# # # ชื่นชมชาวดอยศิวิไลซ์
ขณะนี้ดิฉันได้ลาออกจากงานตามโครงการ "เออร์ลี่ รีไทร์" หลังจากออกมาอยู่ที่บ้านได้ ๑ เดือน ก็เริ่มไปช่วยงานที่ ชมร.เชียงใหม่ แต่ไม่ได้ไปทุกวัน จะไปอาทิตย์ละ ๒-๓ วัน ไปช่วยงานนานประมาณ ๓ เดือน ทางหน่วยงานเดิมขาดคนทำงาน จึงขอร้องให้ดิฉันกลับไปช่วยงานอีก ซึ่งดิฉันก็เห็นใจ เขามากค่ะ คนน้อยแต่งานเยอะมาก จึงกลับไปช่วยทำงานอีก ๔ เดือน ตั้งแต่ ส.ค.-พ.ย. ๒๕๔๗ ทำให้ต้องได้หยุดไปช่วยงาน ชมร.เชียงใหม่อีก คือไปอย่างไม่ต่อเนื่อง จึงทำให้ดิฉันกระดากใจ ที่ไปแล้ว ไปๆหยุดๆ แต่ได้บอกครูรัตนาภรณ์ (แม่หนึ่งในธรรม) ว่าดิฉันจะมาอีก หลังจากช่วยงาน ที่หน่วยงานเดิมเสร็จแล้ว แม่ครูยังบอกดิฉันว่าจะชวนไปฉลองหนาวที่ภูผาฟ้าน้ำ และเมื่อตอนที่ดิฉัน ไปฟังธรรม วันอาทิตย์ที่ ชมร.เชียงใหม่ ได้สมัครเป็นสมาชิกภูผาฟ้าน้ำ แต่ก็รู้สึกผิดเหลือเกิน ที่ไม่ได้ไป ติดต่อกันตลอด ไปๆหยุดๆ แต่ดิฉันก็ได้ข้อคิด และเรียนรู้ กระบวนการทำงานของสมาชิก ภูผาฟ้าน้ำ เป็นอย่างดี ดิฉันยอมรับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีมากจริงๆ (ขอชมด้วยความจริงใจค่ะ) ที่ดิฉันยังปฏิบัติ ไม่ได้อย่างนั้น

ต่อจากนี้ไป ดิฉันคงจะได้ไปช่วยงานที่ ชมร.เชียงใหม่ แต่คงจะไปได้อาทิตย์ละ ๑ วัน เพราะต้องไป ช่วยงานที่หน่วยงานเดิมอีก อย่างไรก็ตามจะพยายามปฏิบัติให้ได้อย่างสมาชิกของชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ติดตรงที่ว่า ดิฉันมีครอบครัวที่ต้องดูแล ยังปลีกตัวไปเต็มตัวไม่ได้ เพราะลูกยังอยู่ในวัยรุ่นเริ่มต้น ต้องคอยดูแล อย่างใกล้ชิด
* อำพร จ.เชียงใหม่

- ศึกษาประพฤติธรรม ก็มีลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ เมื่ออยู่บ้านก็เป็นคุณแม่ที่ดีของลูก อยู่ที่ทำงาน ก็เป็นพนักงานที่ดี เมื่อถึงกาละอันควรจะเป็นชาวดอยศิวิไลซ์ ก็คงจะเป็นชาวดอยที่ดี มีคุณธรรม ตามที่ได้สั่งสมไว้เช่นกันนะ - บ.ก.



# # # ปรับวิถีการดำเนินชีวิต...เป็นการปฏิบัติธรรมที่จริงแท้
ดิฉันเป็นสมาชิกใหม่ ก็จริง แต่เคยฟังท่านเสียงศีล ในรายการทางวิทยุมาเป็นเวลา ๒ ปีแล้ว จึงซึ้งและศรัทธาในตัวพ่อท่านและคนอโศกอย่างมาก ถ้าดิฉันไม่ติดภาระและโรคภัยไข้เจ็บ ก็อยากที่จะไปอยู่ที่อโศก

ดิฉันคงจะทำบาปในชาติปางก่อนมามาก ชาตินี้จึงได้มารับกรรม ตอนเด็กก็แข็งแรงดี ไม่มีโรคภัยอะไร แต่พอประมาณอายุ ๑๕ ปี ดิฉันก็เริ่มมีโรคนอนไม่หลับ คิดมากจากหลายเรื่อง หลายสาเหตุ ปวดศีรษะ จึงได้ไปหาหมอ ปัจจุบันนี้ต้องไปรับยาและเช็คทางระบบประสาททุกเดือน ค่าใช้จ่าย ตกเดือนเกือบ ๓,๐๐๐ บาท

ดิฉันไม่อยากฆ่าสัตว์ จึงหันมากินอาหารมังสวิรัติแทน ก็ดีนะคะ เพราะมีประโยชน์กับสุขภาพ และยังไม่ต้องไปเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายอีก แม่ของดิฉันเคยกินเนื้อปลาเป็นประจำ พอดิฉัน หันมากินมังสวิรัติ แม่ของดิฉันก็กินด้วย แต่แบบไม่เต็มใจนัก พอแกเอาปลามาดิฉันก็ต้องทำให้กิน มันก็เลยยุ่งๆ กินทั้งเนื้อกินทั้งผัก แม่ของดิฉันอายุ ๗๕ ปี แกเคยกินปลา เราก็จะค่อยๆ อธิบาย ให้แกเข้าใจ ในการกินผักกินมังสวิรัติ แกก็เข้าใจมากขึ้น บางวันก็จะกินมังสวิรัติด้วยกัน ถ้าจะให้คนอื่น กินเหมือนเรา มันก็ยากเหลือเกิน ทั้งหมู่บ้านก็มีดิฉันคนเดียว ส่วนกลุ่มเพื่อนที่อยู่จังหวัดมหาสารคาม ก็ดีหน่อย พูดในเรื่องเดียวกันทำให้เข้าใจมากขึ้น และเรื่องที่ทำให้เข้าใจกันคือเรื่องอโศก

พ่อท่านทำงานหนักมากเลย สมณะด้วย หากโลกนี้เป็นเหมือนคนอโศกคงจะดีนะ รักษาศีลห้า คงจะมีความสุข เดี๋ยวนี้ไปไหนก็พบแต่คนดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ดีหน่อยที่แฟนของดิฉัน เป็นคนไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็เลยสบายใจ แต่มองไปเห็นครอบครัวของคนอื่น เขาดื่มเหล้าสูบบุหรี่ก็อ่อนใจ คนแบบนี้มีมาก เหลือเกิน สารพิษมากมาย เราจะสู้เขาไหวไหม? ที่ ธ.ก.ส. ก็พากันไปอบรม พอกลับมาถึงบ้าน ก็มีบ้านดิฉัน ไม่กี่คนที่ทำสบู่ ยาสระผม ปุ๋ย สมุนไพร คนไม่เอาใจใส่รวมกลุ่มกันไม่ได้ เสียดาย เงินหลวง เราคิดดีทำดีคงจะพบสิ่งดีนะคะ

ตอนเช้าดิฉันดื่มน้ำอุ่น ไม่ค่อยดื่มน้ำเย็น ไปไหนก็จะพกน้ำอุ่นไปดื่มด้วย อาการดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ไม่มีเสมหะ อาการดีขึ้นมาก ดิฉันเลิกกินเนื้อสัตว์มาเป็นเวลา ๒-๓ ปีแล้ว หันมากินมังสวิรัติแทน ปัจจุบันดิฉันกินอาหารวันละ ๒ มื้อ ตอนเย็นก็ดื่มนมถั่วเหลือง ก่อนนอนก็จะสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ถ้าแม่ของดิฉันเป็นอะไรไป ดิฉันคงจะหันมากินมังสวิรัติอย่างจริงๆจังๆ มากขึ้นกว่านี้

สิ่งที่ได้จากการอ่านสารอโศก
๑. ใจเย็นมากขึ้น ไม่เอาแต่ใจ
๒. ยอมคนไม่ถกเถียง ปล่อยเขาไป
๓. เป็นฝ่ายให้มากกว่าไปขอคนอื่น
๔. คิดก่อนทำ คิดก่อนพูด

จดหมายฉบับนี้ลูกเป็นคนเขียนให้ เพราะดิฉันลายมือไม่สวยและจบแค่ ป.๔ ต่อไปดิฉันจะพยายาม หัดเขียนเองค่ะ
* นางก้าน ไตรยสุทธิ์ จ.มหาสารคาม

- อนุโมทนากับความพยายามจะไม่เบียดเบียนชีวิตเพื่อนสัตว์ทั้งหลาย ขวนขวายลด-เลิกอบายมุข ปลูกผักไร้สารพิษไว้กินเองดูบ้าง จะทำให้สุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็ดีด้วย - บ.ก.



# # # ขอโอกาส...ปรับปรุงตนก่อนนะ...
ข้าพเจ้าเคยปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกมาก่อน แต่ตอนนี้หลุดออกมาหมด ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติธรรมไม่ดี แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ อาจเป็นเพราะจิตใจตกต่ำและสภาวะแวดล้อมพาไป ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าระลึกถึง ...อยากกลับ...อยากเข้าวัดแต่ไม่กล้า เหมือนกับว่าได้ทำผิดต่อหมู่กลุ่ม ทำผิดต่อพระอาจารย์ ไม่กล้า แม้แต่เวลามีงานต่างๆ อยากไปตักบาตร อยากเจอหน้าพระอาจารย์ ข้าพเจ้าไม่กล้าไป... ได้แต่ดูว่าวันนี้ เดือนนี้ มีงานที่พุทธสถานไหน ข้าพเจ้าขอแค่รู้รับข่าวคราวอยู่ห่างๆ เพราะข้าพเจ้ารู้สึกทำผิด ต่อผู้มีอุปการะคุณ ทำผิดต่อพระอาจารย์ที่ดิ้นรนออกนอกกรอบมาใช้ชีวิตทางโลก

ข้าพเจ้าขอรับหนังสือเพื่อเป็นกำลังใจ เพื่อสักวันหนึ่งข้าพเจ้าอาจมีความกล้าขึ้นมา กล้าที่จะตัดสินใจ กล้าที่ปฏิบัติ กล้าที่จะลดละเหมือนชาวอโศก และกล้าที่จะพบพระอาจารย์ ข้าพเจ้าทำงาน และใช้ชีวิตทางโลก อยู่กับน้องสาว เรามีความคิดเดียวกัน คือว่าไม่กล้าเข้าวัด เหมือนกับว่า เพราะเรา มีความผิดมาก และรอการอภัยจากหมู่กลุ่ม
* ส่องพร จ.เพชรบุรี

- ชาวอโศกได้รับการปลูกฝังเรื่องความสำนึกในกุศล สังวรในศีล ๕ อันเป็นพื้นฐานปกติ ทั้งผู้อยู่บ้าน และอยู่วัด ผู้ขวนขวายพัฒนาตนก็จะฝึกตนให้ยิ่งๆขึ้น จนเมื่อมั่นใจ จึงจะเลื่อนฐานะตน จากบ้าน มาสู่วัด ซึ่งมีรายละเอียดในการชำระล้างกิเลสมากขึ้น ดังนั้นหากทำได้มั่นคงแล้ว ก็จะมั่นใจ - บ.ก.



# # # กรรม.....เป็นทรัพย์แท้ของคนจริงๆนะ
กระผมปฏิบัติธรรมมา ๑๐ กว่าปีแล้ว ไม่มีบุญบารมีมากพอที่จะเป็นคนวัดเลย เป็นแต่ญาติธรรม ก่อตั้งชุมชนขึ้นเท่านั้น ขณะนี้ก็มีเหตุปัจจัยออกจากชุมชน ไปอาศัยบ้านลูกๆอยู่ และช่วยงานทางบ้าน เพราะทางบ้านมุ่งหาแต่โลกียทรัพย์ ทำได้เฉพาะทำบุญทำทานตามกำลังทรัพย์กำลังศรัทธา ผมได้อ่าน หนังสือสารอโศก คอลัมน์จากโลกีย์ถึงโลกุตระ แต่ละคนออกๆ-เข้าๆหมู่กลุ่มและวัด บางคน ๓ ครั้งก็มี คนที่ปฏิบัติมากนานหลายๆชาติ ก็เข้าๆ-ออกๆ จนได้ดีก็มี บางคนออกครั้งเดียว ไปเลยก็มี บางคนบวชแล้วสึกก็มี เหมือนคำพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มนุษย์เกิดมาตามกรรม กรรมจำแนกสัตว์ (มนุษย์) ชาตินี้ผมคงจะปฏิบัติได้เล็กๆน้อยๆ ก็คงจะไปต่อชาติหน้าๆๆโน้นแหละ เพราะคง หมดกำลังที่จะต่อสู้กิเลส คงจะได้เท่านี้เอง

ขณะนี้กำลังปฏิบัติธรรมตามแบบของพระพาหิยทารุจีริยะ รับจากพระพุทธเจ้า ว่าในเวลาใด
เมื่อท่านเห็น จะเป็นสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น
เพื่อฟัง จะเป็นสักแต่ว่าฟังเท่านั้น
เมื่อทราบ จะเป็นสักแต่ว่าทราบเท่านั้น
เมื่อรู้แจ้ง จะเป็นสักแต่ว่ารู้แจ้งเท่านั้น

พยายามตั้งสติรู้ตัวทั่วพร้อม ในการได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้ว่าทุกอย่างให้ผ่านๆไป ไม่นำมาคิด ปรุงแต่ง ให้เกิดกิเลสตามกระแสนั้น แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง ขาดสติตามไม่ทันก็ทำให้คิดปรุงแต่ง ตามไปด้วยเสมอ จึงเกิดทุกข์ทับถมตัวเอง
* ๒๔๒๕๒๓

- แต่ละคนมีที่มาที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะมาจากพื้นฐานอย่างไร ก็มาฝึกตนด้วยศีลพื้นฐาน ๕ ข้อ เป็นเบื้องต้นทั้งสิ้น เพื่อเรียนรู้ ทำความเข้าใจตนเองให้ชัดเจนถูกตรงยิ่งขึ้น พฤติกรรม-คำพูด-ความคิด จะได้รับการดูแลกำกับด้วยสติเจ้าของ เราจะแววไวขึ้นเรื่อยๆ ฝึกพิจารณาเลือกไม่ทำสิ่งไม่ดี ตามข้อศีล แต่ละข้อให้ได้เสมอๆ ความสงสัยจะลดลง เราจะเชื่อมั่นในกรรมของตน ที่จะมุ่งปรับไปสู่กุศลยิ่งขึ้นๆ ด้วยวิธีการอย่างนี้ เราจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะมีกำลังใจก้าวไปเรื่อยๆ ตราบที่ยัง มีชีวิต... เรายังมีโอกาสเลือกไม่ทำอกุศลได้ตลอดเวลา - บ.ก.



# # # ปฏิบัติธรรมต้องอาศัยผัสสะฝึกทุกขั้นทุกตอน....

ในหนังสือที่พ่อท่านสอนนั้นดีทุกอย่างค่ะ ถ้าปฏิบัติได้ตามนั้น การถือศีลของฆราวาส มีร้องรำและเล่น ได้หรือไม่ในระดับที่ถือว่าไม่ยั่วยุ ไม่หลงกิเลส ไม่หลงตัวเอง ดิฉันไปวัดงานอโศกรำลึกนั้น ไม่ทราบว่า แจ้งรายการผิดหรืออย่างไร ในวันที่ ๙ มิถุนายน พอสมณะสองท่าน เทศน์จบแล้วบอกว่า เป็นรายการ ของพ่อท่าน แต่พอท่านสมณะเทศน์จบ กลับมีผู้หนึ่ง (พิธีกร) มาบอกเป็นรายการประชุม ซึ่งไม่ได้ เอ่ยนามถึงพ่อท่าน ดิฉันก็เลยลุกไปเดินดูในงาน รู้สึกว่าวันนั้นจะเป็นวันปล่อยน่ะค่ะ เพราะตาม หลักแล้ว จะเดินกินไม่ค่อยได้ เด็กๆสนุกสนานกันใหญ่ รายการที่แสดง เสียงเพลง ก็จะแทรกกับ เสียงเทศน์ด้วย หรืออาจจะเป็นเพราะสถานที่คับแคบหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ปีต่อไป ควรจัดรายการ ช่วงที่ท่านเทศน์กับช่วงละเล่นร้องเพลง ให้มีช่วงห่างกันหน่อย ก็คงจะดูสงบดีนะคะ ติเพื่อเพิ่มพลัง ในการปฏิบัติ ก็อาจจะเข้าใจไม่ถูกไปบ้าง ก็ช่วยชี้แจงด้วยนะคะ พร้อมน้อมรับฟังเสมอค่ะ

ข้อปฏิบัติตอนนี้ ของดิฉันก็ยังมั่นคงดีค่ะ
กินมังสวิรัติเป็นประจำ ไม่ทำให้ชีวิตอื่นต้องหวาดผวา
ไม่อยากได้ของของใคร และพยายามในทางขยันมากขึ้น
ไม่เคยคิดนอกใจสามี
ช่วงนี้ศีลข้อ ๔ รู้สึกจะมีโกรธ หงุดหงิดบ่อยค่ะ แต่ก็พยายามคิดทัน
ศีลข้อ ๕ ก็ทำได้เกือบทุกอย่างแล้วค่ะ ก็มีดูละครช่วงเย็น ๖ โมงบ้าง จะพยายามห่างๆ ให้ได้ค่ะ
* พิงพวย เสาทอง ดินแดง กรุงเทพฯ

- ขอบพระคุณสำหรับข้อติติงและข้อเสนอแนะ "วันอโศกรำลึก" เกิดกรณีเช่นที่ว่านั้น เหตุหนึ่งจากข้อจำกัดเรื่องสถานที่คับแคบนั่นด้วย เราจะนำไปปรับปรุงในโอกาสต่อไปนะ.....

การที่เรามีรายการบันเทิงบ้าง รสชาติก็คงไม่จี๋จ๋าแบบโลกย์ๆใช่ไหม มีไว้ให้ได้ตรวจตนเองแต่ละคนว่า ยังมีอยู่มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ผลักมาก-ดูดมาก ถูกใจมาก-ไม่ถูกใจเลย ฯลฯ ผู้ที่นำมาเป็นบทฝึกตน ก็ได้รับประโยชน์ ผู้นำไปเสพก็จะสะสมไปตามเหตุปัจจัยให้มีพฤติกรรมหยาบออกทางกายกรรม-คำพูด-ความคิดวนเวียนเสพให้ได้เห็น ให้ได้ติงเตือนกันไป อยู่วัดเราก็มีวิถีชีวิต เรียนรู้-ปรับปรุงตัวเอง โดยมีหมู่ ช่วยชี้บอกกันอย่างนี้ นี่ไงล่ะ... - บ.ก.



# # # การเมืองบุญนิยมนั้น.....ฉันใด ?
ผมเคยเขียนไม่เห็นด้วยที่อโศกจะมีพรรคการเมืองเอง โดยเขียนมาอย่างแรงๆ อธิบายมาหลายสิ่ง หลายอย่างนั้น สารอโศกฉบับการเมืองบุญนิยมนี้ ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นภาพอย่างหนึ่งว่า ถ้าท่าน ไม่ทำเพื่อตัวเอง ไม่เข้าข้างกับฝ่ายใด อยู่อย่างเป็นผู้ใหญ่ทางสังคม มีความเป็นกลางและเป็นธรรม มีความรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมมาก ทุกคนทุกกลุ่มในสังคมไทยเข้าหา แม้แต่นายกรัฐมนตรี ยังเข้าหาและเชื่อถือ หากมีอะไรก็ตักเตือน หรือในบางเรื่องที่ทางรัฐบาลทำดี ก็ชมเชยและให้ กำลังใจบ้าง อย่างนี้ ก็คือความหมายที่ผมได้พยายามสื่อถึงท่าน และถ้าเป็นได้ในลักษณะนี้ ผมเห็นว่า จะสง่างามอย่างยิ่งต่อหลวงพ่อโพธิรักษ์ และเมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ และไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใด เป็นผู้มี ความเป็นกลางและมีคุณธรรมสูงยิ่ง พูดอะไรทำอะไรก็เพื่อประโยชน์ต่อสังคมและบ้านเมือง ผมว่านอกจากกลุ่มคนในเมืองไทยหรือพรรคการเมืองต่างๆในเมืองไทยแล้ว แม้แต่ต่างประเทศ หลายๆประเทศ ก็จะมาหาท่านเพื่อขอคำปรึกษาหรือขอคำชี้แนะจากท่าน ท่านจะเป็นต้นโพธิ์ที่ใหญ่ ของประเทศไทยทีเดียว เพราะในยุคนี้แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ยังฟังท่าน เกรงใจท่าน นี่แหละครับ ที่ผมไม่เห็นด้วย ที่ท่านจะมาหนุนหรือตั้งพรรคการเมือง เพราะดูแล้วมันไม่เหมาะสม มันแคบไปครับ หากเกิดอะไรผิดพลาดในการบริหาร ผู้คนก็จะด่าถึงท่าน มันไม่คุ้มเลย

ถ้าจะดูอีกมุมหนึ่ง มันเหมือนอย่างที่ผมเขียนเรียนถึงที่ผ่านๆมา คือดูว่าท่านยังติดอัตตามานะมาก ดูเป็นเหมือนท่านมีตัณหาอยากใหญ่ อยากโต อยากได้ อยากมี ผมเห็นว่าท่านควรจะบอก เป็นแนวทางว่า การเมืองที่ดีควรเป็นอย่างไร และทุกคนควรมีจิตสำนึกต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร การไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นควรไปเพราะด้วยความรักและรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่ใช่ไปเพื่อเงินทอง หรือสิ่งของที่เขานำมาจ้าง อโศกน่าจะทำตรงนี้จะสวยกว่า แต่ถ้าให้คนอโศกมาทำการเมือง อย่างที่ผ่านมา มันมีแต่เสียกับเสีย เพราะอะไร ก็เพราะว่าทุกคนไม่ใช่พระอรหันต์ ทุกคนมีมานะอัตตา ทั้งนั้น หมู่เดียวกันยังทะเลาะกัน มันน่าอาย ดังเช่นพรรคพลังธรรม ที่เขาเรียกว่าคนสายวัด ที่ว่าเป็น แกนนำ ของพรรคยังทะเลาะกันเอง แล้วท่านตั้งพรรคเพื่อฟ้าดินมา ขอถามว่ากี่คน ที่บริสุทธิ์จริงๆ ผมขอเรียนตรงๆ ว่าขอให้ท่านทำอะไรที่สูงส่งกว่านี้จะดีกว่า จะได้ไม่เสียชื่อ ไม่มัวหมองนะครับ

หากว่าท่านยังมีกำลังทรัพย์ มีกำลังคนมากอยู่ ก็ขอให้นำมาช่วยสังคมโดยตรงจะดีกว่า เช่น อบรมจริยธรรม กับเด็กและเยาวชนที่ขณะนี้แย่มากแล้ว หรืออบรมพวกข้าราชการ ให้เป็นคนดี มีศีลธรรมขึ้น หรืออบรมให้ความรู้กับเกษตรกรให้เต็มที่อย่างนี้ ผู้คนทั้งประเทศจะกราบไหว้ และแซ่ซ้อง สรรเสริญมากกว่ามาเล่นการเมืองและมาตั้งชื่อกันบ้าๆบอๆ

สิ่งที่ผมอยากจะเห็นท่านทำมากๆตอนนี้ก็คือ ให้หาสถานที่เหมาะๆ แล้วนำเด็กและเยาวชน เข้าค่ายอบรม ๓ วัน ๕ วัน พยายามดึงเด็กเหล่านี้ให้ออกจากอบายมุขและสิ่งมอมเมาต่างๆ พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้จะดีใจมากนะครับ เพราะงานของชาวอโศกเท่าที่ได้พิจารณาดีๆ ก็จะทำเพื่อ สังคม และมวลมนุษยชาติอยู่แล้ว ดังนั้นเด็กคือผ้าสีขาว ถ้าได้ให้เขาได้ซึมซับ ธรรมะ แต่เด็กๆ โตมา เขาเหล่านั้น ก็คงเป็นคนดี ไม่ทำร้ายสังคมไม่โกง ไม่ทุจริต อย่างที่เห็นๆ ทุกวันนี้
* นายสัมพันธ์ มณีวรรณ จ.เชียงราย

- ขอขอบพระคุณในความห่วงใยและความปรารถนาดีต่อเราชาวอโศก และคิดว่ามีหลายๆท่าน ก็เห็นเช่นเดียวกับคุณสัมพันธ์ จึงอยากจะขอเชิญชวนให้มาเรียนรู้ "การเมืองบุญนิยม" ไปพร้อมๆ กันกับเราชาวอโศกด้วย จะดีมั้ยเอ่ย? ที่สำคัญอยากบอกว่า เราชาวพุทธเชื่อมั่นใน "กรรมและวิบาก" ทั้งบุญและบาปล้วนเป็นของเจ้าของทั้งสิ้น ยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสทำสิ่งที่เป็น "บุญ" ไว้ไม่ขาดทุนเลย และหากจะเริ่มต้น ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน เราจึงฝึกตนให้แข็งแรงด้วยศีล ๕ ละเลิกอบายมุขให้ได้ก่อน เพราะ "บุญ" ของเราคือการชำระกิเลสของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น ด้วยแนวคิดเช่นนี้ การเมืองบุญนิยม จึงจะไม่เหมือนการเมืองทั่วๆไปที่เขาเป็นกันอยู่ น่าสนใจและเป็นจริงเป็นจังกว่ากันเยอะเลยใช่ไหม? - บ.ก.

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ -