พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ณ ศาลาดุสิดาลัย
พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
ในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๗
เนื่องในวโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ และขอบใจนายกฯ ที่ได้กล่าวคำอวยพร ทั้งได้สรุป การที่ได้กระทำในระยะ ๕๐ กว่าปี.....

.....ดนตรีนี่เป็นประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง ชาติบ้านเมืองใดมีดนตรี มีสำเนียงดนตรี เพลงดนตรี เครื่องดนตรีที่เป็นของตนเอง นั่นแหละน่าชื่นใจ อย่างของไทยเรา เรามีเครื่องดนตรีของเรา ซึ่งคล้ายกับของจีนบ้าง คล้ายของอินเดียบ้าง คล้ายของฝรั่งบ้าง แต่ว่าเป็นเพลงและเป็นเครื่องดนตรีไทยแท้ๆ ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติบ้านเมือง อย่างเดียวกับเราพูดภาษาไทย เป็นภาษาไทย ไม่ได้เป็นฝรั่ง ไม่ใช่ภาษาต่างประเทศ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้ภาษาต่างประเทศมาก ไม่ใช่แซมมานำหน้ามากมาย จนกระทั่ง บางที ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ว่าถ้าใช้ภาษาต่างประเทศมาก็ควรจะแปลให้ด้วย ถ้าเราพูดภาษาไทย แบบใช้คำภาษาฝรั่ง ก็ต้องให้แปล เพราะเราโง่ ไม่เข้าใจจริง แต่นานๆไปก็เข้าใจ

.....ฟังข่าวเขาบอกว่ารองนายกฯนั้นๆทำ เดี๋ยวนี้ก็ฟังข่าว ฟังวิทยุ มีรายการอันเดียว ที่จะต้องฟังคือ นายกฯพูดกับประชาชน คุยกับประชาชน คุยๆ เขาบอกว่าคุย ๑ ชั่วโมง เราได้ยินก็โอ้ นายกฯมาแล้วเราต้องฟัง ฟังไปฟังมาเราหลับ หลับไปหลับมา เลยต้องมาคอย ตอนบ่ายโมง ถึงบ่ายสองโมงได้อีกชั่วโมง

อันนี้ฟังไปฟังมา วันนี้ได้ความรู้ เพราะว่าท่านบอกว่า ท่านไม่อ่านหนังสือมากนัก หนังสือดี ต้องอ่านหนังสือ เพื่อที่จะให้มีความรู้ แต่ท่านบอกว่าทฤษฎีต้องไปพบกับคน คุยกับคน ได้ความรู้ก็จริง เราฟังเวลาท่านนายกฯมา เราก็ฟังนายกฯก็ได้ความรู้เยอะ วันนี้ก็ได้ความรู้ว่า ท่านฟังคนที่มา ได้ความรู้ในการปฏิบัติงาน ฉะนั้นเวลาท่านนายกฯ มาก็ดีใจ ท่านพูดมาก ท่านก็พูดเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เราก็ได้ความรู้

ที่เห็นด้วยว่า ถ้าเราฟังคนที่มีความรู้แล้ว เราก็ได้ความรู้ ไม่ใช่ความรู้ที่จะมาสอน คนโน้นคนนี้ได้ แต่ได้ความรู้ที่จะปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติอย่างนี้ เราก็ดี เราก็สามารถ ที่จะปฏิบัติงาน ถ้าฟังจากคนที่เก่งก็ฟัง ท่านก็พูดอะไรต่างๆ พูดไปเรื่อย เราก็ได้ความรู้ ไม่ต้องอ่านหนังสือ ถ้าฟังคนที่มีความรู้ แล้วมาย่อย ท่านก็บอกว่าฟังคนที่มีความรู้ ทำให้สามารถปฏิบัติงาน สามารถทำอะไรต่ออะไรได้ ซึ่งเห็นเป็นความจริง

ถ้าเราฟังคนแล้วก็ฟังจริงๆ แต่ต้องมาพิจารณา อันนี้เป็นข้อสำคัญ ถ้าฟังคนโน้นคนนี้ คนไหนที่มาจากอเมริกาใต้ เขามาพูดใหญ่ว่าต้องปฏิบัติอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เห็นด้วยกับท่าน เราต้องคิด ทำไมไม่เห็นด้วย บางทีคนที่มีชื่อเสียง เราฟังไม่เข้าเรื่อง ไม่ได้มีประโยชน์ แต่ประโยชน์มีเยอะว่า ท่านเก่งที่ทำให้คนเชื่อ ถ้าคนมาแล้วเราฟัง ก็เชื่อตามไปหมดไม่ดี เพราะว่าไม่ได้พิจารณา ต้องพิจารณาว่า ที่ท่านพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าพูดถูกต้อง ปฏิบัติได้เราก็ดี เราก็ได้ประโยชน์ ส่วนรวมก็ได้ประโยชน์ เพราะว่าเราเอาความรู้ ที่ท่านพูดไปปฏิบัติต่อ

ฉะนั้นที่ฟังนายกฯพูดกับประชาชน เราก็ฟังท่านว่าท่านพูด หลายอย่างที่ท่านพูด แล้วพูดถึงว่าเด็กๆต้องฟัง เด็กๆต้องเรียน ถ้าเรียนประเทศชาติจะดี เดี๋ยวนี้เขาว่าเด็กๆ ไม่เรียน เด็กๆแม้จะถึงขั้นมหาวิทยาลัย ใช้คำว่าไม่ได้ความ เมื่อไม่ได้ความ อนาคตของชาติ อยู่ไหน คือเด็กไม่ฟัง หรือฟัง ฟังแต่ฟังไม่เข้าใจ ถ้าฟังไม่เข้าใจ แทนที่จะปฏิบัติ สร้างสรรค์ต่อไป ก็ไปเข้าดิสโก้เธค ไปฟังเพลง ความจริง ก็ไม่ใช่เพลงอะไร ที่เป็นเพลงที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้หูเสีย หูเสียไม่ใช่คนที่ฟังหูสูง หูต่ำ แต่หูไม่ได้ยิน หูตึง คนที่ไปฟังเพลง ในดิสโก้เธคหูตึง ท่านนั้น ถ้าใครเป็นหมอที่นี้ หมอหู ไปตรวจเขายืนยันว่าเด็กสมัยนี้ ถ้าไปตรวจหู หูเสียมากกว่าเด็กสมัยก่อนนี้ แม้จะเด็กสมัยท่านนายกฯ หูตึง กว่าเด็กสมัยพระเจ้าอยู่หัว นี่เรา ๗๖ ปี ๓๖๔ วัน เกือบจะ ๗๗ แล้ว

.....คนที่หูตึงจะเรียนรู้หรือปฏิบัติงานยาก ยากที่สุด เพราะว่าคนที่หูตึง แม้จะได้เครื่อง มันไม่เหมือนคนที่หูไม่ตึงแล้วไม่ต้องใช้เครื่อง ประสิทธิภาพของคนที่หูดี เหนือประสิทธิภาพ ของคนที่หูตึง แม้จะมีเครื่องช่วยให้ฟังได้ อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่ง ที่น่าจะแก้ไข หรือน่าจะระมัดระวัง ให้คนไทยอนาคตมีหูที่ดีขึ้น หูที่ฟังได้ดี ไม่ใช่ว่าถึงเป็นผู้เฒ่าถึงจะฟังไม่ได้ แต่ว่าเด็กๆฟังไม่ได้ แต่ถ้าระมัดระวัง เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่า ยากในการที่จะรณรงค์ให้เด็กหูดีขึ้น ยากเพราะว่าเคยชิน

เดี๋ยวนี้ก็จะแก้ไข วิธีแก้ไขของรัฐบาลก็คือ ห้ามไม่ให้เข้าดิสโก้เธค ไม่ให้ไปฟังเพลง ไม่ให้สูบบุหรี่ ให้ไม่สูบบุหรี่จะทำให้หูดี คือหูไม่เสีย คนที่สูบบุหรี่มากๆหูเสียมาก มีเหตุผลทำไมคนที่สูบบุหรี่หูเสีย เพราะว่าบุหรี่ทำให้เส้นเลือดมันตีบ เมื่อเส้นเลือดตีบ หูก็เสีย เพราะว่าหูตาเสียได้ง่าย เพราะว่าทำไม เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหู ไปเลี้ยงตา เลี้ยงอวัยวะ ที่อ่อนไหวนั้น เส้นเลือดมันเล็ก ถ้าโดนบุหรี่ บุหรี่ทำให้เส้นเลือดตีบ ตีบเลือดก็ไปไม่ได้ เลือดไปที่อวัยวะเหล่านั้นยาก ถ้าไปไม่ดี ก็ทำให้อวัยวะเหล่านั้น ด้อยสมรรถภาพ ฉะนั้นยากที่จะแก้ไขไม่ให้คนหูตึง นอกจากต้องพยายามแก้ไข

เดี๋ยวนี้ก็ร้องโวยวายว่าห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันนี้บุหรี่สูบกันน้อยลง เพราะว่าคนชักรู้ ว่าสูบไม่มีประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้เด็กๆมีการสูบบุหรี่มากขึ้น มากกว่าแต่ก่อนอีก แต่ก่อนนี้เด็กๆยังไม่สูบ และโดยเฉพาะผู้หญิง ผู้หญิงสูบบุหรี่มาก แต่ก่อนนี้เขากลัวว่า สูบบุหรี่ทำให้ผิวเสีย ผิวเสียก็เพราะว่าเส้นเลือดมันไม่ดี ทำให้ผิวไม่ดี แต่สมัยใหม่นี่ เขาไม่กลัวแล้ว เพราะว่าผิวเสียก็ช่าง ทาหน้าซะเช้งเลย ฉะนั้น ต้องหาทางแก้ไข จะห้ามไม่ให้ใช้เครื่องสำอาง ถ้าห้ามไม่ให้ใช้เครื่องสำอาง ก็ประหยัด ปะแป้งนิดหน่อย สมัยก่อนเขาปะแป้งก็สวยแล้ว ที่จริงก็สวย ปะแป้งนิดเดียว ไม่ต้องทาสีแดง สมัยใหม่เขาต้องทาสีแดง ฉะนั้น ก็ไม่สีแดงเท่านั้น มีสีเขียวด้วย ปั้นจมูก ปั้นแก้ม ทาสีต่างๆ

.....แต่ที่สำคัญเรื่องที่ได้ฟังว่า เห็นว่าเด็กๆจะต้องสามารถที่จะเรียนรู้ เรียนให้ทำงาน เพื่อช่วยบ้านเมือง จริงว่าถ้าเด็กไม่มีความรู้ ช่วยบ้านเมืองไม่ได้ บ้านเมืองไปไม่รอด เพราะว่าเด็กๆมัวแต่ไปเสพยาเสพติด สูบบุหรี่ไม่ดี เสพยาเสพติด ไม่ต้องบอกหรอกว่า เสียหายอย่างไร แต่บุหรี่นี่ หูเสีย ตาเสีย สมองเสีย เส้นเลือดเสีย หัวใจรั่ว

เมื่อสิบกว่าปีที่ต้องเข้าโรงพยาบาล มาเจาะหัวใจ เรียกว่าเจาะหัวใจสามครั้ง ถึงเดี๋ยวนี้หัวใจสบายมาก เลือดเดินดี เมื่อเลือดเดินดีในหัวใจก็แข็งแรง แต่ว่ามันมีอื่นๆ ที่มาจากวิธีเจาะหัวใจ เจาะหัวใจลงท้ายสบายมาก จนกระทั่ง ทำให้มีความคิด ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจ และได้ไปช่วยเพื่อน ที่เป็นโรคแบบนี้ว่าเป็นอย่างนี้ ไปหาหมอเจาะหัวใจ ไปเจาะหัวใจทันที เขาก็ไป

.....หมอหลวงบอกคุณนั่นน่ะที่พระเจ้าอยู่หัวให้ไป ดี เคราะห์ดี ไม่อย่างนั้นตายจริง แต่ก็ต้องขอให้หยุดสูบบุหรี่ เพราะสูบบุหรี่มาก

.....ก็เลยมาเล่าให้ฟังว่า คนที่สูบบุหรี่สมองก็ทึบ ทำไปทำมาทึบ ทึบเพราะว่า เส้นเลือด ในสมองมันตีบ เลยคิดอะไรไม่ออก ตอนแรกนึกว่าคิดออก แต่ตอนหลัง คิดไม่ออก ทีแรกนึกว่าคนเราสูบบุหรี่ ทำให้กระฉับกระเฉง ตรงข้ามไม่กระฉับกระเฉง ทำให้รู้สึกว่า สมองมันทึบ สมองมันตัน ก็เลยเห็นว่า เลิกสูบบุหรี่ดีกว่า มีการรณรงค์ ให้เลิกสูบบุหรี่ ห้ามขายบุหรี่แก่เด็ก อายุต่ำกว่า ๑๘ ที่จริงเด็กอายุ ๕๐ ก็ควรจะห้าม คนไหนที่อายุ ๘๐ อยากจะสูบบุหรี่ก็สูบ อย่างตอนนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนี ท่าน ๘๐ ท่านสูบบุหรี่ สมเด็จกรมหลวงฯ ท่านก็สูบบุหรี่ ทีหลังท่านก็เลิก

ในที่สุดท่านต้องเลิก เพราะว่าไม่สบาย และท่านก็อายุทำไปทำมาท่านก็อายุ ๙๕ เราก็เลยนึก เราเลิกบุหรี่เนี่ยดี มีคนบอกว่าจะให้อายุ ๑๒๐ ปี ๑๒๐ นี่มีคนเขามาบอกว่า คนเราอายุที่ได้ถึง ๑๒๘ คนที่มาบอกเนี่ย ๑๒๘ ปี คงไม่นึกถึง ๑๒๘ นั่น ต้องให้ร่างกายมันดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ ๑๒๐ ก็ยอม เอาแค่ ๑๒๐ ปี แต่ ๑๒๐ ก็ไม่เลว ถ้า ๑๒๐ ก็อีก ๔๐ กว่าปี ท่านทั้งหลาย ง่อกแง่กๆๆแล้ว แต่ว่าถ้าทำให้ร่างกายดี อาจจะได้ ระมัดระวังให้ดี

.....ก็ขอให้ท่านมาที่นี้ได้มีความแจ่มใส วันนี้รู้สึกว่าท่านจะแจ่มใสดี ต้องแจ่มใส เพราะถ้าไม่แจ่มใส ทำงานไม่ได้ ต้องให้ท่านทำงานได้ดีๆ แล้วก็คิดถึงงานที่มี ที่จะต้องทำ ทำให้ดีๆ ทำให้ดีๆ ไม่ทำให้เละ ถ้าทำให้เละ ประเทศชาติก็เละ ขอให้มีความสุข ความสำเร็จทุกประการ

(บางส่วนของพระราชดำรัส จากหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๗)

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ -