เจาะลึก "อรูปอัตตา" (แต่ละตัว) กว่าจะรู้ตัวก็เกือบหมดตัว


คุณเถาว์ สยะรักษ์ อายุ ๖๒ ปี อดีตเจ้าของบริษัทอโศกรังสรร


๑. ในฐานะเป็นเจ้าของบริษัทอโศกรังสรร บริษัทนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ?

บริษัทอโศกรังสรรเกิดจากความคิดของผมเมื่อได้ปฏิบัติธรรมกับพ่อท่าน ได้เกิดแรง บันดาลใจ หรือศรัทธาที่จะมีโอกาสได้ทำงานช่วยพ่อท่านเพื่อประกาศสัจธรรม ที่พ่อท่าน ประกาศให้ชาวโลกได้รู้กัน บริษัทนี้ตั้งขึ้นโดยมีญาติธรรมถือหุ้นหลายคน และมีลูกค้า ที่เป็นเถ้าแก่ซึ่งศรัทธาช่วยโดยเอาเงินมาร่วมจัดตั้งอโศกรังสรรด้วย

๒. อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คิดช่วยเหลือมนุษย์

ผมคิดว่าผมมีทุนเดิม จากการที่ผมโตมาก่อนการปฏิบัติธรรม หรือว่าช่วงที่ทำงาน หลังจาก จบการศึกษาแล้ว ก็คิดที่จะช่วยเหลือคนยากคนจน มาโดยตลอด และก็ได้ทำมา โดยตลอด ได้เคยไปตั้งร้านขายปุ๋ย อยู่ที่จันทบุรี ทำมาระยะหนึ่งเห็นว่าตัวเอง ไม่เหมาะกับ การที่จะเป็นพ่อค้า เพราะว่าถ้าแจกก็เก่ง แต่ถ้าขายก็ไม่เก่ง เก็บเงินไ ม่ค่อยได้ นอกจากนี้ จากการไปไหนมาไหน ในจุดที่ได้ไปพบคนยากคนจน มันก็อยาก จะช่วยเขา แม้กระทั่งว่า ตัวเราเอง ก็ยังไม่มีอะไรแต่ใจก็คิดที่จะช่วยมาตลอด อันนี้ก็คิดว่า ตัวเอง คงจะมีบุญเก่ามา

๓. กิจกรรมอะไรบ้างที่เลียนแบบกิจกรรมของชาวอโศกมาใช้?
ประสบความสำเร็จ หรือไม่?

ในการตั้งบริษัทอโศกรังสรร และมีกิจกรรมต่างๆของชาวอโศกนั้น ส่วนใหญ่เป็นไปด้วยดี อโศกรังสรรมีการทำวัตรเช้า การทำวัตรเช้าถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ผมเองมีความตั้งใจ และมีความศรัทธามาก เพราะมีความคิดว่า การพัฒนางานอะไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องพัฒนาจิตวิญญาณ ฉะนั้นการทำวัตรเช้าของอโศกรังสรร ทำกันมา อย่างยาวนานสิบกว่าปี นอกจากนี้ ยังมีการประชุม ปรึกษาหารืองาน ก็เข้าใน หลักของธรรมะ เอาหลักของธรรมะมาใช้ กิจกรรมบันเทิง ก็จะมีลักษณะที่ว่า เป็นการบันเทิง เพื่อให้เกิดแง่มุมของธรรมะ และเกิดการสร้างขวัญ กำลังใจ การสร้าง แรงบันดาลใจ ให้แก่พนักงานของเรา อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าพูดในแง่เชิงระยะที่เป็นอโศกรังสรร ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าผู้ที่มา จ้างเราปลูกป่า ก็มีความประทับใจ มีความศรัทธากิจกรรมต่างๆที่พวกเราทำกันที่นั่น แต่ที่สำคัญที่สุด ที่ผมได้รับก็คือ ประโยชน์ที่ว่าการทำงานที่นั่น ง่ายสะดวกที่สุด เพราะว่า เหมือนกับเราเป็นเทวดาน้อยๆ ที่มีใครคอยช่วยอยู่ตลอดเวลา อยากจะได้เงินก็ได้เงิน อยากจะได้คน ก็ได้คน อยากจะมีรถมีราได้มาหมด มันก็สะดวกต่อการทำงาน สามารถ ที่จะทำงานใหญ่ได้ และเป็นที่ให้ความเชื่อถือ ในชื่อเสียงเกียรติยศ อะไรมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้ ผมเองก็มีความเข้าใจ ธรรมะในระดับหนึ่ง ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราไม่ควร จะรับมา ก็พยายาม ที่จะสละออกไป วัตถุก็ดีอะไรก็ดีเราก็พยายามสละออกไป

ตอนที่จะตั้งอโศกรังสรรเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของผม เพราะตอนนั้น ยังมีหนี้อยู่ ประมาณ สองแสน แต่เมื่อผมทำการส่งเสริมการปลูกป่าช่วงของปี ๒๕๒๖ ก็เห็นเลยว่า คนที่มาศรัทธา เริ่มที่จะมาติดต่อและก็มีงานต่างๆให้ผมเอง ที่จะมีเงินเข้าเป็นล้าน ที่นี่ผมเอง ก็พยายามคิดว่า เงินหนึ่งล้านบาท จากงานที่จะทำงาน เพื่อที่จะประกาศ สัจธรรม ตามแนวความรู้สึก นึกคิดของตัวเอง อันไหนจะดีกว่ากัน ก็ได้ปรึกษาหารือกับ คุณสีปาน แม่บ้าน เขาก็ไม่ขัดข้อง ก็เห็นดีก็ทำ อโศกรังสรรเป็นเรื่องของการลดละ เป็นส่วนใหญ่ เริ่มตั้งแต่ มีเงินเดือน ไม่มีเงินเดือน จนกระทั่ง สละเงินเดือนทั้งหมด ก็นำพนักงานของเรา ให้ทำอย่างนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างด้วย และอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันก็เป็น จิตวิญญาณ ที่มันเป็นด้วย

กิจกรรมตลาดอาริยะ มูลเหตุคือเรารับจ้างปลูกป่าเมื่อปี'๒๗ มีกำไรประมาณ ๑ ล้านบาท เลยประชุมกันว่า เราน่าจะทำบุญ พอดีพ่อท่านสร้างตลาดอาริยะขึ้นมา แต่ก็ยังไม่เข้าใจ วัตถุประสงค์ ของพ่อท่านว่าจะทำอย่างไร ก็คิดว่าอาจจะมีการขายของถูกจึงทำกิจกรรม ครั้งแรกจำนวนเงินห้าหมื่นบาทและทำกิจกรรมนี้เรื่อยมา จนกระทั่งหมดตัว และเอาแรง มาช่วย จนกระทั่งเลิกตลาดอาริยะที่นครปฐม มีจุดหนึ่งที่ชาวอโศกเข้าใจว่า ผมเป็น คนรวย ดูภาพ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะมีภาพใหญ่ๆ ในความเป็นจริงในครอบครัวผม เป็นคนจนมาตลอด จนมาตั้งแต่เล็กเพราะผมเป็นลูกกำพร้า มามีครอบครัวก็ยังยากจน เพียงแต่ว่า มาได้พบกับพ่อท่าน ได้เข้าใจสัจธรรม ก็เห็นว่าครอบครัวเรา ไม่เดือดร้อน คุณสีปาน ทำงาน ธ.ก.ส. เงินเดือนหลายหมื่นบาทและเราก็มีลูกแค่สองคน จึงไม่ลำบาก อะไร ชีวิตผม จึงไม่ได้หาเงินเข้าบ้าน ก็มีแต่ทำไปเสียหายไป ช่วยเขาไป ภาพต่างๆ จึงเหมือน คนมีสตางค์ แต่ผมเป็นคนจน มาโดยตลอด

๔. การตั้งชุมชนที่วังทองเป็นอย่างไร?

การไปวังทองมีเหตุปัจจัยอยู่สองอย่างใหญ่ๆ ประการที่หนึ่งก็คือคิดที่จะเลิกกิจการ ผมเอง คิดจะเข้าวัดแล้วก็บวช เมื่อคิดที่จะเลิกกิจการเรามีพนักงานอยู่เยอะ คนเหล่านี้ จะไปทางไหนกัน จึงคิดว่าน่าจะไปซื้อที่ให้เขาได้ทำงานเกษตรกัน คือไปตั้งชุมชน มีการ แบ่งที่ให้แก่สมาชิกและมีเรื่องของการที่จะให้สมาชิกพัฒนาในเรื่องของธรรมะ ยังมีการ ทำวัตรเช้าเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังคิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่พ่อท่านมีปัญหาเรื่องคดี ในปี พ.ศ.๒๕๓๒-๒๕๓๓ ผมเองเกิดแรงบันดาลใจอย่างมาก คิดแล้วมันทุกข์ ตอนนั้นมันทุกข์ ว่าจะช่วยพ่อท่านได้อย่างไร ก็เลยคิดว่าหากเราจะช่วยพ่อท่านตอนนี้ เพราะเราเห็นแล้วว่า สังคมตอนนี้รับสัจธรรมอันเป็นเรื่องของนามธรรม ที่ท่านสอนท่านประกาศออกไปไม่ได้เลย ฉะนั้นเราคงจะต้องทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งให้เป็นรูปธรรมให้เขาเห็นได้ รูปธรรมที่ดีสุด ที่ตัวเองคิดก็คือการสร้างชุมชน ให้เกิดการสร้างหมู่บ้านของชุมชนที่เป็นชาวอริยชน ซึ่งจะเป็นรูปธรรม ที่เป็นได้ง่าย และอันนี้แหละจะเป็นการยืนยันว่าคำสอนของพ่อท่าน เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตัวเองก็จะช่วยพ่อท่านได้แค่นี้ ก็เลยไปทำอโศกรังสรร ที่วังทอง

๕. บทเรียนในการไปช่วยมนุษย์มีอะไรบ้าง?

ผมถือว่าที่วังทองเป็นจุดสำคัญที่ให้อะไรหลายๆอย่าง ทั้งให้ประโยชน์ทั้งให้โทษ มีทั้งดี ทั้งชั่ว อยู่ที่วังทอง เยอะแยะเลย อยู่ที่วังทองเราก็ได้ทำชุมชน ได้จัดพื้นที่ให้แก่สมาชิก ทำการเกษตร เพื่อที่จะพึ่งตนเอง และก็กิจกรรมทางศาสนาเหมือนเดิม เหมือนที่ทำ อโศกรังสรรมา ในปัญหาที่วังทองไม่เหมือนกับอโศกรังสรรสมัยปลูกป่า เพราะว่าเรา พาเขาเหล่านั้น ไปในจุด ที่จริงๆแล้ว ฐานทางด้านจิตวิญญาณเขาไม่ถึง ส่วนเราเอง ก็มีแต่ความคิด ที่เป็นเรื่องของ มานะอัตตา ฉะนั้นมันก็เลยเป็นความไม่เจริญ เป็นความ ไม่ก้าวหน้า หลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราทำผิดพลาดในจุดที่วังทอง โดยเฉพาะในจุดที่เราเอง ก็ยังกระเส็นกระสาย ไปทำงาน นอกบ้าน หมายความว่ายังอยากที่จะไปช่วยชาวบ้าน อยู่เสมอ เช่น มีรถส่งลูกชาวบ้าน ไปโรงเรียน กิจกรรมกินข้าวแก่งเพื่อให้ชาวบ้าน มาเห็น วัฒนธรรมชาวอโศก

นอกจากนี้ก็ไปเป็น อบต. เป็นช่วงที่ว่าวังทองล่มสลายในช่วงปี พ.ศ.๒๕๓๗ สมาชิก ถอยกัน ออกหมด เหลือผมคนเดียว ในขณะที่เหลือคนเดียว ความคิดที่ยังไม่เลิก ที่จะทำ ตรงนี้ ก็ยังมีอยู่ เพราะความเชื่อที่ตัวเองคิดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และมันน่าจะทำได้ เราก็มองว่า คนที่เขาไม่อยู่ เพราะว่าเขาบุญไม่พอ แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นเรื่องที่เราเอง ไม่เข้าใจ ไม่รู้ มันหลงสนิทว่าสิ่งที่ตัวเราเองคิดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และจะต้องทำได้ ในปี'๓๗ เกิดกรณีเสียหาย ผิดศีลข้อที่สาม เสียหายร้ายแรง ขนาดนี้มันก็ยังคิดไม่ออก ซึ่งมันเป็นเรื่อง น่าแปลกใจตัวเอง แต่ก็เห็นว่าเรื่องอรูปอัตตา มาบวกกับมานะอัตตา มันมืดสนิท ซึ่งทำให้เราดับไปเลย พ่อท่านเคยบอกว่า มันทำให้คนโง่ไปเลยนะ คนที่มีภพ อย่างนี้ มันก็ใช่ ผมก็ตกอยู่ในภพอย่างนี้

เมื่อเป็น อบต. มันก็ทุ่มสุดชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่ไปทำ มันเป็นเรื่องของอรูปอัตตา ไปสนอง อัตตาตัวเอง ทั้งนั้น เมื่อเราไปทำ อบต. มันก็เหมือนกัน เราก็ทุ่มเทชีวิตจิตใจทั้งหมด ทั้งสิ้น อยากจะพัฒนาชาวบ้าน อยากจะให้ชาวบ้านเขาพัฒนาชีวิตจิตใจ มันเป็นความอยาก หมดเลย ความอยากของเรา มันสวนกระแสความนึกคิดของชาวบ้าน มาตรฐาน จิตวิญญาณ ของชาวบ้าน แต่เพราะความอยาก มันจึงทำให้เราไม่รู้ ก็ทำไปแทบ จะเอาชีวิต เข้าแลกก็ว่าได้ ถึงได้ทำผิดพลาด

ก็คือช่วงเป็น อบต. ไปดันป่ามันมีพื้นที่อยู่ส่วนหนึ่งเราซื้อเขาไว้ร้อยกว่าไร่ ถูกชาวบ้าน รุกเข้ามา ถ้าขืนไม่ทำอะไร ก็จะไม่ได้พื้นที่นี้ จะเสียพื้นที่ไปเปล่าๆ เลยเอารถไปดันป่า เพื่อจะปลูกต้นไม้ คราวนี้มาถึงเหตุการณ์ที่สำคัญก็คือสมัยที่เป็น อบต. เขามีการเลือกตั้ง ผู้แทน ผมเองก็ไปให้ความสำคัญ ส.ส.คนหนึ่ง มีความศรัทธาทุ่มเท ให้ความสำคัญ และช่วยเหลือคนนี้ ภาวะตรงนี้ พอเกิดการแข่งขันขึ้นมา มันก็เกิดการโจมตี เกิดการ แข่งขัน ความที่เราไปผิดศีล ทั้งศีลข้อที่ ๓ พร้อมทั้งที่ทำผิดพลาด ในเรื่องของการดันป่า มันเป็นเรื่องใหญ่ ของความคิด ของจิตที่เราปรุงแต่งขึ้นมาเอง เราได้ผิดได้ทำบาป เกิดความหวาดกลัวมาก เป็นอสุรกาย กลัวคนมาฆ่า กลัวเขามาจับ ความจริง มันไม่ได้ กลัวตรงนี้ แต่กลัวพ่อท่านจะเสียหาย กลัวว่าชาวอโศกจะเสียหาย กลัวว่าพี่จำลอง จะเสียหาย เพราะตอนนั้นเป็นการแข่งขันทางการเมือง ระหว่างพรรคพลังธรรม กับ พรรคประชาธิปัตย์ การปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดจิตวิปลาส จนกระทั่ง หลายๆคนเห็นว่า เพี้ยนไป ในตัวเองยังมีสัจธรรมะฝังเป็นตัวแก่น มันไม่คลอนแคลน และจิตที่ว่า ตอนนี้ จะต้องพยายาม ไปเจอพ่อท่านให้ได้ เพื่อที่จะได้ไปสารภาพบาป เมื่อสารภาพบาปแล้ว จะเป็นอะไรก็เป็นกัน

ในที่สุด ผมก็ไปพบพ่อท่าน แล้วไปสารภาพบาป หลังจากนั้นมา หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ก็หาย เป็นปกติ เมื่อหายเป็นปกติ หลายคนคิดว่าผมคงไม่กลับไปที่วังทอง แม้กระทั่งชาวบ้าน แต่ปรากฏว่า ผมกลับไปวังทองเหมือนเดิม แล้วก็ไปทำเหมือนเดิม แล้วก็มีจิตอย่างเดิม

ฉะนั้นตรงนี้เป็นจุดๆหนึ่งที่สามารถให้เห็นได้ว่า เมื่อเรามีอรูปอัตตา บวก มานะอัตตา จิตมันไม่ยอม โดยเฉพาะในช่วงท้ายมันจะเป็นลักษณะเป็นมานะอัตตา คือเสียหน้า เสียตา เสียชื่อเสียง อะไรต่ออะไร แต่เสียเหลี่ยมไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของอัตตา ที่ผมรู้สึกลึกๆ มันเป็น อย่างนั้น จนกระทั่ง มามีเหตุการณ์ช่วงปี'๔๓ หรือ '๔๔ ผมขับรถเกิดอุบัติเหตุ ชนเสาไฟหัก รอดตายมาหวุดหวิด ภพนี้ก็ยังไม่แตก

๖. พ่อท่านเคยไปเทศน์โปรดคุณเถาว์ตรงๆเรื่องอะไร?

มีอยู่ช่วงหนึ่งพ่อท่านไปโปรดผมที่วังทอง ตอนนั้นจัดงานกินข้าวแก่ง ประมาณ ปี'๓๕ พ่อท่าน ยกคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า ธรรมใดวินัยใดที่เป็นไปเพื่อความมักใหญ่ ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของตถาคต จริงๆพ่อท่านก็ให้ผมตรงๆ ว่ามักใหญ่ ท่านก็เทศน์ไป ผมเองก็นั่งฟังไป ก็ไม่เดือดเนื้อ ร้อนใจอะไร ชาวบ้านก็มานั่งกันเต็มศาลา ผมเองก็บอก ชาวบ้านว่า ผมจะทำ อย่างนี้ๆนะ มีส่วนได้ช่วยชาวบ้าน พ่อท่านก็กวาดของผม ทิ้งหมดเลย ไม่ช่วยหรอก สังคมชาวบ้าน เอาคุณนี่แหละ ผมเองก็เฉยๆ เพราะจริงๆแล้ว ผมไปทำที่วังทอง ผมไม่ได้คิดว่า ผมจะไปมีชื่อเสียง ไม่ได้คิดว่าจะไปแสวงหาความใหญ่ ให้ตัวเอง แต่มันเป็น เรื่องของอุดมการณ์ทางศาสนาอย่างที่ผมบอกไป อุดมการณ์ ที่จะช่วย พ่อท่าน มันเป็นจิตดี และยึดดี จึงตีทิ้งไปหมด มันจะยึดแต่จิตดีของตัวเอง งานนี้เป็นงานอุดมการณ์ และสิ่งที่เราทำ เป็นสิ่งดีจริงๆ เป็นความหลงที่ลึก และเห็น ยากที่สุด ดังนั้น พ่อท่านเทศน์มาอย่างไร มันก็ไม่โดนผม ก็เลยไม่รู้อะไรก็เหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการคิด ไม่มีวิจารณญาณอะไร ยังมีความเข้าใจถือทิฐิ เหมือนเดิม จึงไม่ได้ประโยชน์ ที่ตัวเองจะได้ เป็นความเสียโอกาสอย่างมาก ในช่วงนั้น พ่อท่านก็คงเข้าใจ แต่ผมเอง ยังมืดอยู่ ก็เลยรับอะไรไม่ได้

๗. ทำไมอรูปอัตตาจึงไม่สามารถรู้ได้ง่าย?

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องลึกและซับซ้อน อย่างที่ผมได้เรียนมาแล้ว ถ้าเราจะมาแยกย่อย ให้เห็น เป็นข้อๆ คงจะได้ ดังนี้

๑. สิ่งที่เราไปทำเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ และเป็นการพัฒนาสังคม

๒. สิ่งที่เราไปทำเป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ คือชีวิตมนุษย์มันจะต้องมาเป็นแบบนี้ ผมเห็น อย่างนี้จึงมีแรงที่จะพุ่งออกไปในจุดนี้มาก

๓. ผมเองมีเชื้อจิตโพธิสัตว์ คิดอยากจะช่วยคน การที่อยากจะช่วยคน แต่มีภาวะที่ไม่รู้ มีตัวหลงอยู่ ทำไปเพื่อสนองอัตตาตัวเอง ในความไม่รู้ หมายความว่า เราไม่มีโลกวิทู เราไม่รู้โลก เราไม่รู้สังคม เราไม่รู้จักการประมาณกับประชุมชน เราไปช่วยเขาอย่างที่เรา ไม่รู้นั่นแหละ แต่ว่าในอัตตาของเรา หรือในความเชื่อของเรา มันเป็นอย่างที่เราเข้าใจจริงๆ คือ มันเป็นดีจริง ดีหมด มันเป็นเรื่องของความดีงามหมด มันเป็นเรื่องของสัจธรรม ฉะนั้นเมื่อโลกวิทูไม่มี ไม่ถึง สภาพของความไม่รู้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น การที่จะทำ ให้ถูกต้องโดยสัจจะและให้ได้ประโยชน์สูงสุด มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ผมเองกว่าที่จะตีตัวนี้แตก มันก็ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นตัวสังเคราะห์ให้ตัวเองได้รับผล แต่ว่าในส่วนที่ได้ดีมันก็ได้ดี คือได้บำเพ็ญมาก ได้บำเพ็ญทานบารมี ได้บำเพ็ญขันติบารมี ได้บำเพ็ญด้านอุเบกขาบารมี เพราะในรายละเอียดที่ไปอยู่วังทองมันมีมากมาย ไม่สะดวกสบายเหมือนอโศกรังสรรสมัยปลูกป่า เพราะตรงนั้น ผู้จ้างเราเป็นนายทุน มีอิทธิพล มีการเงินมีบารมีมาก ตำรวจตั้งแต่ผู้กำกับต้องมาดูแลเรา แต่ไปที่นั่น ผมคนเดียว มีปัญหาทำให้เกิดจิตจะต้องเอาชนะคะคาน หลายสิ่งหลายอย่าง ที่จะต้อง ต่อสู้อดทนอดกลั้น ซึ่งก็ได้รับประโยชน์ตรงนี้

การที่หลงไปในจิตโพธิสัตว์ ผมคิดว่าตัวนี้พวกเราถ้าไม่ได้มีประสบการณ์แบบผม จะรู้ได้ ยากมาก ผมแยกเป็นสองสาย สายศรัทธา ถ้าไม่เจอในเหตุปัจจัย ที่ผมเป็นมา จะรู้ได้ ยากมาก อีกสายหนึ่งคือสายปัญญา สายนี้ถ้าเจริญในธรรมจริงๆ เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มันก็จะเกิดญาณทัศนะ เกิดปัญญารู้ขนาดของการที่จะไปทำอะไรให้ถูกต้อง ถึงจะผิดพลาดก็ไม่มาก จะกลับตัวได้เร็ว แต่ถ้าหากว่ามีปัญญา ที่ไม่ได้เกิดจากทางธรรม ไม่เกิดจาก อธิศีล อธิปัญญา เป็นสุตตมยปัญญา เป็นจินตามยปัญญา อย่างที่พวกเรา เข้าใจ หรือพวกเราส่วนใหญ่เป็นกัน จะมืดเลยไม่เห็นได้ง่ายๆ และก็จะหลงเข้าใจผิดว่า สิ่งที่ตัวเองออกไปทำจะมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า แต่จากประสบการณ์ ของผมเอง ก็ได้เห็นเลยว่า พอตีตัวนี้แตกแล้วมันไม่ใช่ มันกลับมามองในตัวเองว่า ในส่วนที่มันเป็น ความพร่องของตัวเองมีอะไรบ้าง มันแยกแยะไปหมดเลย ผมคิดว่าที่วังทองจัดสรรให้ผม ได้ไปสำรอกกรรม ผมได้รับประโยชน์และเห็นประโยชน์ที่วังทอง ถึงแม้จะมีอะไรเกิดขึ้น เสียหายหลายอย่าง ผมคิดว่าตรงนั้นคุ้มค่าต่อชีวิตที่ให้ไปอยู่วังทอง และเอาตัวออกมาได้ ที่บ้านราชฯ มาที่บ้านราชฯ ในจุดที่ผมมาเห็น

พอเราตีแตกตัวนี้แล้วเราจะเห็นความสำคัญในความสำคัญ คือสัจจะของความเป็นหมู่ หรือว่าชุมชนชาวบ้านชาวอาริยชน มันมีเนื้อมีแก่นเป็นอย่างไร ผมมาเห็นตรงนี้ พวกเรา ภายในพร่องทุกด้าน ฉะนั้นเมื่อเห็นพร่องทุกด้านก็คิดอยากจะช่วย อยากจะแก้ไข ถ้าหากว่า คนทั่วไปที่ไม่มีโลกวิทูที่ชัดเจนจะไม่เห็นในตรงนี้เป็นความสำคัญ จะเห็น ประโยชน์งานนอก เป็นความสำคัญ เพราะว่าตรงนั้นมันเป็นประโยชน์ที่เห็นง่าย เราเอา สิ่งที่ดีงามไปสอนชาวบ้าน เราเอาของไปให้ชาวบ้าน เราเอาความรู้ไปให้ชาวบ้าน เราเอา น้ำใจไปให้ชาวบ้าน ชาวบ้านก็รับได้ชาวบ้านก็ศรัทธา ชื่นชม มันมีแต่ได้กับได้ ยิ่งอยู่ ในฐานะ ของยังมีโลกธรรม มันก็รับตรงนี้เต็มๆ มีความเอมอิ่มใจสดชื่นสบายอก สบายใจ เป็นความภาคภูมิใจ มันได้หมด แต่ถ้ายังอยู่ในฐานะนี้และโลกวิทูไม่พอ จะมอง ความพร่อง ภายในของเราไม่ออก จะมองความสำคัญในภายในไม่เห็น

ในความเข้าใจของผม หมู่บ้านเราจะต้องเข้มแข็งทุกอย่าง จะต้องสร้าง ๕ ภาพเข้ามา ให้ได้ เพราะว่าตัวสมบูรณ์ที่สุดของสังคมก็คือภราดรภาพ มีสมรรถภาพ มีบูรณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สิ่งนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อพวกเราเกิดอิสรภาพจากวิญญาณ จึงจะเกิดความ เป็นพี่ เป็นน้องกัน และสิ่งต่างๆจะเกิดตามมา จะเกิดทั้งวัตถุธรรมและนามธรรม

ยกตัวอย่างพ่อท่านที่มีธรรมะองค์เดียว ก็สามารถสร้างเครือข่ายต่างๆออกมามากมาย ถ้าเรามาร่วมกันทำที่จะเกิดขึ้นจากแรงงานของเรา โดยเฉพาะในเรื่องของกสิกรรม มันก็จะเป็นรูปธรรมถ้าเกิดนามธรรมวัตถุธรรมก็จะเกิดตามมา วัตถุธรรมที่เกิดขึ้น เพราะวิญญาณของคนที่มีความเจริญทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งจะเป็นฤทธิ์เป็นแรง จะทำให้เกิดความศรัทธาของประชาชน ที่เห็นสถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่คน จะเข้ามาร่วมศึกษาร่วมเรียนรู้ ด้วยความเข้าใจในวิถีชีวิต ที่เขาจะเอาไปดำรงชีวิต ตามสัจธรรม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เพราะความเจริญก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรม สังคมที่จะก่อตัวเป็นรูปธรรมมันเป็นไปได้ยาก เห็นได้ยาก ฉะนั้น เมื่อเห็นได้ยาก แล้วพวกเราก็ไม่เห็น ถ้าตีตรงนี้ไม่แตกจะไม่เห็น หลายคนเองยังต้องอาศัยอาหาร ทางด้าน จิตวิญญาณ สังคมเราถ้าจะโตได้ จะต้องตีแตกตัวนี้จริงๆ ว่าแก่นแท้ของสังคม ชาวบุญนิยม เป็นอย่างไร มิฉะนั้นจะเกิดความค้านแย้ง ว่าสิ่งนี้ก็เป็นประโยชน์ ทำไมถึงปราม การออกไปเผยแพร่ข้างนอก เป็นต้น

ผมคิดว่าพ่อท่านรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พ่อท่านไม่ปรามมาก อาจจะพูดแต่ไม่ถึงกับตีทิ้ง พ่อท่านเข้าใจชีวิตจิตวิญญาณของลูกทุกคน แต่เป้าหมายก็คือ ต้องสร้างชุมชนของเรา ให้เข้มแข็งจริงๆ เกิด ๕ ภาพให้ได้จริงๆ ถ้ามีตรงนั้นแล้วจะเป็นความแข็งแรงแข็งแกร่ง ของสังคมเรา

เรานั่งอยู่กับบ้านก็มีคนมาหาเรา มาเอาสิ่งที่ดีกับเรา ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นสัจธรรม ในภายภาคหน้า ถ้าหากว่าเราเข้าใจและมาร่วมมาทำตรงนี้จริงๆ ในส่วนที่เป็น ประสบการณ์ของผมคิดว่า น่าที่พวกเราจะเกิดการสังเคราะห์ แยกย่อยให้ได้ รายละเอียดตรงนี้มากยิ่งขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมชาวอโศกของเราตรงนี้ มากยิ่งขึ้น

สรุปแล้วเรื่องของอรูปอัตตามันไม่รู้ตัวมาตลอด ถ้าไม่มีเหตุการณ์กระทุ้ง กระแทก วิญญาณอย่างที่พูดมานั่นจะไม่รู้เรื่องเลย ที่มารู้เรื่องเพราะตัวเองถูกกระทุ้งกระแทก จากเหตุปัจจัยต่างๆ ในที่สุดมันเกิดการสังเคราะห์ เกิดการบ่มตัว ทำให้เราต้องตื่น ประสบการณ์ ทำให้ได้ประโยชน์สองส่วนคือ

๑. ลดสักกายะใหญ่เรื่องมานะอัตตา
๒. ลดสักกายะใหญ่เรื่องถีนมิทธะ ผมตกอยู่ในภพนี้หนักมาก

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๕ กันยายน ๒๕๔๗ -