้ได้ พ่อท่านจะมีคำแนะนำอะไร ให้นายกฯ อีกหรือไม่คะ? ได้ยินว่า สันติอโศก หนุนอาจารย์ปุระชัยหรือ? แล้วอาจารย์ปุระชัย เหมาะที่จะเป็นนายกฯ หรือไม่ ได้ยินว่า สันติอโศก มีผลต่อ เก้าอี้ผู้ว่า กทม.และ สส. ในพื้นที่ พ่อท่านเห็นอย่างไร กับคำถามเหล่านี้? เผยใจ "โฮมไทวัง" ในค่ำของวันวิสาขะ ในค่ำของวันวิสาขะ ( ๒ มิ.ย.) พ่อท่านแสดงธรรม ท่ามกลางบรรยากาศ ของนิสิตสัมมาสิกขาลัยวังชีวิตจากทุกวิชชาเขต รวมถึงผู้ที่กำลัง จะสมัครเป็นนิสิตใหม่ทั้งหมด โดยมีนักเรียน สัมมาสิกขา ราชธานีอโศกและชาวชุมชน ร่วมด้วย พ่อท่าน ได้เผยใจกับคำว่า "โฮมไทวัง" ที่มาเกี่ยวเนื่องกับ วันเกิด ๕ มิถุนายน อย่างไร? การปฏิบัติธรรมของหนุ่มไทยในออสเตรเลีย เมื่อกลับมาไทย เขาได้ไปศึกษาตามวัด ต่างๆ ของภาคอีสาน ขณะที่คุณแม่ กำลังสนใจปฏิบัติตามแนวทางที่ชาวอโศกพาทำ และ อยากให้ ลูกชาย ได้มาสนใจ และ ปฏิบัติตามด้วย จากคำถาม บางส่วนดังนี้ เมื่อเจอ กิเลสจังๆ เหมือนจะเอาหินทับ? ทำอย่างไร จิตจึงจะผ่องใสครับ? พยายามคิดว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปครับ? แล้วทำอย่างไรจึงจะมีปัญญาไปฆ่ากิเลสครับ? พ่อท่าน ให้คำแนะนำว่า อย่างไร? OPENBOOK
ถามหาจริยธรรมในสังคมไทย จากบางส่วนของประเด็นคำถามที่น่าสนใจ อะไร
ที่ทำให้ คนที่มีอำนาจ มีปัญญา มีบารมีอย่างท่านนายกฯยังมีมิจฉาทิฐิได้ครับ?
มีเรื่องไหน ที่น่าเป็นห่วงอีก ในนโยบายของรัฐ ที่จะทำให้ สังคมไทย เกิดมิจฉาทิฐิได้?
คนรวย แล้วไม่โกง จริงไหมครับ? คนรวยแล้วจะพอจริงไหม?
คนรวยแล้วมีอำนาจ มากด้วยนี่น่ากลัว ตรงไหนครับ? องค์กรบุญนิยมกับการเมือง จากการประชุมองค์กรบุญนิยมแล้วต่อด้วยการประชุม พรรค เพื่อฟ้าดิน พ่อท่าน ได้ให้โอวาท ในเรื่ององค์กรบุญนิยมกับการเมืองว่าอย่างไร เป็นการ อธิบาย ถึงองค์กรบุญนิยม ที่จะทำงาน กับสังคม เช่นเดียวกับการเมือง แต่คราวนี้ พ่อท่านพูดถึง มิจฉาการเมือง และสัมมาการเมือง เป็นอย่างไร เชิญพลิกไปอ่านได้ ท้าพระพุทธเจ้าทางกระแสจิต เป็นการสนทนาซักถามพ่อท่านทางโทรศัพท์ จากพระ รูปหนึ่ง ที่มีอาการ ไม่ปกติ ทางจิต พ่อท่านโปรด สอนคนประเภทนี้อย่างไร? รายละเอียด ของ การสนทนา เป็นอย่างไร เชิญพลิกไปอ่านได้ ห่วงใยบ้านเมืองในมุมมองที่ต่างไปจากรัฐ บรรดากลุ่มองค์กรต่างๆ ได้เข้ามาสนทนา บอกเล่า ปัญหาของสังคม และการดำเนินนโยบายของรัฐ ในหลายๆเรื่อง เพื่อต้องการ ให้พ่อท่าน ช่วยให้ข้อมูลเหล่านี้ ไปถึงนายกฯ ทักษิณด้วย เนื่องจากกรณีหวยหงส์ ที่พ่อท่านได้เขียน จดหมายเตือน ได้ผลทำให้ท่านนายกฯ ระงับความคิด ดังกล่าว พ่อท่านได้กล่าว กับกลุ่ม องค์กรเหล่านั้นอย่างไร? เสียงเตือนจาก' สมณะโพธิรักษ์' เป็นการพาดหัวข่าวของ น.ส.พ.คมชัดลึก ที่ได้นำ บทสัมภาษณ์ ลงพิมพ์ เมื่อ ๒๙ มิ.ย. เนื่องจากประเด็นข่าวว่า สันติอโศกเข้าไปช่วยเหลือ พล.ต.จำลอง ในเรื่อง หาตัว ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.? ทำให้ มีประเด็น สัมภาษณ์ ในเรื่องอื่นๆ ด้วย ทำไม สันติอโศก ถึงต้องตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง? คิดว่านโยบาย แก้ปัญหา ความยากจน ของรัฐบาลจะสำเร็จได้ในอีกห้าปีข้างหน้าตามที่นายกฯพูดไว้หรือไม่? มองวิธีการ ที่นายกฯ พยายาม ทุกวิถีทาง ที่จะสร้างโอกาสให้คนจนอย่างไร? นโยบาย แปลงสินทรัพย์ เป็นทุน จะช่วยคนจน ให้ลืมตา อ้าปาก ได้จริงหรือไม่? ดูเหมือนวิถีชีวิต ของนายกฯ ค่อนข้าง ตรงกันข้ามกับคำสอน? เดือนนี้มีเหตุการณ์สำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมาก ต้องขออภัยที่ไม่สามารถถ่ายทอด ได้หมด เพื่อไม่ให้บันทึกนี้ ยืดยาวเกินไป จำต้องตัดข้ามผ่านในเหตุการณ์ต่อไปนี้ งาน อโศกรำลึก, รายการพืชตัดแต่ง พันธุกรรม หรือ GMO, น.ส.พ.ไทยโพสต์สัมภาษณ์ (ที่พ่อท่านชมว่า ลงพิมพ์ได้รายละเอียดดี) , สัมมนาที่สัตหีบ, การประชุมของ พาณิชย์ บุญนิยม และ บทสัมภาษณ์ ของ น.ส.พ.ข่าวสด ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ด้วยโอวาทปิดการประชุมชุมชนปฐมอโศก ๒๑ มิ.ย พ่อท่านเตือน เรื่องการ "ขยายงาน" และให้ข้อคิด เรื่อง "งานขยาย" เนื้อหาเป็นอย่างไร พลิกไปเปิดดูได้ กรณีหวยหงส์ เดือนนี้ค่อนข้างจะมีเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้องมาก เริ่มตั้งแต่เช้าวันที่ ๑ มิ.ย. ข่าวหนังสือพิมพ์ ต่างๆ พาดหัวตัวใหญ่ หน้าหนึ่ง เช่น น.ส.พ.มติชน พาดหัวว่า ' จำลอง-โพธิรักษ์' ออกโรง ต้านหวยหงส์ และฉบับอื่นๆ ก็พาดหัว ต่างกันไป แต่อยู่ในประเด็นนี้ พ่อท่านสรงน้ำเสร็จ แวะมานั่งอ่านข่าว ร่วมกับสมณะหลายรูป ช่วงสายได้รับการติดต่อ จากรายการวิทยุ หลายสถานี ขอสัมภาษณ์ พ่อท่านในเรื่องที่เป็นข่าวเช้านี้ FM 101, FM 96.5, AM 1107 และ ในช่วงเย็น ได้รับโทรศัพท์ จากคุณสุชัย เจริญมุขยนันท์ นักจัดรายการที่มีชื่อของ อุบลราชธานี ขอสัมภาษณ์ พ่อท่าน ออกรายการ วิทยุชุมชนทุ่งศรีเมือง ในที่นี้ข้าพเจ้า ขอนำบางส่วน ของการสัมภาษณ์ ออกรายการ "จับชีพจรข่าว" FM 96.5 โดยมีคุณอัญชลี ไพรีรัก เป็นผู้ดำเนินรายการ คุณอัญชลี : อยากจะเรียนท่านถึงความคืบหน้า หลังจากที่ประชาชนคนไทย ได้อ่านข่าว ว่า พลตรีจำลอง ศรีเมือง และพ่อท่านโพธิรักษ์ ได้จับมือกันต้านซื้อหวยหงส์แดง อยากจะถามว่า อะไร เป็นจุดผลักดัน ที่ทำให้ท่าน ออกมาต่อต้านเรื่องนี้ อย่างชัดเจนคะ พ่อท่าน : เออ ! แหม....เพราะว่ามันสุดทนจริงๆ อาตมาเองต้องรู้นะว่า แบ็คกราวนด์ ของอาตมา ทุกคนก็เข้าใจ อยู่แล้วว่า อาตมาทำงานทางธรรมะ ทำงานทางศาสนา และอาตมาก็ว่า อาตมารู้เรื่องของศาสนาดี โดยเฉพาะ ในขั้นตอนอะไรต่างๆ เมื่ออบายมุข เป็นขั้นต่ำที่สุด และอาตมาแน่ใจว่าอาตมาเข้าใจ และรู้จักอบายมุขดีว่า มันเป็น ทางแห่ง ความเสื่อมจริงๆ พอถึงวันนี้แล้วนี่ในเรื่องการกีฬามาผนวกกับการพนัน ผนวกกันเข้าไป อย่าง โอ้โฮ! ...รุนแรง จัดจ้าน ไม่ว่ากระแสของการพนันก็กำลัง "หุ้นขึ้น" อย่างสุดขีด กระแสหุ้นขึ้นเรื่อง เกมกีฬา การละเล่น ที่เป็นอบายมุข เหมือนกัน แต่ว่าคนไทย ทั้งๆที่เป็นพุทธ ก็ยังไม่รู้จักว่า มันเป็นทาง แห่งความเสื่อมกันเนี่ย มันมาบวกกันเข้าไป อย่างรุนแรงร้ายกาจ โดยการผลักดัน ทางด้าน รัฐบาล หรือว่าทางด้านกระแสหลัก ของสังคม มันออก มารุนแรงมาก อาตมาก็เลยต้อง แสดงออกบ้างเท่านั้นแหละ คุณอัญชลี : ค่ะ....หัวใจของจดหมายก็คือว่า ต้องการจะบอกกับท่านนายกฯ ว่า พ่อท่าน : ต้องการจะบอกกับท่านนายกฯว่า อาตมาหนักเหลือเกิน ท่านนายกฯ เห็นใจ อาตมามั่งเถิด นี่ก็เป็นการพูด ไปในเชิงของความหมาย ในศาสนาต่างๆ เช่น อาตมา บอกว่า อาตมาทำงานทางศาสนามานี่ ก็ทำงาน ตามลำดับมา ช่วยคน หมดอบายมุขมาได้ แม้แต่ลด กาม ลดโลกธรรม อะไรเหล่านี้ก็ได้บ้าง แต่ว่าอบายมุขนี่ ทำได้ถึงขั้นมีชุมชน ที่ไร้อบายมุข มีการเป็นอยู่ของคนพุทธ ที่ปราศจากอบายมุขเลยได้ อาตมาก็ภาคภูมิ ในพุทธศาสนา ซึ่งทำอย่างนี้ได้แล้วนี่ โอโห! รู้สึกว่าศาสนานี้เป็นอกาลิโก เป็นเอหิปัสสิโก อะไรอย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็พูดไป เขียนไป อย่างนี้แหละ แล้วอาตมาก็เน้นว่า "การกีฬา" ซึ่งภาษาบาลีคำว่า "กีฬา" นี่แปลว่า "การเล่น" การเล่นที่ถึงขั้น พระพุทธเจ้า ทรงยืนยัน ชัดเจนว่า มันเป็นอบายมุขนั้น เพราะอบายมุข เป็นทางแห่งความเสื่อมแท้ๆ ซึ่งเป็นภูมิ ตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าจริงๆ อาตมา ก็เน้นตรงนี้ แล้วก็อธิบายให้ท่านฟังว่า กีฬาก็ดี โดยเฉพาะ อาตมาพูดกับท่าน ถึงเรื่อง กีฬาประเด็นเดียวว่า ถ้าเผื่อว่ามันเป็นกีฬานะ เพราะว่ากีฬามันเป็นการเล่น ถ้าแค่เล่น มันก็พอได้ คนเราก็อาศัย มันบ้าง เพียงพักผ่อน หรือว่าเพียงคลายอารมณ์ได้ แต่ถ้าใคร จะหลงยกฐานะของ "การเล่น" คือ "กีฬา" ขึ้นเป็นการ เป็นงาน เป็นสัมมากัมมันตะ หรือว่า เป็นสัมมาอาชีวะ เป็นอาชีพชอบ เป็นการงานชอบ ขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้นแหละ มันคือ อบายมุขแท้ อันนี้เป็นภูมิตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า แต่คนไทยทุกวันนี้ ไม่เข้าใจแล้ว ยกมันขึ้นมา เป็นการเป็นงาน เป็นถึงขั้น อาชีพกันแล้ว ขึ้นหน้าขึ้นตาใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งมันก็ยิ่ง เหลวไหล ใหญ่ เพราะว่ามันเป็น ของต่ำ แล้วยกมันขึ้นมาเป็นของสูง มันก็ไปกันใหญ่ นี้อันหนึ่ง อีกอันหนึ่งก็คือว่า ยิ่งจะออกหวย ประเภทปลุกเร้ากัน ขนาดหนักเลย เงินรางวัลที่ ๑ ตั้ง ๑,๐๐๐ ล้าน ทั้งๆที่ทุกวันนี้เงินรางวัลล๊อตเตอรี่มันแค่ ๒ ล้านเอง คุณยังซื้อขาย กันหมด อยู่ทุกงวด คนไทยมันบ้าหวยถึงขนาดนั้นถ้าไปบอกว่าหวยเงินรางวัลที่ ๑ ตั้ง ๑,๐๐๐ ล้าน รางวัลที่ ๒ อีก ๒๐๐ ล้านอีกหลายรางวัล รางวัลที่ ๓ อีก ๕๐ ล้าน อีกหลายรางวัล คนมันก็บ้า ทั้งประเทศเลย ขอทาน ก็จะต้องซื้อ คนจนก็จะขายที่ขายทางมาซื้อกู้เงินมาซื้อแน่นอน มหาเศรษฐีก็ซื้อ ถ้ามหาเศรษฐี ถูกที่ ๑ ก็ยิ่งช่วยอะไรไม่ได้ แต่แม้คนจน จะถูก ถึงจะเศรษฐี หรือคนจน ถูกยังไง รางวัลที่ ๑ มันก็รางวัลเดียว คนได้ ๑,๐๐๐ ล้าน ก็คนเดียว คนอีกไม่รู้กี่คน ที่ซื้อหวยตั้ง ๑๐ ล้านใบนี่ ออกหวยมา ๑๐ ล้านใบเชียวนะ แล้วคนจะจนลงไปอีกสักเท่าไหร่ ซึ่งซื้อปุ๊บ พอหวยออก ถูกกินเรียบไปปั๊บ ก็เกิดคนจน ขึ้นทันที ฝีมือนายกฯเองนะนี่ คนจน ที่จะเกิดขึ้นพรึบเดียว ฝีมือนายกฯ ทำตรงนี้ เพราะที่ซื้อหวยกันนี่ แล้วท่านก็มา แก้ปัญหา คนจน ท่านทำอย่างนี้มันคืออะไร คุณอัญชลี : ท่านพูดตรงๆ อย่างนี้เลย พ่อท่าน : ไม่ๆๆ อาตมาไม่ได้พูดตรงๆอย่างนี้ อาตมาพูดกับท่านสั้นๆ ที่พูดอย่างนี้ พูดกับคุณ เท่านั้นเอง แต่สำนวน ในจดหมาย อาตมาเขียนอย่างเคารพ เขียนอย่าง เรียบร้อย ท่านก็เป็น ปัญญาชน อาตมาไม่ได้พูดจี้ ถึงขนาดนี้ คุณอัญชลี : จดหมายของพ่อท่านไปพร้อมกับจดหมายพลตรีจำลองหรือเปล่าคะ พ่อท่าน : เปล่าๆๆ จดหมายที่อาตมาส่งไปเป็นจดหมายปิดผนึกนะ แต่มันเป็นข่าวรั่ว ออกไป อย่างไร อาตมา ก็ไม่รู้นะ มันออกไปได้อย่างไร มันเป็นข่าวกันวันนี้ อาตมา ปิดผนึกนะ ไม่ได้เปิดเผยให้ใคร ใครมาขอ ยังบอกไม่ให้ลงเลย ตอนแรก เรื่องของเรื่อง ก็คือว่า คุณจำลอง จะเขียนบทความมาลงหนังสือ"เราคิดอะไร" ในคอลัมน์ประจำ ของ คุณจำลองเอง ทีนี้คุณจำลอง ได้รู้เรื่องจดหมาย ที่อาตมาเขียนนี้ เพราะว่าวันที่อาตมา ฝากคุณสุดารัตน์ ไปให้ท่านนายกฯ นั้นคุณจำลองก็อยู่ด้วย คุณจำลองก็ได้อ่าน สำเนา จดหมายฉบับนี้ด้วย จึงรู้เรื่อง พอจะเขียน บทความ ก็โทร. มาขออาตมาว่า จะเอาเรื่อง ที่อาตมาเขียน ไปถึงท่านนายกฯ ผนวกลง ในข้อเขียนด้วยได้ไหม? อาตมาบอกว่าได้ เท่านั้นเองแหละ คุณจำลองก็เขียน ข่าวมันรั่ว ไปได้ไงไม่รู้ มีคนจาก หนังสือพิมพ์รายวัน มาขอต้นฉบับ บทความของคุณจำลอง จากสำนักพิมพ์ กลั่นแก่น ที่พิมพ์เราคิดอะไร ก็ได้ต้นฉบับ คุณจำลองไป มันก็เลยไปเปิด ไปเผยแพร่ออกมาอย่างนี้ คุณอัญชลี : พ่อท่านโพธิรักษ์คะ จดหมายปิดผนึกของท่านจะมีผลอะไรมากน้อย แค่ไหน มั้ยคะ กับเรื่องหวย หงส์แดงนี่ค่ะ พ่อท่าน : อาตมาไม่หวังอะไร อาตมาไม่ได้คิดไม่ได้หวังอะไร เป็นแต่เพียงอาตมาเป็น ประชากร คนหนึ่ง ในประเทศไทย อาตมาก็คิดว่า อาตมาเป็นคนที่ทำงานเพื่อมนุษยชาติ เพื่อสังคม อยู่คนหนึ่ง เมื่อมีผลกระทบ ในสังคม มีผลกระทบ ในมนุษยชาติ มันเป็น อย่างไร ขึ้นมา ตามความรู้สึก ตามความรู้ของอาตมา เมื่อมันถึงขั้น ถึงขีด สมควรจะแจ้ง ก็เจตนาจะแจ้ง ให้ท่านทราบเท่านั้น เพราะว่าท่านเป็นผู้บริหารบ้านเมืองอยู่ ว่าอาตมา คนหนึ่งนะ ที่อยู่ใน ประเทศนี้ อาตมาทำอย่างนี้อยู่ มีผลกระทบอย่างนี้ หนักหนาสาหัส อยู่เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น ท่านรับรู้หน่อยได้มั้ย ท่านจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย อย่างไร อาตมาไม่ได้คิดว่า อาตมาจะมีอำนาจ หรือมีฤทธิ์มีเดชอะไร ที่จะไปทำให้ท่าน เปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง อาตมาไม่รู้ มันอยู่ที่ดุลพินิจ ของท่านเอง เป็นแต่เพียง สื่อให้รู้ เปิดอกและเปิดใจ พวกเรา ให้ท่านรู้เท่านั้นเอง คุณอัญชลี : ค่ะ ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งแต่มีข่าวคราวว่ารัฐบาลจะออกหวยหงส์ออกมา ประชาชน ก็มีการตอบรับ ดิบดีนี่คะ พ่อท่านมองอย่างไรคะ พ่อท่าน : ( พ่อท่านหัวเราะ) พูดก็พูดเถอะนะ ประชาชนทุกวันนี้ถูกครอบงำทางอารมณ์ ทางความคิด และกิเลส เรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องของกิเลส แล้วกิเลสมันครอบงำ เข้ามา ในจิตคน คนที่มีกิเลสในจิตนั้น มันมีจริง แล้วเขาก็ยินดี ในกิเลส เพราะทุกคนยินดีในกิเลส ทั้งนั้นแหละ จะให้สมใจกิเลส เพราะเรื่องนี้มันได้หลงใหล แล้วมันก็สมใจ มันก็ชอบ จะดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิดไม่รู้ทั้งนั้นแหละ เขาหลงใหลเข้าไปแล้ว เขาก็ติดเข้าไปแล้ว เขายินดีเข้าไปแล้ว เพราะฉะนั้น จะมองไม่ออกเลย ความลึกซึ้งของคำว่า "อบายมุข"นี่ มันเป็นความลึกล้ำมาก ซึ่งเรื่องลึกล้ำนี้ เป็นความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า แม้แต่ศาสนาอื่น อาตมาก็แน่ใจ ชัดเจนเลยว่า ไม่มีความลึกซึ้ง เท่าพระพุทธเจ้า ทรงหมายถึง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้สั้นก็จริงนะ ท่านตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อมเนี่ยะ ทางแห่งความเสื่อม ฟังดูแล้วกันว่า มันกินทั้งคน กินทั้งสังคม กินทั้งวิธีดำเนินชีวิตทุกอย่างนั่นแหละ ถ้าจะว่าไปให้ชัด ยิ่งมันเป็น ทางแห่ง ความฉิบหาย แต่ถ้าใครไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าเป็นอบายมุข ความลึกของความเป็น "อบายมุข" คืออะไร แค่ไหน ประเด็นก็อยู่ตรงที่ว่า ที่อาตมา พูดไปแล้วเมื่อกี้นี้ คือว่ากีฬามันเป็นแค่ Amateur แค่เรื่องเล่น แค่คลายอารมณ์ มันไม่ใช่ Professional ไม่ใช่ เรื่องอาชีพ เอามาทำเป็นอาชีพ มันผิดทันที คนที่มีอาชีพนักกีฬา มิจฉาชีพทั้งนั้นแหละ ในโลกนี้ทั้งโลก อาตมากล้ากล่าว อย่างนี้เลยว่า มันเป็นมิจฉาชีพ ถ้าเอามาไว้สำหรับ ออกกำลังกาย เอามาเล่น พอสมควรก็ดี สมัยอาตมาเด็กๆนี่นะ อาตมาก็เล่นกีฬา เตะฟุตบอลก็เตะ แต่ก่อนนี้ตอนอาตมาเด็กๆ ฟุตบอล แข่งขันกัน ต้องชวนกัน พยายามที่จะร่ำร้อง ป่าวประกาศกันไป ก็มีคนไปนั่งล้อมสนามดูกัน ก็ไม่กี่คน มันไม่ได้ ฮือฮา ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว ไปเล่นไปดูก็สนุกกันดี ก็คลี่คลายเท่านั้นเอง ก็นานๆจะเตะฟุตบอล สักทีหนึ่ง มันเป็นการ Relax เป็นเรื่องเล่นๆแถมๆ เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่คนไปหลงติดมัน แล้วยกฐานะของมันขึ้นมา ไปปรุงแต่งมันขึ้นมา นายทุน นี่แหละเป็นตัวการ เข้ามาจับเอาอันนี้ ไปปรุงแต่งขึ้นมาล่อหลอกคน จนเป็น เครื่องหากิน ใหญ่โตมโหฬาร แพงขนาดหนัก เป็นเงินหมุน วุ่นวายมากมาย จนกระทั่ง คนหลงใหล ติดยึด หลงเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นโลกีย์ที่จัดจ้านรุนแรง ซึ่งเป็นอบายมุข อย่างร้ายกาจด้วย อบายมุข ที่มีฤทธิ์ เสพติดด้วย แต่คนไม่เข้าใจความลึกซึ้งอันนี้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ทั้งโลกเลย คุณอัญชลี : ถ้าท่านนายกฯ ท่านปรารถนาที่จะซื้อทีมฟุตบอลอย่างจริงจังล่ะคะ พ่อท่าน โพธิรักษ์ จะมีข้อแนะนำ ให้ท่านนายกฯ มั้ยคะ พ่อท่าน : อาตมาก็ได้แต่พูดความจริงตามสัจจะ ตามความจริงนี้เท่านั้นเอง พูดได้เท่าที่ พูดได้ พูดได้ ในขนาดหนึ่ง เมื่อท่านก็รับรู้แล้ว อาตมาก็คงไม่ไปจู้จี้จุกจิกอะไรท่านอีกหรอก ท่านเป็น ปัญญาชน ท่านก็รู้อยู่แล้ว ท่านก็เข้าใจแล้ว ท่านก็ต้องเข้าใจ ตามที่ท่านเข้าใจ เมื่ออาตมา ได้ให้สัญญาณหรือว่าอาตมาก็รู้สึกอย่างนี้นะ ถ้าท่านไม่หยุด ท่านก็ทำต่อไป ได้อยู่ อาตมา ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีฤทธิ์อะไรที่จะทำให้ท่านหยุดได้หรอก อาตมาก็ทำหน้าที่ ของอาตมาไป อาตมา ก็มั่นใจว่าสิ่งนี้ อาตมาต้องให้คนเลิก ลด ละ หยุดให้ได้ เพราะฉะนั้น อาตมาเห็นว่า ถ้าแม้จะมี การซื้อบอล หรือว่า จะขาย จะทำกิจการอะไรพวกนี้ มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ชาวอโศกเรา หรือพวกที่ อาตมา พาทำความเข้าใจ พัฒนาพวกนี้ กันอยู่ เขาก็คงไม่ไปตกอยู่ในบ่วงอันนี้หรอก ผู้ที่หลุดพ้นวงจร อบายมุขแล้ว ก็ไม่มี ผลกระทบ แต่ว่าผลกระทบ ก็ชาวประชาชน ผู้ที่ยัง ไม่เข้าใจ ยังตกเป็นทาส หรือ ยังอยู่ในวงจร เท่านั้นแหละ คุณอัญชลี : จริงหรือเปล่าคะ ที่สันติอโศกพร้อมจะสนับสนุนอาจารย์ปุระชัย ถ้าอาจารย์ ปุระชัย จะตัดสินใจ ทำการเมือง อย่างจริงจังขึ้นมาเสียที พ่อท่าน : เรายังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้กันเลย นี่อาตมาเพิ่งได้ยินจากคุณพูดเท่านั้นนะ อาตมา เพิ่งได้ยิน ครั้งแรกเลยนี่ ยังไม่เคย แล้วอาจารย์ปุระชัย ก็ยังไม่เคยมาพูดอะไรกัน ในพวกเรา เป็นเรื่องเป็นราวพวกนี้เล้ย ไม่เคย คุณอัญชลี : พ่อท่านโพธิรักษ์มีความเห็นว่าอาจารย์ปุระชัย เหมาะสมจะเป็น นายกรัฐมนตรี ได้มั้ยคะ พ่อท่าน : อาตมาไม่ได้เคยคิดอะไรในเรื่องเหล่านี้ จะตอบมันก็คงตอบไม่ได้ คุณอัญชลี : ได้ยินว่าเสียงของสันติอโศกสามารถเกิดให้ความพลิกผันได้ ไม่ว่าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. หรือว่า ส.ส. ในพื้นที่ พ่อท่าน : แหม! ขอบคุณมากที่ให้เกียรติ ไม่ถึงอย่างนั้นมั้ง ไม่หรอก เราไม่ได้ยิ่งใหญ่ ขนาดนั้น เราเล็กนิดเดียว เราจี๊ดเดียวจริงๆ เผยใจ "โฮมไทวัง" ในค่ำของวันวิสาขะ ๒ มิ.ย. ๒๕๔๗ ที่ราชธานีอโศก ในค่ำของวันวิสาขะ พ่อท่านแสดงธรรมท่ามกลาง บรรยากาศ ของนิสิต สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต จากทุกวิชชาเขต รวมถึงผู้ที่กำลัง จะสมัคร เป็นนิสิตใหม่ ทั้งหมด โดยมีนักเรียน สัมมาสิกขา ราชธานีอโศก และชาวชุมชนร่วมด้วย จากส่วนหนึ่ง ที่พ่อท่าน ได้เผยใจ กับคำว่า "โฮมไทวัง" ที่มาเกี่ยวเนื่องกับ วันเกิด ของพ่อท่าน วันที่ ๕ มิถุนายน "วันนี้ก็เป็นวันที่พิเศษไปตามกาละองค์ประกอบ
พวกเรานี่ก็มีความเคลื่อนไหวไปตามวัน ตามเวลา ตามเหตุการณ์ มีอะไร ก็ทำกันไปตามที่คิดว่า
ทำอะไรมันจะได้ประโยชน์ขึ้นมา ในการกระทำนั้นๆ พวกเราก็พยายาม จัดทำกัน พอเห็นว่า
นัดกันมา ก็บอกกันทำโน่นทำนี่ มีเวลาก็เห็นความสำคัญว่า ในการรวมกัน หรือการมาประชุมกัน
ภาษาอีสานว่า มาโฮมกัน คือมารวมกัน เรารู้สึกว่าการมารวมกันนี่ก็เป็นคุณค่าอย่างหนึ่ง
ในทางสังคม ไทคำนี้เป็นภาษาอีสาน มีความหมายของอีสาน ถ้าเป็นภาษาภาคกลางก็แปลว่า ชาว จริงๆ มีความหมาย มากกว่า "ชาว" ถึงขั้นเป็นเชื้อชาติ,สัญชาติ พวกกลุ่มเดียวกัน ไทเดียวกัน เป็น พวกเดียวกัน มีส่วนที่เหมือนๆกัน คำว่า"ไท" มันมีความหมายอันหนึ่ง ในภาษาอีสาน มีความหมายว่า เป็นคนที่มีคุณลักษณะ เข้ากัน เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กัน อย่างลึกซึ้ง ถ้าบอกว่า "ไทบ้าน" ก็หมายถึงคนทั่วๆไป ที่เป็นอย่างบ้านนั้นที่อยู่ด้วยกัน ไทบ้าน ก็หมายความว่า คนกลุ่มนั้นแหละ บ้านนั้นแหละ ชาวบ้านกลุ่มคน อยู่ในแถบนั้น แหละ ไทเมืองก็คือกลุ่มคน ที่อยู่อย่างเมืองๆ ไทบ้าน ก็คือคนที่อยู่อย่าง บ้านๆ ไทเดียวกัน คือคนพวกเดียวกัน คำว่าไท นี่ก็กระชับเข้าไปอีก ในส่วนที่มี ลักษณะตรงกัน ร่วมกัน สัมพันธ์สนิทกัน เพราะฉะนั้น ไทภาษาอีสานนี่ มีความหมายทั้งกว้างและลึก เราเลย ตั้งชื่อช่วงนี้ ของงานว่า โฮมไทวัง คือมารวมกัน พวกเดียวๆกัน หรือมารวมพวก"ไทวัง" คือเป็นกิจของพวก "วังชีวิต" เป็นหลัก เป็นพวก ม.วช. สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต" หนุ่มไทยในออสเตรเลียสนใจการปฏิบัติธรรม หลังจากแนะนำตัวเองและพ่อท่านได้อธิบายประเด็นที่ถามเรื่องศีล สมาธิ และ สติปัฏฐาน ไปบ้างแล้ว จากบางส่วน ของการสนทนาซักถามดังนี้ ถาม : เมื่อเจอกิเลสจังๆ เหมือนผมจะเอาก้อนหินไปทับมันครับ พ่อท่าน : จะกดข่มก่อนก็ได้ เขาเรียกว่าสมถะ กดข่มแล้วประเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาใหม่ เพราะมัน ไม่ยั่งยืน กดข่มได้ แต่ไม่รู้จักตัวมัน ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ต้องมีญาณรู้ รู้จัก สักกายะ รู้จักอัตตา รู้จักอาสวะตัวตน ที่ละเอียด รู้จักตัวตน ของกิเลสให้ได้ รู้จักตัวการ คือเราจับหน้าโจรได้แล้ว แล้วประหารมันให้ตาย ลดกิเลสลงให้ได้เรื่อยๆ อัตตาคือภาษา ที่เรียกกิเลสทั้งยวง เป็น Common noun แต่ถ้าสักกายะเป็น Proper noun เป็นกิเลส ระบุตัวตน นั้นๆ ที่เรารู้จักมัน แล้วจับ ตัวมันได้แล้ว และจากสักกายะนี่แหละ ถ้ามันเหลือ ตัวเล็ก ก็เรียกว่าอาสวะ ถ้าหมดจาก อาสวะ ก็สิ้นหมดตัวตน ถาม : บางครั้งผมปฏิบัติแล้วมันไม่ผ่องใส เกิดอาการเบื่อหน่าย แล้วผมจะทำอย่างไร ให้ผ่องใสครับ พ่อท่าน : มันไม่เห็นผลจริง มันไม่เห็นคุณค่าจริง ถ้าเห็นผลจริง เห็นคุณค่าจริง จะเบื่อหน่าย ได้อย่างไร เช่น คุณไปหาเพชร ค้นหาบ่อเพชร แล้วคุณไปพบบ่อเพชรจริงๆ คุณไม่มีทาง ที่จะเบื่อหน่ายหรอก แต่ถ้าไม่เจอเพชร ก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะมันไม่รู้ว่า จะใช่หรือไม่ใช่ แน่นอนมันก็เหนื่อย มันก็เบื่อแหละ ถ้าคุณได้มรรคได้ผล คุณจะไม่เบื่อ หรอก ถาม : บางครั้งก็มีผ่องใสบ้าง แต่คงยังทำไม่มากพอครับ พ่อท่าน : ทำไม่พอด้วย แล้วมันก็ไม่จริงไม่ใช่ด้วย แต่ถ้าเจอเพชรเม็ดเล็กๆ แล้วเจอ เม็ดใหญ่ ขึ้นด้วย มันก็ไม่มี ทางเบื่อหรอก ยิ่งได้เพชรเม็ดใสเม็ดเยี่ยมเลยไม่มีทางเบื่อได้ มันเป็นสัจจะ มันก็จะเบิกบาน แจ่มใส ร่าเริง ถาม : คือพยายามคิดว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปครับ พ่อท่าน : นั่นมันเป็นสูตรตรรกะ เป็น Logic เฉยๆ มันไม่ใช่เรื่องจริง ที่เขาศึกษากันอยู่ ทุกวันนี้ ก็เป็น Logic ทั้งนั้นเลย ถาม : ผมพยายามคิดเป็น Logic อย่างนี้แหละครับ และรู้สึกมันไม่มีจุดมุ่งหมาย พ่อท่าน : ใช่ มันแค่เอามาบรรเทาเท่านั้น การจะเห็นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้นจะต้องเห็น จากของจริง กิเลสเกิด กิเลสยังตั้งอยู่ แต่บางทีตามจังหวะของธรรมชาติ กิเลสมันพักยก มันยังไม่ตายนะ มันก็หมุนเวียน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป คุณกินอันนี้อร่อย คุณอยากอันนี้ คุณก็ไปเอามาบำบัดกิเลส พอกิเลสอิ่ม มันก็พัก กิเลสมันก็หลบอยู่ แต่มันไม่ได้ตาย คุณอยาก เสพกาม คุณได้เสพกามมันเหมือนได้พักยก หรือโดยธรรมดาสามัญ มันเบื่อๆ เซ็งๆ แต่มัน ไม่ได้หมายความว่า กิเลสมันตาย เพราะฉะนั้น ของจริงจะต้องอ่านกิเลส รู้กิเลส แล้วก็ละกิเลส ด้วยปัญญา ทำไมเราถึงต้องฆ่ากิเลส เพราะมันหมุนเวียน อยู่ในวัฏสงสาร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แต่ถ้าเราฆ่ามันแล้ว มันก็จะไม่เกิดขึ้น แล้วมันก็จะไม่ตั้งอยู่ แล้วมันก็จะ ไม่ดับไปอีก เพราะมันได้ดับไปด้วยการฆ่าถูกตัวตน ของมันจริงแล้ว ถาม : แล้วเราจะมีปัญญาไปฆ่ามันได้อย่างไรครับ พ่อท่าน : อย่างที่อาตมาบอกไปแล้ว ต้องมาเรียนรู้แล้วปฏิบัติไปตามลำดับขั้น ต้องรู้ ตัวกิเลส แล้วฆ่ามัน ให้ตายไปเรื่อยๆๆ แล้วเราจะเห็นกิเลสดับไปจริงๆ ไม่ใช่งมงาย ไม่ใช่ต้องให้ใคร มาบอกเราว่า กิเลสดับไปเมื่อไหร่ เราก็ไม่รู้ เราต้องรู้กิเลสอะไรดับ ดับเมื่อไหร่ เราต้องรู้แจ้ง เห็นจริง ต้องมีญาณปัญญา ต้องมีวิชชา ๘ วิชชา ๙ ของ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีใครมาหลอก ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ มีของจริง เป็นนามธรรมก็จริง แต่คุณมี สิ่งรองรับของจริงแล้ว ในตัวร่างกายเรานี่เป็น Test tube ( หลอดทดลอง) แล้วเรา ก็มี "กิเลสที่มันอาศัยจิต" อยู่ในนี้คือ Subject (เรื่อง,มูลเหตุ) ที่อยู่ในหลอด ทดลองนี้อยู่แล้ว คุณก็ต้องเรียนรู้แล้วพิสูจน์ เป็นนัก วิทยาศาสตร์ คุณต้องรู้ มันเกิด มันเป็นอยู่ มันตัวใหญ่ หรือตัวขนาดไหน หรือ มันตายแล้ว มันไม่เกิดอีกเลย คุณก็จะเห็นจริง เป็นนักวิทยาศาสตร์ กิเลสหมด ก็รู้ว่ากิเลสหมด กิเลสไม่หมด ก็รู้ว่ากิเลสไม่หมด มันเหลือน้อยก็รู้ว่า มันเหลือน้อย ต้องรู้เห็นของจริง มีวิชชา หรือญาณรู้แจ้งของจริง ถ้าหลอกตัวเอง ก็คือ หลอกตัวเอง แต่เราไม่ได้หลอกตัวเอง เรามีญาณ เห็นจริง เป็นของจริง เห็นความจริง ตามความเป็นจริง คุณไม่ได้งมงาย หรือเดาเอา คาดคะเนเอา
Openbooks สัมภาษณ์จริยธรรมในสังคมไทย ๗ มิ.ย. ๒๕๔๗ ที่สันติอโศก คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา และคณะ Openbooks ได้มาขอ สัมภาษณ์ พ่อท่าน คุณภิญโญ ได้บอกเล่าว่า จะทำหนังสือแบบพ็อคเก็ตบุคส์ เนื้อหา เป็นเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรมในสังคมไทย ก่อนจะมา สัมภาษณ์ พ่อท่านนี้ ได้ไปสัมภาษณ์ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ฯลฯ คุณภิญโญเริ่มคำถามแรก ทำไมถึงรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่ต้องยื่นจดหมายถึงท่านนายกฯ ซึ่งประเด็นนี้ ข้าพเจ้า ขอข้ามผ่าน ในรายละเอียดของคำตอบ เพราะคล้ายกับที่ คุณ อัญชลี ได้สัมภาษณ์ ออกรายการวิทยุไปแล้ว ข้าพเจ้า ขอนำบางส่วนของ การสัมภาษณ์ มานำเสนอ ดังนี้ ถาม : ท่านสมณะคิดว่าอะไรที่ทำให้คนมีปัญญา มีอำนาจ มีบารมี อย่างท่านนายกฯ ยังมี มิจฉาทิฐิ ในเรื่องแบบนี้ได้ ทั้งๆที่ท่าน ก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ดี พ่อท่าน : ไม่เข้าถึงโลกุตระ ไม่ศึกษาศาสนาพุทธให้ถ่องแท้ และปฏิบัติจนมีคุณธรรมพอ เนื้อแท้ของศาสนาพุทธ คือโลกุตรธรรม ศาสนาไหนๆก็ไม่มี ซึ่งแค่เข้าใจความหมาย ก็ไม่ใช่ เรื่องง่าย แม้เข้าใจแล้ว แต่ยังปฏิบัติ ไม่บรรลุธรรมจริง ก็ยังหลงในโลกียะอยู่นั่นเอง ศาสนาพุทธ ข้อสำคัญคือ โลกุตรธรรม คือต้องเข้าใจโลกุตระ และต้องเข้าถึง โลกุตรธรรม การจะเข้าถึงโลกุตระต้องรู้จักโลกียะ แล้วปฏิบัติจนหลุดออกจากโลกียะได้ จึงจะรู้ความดี ในโลกียะ มีคู่กับชั่ว รู้จักสุขมันคู่กับทุกข์ มันเป็นของคู่กัน แต่โลกุตระนั้น ดับความเป็นคู่ หมดการไป การมา ไม่มีตัวตนของกิเลส ผู้จะสัมมาทิฐิขั้นเนกขัมมะได้จริง หลุดพ้นจาก โลกียะเข้าสู่โลกุตระ ต้องเป็นอาริยชนจริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องสามัญ และไม่ใช่อารยชน หรือ อริยชน สมัยนี้ดอกนะ อาริยชนนี้เป็นชาวโลกุตระที่สัมมาทิฐิ ดังนั้น จึงไม่ใช่ความฉลาด แบบโลกีย์ คนฉลาดที่เป็นโลกีย์จะอัจฉริยะแค่ใด ก็ไม่หลุดพ้นเข้าสู่โลกุตระได้ ประเด็น สำคัญคือ ต้องรู้ถูกต้อง ความเป็นโลกุตระจริง ที่เรียกว่า "สัมมา" คนฉลาดแบบโลกีย์ จะฉลาดเยี่ยม แค่ไหน ก็ยังมิจฉาทิฐิ เพราะสัมมาทิฐิ คือโลกุตระ คืออเทวนิยม แม้คนที่ ไม่ฉลาดตามแบบ โลกีย์เขาฉลาด ก็เข้าถึงโลกุตระได้ ถ้ารู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในโลกุตระ สัมมาทิฐิจริง หากท่าน นายกฯ เข้าใจโลกุตรธรรมถึงขั้น"สัมมา" ท่านก็จะไม่มิจฉาทิฐิ ตามที่คุณถาม นั้นแน่ ขออภัย ถ้าจะหาว่าดูถูกเหยียดหยาม ในวงการพุทธศาสนาทุกวันนี้ ก็ยังไม่เข้าใจ โลกุตระ โลกุตระคือ สภาพของ การหลุดพ้นจากโลกียะ หรือโลกธรรมคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ซึ่งเป็นความสุขเพราะได้เสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สมใจเป็น "กามรส" เป็นกามคุณ ๕ คือโลกีย์ หรือเสพรสที่ได้บำเรออัตตา เป็น อัตตทัตถสุข สุขที่มันบำเรอ ใจตัวเอง บำเรอศักดิ์ศรี บำเรอความรู้ เอาแต่ใจข้า ได้สมใจข้า เป็นต้น หรือแม้แต่ "ภวรส" ที่สมใจ ในภวตัณหา เช่น รสที่เสพสุขในรูปฌาน-อรูปฌาน ก็เป็นอัตตทัตถสุข ทั้งกามสุข ทั้งอัตตทัตถสุข นี้คือโลกีย์ ยังไม่ใช่ โลกุตระเลย ศาสนาพุทธสอนให้ดับกิเลสที่ไปหลงอัตตา การเอาลาภ วัตถุ เงินทอง ไร่นา ที่ดิน ผู้คน หรืออะไร ก็แล้วแต่ มาเป็น ของตน เป็นโอฬาริกอัตตาอย่างหยาบๆ ใหญ่ๆ อัตตามี ๓ อย่าง คือโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา และ อรูปอัตตา อรูปอัตตาหรืออัตตาที่เป็นนามธรรม เช่น การยึดถือความรู้ของข้า ความเห็นของข้า ศักดิ์ศรี ของข้า ทั้งๆที่ มันเป็นนามธรรม ไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่คนเราก็จริงจังกับมัน ฆ่ากันตาย มานับไม่ถ้วน อันนี้คือ อรูปอัตตา แม้แต่นามธรรม ขั้นรูปฌาน - อรูปฌาน ก็เป็นภพ เป็นชาติ ที่หลงเสพ หลงติด เป็น "โลกียรส" อยู่ สรุปคือ การหลงภพ หลงชาติ บำเรอใจ ตัวเอง ให้มันได้ดังใจตัวเอง เราต้อง เรียนรู้กิเลสพวกนี้ แล้วกำจัดละล้างกิเลส จนไม่เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขทั้งหลาย โลกุตระไม่ได้หมายความว่า จะหนีออกป่า ไปนั่งสงบเหมือนฤๅษี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชัดเจนว่า อันนี้ไม่ใช่ทาง อย่าว่าแต่ รูปฌาน อรูปฌานอย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ไม่ใช่ทางบรรลุ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางนิพพาน พระพุทธองค์ ก็ตรัสไว้ชัด ต้องรู้ เท่าทัน ให้เป็นสัมมา ถ้าจะใช้รูปฌาน-อรูปฌานแบบโลกีย์ ก็อาศัยเป็นอุปการะได้ ถ้าสัมมาทิฐิแล้ว แต่จริงๆ นั้นแบบฌานโลกุตระ คือ ฌานลืมตาตามแบบมรรคองค์ ๘ ปฏิบัติฌานโลกุตระ โดยที่ไม่ต้อง ปลีกหนี ไปจากชีวิตสามัญเลย พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ เมื่อจิตมั่นคงแข็งแรง ตั้งมั่น กิเลสก็ทำอะไร ไม่ได้ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ลาภ ยศ สรรเสริญกระแทกยังไง ก็ตั้งมั่นแข็งแรง ไม่หวั่นไหว ไม่ใช่แค่ไปนั่ง หลับตา ไม่รู้ ไม่เห็น โลกุตระนี้ อยู่ท่ามกลาง โลกธรรม อยู่ท่ามกลาง โลกียะนี่แหละ แต่หลุดพ้น อย่างที่ท่านพุทธทาสเปรียบว่า เหมือนก้อนน้ำแข็ง กลางเตา หลอมเหล็ก ต่อให้โลกียะมันร้อน เหมือนความร้อน ของเตาหลอมเหล็ก สมาธิก็เป็นน้ำแข็ง ที่คงทนไม่ละลาย รู้เห็น เข้าใจ ทุกอย่าง ตามความเป็นจริง แต่ไม่มีกิเลสที่จะไปเป็นทุกข์ เป็นสุข ตามอำนาจ ของกิเลสนั้นๆ เพราะไม่มีตัวตน ดับอัตตาทั้ง ๓ ได้นั่นเอง นี่คือ ความหลุดพ้น ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หนี จากเหตุปัจจัย ไปหลับตา ทำสมาธิ กับคำถามที่ว่า มีเรื่องไหนที่น่าเป็นห่วงอีก ในนโยบายที่รัฐบาลทำออกมา แล้วจะทำให้ สังคมไทย เกิดมิจฉาทิฐิ จากคำตอบของพ่อท่านส่วนหนึ่งว่า "โลกียะทั้งหมด โลกธรรมทั้งหมด เน้นในลาภ จะให้ คนรวย ทั้งประเทศ มันเป็นไปได้เหรอ? แต่มันพูดไม่ได้เพราะว่า คนทั้งหลายเข้าใจยาก อย่างที่รู้ว่า อาตมาพาคนมาจน แต่ท่านนายกฯ จะพาคนไปรวย มันสวนกระแสกันแน่" จากนี้ไป พ่อท่านได้อธิบายถึงการมาเป็น "คนจนมหัศจรรย์" คือ ขยัน ทำให้สังคมมากๆ แต่ตนเอง เอาไว้แต่น้อย อย่างที่พ่อท่านเคยกล่าวในหลายๆที่แล้ว ในที่นี้ขอเว้นวรรคไป เมื่อพ่อท่านพูดถึงผู้ที่มีอำนาจตั้งอัตรารายได้ให้กับตนเองอย่างได้เปรียบ และคน ในระดับบน ได้รายได้ ต่างจาก คนระดับรากหญ้ามาก ทำให้เกิดช่องห่างมากขึ้น คนระดับล่าง ก็ยิ่งเดือดร้อน เพราะรายได้ระดับรากหญ้า ยังคงวิ่งมาหาศูนย์ อยู่ไม่ เสื่อมคลาย ส่วนระดับกลาง ระดับบนเพิ่มตัวเลขขึ้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด ช่องห่าง ก็ยิ่งถ่าง หนักขึ้น ไปไกลแสนไกล จากประเด็นสนทนานี้ ทำให้เกิดคำถาม ที่น่าสนใจยิ่งคือ นโยบายอย่างที่ ภาครัฐ กำลังทำอยู่ ก็ขัดแย้ง ในตัวของมันเอง คือด้านหนึ่งกำลังทำ เศรษฐกิจให้โตมากๆ แต่อีกด้านหนึ่งบอก จะทำให้คนหายจน เศรษฐกิจโต คือใครโต คือใครจน คำตอบของพ่อท่านก็น่าสนใจยิ่งดังนี้ "เศรษฐกิจทุนนิยม หรือเศรษฐกิจที่มองกันอยู่ อาตมาว่า นักเศรษฐศาสตร์ ทั้งหลาย วัดค่าของเศรษฐกิจโดยเอาค่ารวมของประเทศไทย เอาตัวเลขจาก GDP หรือรายได้อะไรก็แล้วแต่ มาบวก มาหาร ว่าค่ามันมีเท่านี้ นั่นคือ รายได้เฉลี่ย แล้วก็เอา ค่าเฉลี่ยมาอวด ก็โก้ แต่ขอถามว่า คนได้ที่เป็นกอบเป็นกำนั้น คือคนระดับบน หรือคนได้ คือคน ระดับรากหญ้า อย่างเจ้าของโรงสีไปซื้อข้าวจากชาวนาเอามาสีขาย เจ้าของโรงสีก็ต้องการขายให้ได้ เงินเพิ่ม แต่ชาวนาหรือคนจน เขาก็ได้อยู่เท่านั้น ถ้าเจ้าของโรงสีรวย ก็ดูว่าเงินสะพัด แล้วก็เอาเงิน สะพัดเหล่านั้น มารวมเป็นส่วนได้ แล้วก็ คำนวณค่า GDP ค่าที่ออกมา ก็สูงขึ้น แต่คนจน ก็ยังไม่มี เหมือนเดิม ส่วนด้านบน ผู้มีอำนาจต่างหาก ที่เพิ่มส่วนเกิน ได้มาก ผู้มีอำนาจก็ต้องพยายามระดมการสร้างให้มากขึ้นเพื่อหากำไร ก็ให้กรรมกร ชาวไร่ ชาวนา คนงาน ในโรงงาน อุตสาหกรรม สร้างผลผลิตให้ได้มากขึ้น พอสร้างแล้วเสร็จ พวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ก็จะแบ่งขาย ให้คนในประเทศ กินใช้ ซึ่งจะพอเพียง หรือไม่ก็ตาม แต่คุณก็เน้น จะเอาไปขายเมืองนอก เพื่อจะได้เงินเข้ามาให้ประเทศรวยขึ้น แล้วก็คิด ค่าเศรษฐกิจ จากเงินได้ต่างประเทศนั่นแหละ จากนั้นก็บอกว่า ฐานะดีขึ้น รวยขึ้น ถามว่าคนรากหญ้า ได้เพิ่มมั้ย ไม่ได้เพิ่มหรอก ไม่หายจนหรอก ดีไม่ดีคนในประเทศยังไม่พอกิน พวกที่อยู่ ด้านบน ก็ประมวลเอาผลผลิต เอาสินค้า ขายไป แล้วก็เอาเงินมาร่ำรวยในฐานะนักค้า หรือในฐานะ ชั้นบน ชั้นล่างทำเป็นที่ไหน อัตรารายได้ของคนชั้นบน มันเทียบกัน ไม่ได้เลยกับข้างล่าง ข้างล่างจะพอกินพอใช้ยังไม่มี ตลอดกาลนาน เป็นมาอย่างนั้น ที่ร้ายยิ่งก็คือ ทั้งชั้นกลางและชั้นบนนั่นแหละ มอมเมาครอบงำคนชั้นล่าง หนักหนาสาหัส หลงใหลโลกีย์ ยิ่งๆขึ้น รัฐไม่สนใจ จะช่วยต้านจุดนี้ ไม่คิดส่งเสริมคน หรือองค์กร ที่ทำงาน ช่วยสอน ช่วยนำพาคน ที่ถูกมอมเมาเหล่านี้ คนจนก็ยิ่งจนหนัก เพราะแม้จะได้เพิ่มห้า เพิ่มสิบ ขึ้นมาบ้าง ก็ถูกดูดคืนไปจากชั้นล่างหมด แต่ไปเพิ่มให้ฐานบน ถึงจุดสูงยอด เป็นปฏิภาคทวี เป็นแสน เป็นล้าน ยิ่งๆขึ้น เพราะฉะนั้น การวัดค่าเศรษฐกิจทุกวันนี้ แล้วได้คำตอบว่าเศรษฐกิจเจริญ สะพัด มากขึ้นจริง และได้เพิ่ม จากเมืองนอก เข้ามาจริง แต่คนจนและช่องว่างของความรวย ความจน เพิ่มมากขึ้น นี่คือ เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม และ นักเศรษฐศาสตร์ ที่เรียนจบ ด็อกเตอร์มา เขาจะรู้ดีอยู่ แล้วเขาก็ ไม่พยายามที่จะเปิดเผย หรือพูดถึงเรื่องนี้ หรือบางคน เขาจะพูดอยู่ก็ตาม แต่พวกที่ไม่พูด และไม่พยายามจะอธิบายนี่แหละมาก เพราะเขาคือ ผู้ที่อยู่ในกลุ่ม ได้เปรียบ ฉะนั้น อันนี้เป็นแนวคิดที่สรุปได้เลยว่า คนใดที่ยังมีกิเลส ต้องการความรวย ต้องการมีมาก ได้มาก ไม่เคยพอ คนนั้น บอกได้เลยว่า ไม่ได้ช่วยแก้ ปัญหาสังคม เพราะต่างจะกอบโกย เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นขอทาน หรือมหาเศรษฐี" ถาม : คนรวยแล้วไม่โกง จริงไหมครับ พ่อท่าน : มันยอดโกงเลย คำว่า "รวย" นี่ก็ "โกง" แล้ว เพราะแนวคิดของทุนนิยมก็คือโกง โกงโดยยุติธรรม โดยสุจริต คุณสร้างอะไรมาขาย คุณก็คิดทุน บวกไว้หมด ค่าโสหุ้ย ค่าแรงงาน ค่าจัดการอะไรกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แถมบวก error ไว้ด้วย ของอันนี้มันมีผลผลิต เท่านี้ มีราคาเท่านี้ สมมุติ....ทุนคิดแล้วร้อยบาท ถ้าขายร้อยบาท เขาให้เงินร้อยนึงมา มันก็เจ๊ากันแล้ว นี่คือ ไม่มีใครโกงใคร ไม่มีใครได้ใครเสีย เพราะราคาของที่ยุติธรรมที่สุด คือหนึ่งร้อยบาท คุณให้ของไป คุณเอาร้อยนึงมา เป็นตัวแทนค่า มูลค่ามันร้อยก็จบ ไม่มีใครโกงใคร ไม่มีใครได้ เสมอกัน เพราะมันถูกต้อง แต่วิธีขายของทุนนิยม มันไม่ขายร้อยนึงตามทุน บวกเท่าไรก็โกงเท่านั้น โกงแล้ว ขายเพิ่ม สตางค์นึง มันก็โกง หนึ่งสตางค์ ยิ่งหาทางใช้จิตวิทยา ให้คนมันอยากได้ ต้องการ แล้วก็โก่ง ราคาขึ้นอีก ทุนมันร้อยนึง ขายห้าพัน คุณก็ถือว่า ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ มันก็โกงกันไป ตั้งสี่พันกว่า ถาม : คนรวยมากๆ แล้วจะพอนี่จริงไหมครับ พ่อท่าน : หากไม่มาเรียนรู้กิเลส ไม่มาเรียนรู้โลกุตรธรรม ไม่มีพอหรอก ไม่มีสันโดษ สันโดษนี่ แปลว่าพอ สันโดษคือ enough adequate และ จะพัฒนาร่วมไปกับ ความมักน้อย ยิ่งๆขึ้น ถาม : คนที่รวยมากๆ แล้วมีอำนาจด้วย น่ากลัวตรงไหนครับ พ่อท่าน : น่ากลัว เมื่อกิเลสมันยังไม่หยุด ยังไม่พอ มันต้องหาวิธีให้ได้มากขึ้นๆ ตายแล้ว ยังมอบมรดก วิธีการแก่ลูก สืบทอด ทำต่ออีกด้วย ไอ้ลูกเอ๊ย รวยให้ได้มหาศาล สร้างสกุลเรา ให้ยิ่งใหญ่ ร่ำรวยอภิบรมมหาศาล ให้ได้นะลูก เขาไม่เข้าใจว่าการทำให้ตนเองรวย คือการทำลายสังคม แต่ละคนแย่งกันรวย คือ การทำร้าย สังคม และทำลาย ตนเองด้วย ทำตนให้เป็นคนไม่มีคุณค่า สร้างแบบอย่าง ให้สังคม หลงทาง ตนเองก็ไม่ใช่คนดี เพราะไม่มักน้อย ไม่สันโดษ ไม่เสียสละ ติดยึด หอบหวง เอาเปรียบ สารพัดที่จะไม่เป็นคุณธรรมใดๆ แก่ตนเลย ต่อให้ดูเหมือน ทำดี แสนดี แต่ก็เป็นดีที่มีนัยแฝง ให้ตนได้เปรียบอยู่ทั้งนั้น จึงเป็นคนไร้ค่าแท้ แนวคิดของทุนนิยมทั้งโลกคือ ขายเกินทุน บอกว่านี่คือสิ่งที่สุจริต คิดแบบนี้ คือ การเป็น คน ที่ไร้ค่า เพราะกระทั่ง ค่าของตัวเรา ที่มันน่าจะมีสัก เดือนนึงหมื่นนึง คุณก็ไปคิดเอา สักหมื่น สองหมื่น ไปตั้งราคา ห้าหมื่น แปดหมื่น คุณได้เปรียบ คุณก็คิดว่า นี่มันเป็น ผลสำเร็จ คือสิ่งที่เขายอมรับว่า คุณยิ่งใหญ่ คุณมีประโยชน์ แต่ประโยชน์ของคุณ ก็เท่ากับ สมรรถนะ ของคุณนั่นแหละ สมรรถนะของคุณ ควรจะหมื่นหนึ่ง คุณก็ไปตีค่า ตั้งเยอะเกิน ต่อให้ตีค่า เท่ากับสมรรถนะแท้ๆ คุณก็เอาคืนไปหมดแล้ว คุณก็เป็นคน หมดค่าแล้ว ไร้ค่าแล้ว เพราะแค่ เอามาเท่าทุน หรือเท่าค่าจริงของตัวเอง มันก็หมดค่าแล้ว ยิ่งไปเอาเกินมาอีก คุณยิ่งเป็นคน ทำลายสังคม คุณยิ่งไม่เป็นประโยชน์ อะไรทั้งสิ้น เป็นตัวดูด อยู่ในสังคม แนวคิดของทุนนิยมมันเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่แก้ประเด็นของความจริงอันนี้ อาตมาก็เห็น อยู่ว่า โลกทั้งโลก เดินไปหากลียุค อยู่โต้งๆ เพราะคนคิดแบบระบบทุนนิยมเสรีทั้งนั้น ยิ่งเสรี เท่าไหร่ คนที่มีอำนาจ ก็ยิ่งได้เปรียบเท่านั้น ความโหดร้าย ก็ยิ่งจะสาหัส ยิ่งๆขึ้น การล่า ก็จัดจ้าน ดังที่เป็นอยู่ ในโลกทั้งโลก ก็เห็นๆกันอยู่ เพียงแต่ว่า ใครมองออก ก็รู้ชัด เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าขอตั้งข้อสังเกตให้เป็นแง่คิดสักนิดหนึ่ง แม้ผู้ถามจะถามคำถาม ที่เน้นตัวตน บุคคล แต่พ่อท่าน ก็ตอบ อย่างเป็นหลักการทั่วไป ไม่เฉพาะตัวบุคคล ที่ผู้ถาม มุ่งหมายถึง เท่านั้น เพราะกิเลสนั้น เป็นสากล มีอยู่ในจิตใจ ทุกผู้ทุกคน แม้เราๆท่านๆเองก็มี ตราบใด ที่เรายังมีใจ อยากรวย รวมถึงอยากมีอำนาจ ถ้าเรามีโอกาสเช่นเขา เราเอง ก็มีสิทธิ์ ทำเรื่องน่าเกลียด ได้เช่นเขา หรืออาจจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ ยิ่งกว่า การไปคิดว่า การสนทนานี้ หมายถึงใครบ้าง ที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ สรุปคือ อ่านหรือฟัง แล้ว "มองตน" จะได้ประโยชน์มากกว่า
จีนพุทธในมาเลเซีย ถาม : ได้เห็นชุมชนของอโศกประสบความสำเร็จในการทำชุมชน ถ้าจะทำที่ มาเลเซีย ซึ่งเป็น มุสลิมเป็นส่วนใหญ่ จะได้ไหม พ่อท่าน : จะตอบโดยการเดาหรือคาดคะเนพยากรณ์อย่างนั้นไม่ได้ มันสำคัญ อยู่ที่คน คำตอบอยู่ที่คน มีปัญญาพอ มีความขยัน หมั่นเพียรพอ ข้อสำคัญต้องเรียนรู้ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ให้ชัดเจน ถาม : ในสังคมเขาสอนมรรคองค์ ๘ แล้วบอกว่าให้ดูที่ใจ แล้วจะเป็นอย่างไรแน่ พ่อท่าน : มรรคองค์ ๘ ก็ต้องดูที่ใจอยู่แล้ว แต่ถ้าดูแต่ใจไม่มีมรรค ๗ องค์ นั่นคือฤๅษี ปฏิบัติ มรรคองค์ ๘ ให้ครบทั้ง ๘ และดูที่ใจไปพร้อมด้วยกับทุกองค์มรรคนั่นคือพุทธ (จากนี้ไป พ่อท่านได้อธิบายถึงการปฏิบัติมรรคองค์ ๘ แล้วจะทำให้เกิดสมาธิ สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่น และมั่นคง สัมมาสมาธิไม่ใช่การหลับตาเพ่งจิตอยู่กับสิ่งๆเดียว ในที่นี้ ขอข้ามผ่าน) ถาม : ในโลกกระแสทุนนิยมที่สังคมและสิ่งแวดล้อมเสื่อมลงเรื่อยนี้ ทำอย่างไร จึงจะมี ชุมชน อย่างอโศกนี้เกิดขึ้น มากๆ พ่อท่าน : อย่าตะกละ ทำไปแล้วมันจะมีอัตราการก้าวหน้าไปเรื่อยๆๆๆ สัจธรรมของ พระพุทธเจ้านี้ เมื่อได้แล้ว ได้เลย ไม่มีเปลี่ยนแปลง มั่นคง ยั่งยืน เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ได้แล้ว มันก็จะขยายๆๆไปเรื่อยๆ ส่วนทางทุนนิยมนั้น เขาฆ่ากัน ตายหมด เพราะเขาแย่งกัน ถาม : ถ้าสิ่งแวดล้อมมันเสื่อมแล้วมันก็มีผลกระทบมาถึงพวกเราด้วย พ่อท่าน : เราก็สร้างของเราไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างเราสร้างสิ่งแวดล้อมที่สันติอโศกนี่ไง ทั้งๆ ที่เราอยู่ กลางกรุงเทพฯ เลยนะ เราทำจุลภาคให้ได้หลายๆจุลภาค แล้วทำเป็น เครือข่าย อย่าไปทำอันเดียวใหญ่ๆ ถาม : ที่มาเลเซียเป็นมุสลิมส่วนใหญ่ ถ้าเราจะทำชุมชนพุทธก็จะต้องระวัง ไม่ให้ ไปขัด กับเขา ได้ไหม พ่อท่าน : ในแนวลึกสุดแล้วขัด ถ้าจะอยู่กับเขาเราก็ต้องยอมเขา และช่วยเหลือเขา ส่วนเขา แม้แต่ พวกเดียวกัน เขาก็ไม่ยอมกัน เพราะเขาเป็นทุนนิยมหมดแล้ว เราไม่รบ กับใคร ไม่สู้ใคร บาดเจ็บมา เรารักษาให้ เราเอง เราให้หมด ทั้งสองฝ่าย สุดท้าย เขาฆ่ากันตายเองหมด ช่วงนี้มีการซักถามเรื่องอรหันต์และโพธิสัตว์ที่เถรวาทและมหายานเข้าใจผิด รวมถึง แนวคิด ทุนนิยม ที่เอาเปรียบ และ เป็นบาป กับเรื่องโลกียสมบัติ หลงแสวงหามาเท่าไร ตายแล้ว ก็เอาติดตัว ไปด้วยไม่ได้ สิ่งที่จะติดตัวไปได้ ก็คือ โลกุตรสมบัติ และบาปบุญ ที่แต่ละคน ได้ทำไว้ ซึ่งพ่อท่านได้อธิบายมามากแล้ว ในที่นี้ขอข้ามผ่าน ผู้ใหม่ สนใจ ประเด็น เหล่านี้ เชิญสืบหา ศึกษาได้จาก ฝ่ายเผยแพร่เท็ป
องค์กรบุญนิยมกับการเมือง "ต้องทำความเข้าใจกันให้ชัดๆนะว่า พรรคเพื่อฟ้าดินนี่ เป็นองค์กรทางการเมือง ทางโลก เขากำหนดว่า งานการเมือง เป็นงานชนิดหนึ่ง ที่หลายคนรังเกียจ แต่หลายคน ก็ชอบมาก แล้วมันก็เป็นอยู่ในสังคมจริงๆ และบทบาทที่มีอยู่ ในสังคมนี่แหละ มันมิจฉา หรือสัมมา อันนี้แหละสำคัญ ขณะที่การเมืองทุกวันนี้เป็นการเมืองโลกีย์หรือเป็น"มิจฉาการเมือง" ไม่ได้เป็น "สัมมา การเมือง" คือไม่ใช่ การเมือง โลกุตระ การเมืองโลกีย์ ที่มีที่เป็นกันอยู่ในโลก โดยการ แต่งตั้ง หรือ วิธีการเลือกตั้ง เข้าไปทำงาน ให้กับสังคม กับประชาชน ทีนี้เมื่อมันเป็น ระบบขึ้นมาแล้ว มันก็เลย กลายเป็นรูปแบบของการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งก็ตาม แต่วิธีการ ที่เกิดขึ้นมานั้น มันซับซ้อน ด้วยมิจฉา โครงสร้าง ระบบ ระเบียบ หลักเกณฑ์ของมันก็ตาม มันก็เป็น หลักเกณฑ์ ที่มีกิเลสเข้ามาตั้งโครงสร้าง รูปแบบของการเมือง มันแฝงเล่ห์กล หรือที่เรียกว่า หมกเม็ด เพื่อผลประโยชน์ ที่เขามุ่งหมาย หรือออกหลักการเหล่านั้น อย่างมีอวิชชา หลักเกณฑ์ หรือ กฎหมายเหล่านั้น จึงมีสิ่งแฝงซ่อน สิ่งที่ไม่ถูกต้อง พรางไว้ ไม่ให้คนอื่นจับได้ไล่ทัน หรือแม้หลักเกณฑ์ที่ออกไว้ดีแล้วนี่แหละ แต่พฤติกรรมจริงไปปฏิบัติจริงคนยังไปเบี้ยว ออกนอกเกณฑ์ ต่างๆ ด้วยอำนาจของกิเลส จนกระทั่งการเมือง กลายเป็นสิ่งที่ น่ารังเกียจ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิต ของเขาแท้ๆ คนส่วนมาก จึงไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเกี่ยว ไม่อยาก เอาใจใส่ ส่วนผู้ที่เข้าใจแล้วพยายามจะทำให้การเมืองมันดี ก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง องค์กรบุญนิยมของเรานี่เป็นองค์กรที่พัฒนาคน ทำให้คนซื่อสัตย์สุจริต ลดกิเลส ลดละ ความเห็นแก่ตัว จนกระทั่ง เป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่า ต่อสังคม ช่วยสังคม เพราะฉะนั้น จริงๆแล้ว องค์กรบุญนิยมนี่คือ ผู้ที่จะทำงาน กับสังคม การเมือง ก็ทำงานกับสังคม เช่นเดียวกัน ช่วยเหลือประชาชน พัฒนาสังคมเหมือนกัน ทำประโยชน์คุณค่า ให้สังคม องค์กร บุญนิยม หากใครเข้าใจได้ ก็คืองานการเมืองนั่นเอง แต่จริงๆนั้นคำว่า "การเมือง" ในที่นี้ ก็ไม่เหมือน การเมือง โลกีย์ ที่คนในโลกีย์เข้าใจกันหรอก องค์กรบุญนิยม เป็นกลุ่มคน ที่ทำงาน กับสังคมจริงๆ เพียงแต่ว่า เราไม่ได้ไป จดทะเบียน เราไม่ได้ไปทำ นิติกรรมกับทางรัฐ องค์กร บุญนิยมของเรา จึงอยู่นอกกรอบของเขา แต่ก็มี องค์กรย่อย ของเรา ได้ไปจดทะเบียนอยู่บ้าง เช่นองค์กรทางพาณิชย์ องค์กรทางมูลนิธิ เพราะฉะนั้น เราต้องระวัง รักษา ความเป็นเราไว้ดีๆ เมื่อเราจะทำงานการเมือง ก็จะต้องไม่ให้เป็น การเมือง ที่พลัดเข้าไปอยู่ ในวงจร การเมืองโลกีย์ ต้องเป็นการเมืองโลกุตระ เพื่อให้เกิด ประโยชน์แก่ประชาชนที่แท้จริง ไม่ใช่ทำงาน การเมือง เพื่อเป็น ช่องทางหากิน ได้ผลประโยชน์ส่วนตัว และพรรคพวกเครือญาติ กลายเป็นอาชีพ เลี้ยงชีวิต เราพยายามวางนโยบายของพรรค เพื่อสอนให้คนไปทำงานการเมือง และพวกเรา ก็ได้ เริ่มทำแล้ว แต่เรา จะไม่ให้เป็น การเมือง แบบที่เขาเป็นกันอยู่ เป็นอันขาด การเมืองคือการทำงานกับสังคม ต้องไปเสียสละ จริงๆแล้วคือผู้มาอาสารับใช้ ประชาชน ยิ่งจดทะเบียนทางนิตินัย นั่นก็คือ อาสามารับใช้ประชาชน ไม่ต้องไปเรียกร้องโลกียสุข ไม่เรียกร้อง สิ่งตอบแทน ใครจะเชื่อไม่เชื่อ เราก็ทำงาน ของเราไป นี่คือการเมืองของ พรรคเพื่อฟ้าดิน เอาความรู้ ความสามารถของคุณธรรม ที่เราฝึกฝนตนเองได้ เป็นบุญนิยม คนที่เป็น บุญนิยมเหล่านั้น มาเป็นมวล มาทำงาน ขณะที่กระแสสังคมเขามองการเมือง เป็นเรื่อง น่าเกลียด ในสังคมเขายังไม่รู้จักบุญนิยม อันนี้เราต้องมีอัตตัญญุตา ประมาณตน ว่า ถ้าเราจะเอา พรรคการเมือง บุญนิยม ไปพูดกับสังคม เขาไม่ให้ค่า เพราะเขายังไม่รู้จัก เพียงคำว่า การเมือง เขาก็ไม่ศรัทธาแล้ว แต่ในการกระทำ ของเรา กำลังนำเอา องค์กรบุญนิยม เข้าไปสู่สังคม ให้เขารับรู้ เพราะเขายังไม่มีอคติ เหมือน การเมือง ยังไม่รังเกียจ องค์กรบุญนิยม เท่ากับคำว่า พรรคการเมือง ขณะนี้คำว่าองค์กรบุญนิยมกับพรรคการเมือง ความยอมรับ ความเชื่อถือ ความเข้าใจ ของสังคม จะมีแค่ไหน ก็ยังตอบไม่ได้ ทีนี้วิธีปฏิบัติกับสังคม เรากำลังเสนอตัวตนขององค์กรบุญนิยมออกไป ระวังอย่าให้ มากไป และ ถ้าเราจะเสนอ ตัวตน ของพรรคเพื่อฟ้าดิน เรายิ่งจะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเรา ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด ว่าเราเหมือนกับ พรรคการเมือง ทั่วไป เราจึงต้อง พยายาม ทำความจริง ให้ปรากฏออกไป ให้เขาเข้าใจให้ได้ว่า ชื่อว่าพรรคการเมือง เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ทั้งนโยบาย เป้าหมาย วิธีการ และพฤติกรรมกับประชาชน กับสังคม ที่สำคัญ การปฏิบัติแท้ๆ เป็นพฤติกรรม ที่แตกต่างที่เขาเห็นได้ และจะต้อง เข้าใจ ในแง่เห็นดี ยินดี ยิ่งมองไป ในแง่เนื้อหา เนื้อแท้ของคุณธรรม เพราะฉะนั้น เขาจะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นพรรคการเมือง คุณธรรม เป็นพรรคการเมือง โลกุตระ เป็นพรรคการเมือง ของอาริยบุคคล เราจะทำอย่างไร ให้เกิดความจริงว่า พรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่ธรรมดานะ ส่วนองค์กรบุญนิยมของเรานั้น เริ่มต้นด้วยโลกุตระ เริ่มต้นด้วยอาริยบุคคล จากแกน มนุษยชาติ ที่มีพฤติกรรม ของโลกุตระ แล้วขยายผลไปเป็นองค์กร เป็นการเป็นงาน ขึ้นเรื่อยๆ และ พรรคการเมืองนี้ เริ่มต้นจาก องค์กร บุญนิยม ที่มีแนวดิ่ง ที่ลึกแล้ว เราสร้างอันนี้ก่อน มีแล้วเป็นแล้ว ส่วนพรรคการเมือง เราทำแนวระนาบ แนวกว้าง เพื่อเข้ามาหา แนวดิ่ง นี่คือลักษณะแตกต่าง แต่ต้องทำงานร่วมกัน โดยพรรคการเมือง จะมีบุคคล ที่มีความรู้ ในแขนงต่างๆ ขององค์กรบุญนิยม ที่จะมีความสามารถ ไปทำงาน กับประชาชน เพราะฉะนั้น จึงมีสภาวะซับซ้อน ในการเมืองกับองค์กรบุญนิยม แม้แต่ สมาชิกประชากร ก็ไม่เหมือน ส่วนอื่นที่ต้องสัมพันธ์ด้วย เราก็จะสัมพันธ์ กับเขา พวกเรา ก็ทำของพวกเรา ตั้งแต่แกนหลัก จนกระทั่ง ขยายไปสู่สังคม ให้มีเนื้อของบุญนิยม อย่างแน่นๆ มีระดับ เชื่อมโยงต่อกัน อันนี้คือ สิ่งที่เราจะทำกัน"
ท้าพระพุทธเจ้าทางกระแสจิต ถาม : เมื่อ ๗ ปีที่แล้วผมได้ท้าพระพุทธเจ้าทางกระแสจิตว่าพ่อท่านเป็นศาสนาพุทธ หรือเปล่า ที่สอนอย่างนี้ แล้วพระพุทธเจ้า ก็ลงมา ผมก็ได้ยินเสียงพ่อท่านด้วย พ่อท่าน : ท้าพระพุทธเจ้ามายังไง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนอีก ถาม : ตอนนั้นแล้วผมก็บ้าเลยครับ พระพุทธเจ้าถามผมว่าเชื่อไหมว่าพระโพธิรักษ์ เป็นศาสนาพุทธ ผมก็บอกว่าเชื่อ แล้วผมก็เป็นบ้าไป ผมก็จำเสียงพ่อท่านได้ ด้วยครับ จำเสียง ท่านติกขวีโร และเสียงคุณลุงจำลอง ได้ด้วยครับ ตอนนั้น ผมท้าว่า ถ้าศาสนา ของพ่อท่าน ไม่เป็นความจริง เอาชีวิตผมได้เลยครับ ท่านบอกว่า เป็นความจริง สูงมาก เลยครับ พ่อท่าน : แล้วตอนนี้เข้าใจดีขึ้นแล้วนา ถาม : ตอนนั้นมีสมณะด่าผมลับหลังหลายท่านเลยครับ ผมจำเสียงได้ครับ พ่อท่าน : ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ ถาม : มันเป็นอจินไตยใช่ไหมครับ พ่อท่าน : มันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่ต้องศึกษาให้ดีๆ จนกว่าจะมีสภาวะ มีญาณ ปัญญา ที่จะเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ให้ได้ ถาม : มันเป็นมโนมยอัตตาเป็นได้ไหมครับ พ่อท่าน : เป็นได้ๆ มโนมยอัตตา มันหลอกมันหลอนเราเยอะ ถาม : แต่ในความรู้สึกจริงๆของผม ผมท้าพระพุทธเจ้า ตอนนั้นเป็นเสียงพระพุทธเจ้า ถามว่า เชื่อไหมล่ะ ผมบอกว่า เชื่อว่าพ่อท่าน เป็นพระอรหันต์ หรือสูงกว่านั้น พ่อท่าน : นั่นแหละมโนมยอัตตามันหลอกได้ด้วย และมันมีจริงด้วย เราจะต้องมีญาณ -ปัญญา ที่แท้จริง แล้วเราจะรู้จัก มโนที่สำเร็จด้วยจิต หรือ รูปที่สำเร็จด้วยจิตนี่ มันเป็นทั้ง ความจริง และ ไม่จริง เช่น คนระลึกชาติ อย่างนี้ ไปเห็นรูปเห็นภาพของของจริง ผู้ที่มี บุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นญาณที่แท้จริง จะเห็นจริงๆ แล้วก็ถูกต้อง แต่ส่วนมาก มันเป็นอุปาทาน ปั้นรูป ปั้นร่าง ปั้นเรื่อง จนสำเร็จด้วยจิต เป็นมโนมยอัตตา ที่เป็นรูป ที่สำเร็จด้วยจิต แล้วเราก็หลงใหลว่าจริง อันนี้มีเยอะ จนกระทั่ง สามารถปั้นพระพุทธเจ้า ขึ้นมา แล้วก็หลงว่า พระพุทธเจ้ามาจริงๆ ยังเหลืออยู่ เป็นตัวเป็นตน แต่ถ้าเรามี บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วเคยเกิดร่วมกับ พระพุทธเจ้า มาจริงๆ แล้วย้อน สัญญา ของตนเอง เข้าไปดึงภาพพระพุทธเจ้าออกมา จนกระทั่ง เห็นนิมิต พระพุทธเจ้า ก็เป็น ความสามารถพิเศษ เป็นมโนมยิทธิ แบบอาเทสนาปาฏิหาริย์ก็เป็นได้ แต่ไม่ใช่เรื่อง ง่ายเลย เพราะมันยากมาก ผมเอง ผมยังไม่สามารถ ใช้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ไปดึงเอารูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่จริงแล้ว ผมผ่านพระพุทธเจ้ามา แต่ก็ยัง ไม่สามารถ ถึงปานนั้น คนที่สามารถได้ก็มีจริง มันไม่ใช่เรื่องเล่น มันเป็นเรื่องวิเศษ ถาม : ในความรู้สึกของผม ผมรู้สึกว่าพ่อท่านสอนลึกมากเลยนะครับ คล้ายๆเป็นคำสอน ที่เหนือกว่า พระอรหันต์ นะครับ พ่อท่าน : มันไม่ใช่เหนือหรอก มันเป็นความรู้ของผู้ที่เข้าใจรายละเอียด ที่ละเอียดลออ เยอะแยะ แล้วเอามา อธิบายสู่ฟัง มันก็ไม่มีอะไรเกินกว่าพระอรหันต์ แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็คือ พระอรหันต์นั่นเอง แต่เป็น อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีอะไรเกินกว่า พระอรหันต์ไปได้ ไม่มีหรอก ถาม : ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วสอนเก่งกว่า ลึกซึ้งกว่าพระอรหันต์ เป็นไปได้ไหม ครับ พ่อท่าน : ก็เรียกว่าเป็นผู้ที่ศึกษาใบไม้ทั้งป่า เป็นความรู้ที่ละเอียดลออเพิ่มขึ้น คำว่า พระอรหันต์นี่ คือสูงสุด ในทางหมดกิเลส ความรู้ที่เพิ่มเติมในรายละเอียดของสิ่งที่เป็นที่มี อยู่ในโลกที่เรียกว่า โลกวิทูนั้น แน่นอนก็ต่างกัน พระอรหันต์ธรรมดา กับพระอรหันต์ ในระดับสูง ที่มี ปฏิสัมภิทาญาณ หรือว่ามีอภิญญาอะไรพวกนี้ ก็ต้องสูงกว่า แน่นอน ถาม : แล้วในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ส่วนมากของผู้ที่สอนได้ลึกซึ้ง เหมือน พระอรหันต์ ส่วนมาก จะเป็นพระอรหันต์ ใช่ไหมครับ พ่อท่าน : อ้าวก็ต้องพระอรหันต์จริงสิ ท่านจึงสอนได้สูงจริง ส่วนพระอรหันต์ไม่จริง ก็พอ รู้ได้ แต่มันจะไม่คม ไม่ชัด ไม่ถูกต้อง หรือถ้ามีอะไรมาย้อนแย้ง คนที่มีภูมิปัญญาดีๆ มาย้อนแย้งแล้วจะเป๋ เพราะไม่มีของจริง ของตนเอง มันก็จะงงๆ แล้วเพี้ยนไปตามเขาได้ เพราะไม่มีของจริง ถ้าพระอรหันต์จริง มีของตนเองจริง มันก็ไม่เป๋หรอก จะแย้งอย่างไร ก็ตอบได้ ถาม : สรุปแล้วผู้ที่สอนคำสอนของพระอรหันต์ได้ดีที่สุดก็คือ พระอรหันต์ พ่อท่าน : แน่นอน จะสอนคำสอนพระอรหันต์ได้ถูกต้อง ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ได้เป็น พระอรหันต์ มันเกินภูมิของตน มันก็จะเพี้ยนได้ ซึ่งมันก็ได้เพี้ยนมาเยอะแล้ว ถาม : แล้วคำว่าพระโพธิสัตว์ระดับ ๗ นี่ยังไงกันครับ พ่อท่าน : มันก็เป็นความละเอียดลออของระดับชั้น
ยกตัวอย่างง่ายๆ พระโพธิสัตว์ที่มี อาริยภูมิ ขั้นโสดาบัน ก็เริ่มเป็นโพธิสัตว์
ในระดับโสดาบันได้ มีอรหัตผลในระดับโสดาบัน ก็สอน ในระดับ โสดาบันได้ ทีนี้ถ้าเป็น
พระสกิทาคามี ที่มีอรหัตผลในระดับสกิทาคามี หรือ ในระดับอนาคามี ก็เป็นได้
หรือในระดับอรหันต์ก็เป็นได้ อย่างนี้ ก็เป็นโพธิสัตว์ ๔ ชั้นแล้ว ถ้าสูงกว่าพระโพธิสัตว์ในระดับชั้นที่สูงขึ้นไปอีก
ก็เป็นโพธิสัตว์ ในระดับที่ ๕, ๖ จนกระทั่ง ถึง ๗ อย่างนี้ เป็นต้น ก็ขึ้นไปเป็นชั้นๆ
นี่เป็นเพียงสมมุติให้ฟังง่ายๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว มีรายละเอียด ที่เป็นเรื่องของ
โพธิสัตวภูมิ มากมายกว่านี้ นักหนา อธิบายกัน ไม่ง่ายเลย ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตย
พูดกันกับคนที่อยู่ คนละภูมิ มันคงยากมาก คุณเป็น โพธิสัตว์ก่อนเถอะ แล้วจะพูดกันรู้เรื่อง
ตอนนี้ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปแล้วกัน ๒๐ มิ.ย. ๒๕๔๗ ได้รับโทรศัพท์จากพระรูปหนึ่งแจ้งว่ามีเรื่องที่จะขอปรึกษา พ่อท่านด่วน ตอนแรก ข้าพเจ้า จำเสียงไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดประโยคแรก ก็เข้าใจได้ว่า เป็นรูปเดียว กับที่ได้โทรมา สนทนากับพ่อท่าน เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ถาม : ผมโทรมาถามพ่อท่านว่าผมบรรลุธรรมหรือผมบ้าคนเดียวครับนี่ เมื่อคืน ผมฝันว่า ผมได้เห็นพ่อท่าน แล้วมันมีเสียง มารบกวนหูอยู่เรื่อยๆนะ พ่อท่าน : เสียงมารบกวนมันก็เป็นเรื่องของอุปาทาน มันไม่ปกติ หนึ่งมันเป็นเรื่องของ ประสาทก็ได้ สอง เป็นเรื่องของ จิตวิญญาณของเรา จริงๆแล้ว มันก็จะเป็น จิตวิญญาณ เป็นหลัก ที่มันมีเสียงรบกวนอะไรนั่น ถ้าประสาทเสียจริงๆ ทางหมอเขาก็ต้องบำบัด ถ้าประสาทไม่เสีย จิตวิญญาณของเรา มันก็เป็นได้ มโนมยอัตตา หรือว่าเป็นเรื่อง ที่ปั้น ขึ้นเอง แล้วติดเอง มีเอง เป็นเองอะไรต่ออะไร ถาม : ครับ ผมนึกว่าผมบรรลุธรรม ที่ไหนได้หูแว่วครับ พ่อท่าน : ประสาทเปล่าๆ เอ้า....พยายามเรียนรู้ดีๆ พยายามปฏิบัติให้มันถูกทาง ถาม : สรุปแล้วพ่อท่านไม่รู้จักผมใช่ไหมครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันใช่ไหม พ่อท่าน : ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รู้จักหรอก ถาม : กราบขอบพระคุณมากครับ นมัสการครับ
ห่วงใยบ้านเมืองในมุมมองที่ต่างไปจากรัฐ หลังการเคลื่อนไหวส่งจดหมายปิดผนึกถึงท่านนายกฯ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย ในเรื่อง ที่ท่านนายกฯ คิดจะระดมทุน ด้วยการออกสลากหวยเฉพาะกิจ เพื่อนำรายได้ ไปซื้อหุ้น สโมสรฟุตบอล ลิเวอร์พูล แล้วสื่อมวลชน ได้นำเสนอ รายงานข่าวไปแล้วนั้น ต่อมา ท่านนายกฯ ประกาศยกเลิก การออกสลากหวย ตามที่เป็นข่าว ผลกระทบที่ตามมา คณะต่างๆที่มีความคิดเห็นต่างไปจากรัฐบาลในหลายๆเรื่อง ได้มาขอให้ช่วย นำเรื่องที่เห็นต่างไปจากรัฐบาลนี้ ส่งให้ท่านนายกฯด้วย เพราะสถานการณ์ทำให้ เข้าใจว่า ท่านนายกฯ เชื่อฟังพ่อท่าน ด้วยหวังว่านี่เป็นทางออกหนึ่ง ที่จะเข้าสู่การแก้ปัญหา สังคมได้ เนื่องด้วยคณะต่างๆ เหล่านั้น ได้พยายามนำเสนอ ความคิดเห็นที่ต่างไปจากรัฐ ในหลายๆวิธีแล้ว แต่ผลที่ตามมา ยังไม่ได้รับการแก้ไข อย่างที่คณะต่างๆ นั้นต้องการ จะให้เป็น ต่างจึงหวังว่าพ่อท่าน น่าจะเป็นทางออกหนึ่ง ของการแก้ปัญหาสังคมได้ ๑๒ มิ.ย. ๒๕๔๗ เริ่มจากคณะของนายแพทย์ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีหลายท่าน กับอาจารย์ จากมหาวิทยาลัยจุฬาฯ และคนที่ทำงานสังคมที่มีชื่อ เป็นที่รู้กันดีในสังคม ทั้งหมดมีความห่วง เกี่ยวกับการทำสัญญา เขตการค้าเสรี หรือ FTA ซึ่งรัฐกำลังทำสัญญา กับประเทศต่างๆ ขณะที่รัฐมองเห็น แต่ผลประโยชน์ ที่จะได้รับ และให้ข่าวถึงประโยชน์ ที่จะได้รับ เช่นเราจะส่งข้าวออกไปได้มากขึ้น ส่งรถยนต์ ออกไปได้มากขึ้น ส่งน้ำตาล ได้มากขึ้น ส่งไก่ ส่งกุ้งได้มากขึ้น และธุรกิจบางประเภทเท่านั้น ที่ได้ประโยชน์ แต่ผลเสีย ที่เกิดขึ้น ไม่ได้บอกถึง เนื่องจากมีตัวอย่างของต่างประเทศ ที่ได้ทำสัญญาเขตการค้า เสรีแล้ว เกิดผลเสีย ที่ตามมามากมาย เพราะผู้ที่มีอำนาจมากกว่า มีสินค้ามากกว่า มีอะไรเหนือกว่า ย่อมได้เปรียบแน่ ซึ่งอันตราย ร้ายแรง มากกว่าเรื่องพืชตัดแต่งพันธุกรรม หรือ GMO เพราะว่า FTA มันร้ายแรงยิ่งกว่า กฎหมาย ๑๑ ฉบับอีก ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องพืช GMO เท่านั้น มันยังครอบคลุม ไปถึงสิทธิบัตร เรื่องยา หรือแม้แต่การใช้อินเทอร์เน็ต แค่ดาวน์โหลด หรือปริ๊นท์ออกมา ก็ต้องจ่ายเงินแล้ว ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ในเรื่อง ของการใช้ยา และปัญหา ก็จะเกิดขึ้น ความหลากหลายทางชีวภาพก็จะหายไป เช่น จีนส่งกระเทียมและหอมหัวแดง ได้ราคาถูกกว่า เข้ามาขายในไทย ต่อไปเกษตรกรไทย จะไม่ปลูกกระเทียมและหอมหัวแดงแล้ว หันไปปลูก พืชอื่น ที่เราส่งออกได้ จะทำให้ พืชพันธุ์อาหาร หลายชนิด สูญหายไปจากสังคมไทย เพราะเกษตรกรปลูกเพื่อขาย ไม่ได้ปลูกเพื่อ กินใช้ของตน ความลึกซึ้งนัยนี้ มีอีกมาก นั่นคือ FTA เป็นปัจจัยที่ทำให้ การดำเนินการ ที่จะไปสู่ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง เป็นไปได้ยาก "เรื่อง FTA เราไม่ต้องการให้เป็นประเด็นทางการเมืองเลย มีลู่ทางใดที่จะให้ไปถึงนายกฯ โดยไม่ต้อง เป็นข่าวก็ได้ ผู้ที่มีศักยภาพ ที่นายกฯฟัง ก็มีพ่อท่าน และ พล.ต.จำลอง กับ อาจารย์หมอเสมครับ" คณะท่านที่รักบ้านเมือง หวังดีต่อบ้านเมือง ต่างช่วยกันพูด "เราไม่ได้ต่อสู้กับรัฐบาลทักษิณ แต่เรากำลังต่อสู้กับความอยุติธรรมของโลก ที่กำลัง จะทำ ให้ประชาชนที่ยากไร้ ถูกสูบทรัพยากร ไปยังคนที่ร่ำรวยกว่า ทุนใหญ่ มันกำลัง สูบหมด แล้วเขาก็จะอาศัยพวก FTA, IMF มาสูบเอาไป จากประเทศ ที่ยากจน แล้วทุนใหญ่ เขาจะใช้ สื่อสาร มาครอบงำ มอมเมาเยาวชนของเรา เดี๋ยวนี้ แม้แต่เด็กอนุบาล ก็ต้องมี มือถือกันแล้ว" พ่อท่านเห็นว่า "สิ่งที่รัฐบาลทักษิณทำดูเหมือนเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ในแนวลึกแล้ว มันไป ไม่รอดหรอก ถ้าประชาชน ไม่ได้เรียนรู้ สิ่งที่จำเป็นของชีวิตคืออะไร ชีวิตไม่ใช่ไปหลง แต่โลกียธรรม อบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตาความหลงตัว ถ้าไม่ได้มาเรียนรู้ แล้วละล้าง สิ่งเหล่านี้ อาตมาเห็นมีทางเดียวที่จะไปได้ก็คือ พยายามทำให้คน มาสู่ โลกุตรธรรมให้ได้ ก็เข้าใจสิ่งที่พวกคุณจะทำ ก็ทำเถอะ แต่อาตมาทำเร็วด้วยไม่ได้ และอาตมาจะไม่ได้ทำ ทะลุทะลวง อย่างที่ พวกคุณทำอยู่ ระบบพึ่งตนเองอย่างที่พระพุทธเจ้าพาทำนั้น ไม่ว่า จะมี FTA มาอย่างไร ก็จะไม่มีผลกระทบ อะไรเลย ทุนนิยม ทำร้ายอะไรบุญนิยมไม่ได้ ทำเหลือ เราก็ขาย ทำให้มีกินมีใช้ของตนเองให้ได้ สิ่งใดที่ไม่จำเป็น เป็นสิ่งฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเราก็ตัดๆ แนวคิด ที่จะกอบโกยมาให้ได้มากๆ ห้ำหั่นกันอย่างทุนนิยมนั้น มันมีมาตลอด ถ้ารัฐบาลทำ อย่างที่ อาตมาพาทำ ตามพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง คือพึ่งตนเองให้ได้ก่อน ทำให้พอกินพอใช้ ที่เหลือจึงขาย แม้รัฐบาลทุกวันนี้ จะไม่ได้ทำ อย่างนี้ ก็จะต้องตีเป้าเข้ามา ให้เป็นอย่างนี้ แล้วมันจะแก้ ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ฯลฯ ได้หมด แล้วมันจึงจะแก้ไขโรค ของโลกีย์ได้ อย่างสังคมของชาวอโศก ก็ทำอย่างนี้ พึ่งตนเองได้ แล้วเราก็ช่วยสังคมได้ แต่ทุนนิยมเขาจะรบ จะฆ่ากันอยู่ตลอด เขาจะรบก็รบกันไป แต่เราจะเป็นมิตร ทั้งฝ่ายแดง และฝ่ายน้ำเงิน เราจะเป็นหน่วยผลิต ปลูกสร้าง และจะเป็นหน่วยกาชาด ใครเจ็บมา เราช่วยดูแล รักษา ใครไม่มีกินเราให้ นี่เป็นปรัชญาของบุญนิยม ถ้าพวกคุณจะให้อาตมาไปร่วมรบด้วย อาตมาทำงานทุกวันนี้ไม่ได้รบกับใคร ประสบผล สำเร็จ ตรงที่ว่า ไม่มีใครคิดว่า เราเป็นศัตรูเขา แม้แต่เถรสมาคมก็ไม่ได้คิดว่าเราเป็นศัตรู อาตมาจึงต้อง ระมัดระวังอย่างมาก ถ้าจะทักท้วงอะไร กับท่านนายกฯอีก จะต้องไม่ให้ ท่านรู้สึกว่า อาตมาเป็นศัตรู ไม่ใช่เรื่องอะไรมา ก็ทักท้วงไปเรื่อย ประเดี๋ยวท่านนายกฯ ก็จะว่าอาตมา เป็นขาประจำ แล้วทีนี้จะพูดอะไรอีก ท่านนายกฯก็จะไม่ฟังแล้ว หลายคน ตั้งความหวังว่า อโศกนี่ใหญ่ มีฤทธิ์ อาตมาขอบอกเลยนะว่าไม่ใช่ อโศกนี่นิดเดียว เล็กจริงๆ ไม่ได้ใหญ่ อย่างที่ใครเข้าใจเลยจริงๆ คนจะเป็นอโศกนี่ จะต้องอยู่ในลักษณะ โลกุตระนะ อย่างน้อยก็ อบายมุขไม่มี แล้วก็ต้องมีศีลห้า เป็นอย่างน้อย จริงๆ ต้องมีธรรม ของพระพุทธเจ้า อย่างเป็นสัจจะ อาตมาถึงบอกว่า อาตมาไม่ได้ทำการต่อต้าน อาตมาเพียงบอกให้พวกเรารู้ตัว อย่าไปทำ อย่างนั้น ให้มาทำอย่างนี้ ถ้าเชื่อเรื่องกรรม เรื่องวิบากแล้ว ใครทำกรรมใด ก็จะได้กรรมนั้น เป็นของตน ใครเห็นแก่ตัว ก็จะได้ความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นบาปไป ใครทำดีก็จะได้ผลดี เราก็บอกเขาด้วยเมตตา ให้เขารู้ตัวว่า อย่างนั้นอย่าไปทำเลย อย่างที่ อาตมาบอกมานี้ แม้มันจะช้า อาจจะไม่ทันใจเขา แต่ถ้าเขารู้ด้วยความเต็มใจ เข้าใจยอมรับนับถือ เราจะต้อง ชนะ ด้วยวิธีนี้ ถ้าจะชนะด้วยวิธีกลเม็ด เรี่ยวแรง กำลังอย่างนั้น มันไม่สำเร็จ จริงหรอก เพราะมันก็แก้กันไป แก้กันมา ก็เหมือนกับ กีฬานี่แหละ ถ้าเราจะบอกรัฐบาลเราก็ดูเป็นประเด็นๆไป เรื่องไหนที่มีเหตุผลมีข้อมูลอะไรก็บอกไป ขอให้พิจารณาเรื่องนี้ ให้ดีๆ หน่อยได้ไหม อย่าไปตีทิ้งหมด เพราะบางอย่าง มันก็มีผลดี จริงๆ ไม่เช่นนั้น รัฐเขาก็จะไม่ฟังอะไรเราเลย"
สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์นั้นคิดเพียงแค่เอาระบบราชการ ออกจากมหาวิทยาลัย แต่รัฐบาลนี้ กำลังเอา มหาวิทยาลัย ออกจากราชการ จึงอยากจะมาขออาศัยบารมี ของท่าน ช่วยให้ข้อมูล กับท่านนายกฯ ด้วยว่า อย่าให้การศึกษา กลายเป็นการค้าไปเลย อย่างน้อยให้รัฐจัดทำ ประชาพิจารณ์ ก่อนตัดสินใจทำอะไร พ่อท่าน : ในโลกจะมีอยู่สองขั้วอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ขั้วหนึ่งก็จะแสวงหาอำนาจ เรื่อยไป เป็นโลกของ ทุนนิยม และ เขาจะรบกันเอง พุทธนั้นจะไม่รบกับใคร และเราจะไม่เป็น ทั้งสิงห์ หรือเสือ เราจะเป็นเพียง หมาน้อย อหิงสา อโหสิ เขาจะฟังเราหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร แต่เราจะเป็น ผู้สร้างเมตตา เขาจะเหยียบเราบ้าง เราก็หลบไป อย่าให้เขาเหยียบ อย่าให้เขาฆ่า แล้วเรา ก็จะเป็นผู้ที่ช่วย ทั้งสิงห์และเสือ โลกทุนนิยม เขาจะแย่งกัน และฆ่ากัน แต่บุญนิยม จะออกมา เป็นเหมือนหนูช่วยราชสีห์ เขาจะรบกัน ก็จึงไม่มีเวลา มาสร้างของกิน เจ็บป่วย ก็ไม่มีเวลา ดูแลรักษา เราก็จะเป็นผู้ที่สร้างสรรช่วย ทั้งสิงห์ และเสือ เราก็จะช่วย อย่างที่อาตมาทำอยู่นี่ เขาบอกว่ามันยาก แล้วมันก็ไม่โต เราก็ดูตัวเรา ว่าเราก็มีอัตราการก้าวหน้าอยู่นะ แม้มันจะช้า แต่เราก็สร้างหมู่มวลขึ้นมา เป็นคนพันธุ์ใหม่ ส่วนพวกเขานั้น พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เขาจะฆ่ากัน เราห้ามอย่างไร ก็ไม่สำเร็จหรอก มันคือ โลกียะสามัญ ที่ดำเนินไปเป็นธรรมชาติ ถึงยุคถึงจุดแรง มันก็ร้ายแรงไป หมดฤทธิ์แรง มันก็กลับมาเบา ส่วนที่เราทำนี้ ทำตามพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องโลกุตระ ซึ่งไม่มีส่วนที่จะหมุนไปหมุนมา อย่างโลกียะเป็น แต่ช้าบ้างนั้น แน่นอน จะเร็วได้ก็ต่อเมื่อถึงขีดขั้น ที่มีการแพร่หลาย และคนรู้จักรู้จริง มากขึ้น มีคนร่วมมือ ก็ช่วยกัน จึงจะเร็ว ดังนั้นอย่างไรเสียก็อย่าดึงอาตมาเข้าไปให้เขารู้สึกว่าอาตมาเป็นศัตรูของเขาเลย อาตมา บอกให้ฟัง อันนี้ ถ้ามีอะไร ให้อาตมาช่วยได้ อาตมาจะช่วย นี่คือสิ่งที่อาตมามุ่งมั่นและทำมา
คุณวิโรจน์ได้กล่าวนำการสนทนาว่า "พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี ๒๕๔๒ เห็นว่าเป็น ความหวัง ของประเทศไทย เช่นมาตรา ๖ การจัดการศึกษาต้องมุ่งพัฒนาคนไทย ให้เป็นคนที่สมบูรณ์ มาตรา ๗ บอกว่าในกระบวนการเรียนรู้นั้น ต้องมุ่งหวังปลูกฝัง จิตสำนึก ที่ถูกต้อง เกี่ยวกับ ประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คำว่า จิตสำนึกที่ถูกต้อง นั่นหมายความว่า เอาพระพุทธศาสนามาทั้งหมด พอมาตรา ๒๘ เกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษา โดยย่อ หลักสูตร การศึกษาต้องมุ่งสร้างคนให้เกิด ความสมดุล และรับผิดชอบต่อสังคม ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น สถาบันศาสนา และสถาบันอื่นๆ ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน อันนี้หมายความว่า สร้างบ้านแปลงเมืองว่างั้นเถอะ ผมนึกถึงคนที่เขียนร่างอันนี้มาเก่งมากครับ แต่ ๕ ปี มาแล้วครับ ไม่มีใครพูดถึงเลย ทำอย่างไรถึงจะให้มันขับเคลื่อน พอดีอาจารย์ภาณุนำเอาจดหมายที่พ่อท่านเขียนถึงนายกฯมาให้ดู ก็เลยว่าพ่อท่านนี่ มีฤทธิ์นี่" พ่อท่าน "ไม่ใช่... อาตมาเป็นฟางเส้นเล็กๆ ที่หล่นลงไปพอดี สิ่งที่จะเต็มอยู่แล้ว ก็เลยเต็ม เท่านั้น คนอื่นๆใดๆเขาทำกันมาหลายเหตุหลายปัจจัย เขาเสนอมามากแล้ว เขาวิพากษ์ วิจารณ์ กันมาก่อนแล้ว ไม่ใช่อาตมามีฤทธิ์" คุณวิโรจน์ "คือถ้าสามารถทำให้การศึกษาขับเคลื่อนได้นี่นะครับ" พ่อท่านเย้าๆ "อย่าไปใจร้อน เขากำลังทำโรงเรียนวิถีพุทธไง คำตอบทุกอย่าง มันอยู่ที่คน เพราะคน ที่เป็นตัวหลัก เป็นหัวหน้านี่มีทั้งอำนาจและหน้าที่ แต่ความเข้าใจมันเป็น มิจฉาทิฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฐิ ทิฐิเป็นประธานของมรรค ถ้าทิฐิผิดเสียแล้ว ไม่ว่าจะวายามะ หรือพยายาม อย่างไร หรือมีสติแค่ใดก็เป็นทิฐิปุถุชน เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไร ให้เรา ได้ให้ความรู้ ไม่ให้เกิด ต้านกั้น แต่กิเลสก็คือกิเลส มันไม่เคยรามือ มันอยู่ในคนผู้ใด มันก็ออกฤทธิ์ออกแรง ในคนผู้นั้นๆ อาตมาจึงเห็นมานานแล้วว่ามันทำไม่ได้ เสียเวลา ที่จะไปต่อสู้ เสนอหรือยัดเยียด อย่างไรก็ตาม ถ้าคนยังไม่สามารถมีทิฐิเห็นได้จริง หรือกิเลสยังไม่ลดราวาศอก ก็ยากที่จะดัน ต้องค่อยๆ สร้างด้วยความอุตสาหะ และไม่ใจร้อนเป็นอันขาด วิธีการของอาตมาจึงขอแยก ออกมาทำ นานาสังวาส ยิ่งทุกวันนี้อาตมายิ่งเห็นชัดเจนว่าอาตมาตัดสินใจถูก เขาก็ทำของเขาไป เราก็ทำของเรา เราไม่มีสิทธิ์ ไม่มีอำนาจจริงๆเลย อาตมาถึงเห็นผล ตั้งแต่ประกาศ นานาสังวาสแล้ว มาถึงวันนี้เราก็เห็นผลจริงๆ อันไหนที่ยอมได้เราก็ยอม อันไหนที่ยอมไม่ได้ ก็ไม่ยอม จนกระทั่งถูกจับดำเนินคดีไง เราก็ทำต่อไป คดีก็แพ้ แต่เราก็อุตสาหะทำไป ทุกวันนี้เรามีโรงเรียน มีการศึกษาทุกระดับ มีหมู่บ้านชุมชน มีอุดมศึกษา ออกนอกระบบ อาตมาไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ เดินหน้าไป จะได้เท่าไรก็เท่านั้น" คุณวิโรจน์ "คือที่พูดเรื่องนี้ ผมได้เล่าให้อาจารย์จำนงฟังว่าโรงเรียนของพ่อท่านนี่ ปฏิบัติได้ ครบทั้ง ๔ มาตราดังที่ได้บอกมานั้นครบเลย" พ่อท่าน "อาตมาทำมาก่อนที่กฎหมายฉบับนั้นจะออก เขาออกปี' ๔๒ อาตมาทำมา ตั้งแต่ปี' ๓๕" นอกจากนี้คุณจำนงได้บอกเล่าเรื่องธนาคารหมู่บ้านตามที่ต่างๆที่ได้ไปทำมา แล้ว คุณวิโรจน์ ได้สรุปว่า ถ้าสามารถทำหมู่บ้านให้เข้มแข็ง มีธนาคารหมู่บ้านได้ ก็จะสอดคล้องกับ มาตรา ๒๙ เสียงเตือนจาก ' สมณะโพธิรักษ์' ๒๙ มิ.ย. ๒๕๔๗ น.ส.พ.คมชัดลึกได้นำบทสัมภาษณ์ลงพิมพ์หน้า ๔ โดยขึ้นหัวตัวใหญ่ ที่คัดมาจากคำกล่าวของพ่อท่านว่า' รัฐบาลไม่เน้นการพัฒนาคน' ! ! และข้อความ จั่วหัวเรื่อง ที่รองลงมาคือ เสียงเตือนจาก ' สมณะโพธิรักษ์' จากบางส่วนดังนี้ ถาม : มีข่าวว่าสันติอโศกเข้าไปช่วยเหลือ พล.ต.จำลอง ในเรื่องหาตัวผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.? พ่อท่าน : ขอยืนยันว่าไม่รู้เรื่องนี้เลย มีพรรคเพื่อฟ้าดินแล้วยังไม่ส่งคนออกไปสมัครเลย แล้วจะไปช่วยคนอื่นคัดเลือกทำไม อาตมาและสมาชิกทำพรรคนี้แบบเจียมตัว ส่วน ความเคลื่อนไหวของ พล.ต.จำลอง นั้น อาตมาไม่เคยคุยเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องการเมืองเลย... ถาม : ทำไมสันติอโศกถึงต้องตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง? พ่อท่าน : พรรคเพื่อฟ้าดินเพิ่งตั้งได้ ๒-๓ ปีแล้ว ตอนนี้มีสมาชิกทั่วประเทศ ๒ หมื่นกว่าคน เราเน้นนโยบายบุญนิยม คือมีแนวคิดทำงานเพื่อประชาชน และไม่แสวงหาอำนาจ และ ผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น พรรคนี้ไม่มี ส.ส. ไม่มีการหาเสียง แต่ถ้าพรรคจะมี ส.ส.ได้นั้น ประชาชน จะต้องมาขอให้พรรคส่งตัวแทนไปเป็น ส.ส.โดยไม่ต้องหาเสียง..... พรรคนี้จะไม่มี ส.ส.ได้ง่ายๆ ทำงานให้ประชาชนโดยไม่มีรายได้ ไม่ต้องมีตำแหน่ง ไม่แสวง อำนาจ อาศัยประชาชนเลี้ยงไว้หรือรัฐบาลต้องให้สวัสดิการ เพราะคนทั้งประเทศ ยกมา ให้เป็นผู้นำ พรรคจะค่อยๆขยายเครือข่ายต่างๆ จากจุลภาคไปเป็นมหภาค..... ....แนวคิดนี้เป็นอุดมคติและแตกต่างกับพรรคอื่นๆ แบบคนละขั้วใช้ระบอบประชาธิปไตย ที่รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ไม่ใช่รูปแบบเผด็จการ ไม่มีการปิดกั้น ไม่มีระบบวิป ต้องติเตียนกันได้ เพราะหากไม่ติติงคือน้ำเน่า เหมือนกับฝูงควายที่เดินตามหัวหน้า เพียงอย่างเดียว มันไม่ใช่ประชาธิปไตย ถาม : คิดว่านโยบายแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาลจะสำเร็จได้ในอีกห้าปี ข้างหน้า ตามที่นายกฯ พูดไว้หรือไม่? พ่อท่าน : อาตมาเห็นไม่สอดคล้อง เพราะนายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นการพัฒนาเงิน เศรษฐกิจ สะพัด แต่ไม่ได้พัฒนาคน ให้ลดละความฟุ่มเฟือย กิเลสและการมอมเมาจากต่างประเทศ ที่หลั่งไหล เข้ามาให้คนบริโภค อย่างตอนนี้คนไทยหลงใหลกีฬากันทั้งประเทศ จากนั้น ก็ให้ตำรวจ ไปไล่จับ คนพนันฟุตบอล แต่วิธีที่ดีคือผู้ใหญ่ในรัฐบาล ไม่ควรก่อเหตุ ให้คนทั่วไป ตกเป็นทาส วันนี้ อบายมุขในเมืองไทยครึกครื้นมาก... ....ส่วนวิธีการของอาตมาจะเป็นแนวทางพาคนไปจน จะสร้างคนจนผู้ยิ่งใหญ่ คือเสียสละ และไม่สะสม เป็นคนจนซึ่งอยู่ในระดับที่มีหลักประกัน มีวัฒนธรรม พึ่งตัวเองได้ ดำเนิน วิถีชีวิต ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและในหลวง ใช้ทรัพย์สินส่วนกลางร่วมกัน คือ สาธารณโภคี อยู่ในชุมชน ที่มีวัฒนธรรมของตัวเอง และมีหลักประกันในชุมชน..... ถาม : มองวิธีการที่นายกฯ พยายามทุกวิถีทางที่จะสร้างโอกาสให้คนจนอย่างไร? พ่อท่าน : นายกฯพัฒนาเรื่องการหาเงินจากต่างประเทศเข้ามามาก แต่ต่อให้จีดีพีโต เศรษฐกิจโต ถึง ๗-๘ เปอร์เซ็นต์ คนเหล่านี้ก็ไม่ได้พัฒนาตัวเอง เพราะกิเลสคือศัตรู ตัวร้ายที่สุด ของคนร่ำรวยและคนจน เศรษฐี,ขอทานมีความอยากได้เหมือนกัน แต่เศรษฐี มีโอกาส ขณะที่ขอทาน ไม่มีโอกาส ทุกคนไม่ยอมหยุดความอยากรวย เมื่อคนรวย ไม่ยอมหยุด หาผลประโยชน์ที่จะได้รับ แล้วจะให้คนจนวิ่งตามคนรวย แต่ถามว่าทำไม คนรวย ไม่ระบาย โอกาสลงมา เพราะถึงแม้รัฐบาลจะตั้งใจหารายได้ จากนอกประเทศ เข้ามา แต่อัตรา ช่องว่างทางรายได้ก็ยังมีมาก ถาม : นโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุนจะช่วยคนจนให้ลืมตาอ้าปากได้จริงหรือไม่? พ่อท่าน : การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คือหาอาชีพให้คนมีรายได้มากขึ้น ให้เกษตรกร มีพื้นที่ ปลูกพืช สร้างรายได้ เมื่อพืชผลออกมาก็นำไปขายให้นายทุน คือคนข้างบน ที่กำหนด แนวทาง เมื่อผลผลิตมากขึ้น การกดราคาก็เกิดขึ้น คนรวยจะยอมซื้อของ ในราคา ที่แพงหรือ ในเมื่อคนผลิตต่างแย่งกันขาย.... ....ที่ผ่านมาเรามักจะตีราคาของตัวเองให้สูงเกินจริง ข้าราชการและนักการเมือง ที่ตีราคา ตัวเองสูงๆ อยากถามว่าทำงานเต็มสมรรถภาพหรือไม่ เพราะสมบัติของคนที่แท้จริง คือ ความสามารถ ประเทศนี้แม้จะยากจนแต่มีความเอื้อเฟื้อ ขยันทำงาน แจกจ่ายกันในชุมชน สิ่งนี้คือ มหาทรัพย์ของโลก ถาม : แต่รัฐบาลก็ได้ตั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขึ้นมาดูแลแล้ว? พ่อท่าน : อาตมาไม่ได้ตำหนิใคร แต่พูดในฐานะคนไทยที่มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และ ทำงานกับสังคมจริงๆ รัฐบาลมีกระทรวงต่างๆขึ้นมาแต่ไม่เน้นการพัฒนาคนเลย อาตมา อยากย้ำว่า ทำอย่างไรผู้ใหญ่ในรัฐบาลจะฉุกคิดเรื่องการลงทุนบริหารคน.... ....หมายความว่าลงทุนปรับเปลี่ยนความคิดของคนให้เลิกหลงใหลในสังคมที่เละเทะ สุรุ่ยสุร่าย สิ่งเหล่านี้ หากผู้พัฒนาสังคมไม่แก้ไข มันก็แก้อะไรไม่ได้ ควรเริ่มต้นที่ การพัฒนา ศีลธรรม ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ต้องเป็นแบบอย่างที่สามารถลดละกิเลส ได้หมด โดยนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ไปโปรโมทดารา ถาม : ดูเหมือนวิถีชีวิตของนายกฯ ค่อนข้างตรงกันข้ามกับคำสอน? พ่อท่าน : อาตมาไม่กล้าวิจารณ์ เพราะต้องมีสัมมาคารวะ หลายอย่างที่อาตมารู้เห็น แต่พูดไม่ได้ เพราะมันไม่สมควร เพียงแต่ต้องรับรู้และให้สัญญาณไปบ้าง หากท่านรู้สึก และเข้าใจ เพื่อแก้ไขปรับปรุงก็เป็นบุญไป.... ....ตั้งแต่อาตมาส่งจดหมายส่วนตัวถึงนายกฯ เรื่องลิเวอร์พูลไปแล้ว ก็มีกลุ่มต่างๆ ติดต่อ มาว่า ช่วยเตือนหรือให้สัญญาณกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง แต่เรื่องที่อาตมา ดำเนินการ ไปนั้น มันสุกงอมแล้ว อาตมาเข้าไปเติมเพียงแค่เศษธุลีเท่านั้น อย่าเข้าใจว่า อาตมาเป็นตัว ผลักดันที่เปลี่ยนแปลงได้
ทุกวันนี้พวกเราได้เกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ การทำทุกอย่างกำลังแสดงผล สังคมกำลัง ค่อยๆ เข้าใจพวกเรามากขึ้น ตามข้อมูลจริงที่แสดงออกมา อยากให้พวกเราจัดระบบ หรือ จัดรวบรวมงานตามฐานต่างๆ และพฤติการณ์ต่างๆ ให้เป็นลักษณะทางวิชาการ ข้อมูล ทุกอย่าง เรามีอยู่แล้ว ที่ปฐมอโศกยังไม่มีการจัดรวบรวมมาก ถ้าผู้ใดอยากทำงานนี้ ก็สอบถามไปที่สันติอโศกได้ เพราะทางสันติอโศกกำลังดำเนินการอยู่ นี่เป็นการเกิด การพัฒนา สังคมของชาวอโศก เราไม่ได้ทำเล่น ระบบที่เราทำบุญนิยม จนกระทั่ง มีสาธารณโภคี ในไม่ช้า ในสังคมโลก ก็จะต้องหันกลับมาใช้ระบบแบบนี้ เพราะปัจจุบัน ในสังคม ไม่มีทางออกทางอื่นแล้ว ถ้าไม่แก้ไขที่จิตวิญญาณให้มารู้จักสัจจะก็จะไปไม่รอด ในสังคมปัจจุบัน เขาเห็น ความสำคัญ ของเราเพิ่มมากขึ้น เราจะได้ความนิยมเพิ่มมากขึ้น เราสามารถ ช่วยเหลือ เขาได้ แต่อย่าไปรับงาน เขามากเกินไป ให้ถ่อมตนเอาไว้ เพราะงานเรา มีมากอยู่แล้ว ตอนนี้งานของเรา ทำมานาน งานก็จะเป็นงานขยาย คืองานของเรา แตกกิ่งสาขาออกไป แต่อย่าขยายงาน เอางานใหม่ๆมาเพิ่ม ให้ฟังดีๆ แล้วช่วยกันคิด พิจารณาดีๆ คำว่า "งานขยาย" อยู่ในดุลพินิจ ที่ต้องพิจารณาทำพอสมควร แต่ไม่ "ขยายงาน" - รักข์ราม - - สารอโศก อันดับที่ ๒๗๔ สิงหาคม ๒๕๔๗ - |