กว่าจะถึงอรหันต์
พระลกุณฏกภัททิยเถระ



โดนลูบหัว ดึงหู เขย่าเล่น
ถูกหมิ่นเช่น น้องเณร อายุน้อย
ดูแต่นอก เตี้ยค่อม หยามปมด้อย
ในเต็มร้อย รู้ไว้ อรหันต์

อดีตชาติกาลก่อนของพระลกุณฏกภัททิยเถระ เคยได้สั่งสมบุญกุศลเอาไว้ ในสมัยของ พระพุทธเจ้า องค์ปทุมุตระ เวลานั้นได้เกิดเป็นลูกเศรษฐีมีทรัพย์มาก อยู่ในนครหงสวดี

วันหนึ่ง ได้เดินเที่ยวพักผ่อนไปจนถึงอารามสงฆ์ ขณะนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ เขาได้ฟังธรรม ที่ทรงกล่าวสรรเสริญถึงภิกษุผู้มีเสียงไพเราะเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งปวง ทำให้บังเกิด ความชอบใจยิ่งนัก จึงได้ทำสักการะแด่พระพุทธองค์ ถวายบังคมพระบาท ทั้งสองของพระศาสดา แล้วตั้งจิต(อธิษฐาน) ปรารถนาได้เป็น เช่นนั้นบ้าง พระพุทธองค์ ทรงทราบวาระจิตของเขา ได้ตรัสบอกเขาว่า จะได้สมดังปรารถนา ในภายภาคหน้า

กระทั่งในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ผุสสะ ชาตินี้พระเถระเกิดเป็นนกดุเหว่าขาว ทำรัง อยู่ที่ต้นมะม่วง ใกล้พระคันธกฎี ของพระศาสดา

มีอยู่คราวหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จพระราชดำเนินไปบิณฑบาต นกดุเหว่าขาวเห็นอาการ อันน่าเลื่อมใส นั้นแล้ว เกิดจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยเสียง อันไพเราะ จับใจ แล้วบินไปยังสวนหลวง เลือกหา มะม่วงสุกผลโต ที่มีเปลือกสีเหมือนทองคำ เด็ดด้วย จะงอยปากแล้วคาบเอามา น้อมเข้าไป หมายใส่บาตร พระศาสดา พระองค์ ทรงทราบ จิตของนกดุเหว่าขาว จึงทรงรับบาตรให้ นกดุเหว่าขาวได้ใส่บาตร พระศาสดา แล้ว ก็มีจิตร่าเริงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยกปีกประณม ร้องเสียงไพเราะ น่าฟัง เป็นการบูชาแด่ พระศาสดา แล้วบินกลับรังด้วยจิตเบิกบานในผลบุญ แต่ในชาตินี้ ผลบาป ก็มีมาตามทัน จึงถูกนกเหยี่ยว ตัวหนึ่ง โฉบเอา นกดุเหว่าขาวไปฆ่ากินเสีย

เมื่อมาถึงยุคสมัยของพระพุทธเจ้าองค์กัสสป ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงกระทำ พุทธศาสนา ให้เจริญโชติช่วง ทรงปลดปล่อยมหาชน ให้หลุดพ้นจากการครอบงำของ เดียรถีย์ (นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา) ผู้หลอกลวง

ครั้นพระพุทธองค์ทรงปรินิพพานแล้ว มหาชนที่เลื่อมใสทั้งปวงพากันปรารถนาจะทำสถูป (เจดีย์) บูชาพระศาสดา ให้สูงใหญ่ ๗ โยชน์(๑๑๒ ก.ม.) ประดับด้วยแก้วมณี อันวิจิตร ๗ ประการ

ในชาตินี้พระเถระได้เกิดเป็นจอมทัพของพระเจ้ากิกีแห่งแคว้นกาสี เพราะจิตเกิด ความตระหนี่ จึงเห็นว่า จะสูญเสียเวลา และทรัพย์สินมากมายเกินไป เจดีย์สูงใหญ่ เกินไป จึงสั่งให้ลดขนาดลงต่ำสุด เหลือเจดีย์ สูงใหญ่ เพียง ๑ โยชน์ (๑๖ ก.ม.) เท่านั้น การกระทำนี้ จึงเป็นผลกรรมของพระเถระ ในกาลข้างหน้า

มาถึงสมัยของพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม พระเถระนี้ได้ชื่อว่า ภัททิยะ เกิดในตระกูล เศรษฐีผู้มั่งคั่ง สมบูรณ์ ของกรุงสาวัตถี แต่ด้วยผลแห่งกรรมที่ได้กระทำไว้ ทำให้มีรูปร่าง เตี้ยค่อม ผิวพรรณทราม ไม่น่าดู ใครๆ จึงพากัน เรียกว่า ลกุณฏก (คนเตี้ย) ภัททิยะ

มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อได้ฟังธรรมของพระศาสดาแล้ว ก็บังเกิดศรัทธาแรงกล้า จึงได้ขอบวช ในพระพุทธศาสนา แต่ต้องฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญด้วยความอดทนยิ่งยวด เพราะมีกาย เล็กเตี้ยค่อม ดูราวกับเด็กเล็ก จึงถูกเข้าใจผิดว่า เป็นสามเณรบ้าง ถูกดูหมิ่นดูแคลน จากเพื่อนพระ ด้วยกันบ้าง

วันหนึ่ง มีรถแล่นไปหมายเที่ยวงานมหรสพในเมือง ขณะแล่นผ่านภิกษุลกุณฏกภัททิยะ นั้น หญิงคณิกา บนรถ บังเอิญมองเห็นท่าน บังเกิดความขบขัน ในรูปร่างพิกลของภิกษุ อดไม่ได้ ที่จะหัวเราะ จนเห็นฟัน เต็มปาก ภิกษุลกุณฏกภัททิยะ ก็แลเห็นนางเต็มตา แต่แทนที่จะโกรธเคือง กลับอาศัย การเห็นฟัน ของนาง เอามาเป็นนิมิต (ต้นเหตุ) พิจารณา ปลงวาง ในกิเลสทั้งหลาย ทำให้เกิดฌาน (อาการจิตแน่วแน่ สงบจากกิเลส) วิปัสสนา (อบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง) จนได้บรรลุเป็นพระอนาคามี

ต่อมาอีกไม่นาน ท่านได้ฟังโอวาทจากพระสารีบุตรเถระ แล้วสามารถรู้แจ้งด้วยปัญญา ของตน บรรลุเป็น พระอรหันต์ องค์หนึ่งในโลกได้

แม้พระลกุณฏกภัททิยเถระจะสำเร็จอรหัตตผลแล้ว แต่เหล่าภิกษุและสามเณร จำนวนมาก ก็ไม่สามารถ รู้ได้ จึงยังมีการแกล้ง ดึงหูท่านเล่นบ้าง ลูบจับศีรษะเล่นบ้าง จับยกตัวเขย่าเล่น ราวกับเป็น เด็กทารกน้อยบ้าง ท่านมักถูก เบียดเบียนอยู่เสมอ

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระศาสดาทรงเห็นพระลกุณฏกภัททิยเถระเดินอยู่ข้างหลัง ของภิกษุ ทั้งหลาย มาแต่ไกล จึงตรัสถาม หมู่ภิกษุว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นภิกษุผู้เตี้ยค่อม มีผิวพรรณทรามไม่น่าดู ซึ่งพวกภิกษุ พากันดูหมิ่น ล้อเล่น กำลังเดินมา ข้างหลังภิกษุ เป็นอันมากแต่ไกลนั้นหรือไม่"

"แลเห็นอยู่ พระเจ้าข้า"

"ภิกษุรูปนั้นนั่นแหละ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สมาบัติ (สภาวะสงบระงับ กิเลส อันประณีตยิ่ง) ที่ภิกษุนั้น ไม่เคยเข้าแล้ว ไม่มี ภิกษุนั้นทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ (อริยมรรคองค์ ๘) อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตร ผู้ออกบวชเป็นบรรพชิต โดยถูกตรง ต้องการนั้น ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่"

พระศาสดาทรงประกาศให้ภิกษุทั้งหลาย ได้ทราบถึงอรหัตตผลของพระเถระแล้ว ภิกษุ และ สามเณร ที่เคยดูหมิ่น จึงละอายต่อบาป ที่ได้กระทำไป พากันกลับใจ มาเคารพบูชา พระเถระ เพราะท่านเป็นทั้งพหูสูต (ผู้มีความรู้มาก) เป็นพระธรรมกถึก (นักเทศก์) ที่แสดงธรรม ได้ด้วยเสียงอันไพเราะ กระทั่งพระศาสดา ทรงแต่งตั้ง ท่านไว้ในฐานะ ผู้เป็นเลิศ ในการมีเสียงไพเราะ เหนือกว่าภิกษุทั้งหลาย

ด้วยเหตุนี้ พระลกุณฏกภัททิยเถระจึงได้กล่าวเตือนสติ แก่ผู้ที่ดูหมิ่นรูปกายของท่าน และ ผู้ที่หลงใหล ในสุ้มเสียง ของท่านเอาไว้ว่า

"หากผู้ใดยังดูหมิ่นถือรูปกายของเราเป็นประมาณ เพลิดเพลินยินดีในเสียงของเรา เป็นประมาณ ผู้นั้น ยังตกอยู่ ในอำนาจฉันทราคะ(ความยินดีติดใจในอารมณ์กาม) ย่อมไม่รู้จักเรา

คนพาล(คนโง่เขลาในธรรม)มักถูกกิเลสปิดกั้นไว้รอบด้าน ย่อมไม่รู้ทั้งภายใน ไม่เห็น ทั้งภายนอก ย่อมมีใจ ลอยไป ตามรูปและเสียง

แม้บุคคลผู้เห็นแต่ภายนอก ไม่รู้ภายใน ก็ย่อมมีใจลอยไปตามรูปและเสียง

ส่วนผู้ใดมีความเห็นที่ไม่ถูกกิเลสปิดกั้นไว้ ย่อมรู้ชัดทั้งภายใน เห็นแจ้งทั้งภายนอก ย่อมไม่ถูก จูงใจ ให้ลอยไป ตามรูป และเสียงนั้น"


- ณวมพุทธ -
พุธ ๑๓ ต.ค. ๒๕๔๗
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๕๑
พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๓๖๒
พระไตรปิฎกเล่ม ๓๓ ข้อ ๑๓๑
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๒ หน้า ๒๔๓
อรรถกถาแปลเล่ม ๗๒ หน้า ๓๒๑)

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๕ กันยายน ๒๕๔๗ -