จ (๑๐๒) หัวใจแม่ ตื่นเช้าขึ้นมา ....เพื่อนบ้านมาแจ้งข่าวว่าได้รับโทรศัพท์ "ลูกสาวถูกรถชน" ตอนนั้น ความรู้สึกของดิฉัน เหมือนมีอะไรมาฉีกกระชากหัวใจทำให้ มือเท้าอ่อนล้าหมดแรง แต่ก็พยายามคุมสติ มันเหมือนน้ำตาตกใน บอกตัวเองว่าต้องไม่ไหลออกมาให้ใครเห็น เราในฐานะนักปฏิบัติธรรม ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ พลางบอกย้ำว่า เราจะต้องไม่เป็นอะไร เราเป็นอะไรไปไม่ได้ เราต้องไปหาลูกๆ ขณะที่เก็บของปิดร้านค้าเล็กๆของหมู่กลุ่มอยู่นั้น อาหารแม้สักนิดก็ยังไม่ได้ตกท้อง มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่ไหลลงไปแทนอาหาร ก้มหน้าจัดเก็บของให้เรียบร้อย จึงเรียกรถ ไปส่งที่บ้านพักซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก รีบอาบน้ำ และพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋า รวบรวมเงิน ทั้งหมด ได้ประมาณสามพันกว่าบาท ออกจากบ้านไปท่ารถบ.ข.ส. เพื่อจองตั๋วเดินทาง รู้สึกว่า ช้าไม่ทันใจเลย เมื่อได้รถบ่าย ๔ โมงเย็น เพราะจากอำเภอ ตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ไปกรุงเทพฯ นั้น ต้องใช้เวลานั่งรถประมาณ ๑๓ ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ตลอดคืนในรถ ดิฉันหลับไม่ลง น้ำตาของความเป็นแม่ไหลออกมา ไม่ขาดสาย.... ใจคิดถึงลูก ขอแต่ให้ลูกมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าหากว่าชีวิตทดแทนกันได้ แม่ก็พร้อมเสมอ ในห้วงสมองมีแต่ภาพของลูกสาวที่พึ่งเรียนจบและทำงานได้ประมาณเดือนกว่า เท่านั้น โอ้.... ทำไม หนอ....ลูกช่างเคราะห์ร้ายอย่างนี้ เช้ามืด...ที่ขนส่งสายใต้ ลูกชายมายืนคอยรอรับอยู่แล้ว และถามด้วยความเป็นห่วงดิฉัน ว่า "แม่เป็นอะไรบ้าง เมื่อรู้ข่าวพี่หญิงถูกรถชนครับ" "แม่ไม่เป็นอะไรหรอกลูก" เพราะไม่ต้องการให้ลูกชายเป็นห่วงและเห็นน้ำตา ย้ำบอก ตัวเองอีกว่า เราจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องเป็นคนเข้มแข็งให้เขาเห็น เพราะเขา เป็นลูกชายคนเดียว ที่จะต้องเป็นหลักอยู่ในขณะนี้ ครั้นมาถึงโรงพยาบาล ได้เห็นสภาพของลูกที่ถูกมัดมือมัดเท้าไม่ให้ดิ้นอยู่บนเตียง และ กำลังส่งเสียงร้องเรียก แม่จ๋าๆๆๆๆๆๆ ดังลั่นอยู่ตลอดเวลา....โดยที่เจ้าตัว ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นดิฉันควมคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว และเหมือนคนขาดสติ โผเข้าไปกอดลูก... พล่าม บอกลูกว่า....แม่มาแล้วๆ ด้วยน้ำตาไหลพรากๆ ส่วนลูกเขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย... ยังคงดิ้น ส่งเสียงร้องเรียก แม่จ๋าๆๆ แบบไม่รู้สึกตัวอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จงคิดดูเถิดว่า...หัวใจของแม่จะเป็นเช่นไร มันยากที่จะอธิบายได้ ต่อมาดิฉันได้บอกกับ ทุกคนว่า ขออนุญาตให้ตัวเองได้อยู่ใกล้ลูก ไม่ไปพักที่ไหนตามคำชวนของเพื่อนๆ จะขอ เฝ้าลูกอยู่ที่โรงพยาบาล เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไร ลูกจะจำแม่ได้ แต่....คอยวันแล้ว....วันเล่า อาการของลูกยังไม่ดีขึ้นเลย กลับทรุดลง ส่วนตัวดิฉันเอง ไม่ต้องบอกแล้ว ทั้งกลางวันกลางคืนไม่เคยหลับนอนเลย ไม่รู้ว่ามีพลังอะไร เอามา จากไหน คงเป็นด้วยจิตที่ห่วงลูก และเสียงร้องเรียกคำว่า แม่จ๋าๆๆๆๆ อยู่ในโสตประสาท ตลอดเวลา และคืนนี้เอง ก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น ก่อนที่ลูกจะสลบไปอีกครั้ง ดิฉันยังจำภาพนั้นได้ดี เมื่อมีหมออีกคนหนึ่งมาเข้าเวรตรวจคนไข้และคงจะรำคาญ ที่ลูกดิฉันตะโกนร้อง หาแต่แม่ ทำให้เสียงรบกวนคนไข้อื่นๆที่อยู่ข้างๆกระมัง เลยสั่งให้พยาบาลเอายานอนหลับมา และ จัดการฉีดลูกสาวดิฉันทันที แต่พอยาเข้าไปเท่านั้น แทนที่ลูกของดิฉันจะหลับ กลับ โวยวาย และดิ้นทุรนทุรายยิ่งขึ้น หมอจึงซ้ำยาเข้าไปอีกเข็มหนึ่ง.... แต่ลูกก็ไม่หลับอีก และเสียงก็ดังขึ้นอีก.... ตอนนั้นดิฉันร้องไห้โดยไม่อายใครอีกแล้ว รู้สึกตัวเอง เหมือนใจจะขาด..... เมื่อเห็นสภาพ ที่น่าสงสารของลูกอย่างนั้น ดิฉันตะโกนออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว บอกหมอและ พยาบาล ว่า.... จงมาเอาชีวิตฉันไป แลกกับชีวิตลูกเถิด ช่วยลูกฉันด้วยๆ.... ดิฉันร้องไห้แทบขาด ใจตายไปในเวลานั้น ทำให้คนข้างเคียงร้องไห้ตามไปด้วย และพยาบาลชุดนั้น ก็พลอย น้ำตา ไหลไปกับดิฉันด้วย แต่ละคนคงได้เห็นสภาพและความเจ็บปวดของแม่ เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกดิฉันมีอาการซึมลงๆ เหมือนคนใกล้จะตาย พยาบาลคงทนเห็น ความเจ็บปวด ของดิฉันไม่ไหว ก็เลยมาเล่าให้ฟังว่า ลูกป้าไม่ได้กินยาเลย เพราะว่ายา ตัวนี้หมดไป ต้องไปซื้อยาข้างนอกมาให้โรงพยาบาล..... พอดิฉันรู้ความจริง ก็แทบจะช็อค .... นี่หรือโรงพยาบาล คนจนไม่มีสิทธิรอด คนรวยเท่านั้นหรือ ที่มีโอกาส ได้รักษา ...? ตอนนั้น ดิฉันมีเงินติดตัวอยู่พันกว่าบาท เลยพูดว่า "ทำไมไม่บอก ป้าพอมีเงินที่จะซื้อยาอยู่ แม้ไม่พอ ป้าก็พร้อมที่จะเป็นคนรับใช้ทุกอย่างที่นี่ทดแทนค่ายา ขอแต่ช่วยชีวิตลูกป้า ไว้ก่อนเท่านั้น" ดิฉันพูดพร้อมกับส่งเงินทั้งหมดให้พยาบาล แต่พยาบาลผู้นั้น บอกว่า "ไม่ต้องหรอกป้า ป้าเอาไว้ใช้เถอะ เดี๋ยวหนูออกค่าซื้อยาให้เองค่ะ" โอ....ในโคลนตม ก็มีเพชร ส่องประกายเจิดจ้าอยู่จริงๆ..... คนข้างเตียงบอกให้ดิฉันรีบย้ายลูกออกจากโรงพยาบาลนี้เสีย เผื่อว่าจะมีทางช่วยชีวิต ลูกสาวได้ ตอนนั้นสมองดิฉันมึนตื้อไปหมดแล้ว คิดอะไรไม่ออก แต่แล้วเหมือนปาฏิหาริย์ คงเป็นบุญจากการปฏิบัติธรรมมาถึง จึงได้บันดาลให้ผู้ใจดียื่นมือมาช่วย และได้ย้าย ออกมาอยู่ที่ โรงพยาบาลประสาท ครั้นพอมาถึงโรงพยาบาล เหมือนบุญช่วยบารมีเสริม มีพยาบาลใจดีที่นั่น รับว่าเป็นญาติเธอ และมีหมอประมาณ ๓ คน รีบพาเข้าไปตรวจ และเอ็กซ์เรย์ ปรากฏว่าสมองบวมเลือดคั่งอยู่ภายใน หมอที่นี่บอกว่า หากพามาช้า นิดเดียวก็ช่วยไม่ทันแล้ว เพราะฤทธิ์ยาสลบแรงมาก แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยหรอกนะ ไม่น่าใช้ยาสลบกับคนไข้เลย อันตรายมาก หมอบ่นพึมพัม หมอสั่งให้พยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด และบอกให้ดิฉันคอยสังเกตดูอาการลูกด้วย ดิฉัน รับคำหมอ พลางมองไปที่ลูกด้วยหัวใจห่อเหี่ยว จนพยุงตัวแทบจะไม่ไหว มันเหมือนหมด กำลังใจ เหมือนคนไร้จิตวิญญาณ น้ำตาไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว ตอนนี้ได้แต่เฝ้านั่งมอง ด้วยความหวังว่าเมื่อไหร่ลูกจะฟื้นขึ้นมา..... ย่างเข้าวันที่ ๓ ที่โรงพยาบาลประสาท เหตุการณ์เลวร้าย เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ช่วงประมาณ บ่าย ๓ โมงกว่าๆ ดิฉันเห็นใบหน้าลูกมีอาการผิดปกติ รู้สึกซีดเหมือน คนสิ้นใจแล้ว ฟันกัดแน่น จึงรีบวิ่งไปเรียกพยาบาลมาดู วันนี้หมอก็ไม่อยู่ด้วย เพราะเป็น วันเสาร์ เมื่อพยาบาลมาเห็นถึงกับตกใจ วิ่งไปเอาเครื่องปั๊มพ์หัวใจมาช่วยและบอกให้ ดิฉันช่วยอีกแรงหนึ่ง ด้วยการส่งเสียงเรียกพร้อมกับให้เขย่าตัวไปด้วย บังเอิญพอดี วันนั้นลูกชายดิฉันหยุดงานจึงได้มาช่วยอีกแรงหนึ่ง พลันดิฉันคิดถึง คำบอก ของสมณะรูปหนึ่ง ที่เคยมาเยี่ยมให้กำลังใจ และก่อนจากไป ท่านบอกว่า.... หากเกิด เหตุการณ์ไม่ดีให้ดิฉันทุ่มเทพลังจิตเข้าช่วย แต่โอ้....พลังจิตของดิฉันจะมีสักแค่ไหน เพราะมันใช้อยู่ตลอดเวลา .....ในช่วงนั้นดิฉันบอกตัวเองว่า มันไม่ไหวแล้ว แต่....จิตของ ความเป็นแม่ ก็พยายาม ทำตามคำแนะนำของท่าน แม้ตายก็ยอม หากลูกสามารถ ฟื้นคืนมาได้จริงๆ ทุกคนช่วยกันประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงลูกขานรับแผ่วเบา พยาบาลบอกให้ดิฉัน ทุ่มเทพลังให้มากยิ่งขึ้น ด้วยสภาพที่ตรากตรำและอดนอน ติดต่อมาหลายวัน มันอ่อนเพลีย มากแล้วจริงๆ แต่ก็ต้องทุ่มพลังสุดๆ ในที่สุดความพยายามของดิฉันกับ พยาบาล ชุดนั้นทุกคน (ขอขอบคุณในโอกาสนี้ด้วยค่ะ) ก็ประสบความสำเร็จ เมื่อได้ยิน เสียงขานรับของลูกเรื่อยๆ และดีขึ้นๆ พยาบาลคนนั้น ดีใจมาก ยิ้มทั้งน้ำตากับดิฉัน และพูดว่า "ป้าขา ดีใจด้วยนะ ลูกป้า ปลอดภัยแล้วค่ะ" ตอนนั้นดีใจสุดๆเลยที่ได้ยินคำพูดจากปากของพยาบาล มันเหมือน เสียงนางฟ้าที่มาจากสวรรค์ ดิฉันรีบไหว้ขอบคุณเขา เหมือนแทบจะก้มลงกราบแทบเท้า ที่ได้ช่วยชีวิตลูกไว้ได้ในครั้งนี้........ หลังจากวันนั้นอาการของลูกดิฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาเหมือนคนปัญญาอ่อน ต้องพยายาม ฝึกทุกๆอย่างให้เขาหมด เหมือนเด็กน้อยอายุ ๒-๓ ขวบ ทั้งๆที่เขาจบปริญญาตรีแล้ว ต้องเริ่มต้น ใหม่หมด ไม่ว่าเรื่องกินเรื่องอยู่ แม้กระทั่งเรื่องการพูดก็ต้องฝึกใหม่หมด ซึ่งดิฉันเองต้องอดทนสูงและใช้ความพยายามมากทีเดียวเพราะว่า ลูกสาวดิฉันไม่ใช่ ตัวเล็กๆ น้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า ๖๐ ก.ก. แน่ๆ หนึ่งปีแรก นับจากที่ออกจากโรงพยาบาล เขาเหมือนเด็กกำลังซุกซน เวลาแม่หลับ เขาก็จะขึ้นมาบนตัวแม่แล้วขย่มเล่น หัวเราะอย่างสนุกสนาน หรือไม่ก็ฉีกตา แยงจมูก แม่เล่น แต่ด้วยความเป็นแม่ก็ต้อง อดทนทำทุกอย่างเพื่อลูก หากว่าดิฉันไม่มีความอดทน ลูกสาวดิฉันคงไม่มีอาการดีขึ้นเร็วขนาดนี้แน่นอน ดิฉันรักษาลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ตามคำ แนะนำของหมอผู้มีพระคุณที่โรงพยาบาลประสาท กรุงเทพฯ ลูกสาวดิฉันกินยา รักษาสมอง ที่กระทบกระเทือนและเลือดคั่งอยู่ประมาณ ๗-๘ เดือนเท่านั้น หลังจากนั้น ๓-๔ ปี ใช้วิธีการฟื้นฟูตามธรรมชาติที่คุณหมอแนะนำและให้ความรู้ว่า การใช้ยามีผลได้ แต่ก็มีผลเสียข้างเคียงมาก และไม่หายปกติจริงๆ ต้องใช้ยากระตุ้นรักษาอยู่เรื่อยๆ ขอขอบคุณค่ะคุณหมอ เดี๋ยวนี้ลูกสาวดิฉันสามารถทำงานได้ตามปกติ เหมือนคนทั่วไป แล้วค่ะ "จิตของแม่ ที่แท้จริง มันลึกซึ้ง มันกว้างใหญ่ยิ่งกว่า มหาสมุทรจริงๆ แม่พร้อมที่จะเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูก แม้แต่เอาชีวิตของตัวเองเข้าแลกมา" นี่เป็นภาษาที่ใครๆก็สามารถพูดได้...... แต่ใครที่เป็นจริง เข้าถึงจุดนี้จึงจะรู้ซึ้ง ถึงสัจจะ จริงๆ ของความเป็นแม่อันยิ่งใหญ่ ซึ่งมันมากเกินกว่าที่ลูกๆ ทุกคนจะเข้าใจได้...... นอกจาก แม่เท่านั้น....... จากประสบการณ์จริงของแม่ -สารอโศก อันดับที่ ๒๗๕ กันยายน ๒๕๔๗ -- |