ตอน.... หลงแต่รวย-ก้าวหน้า ไม่มุ่งศึกษาการลดกิเลส กู้ประเทศไม่ได้ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๗ ข้อความข้างต้นนี้เป็นโศลกธรรม ที่พ่อท่านให้ในงานมหาปวารณาครั้งที่ ๒๓ ที่ผ่านมา และจะใช้เป็น โศลกธรรม ปีใหม่ด้วย ความเป็นมาของโศลกนี้ได้ในขณะบิณฑบาต ๒๐ ต.ค. พ่อท่านเล่าว่า ก่อนออกบิณฑบาต เข้าห้องน้ำ ก็คิดได้ส่วนหนึ่ง เมื่อเดินบิณฑบาตก็คิดอีก และเปรยให้สมณะแ ที่ร่วมสายบิณฑบาตด้วย ช่วยกันคิด เพื่อหาคำความ ที่ดีที่สุด เสร็จจากบิณฑบาตแล้ว จึงมาเขียนแก้ แต่งคำอีกเล็กน้อยจึงเสร็จ ทันส่งให้คุณไฟงาน เพื่อนำไปเร่ง ทำปฏิทิน ประจำปีของชาวอโศก บันทึกฯฉบับนี้ ต้องควบรวมเนื้อหาสองเดือนในฉบับเดียวอีก เนื่องจากมีบทสัมภาษณ์เยอะ ทำให้ต้อง ตัดเรื่อง หรือ เหตุการณ์ ในเดือนทั้งสองนี้ออกไปบ้าง ไม่เช่นนั้นสารอโศกจะเล่มอ้วนโตเกินไป หลักสูตรการศึกษา ๑ ก.ย. ๒๕๔๗ คณะการศึกษา สส.สอ. ได้เข้าสนทนาเรื่องการจัดทำ หลักสูตร การศึกษา ของกระทรวง และที่ทางโรงเรียนกำลังจัดทำ มีประเด็นที่พ่อท่านกล่าวถึง การศึกษา ที่แท้จริงนั้น จะเป็นไป โดยธรรมชาติ มีเด็กเล็กวิ่งเล่นในขณะที่พี่ๆกำลังนั่งเรียน หรือทำงานอยู่ ส่วนที่กล่าวกันว่าประเทศไทยเจริญนั้น จริงๆ แล้วเสื่อม เพราะผู้บริหาร ไปเอาความคิดมาจาก ตะวันตก หรือเมืองนอก ความเจริญไม่ใช่อยู่ที่มีแสงสีมากกว่ากัน ความเจริญอยู่ที่สังคมนั้น อยู่กันอย่าง มีภราดรภาพ สันติภาพ อิสรเสรีภาพ นอกจากนี้ พ่อท่านไม่เห็นด้วย กับการส่งเด็ก ไปแข่งขัน (ขออภัยที่จำต้องข้ามผ่านในรายละเอียด) FM 96.5 MHz. เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ๖ ก.ย. ๒๕๔๗ รายการวิทยุที่มีผู้นิยมมาก ได้โทรศัพท์ ขอสัมภาษณ์ พ่อท่าน เนื่องจากข่าวว่าพรรคเพื่อฟ้าดินจะส่ง พล.ต.จำลองลงสมัคร ส.ส. เป็นรายการ ที่น่าสนใจ เพราะพิธีกร ก็ซักไซ้อย่างได้อรรถรส พ่อท่านเอง ก็ตอบได้อย่าง รู้เท่าทันพิธีกร เริ่มประเด็น ของพรรคเพื่อฟ้าดิน แล้วโยงมาสู่ข่าว ที่จะส่ง พล.ต.จำลอง ปิดท้ายด้วยการโยงไปถึง นายกฯทักษิณ พ่อท่านพูดอย่างไร ทำให้พิธีกรสรุป ในช่วงท้ายว่า ดูสุ้มเสียงของ โพธิรักษ์กับ ดร.ทักษิณ ยังมี ความห่วงใย และเอื้ออาทร อยู่หลายส่วนทีเดียว โยมอาคำผาย เจริญศรี ๑๘ ก.ย. ๒๕๔๗ ที่วัดมหาวงศ์ สมุทรปราการ มีพิธีเผาศพ โยมอาคำผาย เสียชีวิต เมื่ออายุได้ ๙๑ ปี ซึ่งเป็นอาคนหนึ่งของพ่อท่าน ระหว่างรอเวลาเผา พ่อท่านตรวจแก้งาน แม้แต่อยู่ในรถ ช่วงเดินทางไป-กลับ ก็เร่งตรวจแก้ให้เสร็จ ก่อนเดินทางกลับอุบลฯ (ขอข้ามผ่าน ในรายละเอียด) เอื้อไออุ่น ๓ ศูนย์ฝึกฯ ๑๘ ก.ย. ๒๕๔๗ กลับจากงานเผาศพโยมอาคำผาย ที่สันติอโศก มีญาติธรรม จาก ๓ ศูนย์ ฝึกอบรมฯ ได้มาสัมมนา ได้แก่บูรพาอโศก สระแก้ว จันทบุรี (วังพฤกษา) โดยนิมนต์ ให้พ่อท่าน ได้แสดงธรรม และเอื้อไออุ่น (ขอข้ามผ่านในรายละเอียด) คำแนะนำลึกๆ สำหรับผู้ต้องการจะบวช ๑๘ ก.ย. ๒๕๔๗ ที่สันติอโศก มีผู้มาอยู่ช่วยงาน ส่วนกลาง แล้วต้องการ จะบวช เมื่อได้ปรึกษาใครต่อใคร หลายท่านก็ส่งเสริม หลายท่าน ก็ทักท้วง ดึงไว้ให้ ช่วยงาน ในฐานฆราวาส จะได้มากกว่า ทำเขาตัดสินใจลำบาก จึงได้มาขอคำแนะนำ จากพ่อท่าน เป็นที่สุด เพื่อตัดสินใจ พ่อท่านให้คำแนะนำ ว่าอย่างไร น่าสนใจนะ เทศน์ที่วัดชลประทานฯ ๒๓ ก.ย. ๒๕๔๗ ในงานสวดศพโยมชิด เจริญกุล อายุ ๘๖ ปี ลูกๆ ซึ่งเป็นญาติธรรม ได้นิมนต์ พ่อท่านไปแสดงธรรม (ขอข้ามผ่านในรายละเอียด) ให้สัมภาษณ์ น.ส.พ.ร่วมด้วยช่วยกัน ๒๔ ก.ย. ๒๕๔๗ เนื่องจากมีกระแสพูดกัน ถึงพรรคทางเลือก ที่สาม และ ก็มีผู้มอง มายังพรรคเพื่อฟ้าดินเหมือนกัน ทำให้นักข่าวส่วนหนึ่ง สนใจติดต่อ ขอสัมภาษณ์ พ่อท่าน น.ส.พ. ร่วมด้วยช่วยกัน ก็เป็นหนึ่ง ที่สนใจมา ประเด็นคำถามก็ดี ไม่ส่อ ให้ต้องไปพิพาท หรือทะเลาะกับคณะอื่นๆ พ่อท่านก็ตอบได้ดี เสียดาย ที่เขานำไปตีพิมพ์ ได้บางส่วน พวกเราจึงได้นำเอาบทสนทนาสัมภาษณ์นั้น มาพิมพ์เป็นเล่ม ผู้สนใจติดตามได้จาก หนังสือ "อโศกที่เห็นและเป็นอยู่ "เล่ม ๑ (ในที่นี้ขอข้ามผ่าน) การเมืองทุนนิยม = อำนาจ + ผลประโยชน์ ๒๔ ก.ย. ๒๕๔๗ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 New 1 ได้มา สัมภาษณ์ กับคำถามที่ว่าการเมืองมีการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนและพรรคพวก พ่อท่าน เห็นอย่างไร, จะแก้อย่างไร, พรรคเพื่อฟ้าดินตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร, มีตัวบุคคล ที่จะส่ง ลงสมัครหรือ, พรรคเพื่อฟ้าดินมีนโยบายอะไรที่เด่น, เห็นอย่างไร กับเรื่องกองทุนหมู่บ้าน กองทุนฟื้นฟูเกษตรกร, การทำชุมชน พึ่งตนเองอย่างนี้ น่าจะนำเสนอในสังคมวงกว้าง คำถามเหล่านี้ พ่อท่านจะตอบว่า อย่างไร ต้องพลิกไปอ่านแล้ว การเมืองภาคประชาชน ๒๔ ก.ย. ๒๕๔๗ ที่สันติอโศก คณะถ่ายทำรายการ "การเมืองภาค ประชาชน" ของไททีวี ได้มาสนทนา ทำรายการ กับประเด็นที่ว่าการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ต่างไปจาก ทุนนิยม ท่านเอาบุญมาล่อ เอานรกมาขู่ หรือเปล่า, ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจ หรือการเมืองก็ตาม พ่อท่าน เอาจิตวิญญาณเป็นตัวนำ อันนี้มันเป็นของพ่อท่าน หรือ พระพุทธเจ้า, การเมืองของพรรคเพื่อฟ้าดิน จะเป็นอย่างไรต่อไป, และการเมืองทั่วไป ในปัจจุบัน เป็นอย่างไร ในสายตาของพ่อท่าน, กรรมการ บริหาร และสมาชิกพรรค จะต้องถือศีล ระดับใด, ท่านจะแก้ไขจิตวิญญาณ ของท่านนายกฯ ได้อย่างไร เติมเต็มการเมืองพรรคเพื่อฟ้าดิน ๒๖ ก.ย. ๒๕๔๗ ที่สันติอโศก จากกระแสข่าวการเมือง ที่พุ่งมาที่ พรรคเพื่อฟ้าดิน นำเอามาเป็นประเด็นในการแสดงธรรม เพื่อทำความเข้าใจ กับญาติธรรม เป็นสำคัญ เนื้อหาเป็นอย่างไร เชิญเปิดไปอ่านได้ ธรรมะ-สันติภาพ ๒๘ ก.ย. ๒๕๔๗ ร่วมเสวนาธรรมะ-สันติภาพ ที่สำนักงานสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจ และสังคม แห่งชาติ บรรยากาศการเสวนาเป็นอย่างไร พ่อท่านกล่าว อะไรบ้าง มีเรื่องที่ไม่คาดคิด ถือเป็นนิมิตที่ดี ในการทำงาน ศาสนา ผู้ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ให้เสียหาย กลับมีไมตรีญาติดีด้วย แถมท้าย ก่อนจาก อยากให้พรรคเพื่อฟ้าดิน เข้ามามีบทบาท ในการบริหาร เพื่อจะได้นำธรรมะ มาสู่สังคม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก ๒๙ ก.ย. ๒๕๔๗ ที่ราชธานีอโศก อ.บุญถิ่น ผู้ร่าง โครงการ "โพธิอาษา" ให้แก่มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งโลก มีวุฒิ เปรียญธรรม ๙ ประโยค ได้มาขอ คำแนะนำ หลังจากที่ได้ ส่งเอกสาร มาให้พ่อท่าน ช่วยตรวจดู (ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง) ด้วยเห็นว่า พ่อท่านเป็น ผู้ทรงภูมิปัญญา ที่จะต้องได้รับคำแนะนำ ซึ่งพ่อท่านก็กล่าวอย่างตรงไป ตรงมาว่า "การศึกษาพระพุทธศาสนา ได้ถูกปฏิรูปมานาน จนกระทั่งเข้าใจว่าแนวการปฏิบัติ อย่างที่พูด และสอนกันนี่ถูกแล้ว อาตมาก็เห็นว่า อาตมาคง ทำด้วยไม่ได้ และ อาตมา ก็เป็นผู้น้อย จึงต้องขอ แยกออกมา มันทำไม่ได้ เพราะทฤษฎีมันเพี้ยนไปแล้ว อาตมาก็เอาจาก พระไตรปิฎก เหมือนกัน แต่ก็ตีความต่างกัน จึงต้องขอแยกออกมาทำเป็นนานาสังวาส ทุกวันนี้ก็เห็นผลเจริญ อย่างหมู่บ้านนี้ หรือชุมชนอโศกอื่นๆ ไม่มีอบายมุขเลย และก็ปฏิบัติศีลที่เกิดศรัทธา เป็นศรัทธินทรีย์ ไม่ใช่แค่ ศรัทธาสามัญ" จากนี้ไปเป็นการสนทนา ในการอธิบายความ ที่ต่างจาก กระแสหลัก โดยพ่อท่าน เปิดพระไตรปิฎก แล้วอธิบาย ตามความเห็น ที่พ่อท่านมีต่างออกไปจากที่สอน ที่เรียนๆกันมา ในที่นี้ ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ในรายละเอียดนั้น ตั้งชื่อเฮือนต่างๆของอุทยานบุญนิยม ๓ ต.ค. ๒๕๔๗ ที่ราชธานีอโศก ขณะเข้าห้องน้ำ ก่อนออกไป บิณฑบาต พ่อท่านได้คิดชื่อของเฮือนที่อุทยานฯได้ มีชื่อว่า เฮือนหมู่เจ้า คือ เรือนหลังเดิม ที่ใช้ทำ กับข้าว ทำเต้าหู้ ในปัจจุบัน เฮือนต่อมาก็คือ เซามีแฮง คือที่ใช้แสดงธรรม วันอาทิตย์ ข้างบนเป็นที่พัก ของฝ่ายหญิง ตอนแรก เริ่มสร้าง ใช้เป็นที่ ขายของแห้ง แต่ขายได้ไม่ดี ไม่ค่อยจะมีลูกค้าขึ้นไป ส่วนร้านค้าของแห้ง ที่ย้ายลงมาขายในปัจจุบันมีชื่อว่า แพงบ่หล่า เพื่อเป็นการเตือนสติผู้ขายว่า อย่าขายแพง และเฮือนหลังใหม่ ที่กำลังจะประดับ ตบแต่ง ทองเหลือง หล่อให้สวยงาม มีชื่อว่า ถ่าหมู่แน พ่อท่านอธิบายความหมายของชื่อนี้ว่า ได้ดีแล้วรอกันบ้าง การปรับภูมิทัศน์บ้านราชฯ ๖-๗ ต.ค. ๒๕๔๗ ที่ราชธานีอโศก ผศ.ดร.บุญมา บ้านประดิษฐ์ จาก มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ได้มาช่วยลงพื้นที่ดูสภาพทั้งหมด ของหมู่บ้าน ราชธานีอโศก ก่อนเสนอแนะ ถึงการปรับ พื้นที่ การขุดลอกบุ่ง การขุดทำลำธาร การทำภูเขา น้ำตก ฯลฯ ในที่นี้ ข้าพเจ้า ขอข้ามผ่านในรายละเอียด การเมืองบุญนิยม = ลดกิเลส + เสียสละ ๑๑ ต.ค. ๒๕๔๗ ที่ศีรษะอโศก การแสดงธรรม ก่อนฉัน วันนี้พ่อท่าน ตั้งใจที่จะเทศน์เรื่องการเมืองโดยตรง เพื่อให้กรรมการสาขาของ พรรค เพื่อฟ้าดิน ได้นำเอากิจกรรม การฟังธรรมเขียนลงในรายงานการประชุมด้วย ถือเป็น กิจกรรมหนึ่ง ที่สำคัญของ พรรคเพื่อฟ้าดิน ที่จะต้องมีให้กับสมาชิก หรือกรรมการพรรค ได้มีส่วนร่วม ถือเป็นมิติใหม่ ของผู้ที่ จะเข้าไปทำงานการเมือง จะต้องมีการ อบรมจิตใจ ฟังเทศน์ฟังธรรมบ้าง รายละเอียดของ การแสดงธรรม ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ผู้สนใจติดตามได้ที่ ฝ่ายเผยแพร่ กรณีข่าวร่างทรงพระอินทร์+สุริยเทพ ฆ่าลูกและหลาน นักจิตวิทยาและนักวิจารณ์ต่างๆ ได้ออกมา แสดง ความเห็น แต่พ่อท่านเห็นว่ายังมีจุดที่เข้าใจไม่กระจ่าง จากประสบการณ์ ที่พ่อท่านมี และ พุทธศาสนา ที่พ่อท่านเข้าใจ ทำให้พ่อท่าน เห็นว่าจะอธิบายให้สังคมเข้าใจได้ จึงติดต่อสื่อ ที่มีผู้นิยม มากๆ แต่เจ้าของรายการไม่สนใจ จึงสามารถ ออกได้เพียงสื่อไททีวี ในรายการ ทุกข์ปัญหาชีวิต ร่วมกับ ท่านจันทร์ (สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ) ๑๓-๑๕ ต.ค. ยังดีที่ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สนใจจึงได้ออก รายการ "เวทีชาวบ้าน" (๑๙ ต.ค.) ซึ่งได้แพร่ภาพ ออกอากาศไปแล้ว เทศกาลเจ-มังฯ มหกรรมของการสร้างคน ๒๔ ต.ค. ๒๕๔๗ ที่ราชธานีอโศก มีการประเมิน สรุปผล ของกิจกรรม ขายอาหาร ในช่วงเทศกาลเจที่ผ่านมา โดยให้ทั้งชุมชนทุกหน่วยงาน ไม่ว่าเด็กไปถึงผู้ใหญ่ ได้ร่วมกันแสดง ความคิดเห็น ที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตัวเลขผลผลิต หรือรายได้ และพ่อท่านให้โอวาท ปิดท้าย ว่าอย่างไร เชิญพลิกไปอ่านได้ สัมมาสิกขาลัยวังชีวิตได้รับการยกระดับ ๒๓ ต.ค. ๒๕๔๗ ดร.วิวัฒน์ วรวงษ์ ได้นำหนังสือ ที่ลงนาม โดย ดร.ชาญชัย ยมดิษฐ์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจอมบึง ขอนำนักศึกษา ปริญญาโท และคณาจารย์ ๔๕ คน เข้าศึกษาดูงาน ณ มหาวิทยาลัยวังชีวิต และร่วมแลกเปลี่ยน ยุทธศาสตร์การพัฒนาระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ทั้ง ๒ สถาบัน ดร.วิวัฒน์ได้เล่าให้ฟังว่า ได้ยิน อาจารย์ ทั้งที่นิด้าและที่จุฬาฯได้กล่าวถึงมหาวิทยาลัยวังชีวิต ด้วยความชื่นชม และแนะว่า ถ้ามีโอกาส ก็น่าจะไปสัมผัสศึกษาดูบ้าง และเมื่อคณะราชภัฏ จอมบึง ได้มาศึกษาดูงาน ๒๗ ต.ค. และได้สนทนา ซักถามเรื่องต่างๆจากพ่อท่านแล้ว ทั้งหมดมีท่าทีที่ดีและเข้าใจ แต่ในบันทึกนี้ ข้าพเจ้า ต้องขอข้ามผ่าน ในรายละเอียด ของการสนทนานั้น ประชาสังคมกับการพัฒนาประชาธิปไตยในท้องถิ่น ๒๘ ต.ค. ๒๕๔๗ ที่ราชธานีอโศก คุณลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ นักศึกษาปริญญาเอก โครงการสหวิทยาการ คณะบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้มาสนทนา สัมภาษณ์พ่อท่าน เพื่อประกอบการทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อ "ประชาสังคม กับการพัฒนา ประชาธิปไตย ในท้องถิ่น" ตัวอย่างคำถามบางส่วน การเมืองอย่างที่พ่อท่าน พาทำนี้ ในระดับมหภาค จะเป็นอย่างไร, สิ่งที่พ่อท่าน ดูเหมือนไม่สามารถเตือนสติให้หลายท่านเหล่านั้นได้, การตั้งพรรคเพื่อฟ้าดินเป็นความหวังด้วยหรือเปล่าคะ, ถ้าไม่หาเสียงแล้ว ประชาชน จะรู้จักได้อย่างไร, อโศกมีนโยบายที่จะไปแลกเปลี่ยน เยี่ยมเครือข่าย อย่างเสมสิกขาลัย หรือสมัชชาคนจน บ้างหรือเปล่า, ในโลกของธุรกิจ และการคอรัปชั่น ที่เขาไม่รู้ว่ามันผิด อย่างนี้จะมีกรรมวิบาก ด้วยไหม, ผู้หญิง ควรจะบวช ในระดับสมณะด้วยหรือเปล่าคะ พ่อท่านจะตอบว่าอย่างไรในคำถามเหล่านี้ เชิญเปิด ไปอ่านได้ เยี่ยมคุณปราจีน ทรงเผ่า ๒๙ ต.ค. ๒๕๔๗ เดินทางไปเยี่ยมคุณปราจีน ทรงเผ่า ที่บ้านแถวเสนานิเวศน์ ซึ่งเผชิญกับ หลายโรคทั้งเบาหวาน อาการทางสมอง และต้องฉายแสง เลเซอร์ที่ตา นับเป็นพันครั้ง รายละเอียด ของการสนทนา ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ด้วยโอวาทปิดประชุมพาณิชย์บุญนิยม ๑ พ.ย. ๒๕๔๗ ซึ่งพ่อท่าน ได้พูดถึง ตลาดหุ้น ไว้อย่างไร และเตือนพวกเร าอย่ามัวทะเลาะกันด้วยเรื่องแนวคิด ซึ่งเป็นเพียงอรูปอัตตา เท่านั้น สังคมบุญนิยม จะไปได้ไกล เพราะอะไร เป้าหมายสูงสุด ของเราคืออะไร สรุปแล้วชีวิตเกิดมา อะไรคือคุณค่า ทิ้งท้ายสำหรับ ผู้ยังอยู่นอกหมู่กลุ่ม ควรรีบเปิดไปอ่านซะ
# # # 96.5 MHz.
เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ เนื่องมาจากการประชุม ๗ องค์กรปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พ่อท่านได้บอกเล่าให้กรรมการ องค์กร ต่างๆ นั้น ที่มาร่วมประชุมได้ทราบ เรื่องพรรคเพื่อฟ้าดิน จำจะต้องส่งผู้สมัคร ลงรับเลือกตั้ง ในสมัยหน้า (ด้วยเข้าใจผิดว่า เป็นข้อบังคับของ กกต. ถ้าไม่ส่ง จะถือเป็น ความผิด แม้โทษทัณฑ์ จะยังไม่ชัดเจนว่า จะเป็นเช่นใด บ้างก็ว่าแค่ปรับ บ้างก็ว่า พรรคอาจถูกยุบ) พ่อท่านจึงเปรยว่า ถ้าพรรค เพื่อฟ้าดินจะต้องส่ง ก็คงจะต้องส่งชาวอโศก ที่ประชาชน รู้จักกันดี ซึ่งก็คงต้องเป็น พล.ต.จำลอง หากส่งชาวอโศก ที่ประชาชนไม่รู้จัก จะถูกมองว่าดูถูกประชาชนได้ แต่เรื่องนี้ ยังไม่ได้คุย กับ พล.ต. จำลองเลย ไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เผอิญมีกรรมการท่านหนึ่งเห็นดี แล้วนำเรื่องนี้ไปบอกนักข่าวที่ตนคุ้นเคยให้มาทำข่าว โดยไม่ได้ ปรึกษาว่า เรื่องนี้ สมควรเป็นข่าวหรือไม่ เมื่อนักข่าวมา (๑ ก.ย.) พ่อท่านเห็นใจในอาชีพของเขา ที่ต้อง หาข่าว ถ้าปฏิเสธ ก็จะดูแข็งเกินไป จึงบอกเล่า ความคิดเห็นทางการเมืองแบบบุญนิยม ไปตามจริง และตามที่นักข่าวสนใจ ก่อนจากพ่อท่านบอกนักข่าวว่า ที่พูดกันนี้ เป็นความรู้ ให้เท่านั้น จริงๆ ยังไม่ต้องการให้นักข่าวเอาไปลง ถ้าจะเอาไปลง ก็ให้เลือกเอาประเด็น ที่เหมาะสม ก็แล้วกัน เพราะมี หลายประเด็น เป็นอุดมคติ ที่ปัจจุบันยังไม่เกิด เช้านี้ ๖ ก.ย. เพิ่งจะทราบจากผู้ติดต่อขอสัมภาษณ์ออกรายการวิทยุ FM 96.5 MHz. เจาะลึก ทั่วไทย อินไซด์ ไทยแลนด์ว่า น.ส.พ. ที่กรุงเทพฯได้ลงข่าวเรื่องนี้แล้ว จึงอยากจะขอสนทนา สัมภาษณ์ ออกอากาศทางวิทยุ ในเวลาประมาณ ๘.๔๕ น. แล้วทางรายการ จะติดต่อกลับมา จากเนื้อหา ที่ได้สนทนาออกอากาศดังนี้ คุณเถกิง : นี่คือเสียงจากเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์คุณผู้ฟัง อยู่ๆสมณะโพธิรักษ์ จากสำนัก สันติอโศก ก็ออกมา ประกาศ จะขับเคลื่อนการเมือง การเลือกตั้งครั้งใหญ่ การเมืองเรื่องการเลือกตั้ง จริงๆแล้วกลุ่มสันติอโศก เขาตั้ง พรรคการเมือง ขึ้นมาพรรคหนึ่ง ชื่อว่าพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่จริง โดยรูปแบบ เป็นพรรคการเมือง ที่จดทะเบียนถูกต้อง กับคณะกรรมการ การเลือกตั้ง ผมคงเข้าใจ ถูกต้อง แต่ในแง่เนื้อหาสาระ มันเป็นพรรคการเมือง ในอีกมิติหนึ่ง ก็คือเป็น พรรคการเมือง ภาคประชาชน เป็นการรวมตัว ของกลุ่มความคิดกลุ่มหนึ่ง เพื่อนำเสนอความคิดของตัวเอง กับสังคม และ พรรคเพื่อฟ้าดิน เคยประกาศ มาโดยตลอดว่าเป้าหมายและวิธีที่ขับเคลื่อนไปมิใช่การเลือกตั้ง แต่อยู่ๆ สมณะโพธิรักษ์ ประกาศจะส่งคนสมัครรับเลือกตั้ง และจะไปทาบทาม มหาจำลอง มาลง สมัคร ส.ส. ในนามพรรค เพื่อฟ้าดินด้วย นี่เป็นการขับเคลื่อนที่น่าสังเคราะห์ยิ่ง คุณดนัย : ครับ ไปขอทราบรายละเอียดจากท่านผู้นำพุทธสถานสันติอโศกกันนะฮะ
ท่านสมณะ โพธิรักษ์ ครับ สวัสดีครับท่านครับ พ่อท่าน : คือเป็นพรรคการเมืองที่อาตมาขอพูดถึงนี้ก่อน เพราะไม่งั้นจะเข้าใจผิด และคนที่เข้าใจ ที่มีอุปทาน อยู่แล้วว่า เป็นพระเป็นเจ้ามาวุ่นวายอะไรกับการเมืองแล้วมันผิด คนที่มี concept อย่างนี้ อยู่แล้ว เขาจะตีทิ้งเลย เขาไม่ฟังแล้ว เขารับอะไรต่ออะไรมา อาตมา ขอแก้คำถามนี้ก่อนว่า จริงๆแล้ว การเมืองที่ขจัดพระ หรือขจัดธรรมะ ขจัดกองการกุศล ออกไปจากการเมือง เช่นว่า ไปจดนิติกรรม ไปจดนิติบัญญัติไว้ว่าอันนี้จะเป็นองค์การการกุศล องค์กรมูลนิธิอะไรก็แล้วแต่ ทางการจะมีเงื่อนไข กำกับว่า ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง กฎหมายมีไว้ อย่างนั้นเลย อันนี้อาตมาว่า เป็นความล้มเหลว ของสังคมอย่างสิ้นเชิง เพราะว่า เมื่อการเมืองได้กีดกั้นทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้ธรรมะ ที่จะไม่ให้ ผู้ที่จะ ทำงานเพื่อการกุศลเนี่ยะ เข้าไปเกี่ยวข้อง กับคนบริหารบ้านเมือง มันก็เท่ากับ นักบริหาร บ้านเมือง ก็ไม่ได้ใกล้ชิด ก็ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กันกับ การกุศล หรือการเป็นธรรมะเป็นศาสนา อะไรกันเลย นี่คือ ความล้มเหลวอันยิ่งใหญ่ เป็นความเข้าใจผิด มาแต่ไหนแต่ไร คุณดนัย : ตรงนี้ก็เป็นความเข้าใจพื้นฐานที่จะต้องสื่อสารกันก่อน พ่อท่าน : ใช่ เป็นความเข้าใจพื้นฐานที่ผิดพลาดมานานแล้ว ก็ขอทำความเข้าใจสักนิด อาตมาทำนี่ ไม่ได้มา ดันทุรังว่า จะต้องแก้กฎหมาย หรือว่าจะมาฝืนประเพณี หรือว่า ความเชื่อถือของสังคม ค่านิยม ของสังคมอะไรหรอก เป็นแต่เพียงว่า มันถึงเวลา ที่จริง เราไม่ได้คิดจะตั้งพรรคการมงการเมือง อะไรหรอก พรรคพลังธรรม ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ชาวอโศก ก็ไม่ได้ไปเป็นตัวตั้งตัวตีอะไร เป็นเรื่องของ คุณจำลองที่ทำ แล้วพวกเรา คนที่เป็นฆราวาส ที่เขารัก การเมืองอยู่ เขาอยาก จะทำงานการเมือง เขาก็ไปทำ ทางด้าน ศาสนาเรื่องธรรมะ เราก็ทำของเรา ไปอยู่ปกติ เราก็ไม่ใช่ว่า ไม่รู้เรื่องของสังคม เขาคิดยังไง แต่ว่าเราเอง เราเข้าใจของเรา อย่างที่กล่าว ไปแล้ว ว่าเอาธรรมะออกจากการเมือง มันไม่ได้ มันไปกันใหญ่ คุณเถกิง : มันไม่ถูกต้อง ครับ พ่อท่าน : อ้า! ทีนี้นิติภูมิเขายุ่งมากเลย ผู้ที่ร่วมคณะที่ทำอยู่นี่จัดสรรอยู่มันก็ไม่เสร็จ มันก็เจียนๆ จะถึงเวลา หาสมาชิก ๕,๐๐๐ คน ก็หาไม่ได้ อะไรก็ไม่พร้อม แล้วมันก็จวนแจๆ เต็มที นิติภูมิเขาก็คิดว่า เอ๋ะ! ถ้ายังงั้นมันคงตั้ง ไม่สำเร็จ หรอก ก็เลยโบ้ยเอาพรรคนี้มา แล้วจะเอาไปให้ กลุ่มไหนดี ก็คิดถึง กลุ่มอโศก ว่าจะทำได้ดี เพราะว่า กิจกรรมของเรา ชุมชนก็ดีอะไรก็ดี มันก็ตรงๆกับสหกรณ์อยู่แล้ว สหกรณ์แท้ๆด้วย ซึ่งเขาก็ศึกษาสหกรณ์ มาอย่างดี เขาก็เลย จะเอาพรรคสหกรณ์นี่มาให้เราทำ พอเอามา โยนให้เรา เราบอก....โอโฮ! เราไม่พร้อมอะไรเหมือนกัน เพราะว่าเรา ก็ไม่ได้อยากตั้ง แต่ก็พยายามยัดเยียดมา ก็หว่านล้อม ทุกอย่าง สุดท้ายเราก็จำต้องเอา ....ก็เอา เพราะว่า ก็มีหลาย ปัจจัย เราก็เลยรับมา ก็มาคิดกันว่า เรา....มันคงจะถึงคราวน่ะ อะไรมันจะเป็น นิมิตหมายอย่างไร หรืออะไร ก็ตามใจเถอะ มันคงจะต้องตั้ง เราทำไปก็แล้วกัน ซึ่งอาตมาก็เข้าใจอยู่ว่า การเมืองนั่น คืออย่างไร ประชาธิปไตย คืออย่างไร ประชาธิปไตยที่อาตมาเข้าใจ ก็เป็นอย่างที่อาตมาเข้าใจ ซึ่งก็ไม่ตรงกับ ที่เป็นอยู่ขณะนี้ทีเดียว คุณเถกิง : หมายถึงว่าเที่ยวนี้ที่จะเข้ามานำเสนอพรรคการเมือง ก็ต้องการนำอุดมการณ์ ในเรื่องของ สหกรณ์ การอยู่แบบสันติอโศกเสนอให้กับประชาชน แล้วมองเห็น ปัญหา การเมือง ที่เขาตั้งพรรค กันขนาดนี้ ตั้งพรรคทางเลือก พรรคโน้นพรรคนี้ขึ้นมา เพราะว่า มันมีปัญหา ในเรื่องปัญหาการเมือง ขึ้นมาหรือเปล่า พ่อท่าน : เห็นแน่นอน เห็นชัดเจนเลยว่าเป็นพรรคการเมืองธุรกิจกันทั้งนั้น เป็นพรรคการเมือง แสวงหา อำนาจ กันทั้งนั้น เป็นพรรคการเมือง ที่ไปทำมาหากินหาทางได้ หาทางร่ำทางรวย หาเลี้ยงตัวเลี้ยงตน สร้างชีวิต ให้เป็นอาชีพที่ร่ำรวย เป็นโลกธรรม เป็นโลกียะธรรมดาๆเลย ใฝ่ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สามัญแท้ๆ ซึ่งเราเห็นว่า พรรคการเมือง หรือว่าคณะทำงาน การเมืองโดยประชาธิปไตย มันควรจะเป็น ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน อย่างแท้จริง คุณเถกิง : ครับ ที่นี้ก็เลย พ่อท่าน : แนวคิดของเราจะไม่เหมือนที่เป็นที่มีอยู่ในขณะนี้หลายอย่าง ที่นี้เรามีคนอยู่แล้ว คือ คนเราได้ พัฒนามา ได้ละลด กิเลสตัณหาอะไรต่ออะไรมา จนกลายเป็นกลุ่มหมู่ จนกระทั่ง ถึงขั้น สาธารณโภคีคือ ทำงานฟรี ทำงาน เสียสละ ทำงานไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เป็นอาชีพ แบบโลกธรรม หรือแบบโลกียะที่เขาทำกัน อย่างทุนนิยมเนี่ยะ ไม่เป็นอย่างนั้น แน่นอน คุณเถกิง : ทีนี้ก็ดูว่าขณะนี้ก็มองหาตัวที่จะมาลงก็พุ่งเป้าไปที่ท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง พ่อท่าน : อย่าเพิ่งลัด ลัดไป ทีนี้พอเราตั้งพรรคนี้ขึ้นมาแล้วเราก็ตั้งใจที่จะทำงานพรรคนี้ เขียนนโยบง -นโยบาย ไปส่ง กกต. เขาไป อะไรต่ออะไรต่างๆนานา คุณไปเอานโยบายพรรคที่ กกต. เขาได้เลย ขอเขามาดูได้เลยว่า มันจะเป็น นโยบายอาริยชน เป็นการเมืองอาริยะ เป็นการเมืองบุญนิยม ไม่ใช่ การเมืองโลกๆ สามัญโลกียะธรรมดา ไม่ใช่การเมือง ของปุถุชน ว่างั้นเถอะ เป็นการเมืองของ อาริยชน จริงๆ เป็นการเมืองที่จะต้องลดละกิเลสจริงๆ ไปทำงานการเมือง ต้องเสียสละ เช่น ในนโยบาย ร่างไว้เลย บอกไว้เลยว่า คนที่ทำงาน เป็นตัวแทนของผู้ที่ เป็นประชาชนเลือกขึ้นไปเนี่ยะ จะในตำแหน่ง ระดับ ส.ส. ส.ว. อะไร ก็แล้วแต่ หรืออาจจะเลือกนายกฯ โดยประชาชนทั้งหมด ในอนาคตก็ตาม ผู้ที่ได้รับเลือก จากประชาชน เป็นตัวแทนแล้วต้องทำงานฟรี ต้องทำงานไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้เลย ไปเสียสละจริงๆ แล้วให้ประชาชนเลี้ยงไว้อะไรอย่างนี้เป็นต้น คุณเถกิง : ฟังแล้วเหมือนท่านโพธิรักษ์เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่าอาจใช้คำโตๆว่า คือ หมดศรัทธา กับทุก พรรคการเมือง ที่มันมีอยู่ในปัจจุบัน และรวมทั้งประกาศ ที่จะตั้งพรรคการเมือง ในระยะนี้ด้วย พ่อท่าน : ถ้าจะพูดยังงั้นก็ได้ ที่จริงไม่ได้เกิดอารมณ์ไม่ศรัทธาพรรคการเมือง แล้วค่อยตั้ง พรรคการเมืองนะ บอกแล้วว่า มันเกิด เหตุการณ์ เฉพาะหน้า เหตุการณ์ที่มันฉุกละหุก ที่แก้เหตุการณ์ เฉพาะหน้า ไปเท่านั้น เราไม่ได้คิด จะตั้งพรรคการเมือง อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว คุณเถกิง : เข้าใจๆ ครับๆ พ่อท่าน : เพราะงั้นจะบอกว่าเราไปชิงชังหรือไปรังเกียจพรรคการเมืองใดๆ ก็ไม่เชิง แต่ก็เห็นว่ามันยัง ไม่เข้าตาเรา คุณเถกิง : มันเกิดขึ้นด้วยอุบัติเหตุอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าบทบาทตั้งแต่ปี'๔๕ จนถึงปัจจุบัน พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็นำเสนอ ความคิดเพียงอย่างเดียว แต่ว่าครั้งนี้นั้น ประกาศที่จะมายุ่ง กับการเมือง เรื่องเลือกตั้ง เรื่องระบบรัฐสภา มีตัวทงตัวแทน เข้าไปอยู่ในระบบรัฐสภานั้น หมายความว่า เริ่มหมดศรัทธา ต่อทุกพรรคการเมืองเลยอย่างนั้นเหรอครับ พ่อท่าน : แหม ! คุณพยายามยัดเยียดให้อาตมาหมดศรัทธาพรรคการเมืองอยู่เรื่อยเลยนะ ก็ขอยืนยันว่า อาตมา ไม่ได้มี ความคิดรุนแรง ผลักดัน หรือว่ารังเกียจรังงอนอะไรถึงปานนั้น ไม่รุนแรง อย่างนั้นหรอก แต่ว่าเพราะเห็นข้อที่ ไม่ตรงกับใจเรา เห็นข้อบกพร่อง เห็นข้อที่ ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง อยู่เท่านั้นเอง แล้วเราก็จะไม่เป็น ....ไม่เป็น การเมืองอย่างที่เขา เป็นกันอยู่ จะเป็นการเมืองแบบใหม่ ขอยืนยันว่า เป็นการเมืองแบบใหม่ ซึ่งยังไม่เคยมีในโลก เป็นพรรคการเมือง ที่ไม่แสวงหาอำนาจ ไม่ส่ง ส.ส. ง่าย ที่จะพูดต่อไปถึงตรงที่ว่าส่ง ส.ส. เนี่ยะ เราไม่ได้บอกว่า ไม่ได้ประกาศว่า ไม่ส่ง ส.ส. แต่บอกว่า จะไม่ส่ง ส.ส. ง่าย อาจจะยี่สิบ สามสิบปี ไปก็ได้ ถ้าจะส่ง ส.ส. เนี่ยะ ผู้ที่จะได้รับเลือก ไปเป็นตัวแทน ของประชาชนจริงๆ ก็คือประชาชนจะต้องเห็นจริง ประชาชนมาเลือกมาเรียกร้อง ให้ไปเป็นจริงๆ เราจึงจะไป เช่นเขตนี้มีผู้เลือกตั้งประมาณแสนคน จะต้องมีประชาชน ผู้ต้องการ.... มาบอกเลย มาบอกแจ้ง มาลงบัญชีหางว่าวมาก็ตาม หกหมื่นคนขึ้นไป บอกว่าต้องการเราลงไปสมัคร ไปเป็นตัวแทน เราจึงจะลง เมื่อลงแล้วเสร็จ เมื่อสมัครแล้วเสร็จตามที่ กกต. เขามีหน้าที่ เขาก็ประกาศ ไปให้ประชาชนรู้ว่า ใครลงบ้าง หรือว่า เราจะประกาศ ก็ทำป้ายใหญ่ สักแผ่นหนึ่ง บอกว่าเนี่ยะ เราลงสมัครแล้วนะ หมายเลขนี้นะ แล้วก็ไม่หาเสียง คุณเถกิง : ไม่หาเสียง คุณเถกิง : ทีนี้ อันนั้นคือเป้าหมายของพรรคที่จะทำนะฮะ
แต่ว่าตามข่าวเนี่ยะ ก็จะไปชวน ท่านมหา จำลอง มาลงรับสมัคร คุณเถกิง : ตามกติกาต้องส่งคนเลือกตั้ง
ไม่งั้นจะต้องถูกยุบพรรค คุณเถกิง : เพราะฉะนั้นเนี่ยะ ที่จะต้องส่งครั้งนี้ก็เพื่อทำตามกติกาเพื่อรักษาให้พรรคอยู่ คุณเถกิง : ไม่ได้คิดว่า ส่งแล้วจะต้องได้ยี่สิบที่นั่ง
สิบที่นั่งไม่ใช่อย่างนั้น คุณเถกิง : ฉะนั้นถ้าส่งพลตรีจำลองต้องได้นะฮะ มันกลายเป็นไฟล์บังคับขึ้นมาแล้วว่า ถ้าส่งพลตรี จำลอง ต้องได้สถานเดียวเลย พ่อท่าน : ก็ไม่รู้ อาตมาก็มาคิดว่า เอ๋! ถ้าเราจะต้องส่งแล้วเนี่ยะเราจะทำอย่างไรดี เราส่งไปแล้วมันก็ อย่างงั้นแหละ มันก็ไม่เกิดผลอะไรเลย ถ้าจะเกิดผลดีบ้างก็....เอ้า ก็เลยคิดว่า ถ้าอย่างไร อาตมาไปคุย กับคุณจำลองดูซิว่า คุณจำลอง ก็เคยพูดว่าไม่ลงเลือกตั้ง อะไรต่ออะไรต่างๆนานาสารพัด ทีนี้มัน เหตุการณ์อย่างนี้ คุณจำลองจะเอาด้วยมั้ย อาตมาก็ว่า ยังไม่ได้พูดจริงๆ ก็ยังไม่ได้พูดกันเป็นหลัก เป็นฐาน จริงๆจังๆ เคยพูดกันบ้างทางโทรศัพท์ นิดหน่อย เพราะว่าข่าว มันออกไป พูดกันแล้ว คุณจำลองก็ปฏิเสธ บอกว่าโอ๊ยไม่เอาหรอก แก่แล้วอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง ก็ได้บอก ได้พูดไปแล้ว ต่างๆนานาว่า จะไม่ลงไม่อะไร ถ้าขืนไปพูดอย่างนี้เขาก็ด่าตายสิอะไรต่างๆนานา อาตมาก็บอกว่า จะไปด่าทำไมล่ะ ก็เราบอกว่าเราไม่ลงเลือกตั้งอย่างที่เขาเป็นกัน เราไม่เป็นหรอก การเลือกตั้งแบบโน้น เราไม่เป็น เราก็บอกได้ เลี่ยงได้ จะว่าเลี่ยงก็เลี่ยง จะว่าแก้ตัวก็แก้ตัว เราก็มาทำของเรา อย่างของเราเนี่ยะ เราไม่เป็นหรอก อย่างการเมืองแบบโน้นน่ะ เราจะเป็นการเมืองบุญนิยม ที่ไม่ไปหาเสียง ถ้าประกาศ ถ้าสมัครแล้ว ก็จะเอาคุณจำลอง ติดป้ายไว้ป้ายเดียว บอก.... คุณจำลอง ลงแล้วเบอร์นี้ ของพรรคเพื่อฟ้าดินแล้วก็บอกไม่หาเสียง เพราะพรรคเพื่อฟ้าดิน การเมืองบุญนิยมนี้ ถือว่าการหาเสียง ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย คุณเถกิง : เอาล่ะครับ!
ท่านโพธิรักษ์ครับเดี๋ยวผมขอเบรกสักห้านาทีได้มั้ยครับ เพราะว่า ทางสถานี
เขาต้องตัดเข้าหาข่าว ประเดี๋ยวจะต่อสายไปที่ท่านโพธิรักษ์ ยังมีอีกสองคำถาม
ที่สำคัญๆ นะครับ ต้องกราบขออนุเคราะห์ นิดหนึ่งนะครับ
พ่อท่าน : ใช่....ก็ใช่ แต่ทีนี้ ขณะนี้บอกแล้วว่าเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า เขามาให้ตั้งพรรค ก็เลย..เออ! ก็ตั้งไปแล้ว แม้ในที่สุดก็ตั้งชื่อพรรคเราก็ตั้งไปยังงั้นแหละ ใครเขาฟังแล้ว ก็ชื่อพรรคมัน พรรคการเมือง อะไรวะ พรรคเพื่อฟ้าดินอะไรเนี่ยะ พรรคหนังจีนต่างๆ ก็ว่าของเขาไป เราก็ไม่ได้เจตนา จริงๆ เราเจตนา ทำของเราอยู่แล้ว เราเชื่อว่าเราทำ เราเป็นคน ในประเทศ เราก็ทำสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่กับคนเมือง หรือ การเมืองอะไรอยู่แล้ว โดยธรรมชาติ เราก็ทำอยู่แล้ว อาตมาถือว่าธรรมะกับการเมืองนี่ มันคือ งานที่มุ่งจุดหมาย ไปที่จุดเดียวกัน ธรรมะกับการเมือง จุดหมายไปจุดเดียวกัน คุณดนัย : ทีนี้พอพูดถึงว่าจะส่งคนลง
ก็ตั้งใจว่าจะส่งคนรับเลือกตั้งล่ะ แล้วก็พุ่งเป้าไปที่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง
มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เพราะว่าถ้าเอาคนระดับนั้น มาลงเนี่ยะ ก็ต้องได้ คุณดนัย : เหมือนกับว่าพรรคเพื่อฟ้าดินเนี่ยะ
ก็อยากจะเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองเหมือนกัน คุณเถกิง : นอกจากพลตรีจำลอง มีชื่อใครอยู่อีกบ้างฮะ คุณเถกิง : ทีนี้เมื่อช่วงที่แล้ว
ท่านบอกว่า จะถามใจชาวบ้านในแต่ละเขตเลือกตั้ง ถ้าในเขต เลือกตั้งใด ก็ตาม
ชาวบ้านตั้งแต่ ๖๐% ของจำนวนผู้มีสิทธิขึ้นไป เข้าชื่อ
แสดงความจำนงกัน ท่านก็จะส่งคนลง ส.ส.ในเขตนั้น ถูกต้องมั้ยครับ คุณเถกิง : จะใช้วิธีการอย่างนี้ คุณเถกิง : ตอนนี้ท่านพลตรีจำลองเนี่ยะนะครับ
ที่วางไว้จะให้ลงเขตลงปาร์ตี้ลิสหรือยังไงครับ คุณดนัย : ทีนี้ท่านพลตรีจำลองในระยะหลายปีที่ผ่านมา
ท่านก็สนับสนุน ท่านนายกรัฐมนตรี อยู่นะฮะ เป็นที่ปรึกษา ของท่านนายกฯ ทางด้านสังคมนะฮะ
การที่จะไปเอาท่านออกมาเนี่ยะ ดูความเป็นไปได้ ไม่น่าจะเป็นไปได้นะฮะ คุณเถกิง : จากการเป็นไทยรักไทย จากการไปสนับสนุนท่านนายกฯ
ทักษิณอยู่นะฮะ คุณเถกิง : แหม!
พูดกับคนเยอะขนาดนั้นข่าวก็ต้องหลุดออกมา ข่าวใหญ่เสียด้วย คุณเถกิง : แต่ในที่สุดข้อมูลก็เปิดหมดแล้ว
เรียนถามว่า คุณเถกิง : ทีนี้กติกาของ กกต.นั้นนะครับ
ในการส่งคนลง ส.ส. ในความเป็นพรรคการเมือง ต้องส่งครบทุกเขตหรือเปล่าครับ
หรือว่าแค่ คุณเถกิง : ไม่ ไช่มั้ยครับ กี่คนก็ได้ คุณเถกิง : ครับๆ กรณีมหาจำลองอุ้ม ดร.มานะ มหาสุวีระชัย ลงสนามผู้ว่าฯ กทม. แล้วเท หมดหน้าตัก ถึงขนาดประกาศกับคนกรุงเทพฯว่า เลือกมานะได้จำลองด้วย แต่ในที่สุด ดร.มานะ ก็แพ้ แล้วแพ้โดยที่ได้แค่เจ็ดหมื่นแปดหมื่นคะแนนเสียงจากคนกรุงเทพฯเท่านั้นเอง ผลการเลือกตั้ง ตรงนั้นเนี่ยะ ถามว่า มหาจำลองช้ำมั้ย ก็ช้ำไปทั้งตัวนะฮะ แต่มันสรุป มันบอกอะไรกับเราได้บ้างครับ พ่อท่าน : บอกอะไรกับอาตมาเหรอ อันนี้มันมีความซับซ้อนตั้งหลายประเด็น นักวิจารณ์ คอลัมน์นิส ต่างๆ นักคิดนักรู้อะไรก็เขียนกันออกมา ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ข้อเขียนส่วนตัวอะไรเยอะแยะ อาตมาก็ว่ามันมีความซับซ้อนอย่างนี้แหละในความคิดมนุษย์น่ะ อะไรก็เป็นไปได้นะ เพราะฉะนั้น มันจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก อาตมาเห็นว่า มันเป็นเรื่องของ ธรรมชาติ อาตมาเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมชาติของสังคมธรรมดาๆ เมื่อมันเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น ส่วนคนที่ทำงาน.... ตัวคุณจำลองเอง จะเจ็บจะปวดจะรู้สึก จะอะไรอย่างไร ก็ไม่รู้แหละ อาตมาตอบแทนคุณจำลองไม่ได้ คุณดนัย : ฮะ ฮะ โอ แต่ว่าแล้วทั้งหมดนี้จะนัดหมายท่านพลตรีจำลองคุยกันเมื่อไหร่ยังไง
จะได้ข้อสรุป เมื่อไหร่ คุณดนัย : คุยกันแล้วนะฮะ คุณดนัย : แนวโน้มจะได้ตัวมาลงมั้ยฮะ คุณเถกิง : ถ้าผมเป็นคุณจำลองผมก็ต้องหนีสุดชีวิต
เพราะว่าแผลผมยังไม่หายเลยครับ คุณเถกิง : แผลยังไม่หาย ยังระบมอยู่เลย คุณเถกิง : นั่นซิครับๆ คุณดนัย : เสียงที่ ดร.มานะได้ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้แปดหมื่นกว่า เสียงมาจากสันติอโศก ซักเท่าไหร่ฮะ พ่อท่าน : ไม่รู้ อาตมาไม่รู้ อาตมาเองอาตมาไม่เคยไปบังคับใคร ไม่เคยไปบอกใคร ไม่เคยไปครอบงำ ใครๆ แล้วแต่อิสรเสรีภาพเพราะว่า เห็นว่าประชาธิปไตยนี่มันอิสรเสรีภาพ แม้จะเป็นพรรคเดียวกัน อยู่ในสภา จะยกมือกันคนละฝ่ายก็ไม่มีปัญหา นี่คือประชาธิปไตย แม้จะอยู่พรรคเดียวกันนี่แหละ เวลาเข้าไปในสภาแล้ว ทุกคนก็อิสระ มีเรื่องราวอะไร มีความเห็นแตก อยู่ในสภาเอง ก็ไม่ใช่เรื่อง ประหลาด ต่างคนต่างเห็นไปคนละอย่าง ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องประหลาด คุณดนัย : เพราะว่าเท่าที่ดูขณะนี้
ถ้าหากว่าสันติอโศกส่งคนลงในนามพรรคเพื่อฟ้าดินนี่นะฮะ โดยพลังเสียง ที่มีอยู่อย่างน้อยก็ต้องได้หนึ่งที่นั่งสองที่นั่งแน่ๆแหละ
ถ้าไปลงเขตนี่นะฮะ คุณเถกิง : เอาละครับ ต้องมีการเว้นวรรคต้องทิ้งช่วงให้มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้นจาก ณ ที่นี้ เราก็คงต้องกราบขอ Update ข้อมูลกันอีกนะฮะ แต่ว่าคำถามสุดท้าย เป็นคำถามแถม ก็แล้วกันนะครับ เมื่อประมาณ ๓-๔ เดือนที่แล้ว ผมได้ฟังเท็ป อ่านข้อเขียน ของท่านโพธิรักษ์นะครับ ยังมีท่วงทำนอง ชื่นชม ดร.ทักษิณอยู่ แม้กระทั่งเรื่องทัวร์นกขมิ้น ที่มีคนวิจารณ์ กันเยอะเหลือเกิน ท่านโพธิรักษ์ ก็ค่อนข้าง จะแสดงความชื่นชม อยู่เช่นกันน่ะ นะครับ ถามว่า ๓-๔ เดือนผ่านไป นาทีนี้ ความรู้สึกอย่างนั้น ยังเต็มเปี่ยม อยู่เหมือนเดิมบ้างหรือไม่ พ่อท่าน : อ่า! ก็ตอบตรงๆ ก็แล้วกันนะว่า ลดลงไปตามผลงานหรือว่าตามพฤติกรรม ที่ได้กระทำ ตามสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นขึ้น อาตมาก็เห็นว่า เอ้อ! จุดนี้เป็นจุดที่มัน อาตมาพูดง่ายๆ พูดชัดๆ ง่ายๆว่า อันนี้ไม่ถูกต้อง มากกว่าถูกต้อง ก็เลยคิดว่า คุณดนัย : เรื่องไหนฮะๆ คุณดนัย : สะสม เป็นเรื่องสะสมนะฮะ
แล้วคิดว่าท่านนายกฯ จะปรับปรุงได้มั้ยฮะ คุณดนัย : เข้าใจ นี่ก็คือ นี่คือเหตุผล
ตรงนี้ก็เป็นข้อคิดที่ ที่ทุกผู้คนในสังคมนะฮะ เอาไปประยุกต์ใช้ แล้วก็เตือนสติตัวเอง
ทั้งการขับเคลื่อนชีวิตส่วนตัวด้วย แล้วหน้าที่การทำงานด้วย คุณเถกิง : ครับเอาล่ะ!ครับ
ต้องกราบขอบพระคุณท่านโพธิรักษ์มากครับ ขอบพระคุณมากครับ คุณเถกิง : สมณะโพธิรักษ์ผู้นำสันติอโศก
ถ้าผมจับสัญญาณไม่ผิด ถ้านะครับ แม้จะวิพากษ์ วิจารณ์ อย่างไรก็ตาม สุ้มเสียงของท่านโพธิรักษ์กับ
ดร.ทักษิณยังมีความห่วงใย แล้วก็เอื้ออาทร อยู่หลายส่วน ทีเดียว ผมฟังเป็นอย่างนั้นนะครับ
# คำแนะนำลึกๆ สำหรับผู้ต้องการจะบวช ขยันยอม : ถ้าเราปฏิบัติธรรมโดยไม่ได้เป็นปะ อันไหนมันจะให้ผลดีแก่กันครับ พ่อท่าน : ก็อยู่ที่คุณ คุณเองบอกว่าอย่างนี้ไม่ต้องเป็นปะหรอก เพราะถ้าเป็นปะแล้ว จะต้องมีกิจวัตร มีอะไรต่ออะไร ที่คุณจะทำงานได้น้อยกว่าขณะนี้ ถ้าเป็นอารามิก คุณก็ช่วยงานได้รอบได้มาก เพราะถ้าเป็นปะ คุณก็จะต้องเข้ามากับพวกปะนาคมากขึ้น ความอิสระที่จะทำงาน น้อยกว่าที่คุณเป็น อารามิก มันก็จะต่างกัน มันก็อยู่ที่คุณเอง คุณจะสมัครใจอย่างไร แล้วความจำเป็นของที่นี่ เป็นอย่างไรด้วย คุณก็เลือกเอา ถ้าจะสมัครปะก็ต้องถูกตีกรอบเข้ามาแล้ว การเป็นฆราวาส ที่จะทำงาน ส่วนกว้าง มันจะน้อยลงๆๆ คุณก็ต้องไปตรวจความจริงว่า อะไรที่จะเป็นประโยชน์มากกว่า แล้วคุณเอง ใจร้อน อยากจะมาเป็นไหมล่ะ บางคนใจร้อนอยากจะมาเป็นพระเร็วๆ เขาก็ไม่คำนึงถึงคนอื่น ประโยชน์กว้าง เขาก็ไม่คำนึง เขาก็มุ่งเข้ามาบวชอย่างนี้ แต่ถ้าใครเขาคิดว่า เราทำประโยชน์ ทางโน้นก่อนดีกว่า เห็นประโยชน์ทางนั้นมากกว่าเขาก็ไม่เข้ามาเร็วนัก ก็เท่านั้นเอง ถ้าเข้ามาเร็ว มันก็จะลด ประโยชน์ทางข้างนอกกว้าง เพราะมันจะต้องมีกรอบ หลายอย่าง มาเป็นสมณะแล้ว ทำอย่างฆราวาส ไม่ได้แล้ว ขยันยอม : แล้วอย่างไรมันจะเจริญกว่ากันล่ะครับ พ่อท่าน : มันอยู่ที่เรา อยู่ทางไหนก็เจริญ เพราะอยู่เป็นฆราวาสจะมีบทฝึกหัดเยอะ ถ้ามาเป็นสมณะ จะมีแบบฝึกหัดลึก ถ้าคุณเองคุณลึกแล้วคุณมาเป็นสมณะก็ดี แต่ถ้าคุณยังไม่ลึกนัก ก็เป็นฆราวาส ไปก่อน จะได้แบบฝึกหัดเยอะ ถ้ามาเป็นสมณะนี่ หมายความว่า โจทย์หยาบ มันน้อยลงแล้ว มีแต่โจทย์ ละเอียด ถ้าเรายังหยาบอยู่ มาทำโจทย์ละเอียดแล้วมันจะช้า มาเป็นสมณะ ก็จะช้า มันจึงขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสม ถ้าหยาบๆ เรายังทำไม่ได้ก็เป็นฆราวาสไปก่อน แต่ถ้าหยาบๆ เราได้หมดแล้ว ก็มาเป็นสมณะ ขยันยอม : บางทีมันมีความคิดว่า ถ้าเราจะมานี่เหมือนกับเราหนีพรรคพวกมา เหมือนหนีงานหนักมา พ่อท่าน : ก็เป็นด้วย ทีนี้คุณก็คำนึงถึงความเหมาะสม อย่างที่อาตมาอธิบายไปแล้ว ถ้าเราจริง เราสูง ละเอียด ขึ้นมาแล้ว เราก็มาเป็นสมณะ ถ้าเรายังไม่สูงจริงๆ มันจะต้องปฏิบัติเยอะๆ ก่อน เราก็ทำอันนั้น ให้มันชัดเจน เกลี้ยงเกลาดีๆก่อนแล้วค่อยมาก็ดี เอาอันนี้มาเป็นตัวหลัก ในการตัดสินก็แล้วกัน ถ้าจะไปเอาประโยชน์ส่วนรวม ส่วนกว้างมันก็เยอะล่ะ ส่วนมาเป็นสมณะนี่ มาทำงานแนวลึก ขยันยอม : สมณะบางองค์ก็บอกว่าอย่าประมาท มีโอกาสเลื่อนฐานแล้วก็เลื่อนซะ พ่อท่าน : สมณะบางองค์ท่านตะกละ ท่านพูดไม่ละเอียด ให้รีบๆมาเป็นสมณะเร็วๆ ถ้าเร็วๆๆ แล้วมัน ไม่เหมาะสม มาเป็นสมณะมันจะได้เรื่องเหรอ นั่นแหละอาตมาบอกแล้วให้ไปตรวจดูว่า เราเอง มันยังหยาบอยู่ ก็เป็นฆราวาสไปก่อน แต่ถ้าเราละเอียดได้แล้วก็มาเป็นสมณะ จริงๆแล้ว ตามสัจธรรม ถ้าจะมาเป็นสมณะนี่ ก็ควรจะเป็นอนาคามีขึ้นไป เพราะเป็นพวกที่ ไม่ใช้เงิน ไม่ใช้ทองอะไรต่ออะไรแล้ว อย่างนี้ก็อนาคามี เหมาะสมที่สุด ถ้าจะเอาที่ถูกต้องนะ เป็นฆราวาสถ้ายังเป็นสกิทาคามี ก็ทำงาน อยู่เป็นฆราวาสไปเถอะ ได้ประโยชน์เยอะ ได้โจทย์เยอะ มันขัดเกลาได้ดี มีโจทย์ที่เหมาะสม อย่างพระ จะไปมีโจทย์อะไรล่ะ อย่างผู้หญิง มาเข้าใกล้ก็ไม่ได้ แต่ถ้าฆราวาสนั่นน่ะ มีโจทย์อยู่เรื่อย ผู้หญิงจะใกล้ จะกอดก็ได้ ไหวไหมล่ะ อย่างมาเป็นสมณะแล้ว มันไม่ได้ขัดไม่ได้เกลาหรอก มันจม มันจะไม่รู้ตัว ถ้าเรายังหยาบอยู่ มาเป็นสมณะแล้ว ศีลก็กั้นไว้ คนอื่นก็ช่วยมองไว้ มันก็จะไม่ได้โจทย์ ไม่ได้ขัด ไม่ได้เกลา บวชไม่ทันไรเดี๋ยวก็สึกออกไปหาเมียอีก มันต้องเอาให้ชัด ถ้ามันเหมาะสมแล้วถึงจะดี ขยันยอม : มีพ่อแม่มา เขาบอกมาอยู่วัดอย่างเดียวเหรอ อะไรมาอาศัยวัดอยู่น่าสงสาร เขาบอกว่า เมื่ออยากจะบวช แล้วทำไมไม่บวช บวชๆซะ พ่อท่าน : คนข้างนอกเข้าใจยาก มันไม่ใช่ง่ายๆหรอก ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เราก็เข้าใจเขา ก็แล้วกัน มันไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องลึกซึ้ง ขยันยอม : พ่อท่านครับในยุคปัจจุบันนี้ฐานอนาคามีมันยากเหลือเกินครับ
ขยันยอม : ผมมีความคิดว่าในยุคนี้มันน่าจะยากกว่ายุคพระพุทธเจ้าครับ
ขยันยอม : ถ้าเกิดคนไม่เก่งจริงกระทบเข้าแล้ว
ไม่รอดล่ะครับ ขยันยอม : ถ้าเราตั้งตบะของเรา แล้วเราป่วยบ่อย
อย่างนี้แสดงว่า มันไม่ถูกกับฐาน ของเราหรือครับ ขยันยอม : บางทีไม่ป่วยก็น้ำมูกไหลบ้าง
ขยันยอม : ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตั้งตบะแล้วมันไม่แข็งแรงเหมือนตอนมาอยู่ใหม่ๆครับ
ใหม่ๆมีปีติ ตั้งตบะอะไร มันก็ทำได้ ตอนหลังๆมานี่รู้สึกมันเริ่มจะแก่วัดแล้วกระมังครับ
คนอื่นก็รู้สึก พ่อท่าน : ก็ได้นะ ลักษณะนั้นได้ เพราะเขาเองเขาก็ไม่วุ่นวายเรื่องกาม ปฏิฆะเขาก็ไม่มี แต่ว่ามันตอบ ตายตัวทีเดียวไม่ได้ เพราะเวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์ กดข่มอยู่ช่วงหนึ่ง บางทีมันอาจจะกดข่มได้ อีกสัก ๕-๑๐ ปียังข่มได้เลย ถ้าจะจริงก็ต้องมีญาณของตนเอง รู้ของตนเอง ตัวเองจะเป็นผู้รู้ดีกว่าคนอื่น อ่านจิตใจ อ่านกิเลสของเราจริงๆ จะเป็นโสดาบัน สกิทาฯ อนาคาฯ อะไรก็ต้องรู้ด้วยตนเอง ปฏิบัติได้ มรรคผลจริง ในร่างฆราวาสก็ได้มรรคผล ขยันยอม : เรามาอยู่วัด ชาตินี้ทั้งชาติเลยเราไม่ได้บวชเลย เราปฏิบัติในฆราวาสเราทำให้ดี พ่อท่าน : ได้ ต่อให้ไปจ่อจะเป็นอรหันต์อยู่แล้วค่อยมาบวชก็ได้ ยิ่งดี ไม่มีปัญหาอะไร พระพุทธเจ้า ยืนยันสิ่งที่ได้แล้ว เข้ากระแสใจจริงได้จริง ข้อนี้เป็นปรมัตถธรรมที่มันได้จริงแล้ว มันจะไม่มีล้มล้าง ไปได้ ไม่อย่างนั้นกรรมก็ไม่วิเศษจริงซิ สิ่งที่ "ทำ" นี่แหละเป็นสัจจะเป็นจริง ฆ่าเขาแล้วก็บาป จะไม่เอา แล้วบาป อย่างนี้ไม่ได้ กรรมเป็นเรื่องจริง กรรมทำแล้วจริง จะบอกว่าไม่จริง ก็ไม่ได้แน่ ขยันยอม : เหมือนกับที่ผมเคยพูดกับพ่อท่านคราวที่แล้ว พ่อท่านมาในชาตินี้แล้ว แต่ว่าเรากลับ ไม่ได้ทำฐานนี้ เรายังอยู่ฐานฆราวาส เดี๋ยวชาติหน้าเราจะมา พ่อท่าน : ไม่ๆๆ รูปแบบไม่สำคัญเท่าไรหรอก รูปนี่เป็นองค์ประกอบในการทำงานเท่านั้นเอง บางที โพธิสัตว์ ไม่ได้มาบวชหรอก โพธิสัตว์ไปทำในรูปแบบฆราวาส ไม่จำเป็นจะต้อง มาเป็นรูปนี้ แต่ในยุคนี้ อาตมาต้องมาเป็นรูปนี้ อาตมาบอกได้เลย โพธิสัตว์ที่อาตมามองออก ในโลกยุคนี้มีอยู่ ๓ คือ อาตมา คานธี ไอร์สไตน์ แต่โพธิสัตว์สองคนนั้น ไปทำงาน ในร่างฆราวาส ไปตกอยู่สองฟาก คนละ สัมภาระวิบาก คนละปางแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้น อาตมาก็เลย ต้องมาเป็นนักบวช (เสียงหัวเราะ) โถ!.... ถ้าอาตมาเป็นฆราวาส จะสนุกกว่านี้ ไม่ถูกยำเละ อย่างนี้หรอก
นักข่าว : อยากจะให้ท่านพูดถึงสังคม สังคมตอนนี้มีการเอารัดเอาเปรียบ แล้วในแง่ของ การเมือง จะมีการ ใช้อำนาจ หน้าที่ของตนเองไปเอื้อผลประโยชน์กับกลุ่มของตัวเอง พ่อท่าน : ทุกวันนี้คนเอารัดเอาเปรียบกันหนักจริง เพราะว่าศาสนาไม่มีฤทธิ์มีแรงให้คนมาลด ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อไม่มีศาสนาที่มีฤทธิ์มีแรงสอนให้คนลดโลภโกรธหลง ลงได้จริง คนก็มีโลภโกรธหลง จัดจ้าน ขึ้นจริง เพราะห้ามไม่ได้ ห้ามไม่ให้สังคมมันเป็นจริง ตามที่กิเลส มันเกิดเต็ม สังคมย่อมไม่ได้ กิเลสในจิตมนุษย์นี่ เป็นของจริงนะ หรือว่าคุณนึกว่า กิเลสในโลกนี้ ไม่ใช่ของจริง ของจริงน้า! ตัวนี้สำคัญนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กิเลส จับตัวกิเลสได้แล้ว ก็ลดกิเลส ลงไป จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ จึงเรียกว่าอรหัตผล เป็นเรื่องจริง ทุกวันนี้ไม่เรียนรู้กิเลสแล้วมาฝึกฝนละกิเลสกันจริงๆ หรือรู้ เรียนอยู่
แต่เรียนไม่สัมมาทิฐิ เรียนกัน ไม่ถูกต้อง ตามสัทธรรม ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น
คนจึงไม่มีคุณภาพ ไม่มีคุณธรรม ในระดับโลกุตระ ไม่เป็นอเทวนิยม ไม่ถึงระดับปรมัตถ์
นี่คือเรื่องจริง คนก็จึงเป็นดังที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น
การแก้ไข จึงจะต้องมาเอาธรรมะ ของพระพุทธเจ้า หรือของศาสนานี้เข้ามาพัฒนาคน
เอาจริงเอาจัง ต้องทุ่มโถม จึงจะมีผล ไม่เช่นนั้น ไม่ใช่ได้ง่ายๆ
หรอก ต้องเอาจริง แค่สัมมาทิฐิ แค่ที่จะเห็น ถูกต้องตามธรรม ของพระพุทธเจ้า
ก็ไม่ง่ายแล้ว แต่ต้องทำ ให้ได้ ถ้าทำแล้ว ถึงจะมีผล ที่จะแก้ ประเด็นว่า
ทำอย่างไร คนถึงจะไม่ขี้โลภ แย่งชิงอะไรต่ออะไร จนกระทั่ง รุนแรงขึ้นมาทุกวันๆๆ
นักข่าว : แล้วการเมืองที่มีปัญหา เรื่องของการเอาผลประโยชน์เข้าตัวเองพอเวลามีอำนาจ แล้วจะแก้ไข กันยังไง พ่อท่าน : คำตอบเดียวกัน นักการเมืองยิ่งไปเป็นนักการเมืองแล้ว ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจ หน้าที่ สิ่งเหล่านี้ ก็ยิ่งไปสมรู้ ร่วมคิดกับกิเลส กิเลสเป็นตัวเลว เป็นตัวเอาเปรียบเอารัด เป็นตัวที่ จะทำเลว ทำร้าย กิเลสมัน จะมีลักษณะของมัน จะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม มันก็ไปสมรู้ร่วมคิด กันกับคนที่มีกิเลสนี้ ไปเอาตำแหน่ง เอาหน้าที่ เอาอำนาจ มาเอารัด เอาเปรียบคน กดขี่ข่มเหง แน่นอน แน่ยิ่งกว่าแน่ เพราะฉะนั้นวิธีแก้ไม่มีวิธีอื่นเลย ก็ต้องเอาคนนั้นแหละ มาเรียนรู้ ธรรมะ ที่แท้จริง แล้วให้ลดละกิเลส เป็นอาริยะกันจริงๆให้ได้ จึงเข้าไปรับตำแหน่งหน้าที่นั้น จึงจะแก้ได้ อย่างอื่น ไม่มีทางจริงๆ เพราะปัญหา สังคมมนุษย์ที่แก้ไม่สำเร็จนั้น ไม่อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่คน ขอยืนยันว่าอยู่ที่ "คน" ถ้าเอาคน ที่มีกิเลส เข้าไปรับหน้าที่ เขาก็ต้องทำตามกิเลส กิเลสในตัวของเขามันมีจริง กิเลสนี่มันมีอำนาจนะคุณ อาตมาถามหน่อยเถอะว่า คนที่เขาจะทำชั่ว เขาจะโกง เขาจะเอาเปรียบเอารัด หรือคน เขาจะปล้น หรือว่า คนเขาจะข่มขืน..... พวกนี้ ก่อนที่เขาจะทำ เขารู้มั้ย ว่าทำอย่างนั้นน่ะชั่ว มันรู้ทุกคนแหละ แต่คน มันห้ามตัวเองไม่ได้ ต่อให้เป็นคน มีความรู้สูงส่ง มันก็ทำชั่ว กิเลสมันบังคับ มันจะต้องทำ ไอ้คน จะข่มขืน กิเลสมันก็บังคับ คนที่จะโกง จะกิน ทุจริตจริงๆกิเลสมันก็บังคับทั้งนั้น คนมันสู้กิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องสู้กิเลสไม่ได้นี่แหละ มันเรื่องใหญ่นะ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้อง มาปราบกิเลส ให้ได้ ต่อให้คุณ เรียนรู้มากๆ ขนาดไหน ยิ่งมีความรู้ยิ่งฉลาด ก็ยิ่งเป็นเครื่องมือ เป็นอาวุธ ให้การ เอาเปรียบเอารัด โกงไปกินไปเก่งขึ้นๆ เพราะกิเลสไม่ลด ยิ่งเรียนสูงเท่าไหร่ ยิ่งมีช่องทาง ยิ่งมีเหลี่ยมคู ยิ่งมีศาสตรา ไปเพิ่มไปโกงไปกินร้ายกาจขึ้น เพราะฉะนั้น สนับสนุนการศึกษาให้สูงๆๆ โดยไม่ตั้งใจ มาเรียนรู้ ลดกิเลสจริงนี้ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาสังคม สังคมที่ไหน จุดไหน ก็ทั้งนั้นในโลก ขอยืนยัน นักข่าว : อย่างแวดวงการเมืองปัจจุบันเป็นอย่างนี้ แล้วผมเห็นว่าที่ชุมชนสันติอโศกมีแนวคิด เกี่ยวกับ การตั้ง พรรคการเมือง แต่ว่าไม่แสวงหาประโยชน์ พรรคเพื่อฟ้าดิน ความเป็นมานี้ เป็นยังไงฮะ พ่อท่าน : ความเป็นมานี้พูดกันมาหลายเที่ยวแล้วนะ มันไม่ได้คิดจะตั้งจะเติ้งอะไรเลย พรรคการเมืองนี่ เราไม่พร้อม ที่จะตั้งพรรคการมง การเมืองหรอก เราทำงานกับสังคมมา อาตมาเองทำงานกับชาวอโศก สร้างคน มาจากธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ค่อยๆพัฒนาคนมา ให้คนได้มีอาชีพด้วยวิถีชีวิตแบบพุทธ ลดกิเลส ได้จริงๆแท้ๆ ไม่ไปเอารัด เอาเปรียบ ไม่ไปขี้โกง ไม่ไปทำร้ายทำลายใคร รู้จักเลี้ยงตน รู้จักมัธยัสถ์ รู้จักการใช้น้อยกินน้อย เป็นคนมักน้อย กล้าจน รู้จักพอ รู้จักเขตที่ไม่ควรเอาอีกแล้ว.... พอกันที จริงๆ จนกระทั่งมามีหมู่มีกลุ่ม มีฐานอาชีพ ฐานกสิกรรม ก็ทำให้ดี ให้มันไร้สารพิษ ฐานค้าขาย ก็ค้าอย่างบุญนิยม ไม่ค้าอย่างทุนนิยม กระทั่งถึงฐานการศึกษา ฐานด้านอะไรต่างๆนานา เราก็ทำอย่าง บุญนิยม กับประชาชน เราก็ทำไปอย่างนี้ จน....อยู่ดีไม่ว่าดี วันหนึ่งก็มีคนเอาพรรค จะตั้งพรรค ก็ตั้งไม่พร้อม จะไม่ทัน มาเห็นว่า เอ๊....ถ้ากลุ่มอโศกมีคณะมีหมู่กลุ่มก็น่าจะดี ถ้าให้กลุ่มนี้ เอาพรรคนี้มาตั้ง มันก็จะดี ว่างั้น ก็เลยเอาพรรคนี้มาโยนให้เรา เราก็ไม่พร้อมอยู่แล้วแต่แรก แต่ทางโน้น พยายามยัดเยียด ช่วยหน่อยเถอะน่า ยังโง้นยังงี้ สรุปแล้ว เราก็จำเป็นต้อง รับพรรคนี้ขึ้นมา เอ้า....จำเป็น ตั้งก็ตั้ง ก็เลยตั้งพรรคนี้ขึ้นมาในหมู่กลุ่มของเรา ก็ตั้งขึ้นมา ตอนแรกก็ชื่อพรรคสหกรณ์ เขาตั้งชื่อ พรรคเดิมมา ชื่อพรรคสหกรณ์ เขาเห็นว่า กลุ่มหมู่ ที่ทำงานเหมือน สหกรณ์ก็คือว่า ชาวอโศกนี่แหละ ทำได้ดี เสร็จแล้วสันนิบาตสหกรณ์ เขาก็มาท้วงว่า เอาชื่อสหกรณ์ ไปตั้งชื่อพรรคเราได้ยังไง เขาไม่ยอม ไม่ยอม ก็เอาคืนไป เราก็ไม่ว่าอะไร เราก็ไม่แย่งไม่ชิงอะไรหรอก ทั้งๆที่จริงๆแล้ว คนละเรื่อง คือเรื่อง สหกรณ์ก็สหกรณ์ ไอ้นี่พรรคการเมือง แต่ชื่อสหกรณ์ มันคนละเรื่อง แต่เราไม่เถียง ไม่แย้งอะไร เอาก็เอา อยากจะเอาคืนก็เอาคืนไป เราก็ตั้งชื่อพรรคใหม่ ที่จริงจดทะเบียนกับ กกต.ไปแล้วล่ะ เป็นพรรคสหกรณ์ ทาง กกต. ก็ไม่ได้ท้วงเทิ้งอะไร แต่เราไม่มีปัญหา เราก็มาตั้งชื่อใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่ จาก.... สหกรณ์ ก็เปลี่ยนเป็นเพื่อฟ้าดิน ชื่อพรรค เพื่อฟ้าดิน ก็ว่าชื่อแปลก จริงๆแล้ว ไม่ใช่พิเรน อะไรหรอก ช่วยกันคิด จะเอาพรรคชื่ออะไรดี ก็ต่างก็ตั้งขึ้นมาตั้ง ๖๐ กว่าชื่อนะ แล้วค่อยๆโหวต กันเรื่อย เลือกขึ้นมาๆๆ สุดท้ายจนเหลือ ๒ ชื่อ แล้วก็ได้ชื่อ พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็เป็น ชื่อพรรค เสร็จแล้ว ก็ดำเนินมาตามนโยบายของเรา ว่าเราจะทำ พรรคการเมือง ให้เป็นพรรคการเมืองประชาธิปไตย หรือ ของประชาชน -เพื่อประชาชน โดยประชาชน ที่แท้จริง เพราะฉะนั้นนโยบายของเราเขียนเลย ตั้งแต่ นโยบายว่า เราไม่มีการแสวงหาอำนาจ ทำงานให้ประชาชน ให้ประชาชนมีประโยชน์ ที่จะช่วย ประชาชน ให้อยู่ดีมีสุข อะไรได้ ตามหน้าที่ของการเมือง เราก็ทำไป เราไม่ไปแย่งชิงอะไร เพราะฉะนั้น จะไปสมัคร ส.ส. จะไปสมัคร ส.ว. จะไปสมัครอะไร เราไม่สมัคร จนกว่าประชาชน จะมาดึงเราไปสมัคร เรียกร้องให้ไปสมัคร คนในถิ่นนี้มีแสนนึง มีหกหมื่นขึ้นไป มาบอกว่า ท่านไปสมัครเถอะ เราจึงจะไป สมัคร ถ้าไม่มีอย่างนี้เราไม่ไป จะว่าเราเพ้อฝันก็ว่าไป นักข่าว : หมายความว่าเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเผยแพร่แนวคิดของพรรคการเมืองแบบนี้ พ่อท่าน : ใช่...ให้คนได้รับความรู้ในเรื่องของการเมือง เพราะที่จริงเป็นความสูญเสีย ของประเทศ ขณะนี้ มันอยู่ที่ว่า คนไม่รู้จักการเมือง ไปเรียนการเมือง ไปเรียนกฎหมาย อยู่ไม่กี่คน รู้ แล้วก็ฉวยเอ าอันนั้นไปตีกิน แล้วใช้ประชาชน เป็นเบี้ย ใช้ประชาชนเป็นทาส คนเป็นเบี้ยการเมืองไปหมดเลย มันก็แย่ ทุกวันนี้ เอาห้าบาทสิบบาทให้ ยี่สิบบาท ร้อยนึง สองร้อย พันนึง ซื้อเสียงซื้ออะไรต่ออะไร หรือไม่ ก็คุยตัว อวดตน ไปว่า ฉันเท่านั้นที่จะช่วยสังคมประเทศชาติได้ ความจริง ทำไมประชาชน จึงไม่รู้ ประชาชนต้องรู้สิว่า คนนี้ดีจริง คนนี้เหมาะกับตำแหน่งนี้ จึงจะเป็นของแท้ ไม่เห็นจะต้องไปคุยอวด ถ้ายังต้องไปบอกประชาชน ไปโม้ ไปหลอกเขา มันจึงไม่จริงเลย มันไม่ใช่ประชาธิปไตย กลายเป็นเรื่อง ประชาธิปไตยทารก ประชาธิปไตยปลอม ไปหมดเลย นี่คือ คนไม่รู้การเมือง เพราะฉะนั้น เราก็มา สอนคน มาแนะนำคน ให้รู้การเมือง การเมืองคือ การอยู่อย่างนี้นะ รู้จักคนจริงๆ ใครจะให้เป็น ตัวแทน คุณจะต้องเห็นจริงๆ ว่าดี ว่าเหมาะที่จะเป็นคนแทนเรา ทำให้เป็นประโยชน์แก่สังคมจริงๆ ก็ไปเลือก ไปอะไรต่ออะไร แล้วพวกนักการเมืองเขาไปเสียสละ เขาไปช่วยเหลือ เฟือฟาย พวกคุณ เหมือนอย่าง พวกเราทำนี่แหละ เขาไม่ได้เข้าไปหาผลประโยชน์ให้แก่เขาหรอก คุณอย่าไปหลงลมเขา สอนให้เขารู้ นักการเมือง เป็นคนเสียสละ ต้องเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ เป็นคนไปช่วย ประชาชน จริงๆ เพราะฉะนั้น นโยบายของเรานี่ ใครไปทำงานการเมืองไม่ต้องรับรายได้ แม้แต่เงินเดือนเงินดาว ก็อย่าเอา แม้รัฐเขาให้มา ก็เอาเข้ากองกลางหมด แล้วเอามาใช้ทำงานให้กับประชาชน อย่ามาเอา เป็นส่วนตัว ก็เมื่อเราทำงานให้ประชาชนแล้ว ก็ให้ประชาชน เขาเลี้ยงดูสิ เรามีนโยบายเขียนไว้ ถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีไม่มีเงินเดือน ของเรากล่าวไว้ ถึงขนาดนั้น รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือ ส.ส. ที่อาสาสมัครไปช่วยประชาชนจนประชาชนเลือกเข้าไปแล้วนี่ ทุกคนในฐานะ ที่เลือก เป็นตัวแทน ประชาชนแล้ว ให้ประชาชนเลี้ยงไว้ หรือรัฐต้องมีสวัสดิการ ให้แก่เขาไว้ ไม่ให้มา นั่งรับเงินเดือน นี่ก็คิดว่าเป็นไปได้ อย่างนี้เป็นต้น นักข่าว : ตั้งเป้าไว้ว่าแบบนี้อีกสักกี่ปีถึงจะทำการเมืองแนวนี้ได้ พ่อท่าน : แหม....เราก็คิดว่ามันคงไม่เร็วหรอก ก็คงจะเป็นร้อยปีขึ้นไป นานเท่าไหร่เราไม่รู้ได้ แต่ไม่แน่หรอก ถ้าเผื่อว่า เหตุปัจจัย แล้วก็เหตุการณ์บ้านเมือง ของมนุษยชาติ บีบคั้นเข้ามา มากๆ จะเร็วขึ้น ก็ได้ แต่มันคงไม่ง่าย เพราะว่า คนที่จะมาเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นคนจริง ต้องเป็นคน ลดกิเลส จริง เมื่อมีคนลดกิเลสจริง เขาถึงจะไปทำถูกต้อง ตามอุดมคติ หรือตามเรื่องที่เป็นจริงได้ ใช่มั้ย ถ้าเผื่อว่า มันไม่ได้คนจริงแล้ว ก็อย่างที่เป็นกันอยู่นี่แหละ ทุกคน ก็พูดเอาโก้ แหม....ใครก็รู้ว่า มันดี คืออะไร แล้วไปพูดดีๆๆๆ แต่ลึกๆ กิเลสอยู่ในตัวเอง มันมี มันก็ไปทำตามกิเลส สุดท้าย หลอกลวงมั่ง ซับซ้อนมั่ง อย่างนั้นแหละ ก็เป็นไป อย่างที่มันเป็นอยู่ มันไม่จริงหรอก ต้องกิเลส ไม่มีจริงๆ หรือ กิเลสลดน้อยจริงๆ ไม่ถึงขนาดหมด ก็ต้องกิเลสลดจริงๆ รู้ว่าคุณค่าของคนคืออะไร แล้วไปทำงาน สร้างคุณค่า ของคน ให้แก่ตัวเอง ถ้าผู้ที่มีภูมิธรรม หรือผู้ที่มีกิเลสลดจริง เขาไปจะทำ อย่างนั้นจริงๆ ปัญหา มันอยู่ที่คน ไม่ใช่อยู่ที่รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายไม่ดี หลักเกณฑ์ไม่ดี ระบบไม่ดี ความรู้ไม่มี อยู่ที่คนไม่ดี กิเลสยังมาก นักข่าว : แล้วทางชุมชนสันติอโศกมีตัวบุคคลมีตัวอะไรที่จะส่งสมัคร พ่อท่าน : ไม่พร้อมหรอก ไม่พอ ตัวบุคคลก็มีแต่มันไม่พอ เพราะฉะนั้นไม่พอเราจึงไม่ได้คิดอ้าขา ผวาปีก ไม่ได้คิด จะไปรับงาน ระดับประเทศหรอก เราขอสร้างคนไปเรื่อยๆก่อน ทำงานการเมือง ภาคพื้นดิน ภาคประชาชนเท่านั้น ยังไม่ใช่ภาคหอคอย ภาคบริหาร ที่มันเกิดเรื่อง เกิดราวขึ้นมานี่ ก็เพราะว่า ทาง กกต. นี่รองเลขาธิการ.... (ชี้ไปที่ คุณแซมดิน) ไปประชุมกับ กกต. กกต.ก็บอกมาว่า จะต้องส่งผู้สมัคร ส.ส.นะ ต้นปีหน้าจะมีสมัคร ส.ส.กันแล้ว เพราะฉะนั้น พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็ต้องส่ง ไม่ส่งไม่ได้ ผิดกฎของ กกต.เขานะ ก็ไปรับทราบมาอย่างนี้ (คุณแซมดินเสริม : เป็นระเบียบของกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง) ก็รับทราบมาอย่างนี้ อาตมาว่าเอาละซิ ก็เราไม่ตั้งใจจะส่งเพราะเรายังไม่พร้อม ก็เลยมาคิด เอ๊.... อย่างนั้นส่ง เราก็ส่ง คนเดียว ก็พออย่างนั้น ก็คิดหา ก็คิดไม่ออกว่าชาวอโศก ใครจะพอมีท่าว่าจะส่งได้ ใครจะ Popular (เป็นที่นิยม เป็นที่ยอมรับกัน) พอที่จะลงได้ ก็คิดถึง คุณจำลอง ก็มีคุณจำลอง ก็ส่ง คนเดียวก่อน แค่ไม่ผิดกฎเขา ก็เลย เปรยปรายไปว่า คุณจำลองลง ก็น่าจะดี อาตมาลองคุยกับ คุณจำลอง คุณจำลองก็ปฏิเสธเสียอีก คุยกับคณะดู ก็เห็นว่าอย่างนี้ เพราะว่าเราจะไปเอาคนที่ no name (ไม่มีชื่อเสียง) มาลง มันก็ดูถูกประชาชนใช่มั้ย เอาใครไม่รู้ มาให้เขาเลือก ดูถูกประชาชนไม่ได้ เราก็ต้อง เอาคนสมเหมาะสมควรมาลง มีคุณจำลองก็คิดว่า สมเหมาะ สมควรแหละ เขาก็น่าจะเลือก เอาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป แล้วจะส่งจริงๆก็ส่ง พอพูดไปแล้ว คุณจำลองก็ไม่เอาเสียอีก ก็เลยบอกว่า เอ๊...ไปถาม กกต.ดูดีๆว่า ถ้าไม่ส่ง จะถูกยุบพรรค มั้ยเนี่ย จึงได้ไปคุย ในรายละเอียดอีกที กกต.ก็บอกว่ามันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าไม่ส่ง เขาก็แค่ ไม่ให้เงินอุดหนุนจุนเจือ เขามีเงินรัฐ ที่อุดหนุนผู้ที่ต้องใช้อย่างนั้นอย่างนี้ อะไรต่างๆ ทางรัฐเขาก็มีเงิน ให้แก่พรรค ที่ทำงานด้านนั้น ด้านนี้ อยู่บ้าง โอ๊ย....ถ้าอย่างนั้น ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าแค่ตัดเงิน ส่วนนั้น ส่วนนี้ออกไป เราก็ไม่ได้ทำงาน เพื่อได้เงินได้ทอง อะไรอยู่แล้ว จะตัดเงินตัดทองไปเราก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงได้มาปรึกษากัน ก็ตัดสินใจแล้วล่ะ ว่าเราไม่ส่งหรอก เพราะว่าเราเอง ยังไม่พร้อม เรื่องก็แค่นี้เอง ที่มันฮือฮา อะไรขึ้นมา นักข่าว : พรรคเพื่อฟ้าดินมีสายสัมพันธ์หรือว่ามีการประสานงานกับพรรคพลังธรรมที่มีอยู่ตอนนี้ พ่อท่าน : ป่านนี้เรายังไม่รู้เลยว่าพรรคพลังธรรมอยู่ที่ไหน ขณะนี้พรรคพลังธรรมอยู่ที่ไหน อาตมา ไม่รู้จริงๆ ไม่ได้โกหก ไม่ได้พูดเล่นลิ้น ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่รู้ ใครเป็นหัวหน้าพรรค ก็ยังไม่รู้เลยเดี๋ยวนี้ หรือว่า ถูกยุบไปแล้วหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่ได้ติดต่อกัน ต่างคนต่างทำอยู่ ไม่ได้เกี่ยวข้อง หรอก พรรคพลังธรรมกับพรรคเพื่อฟ้าดิน เรียกว่า คนละสพีซี่ (species, ชนิดของตระกูล) ถ้าจะว่า กันไปแล้ว มันคนละตระกูล มันไม่ใช่สพีซี่เดียวกันแล้ว จริงๆแล้ว พรรคพลังธรรมนั่น ก็เกิดขึ้นมา ด้วยเหตุการณ์เฉยๆหรอก จะว่าไปแล้ว ก็พูดไปซ้ำๆ ซากๆ เท่านั้นเอง นักข่าว : แบบที่พรรคการเมืองอื่นๆเขามีนโยบาย แล้วพรรคเพื่อฟ้าดินมีนโยบายอะไรที่เด่น พ่อท่าน : อ๋อ....ถ้าจะว่าไปแล้วนโยบายหันหลังกลับคนละขั้วเขาเลย เพราะพรรคการเมือง ทั่วไป ในโลกนี้ เขาทำ เพื่อที่จะให้มีอำนาจ ในการบริหาร เขาจะทำให้พรรคไหน ก็แล้วแต่ สามารถที่จะขึ้นไป บริหารประเทศ ได้ด้วยวิธี การหาเสียง ด้วยวิธีการสร้างอำนาจ แบบไหน ก็เอาทุกท่า เขาพยายาม ชิงหน้าที่ ตำแหน่ง ใช้เงิน เป็นเรื่องธรรมดา จึงต้องหาเงิน มาสู้กันให้มาก สรุปแล้วเป็นการเมือง แก่งแย่ง การเป็นใหญ่ ขึ้นไปบริหาร ไม่ใช่การเหมาะควรจริง ที่ประชาชน เห็นพร้อมให้เป็น และไม่ใช่ การเมืองสร้างสรร เสียสละ ที่แท้จริง เป็นเพียงธุรกิจ หรืออาชีพของชาวโลกีย์ สามัญเท่านั้น ทุกประเทศ ก็ทำอย่างนี้ แต่พรรคเพื่อฟ้าดินนี่จะไม่ไปแย่งชิงอำนาจนั้นเด็ดขาดเลย ด้วยเราถือว่าการแย่งชิงอำนาจนั้น เป็นขบถ อย่างยิ่ง ต่อประชาธิปไตย เห็นมั้ยมันตรงกันข้าม มันคนละขั้ว คนละความคิด จะไม่แย่งชิงเลย เพราะฉะนั้น ใครจะแย่งชิง ขึ้นไป เป็นอำนาจ ขึ้นไปบริหารประเทศ เชิญ พรรคนี้จะสร้างงาน จะทำงาน กับประชาชนไป จนกว่าประชาชน จะบอกว่า ต่อให้พรรคไหนๆ ส่งเลือกตั้ง ก็ไม่เลือกเอ็ง สักพรรค จะเลือกพรรคนี้ขึ้นไปเลย เป็นพรรคของ ประชาชน แท้ๆเลย ไปบริหาร เมื่อนั้นแหละ ถึงพรรคนี้ จะได้ขึ้นไปบริหาร เมื่อนั้นเมื่อไหร่ไม่รู้ อีกห้าร้อยปี หรือเปล่า ยังไม่รู้ ความตั้งใจจริง อย่างนั้น นักข่าว : เห็นพรรคการเมืองต่างๆ ตอนนี้มีการเดินตามแนวทางช่วยเหลือชุมชน มีเงินกองทุนหมู่บ้าน มีกองทุน ที่จะไปฟื้นฟูเกษตรกรอะไรต่างๆ อย่างเรื่องการทำมาหากิน ตอนนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเศรษฐกิจบ้านเรา พ่อท่าน : ดี แต่มันไม่ใช่เงินที่จะให้ไปช่วยเขา มันเป็นเงินสงเคราะห์ แล้วมันก็เป็นกรรมวิธี ของทุนนิยม ก็ต้องขอ วิจารณ์ กรรมวิธีของทุนนิยมหน่อยหนึ่ง เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม กรรมวิธีของทุนนิยม นักเศรษฐศาสตร์ เขาเรียนมาดีนะ แต่ว่าพฤติกรรมของเขาแล้ว เขาตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส อย่างที่ อาตมายืนยัน นักเศรษฐศาสตร์จบดอกเตอร์ มาทุกคน ก็รู้ดี เรียนมาถูก เรียนมาดีทั้งนั้นแหละ เพื่อที่ จะมาช่วยจัดการเฉลี่ย มาทำให้สังคมส่วนใหญ่ ส่วนรวม อยู่เย็นเป็นสุข มีกินมีใช้ได้ทั่วถึง พอกินพอใช้ ไม่ให้เดือดร้อน ไม่ให้รบราฆ่าฟันกัน เขาก็เรียนมาดีทั้งนั้น แต่จริงๆแล้ว เขาเองเขามีกิเลสในตัวเขา เขารู้เหลี่ยมคูรู้ช่องทาง จบมา เรียนรู้อะไรต่ออะไรมาหมด เวลาเขามาทำงาน เขาก็ไปรับใช้ ผู้มีอำนาจ นักเศรษฐศาสตร์ จบดอกเตอร์มาก็ดี โพสดอกเตอร์มาก็ตาม เขาก็ไปรับใช้ผู้มีอำนาจ และหากิน ให้ตนเอง ผู้มีอำนาจ ยังมีกิเลสอยู่ เขาเองก็ยังมีกิเลสก็ใช้ความรู้หาช่องทางหาวิธีการ แม้จะกระจาย เงินออกมาสู่ประชาชนจริง แต่ว่าประชาชนจริงๆนั้น ไม่ได้เงินเหล่านี้ เป็นเงินหลัก ของตัวเองเลย เพราะวิธีการของทุนนิยมนั้นซับซ้อน ก็จะดูดเงินนี่ คืนไปสู่ ผู้ที่มีความฉลาด หรือผู้ที่มีอำนาจ ดูดคืนไปหมด เพราะฉะนั้นเงิน ของประเทศที่จ่ายออกมาโดยอ้างประชาชน แม้จะมาผ่านประชาชน ก็ถูกเขาดูดคืน กลับไป หรือไม่ ก็ถูกกิน ถูกโกงไปด้วยขนบธรรมเนียม สารพัด ซับซ้อน ซ่อนเชิงมากมาย คนที่บริหาร จะเอาเข้า กระเป๋าตัวเอง ตรงไม่ได้ เขาก็เอาออกมาทางอ้อม อ้างงานของประเทศ อ้างประชาชน ตัดตอนไปก็มี มาผ่านประชาชนก็มี ก็โฆษณาหว่านล้อม ทำอะไร อยู่ในสังคมนี่ เอาไอ้นั่นมาล่อ เอาไอ้นี่มาดึง ประชาชนได้เงินมาใช้มาสอย ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ถูกสังคม ที่เป็นทุนนิยมนี่ อา.... นี่ท็อฟฟี่ อร่อย นี่อันนี้หรูนะ อันนี้บันเทิง เริงรมย์นะ ไอ้นี่อินเทรนด์นะ นายทุนเขาทำมาล่อ มาประโลมประเล้า มามอมเมา หนักหนา สาหัส ดูดคืนไปสู่กระเป๋านายทุนหมด นี่คือวิธีการของทุนนิยม เขาไม่ได้ล้าง ถึงต้นเหตุ ไม่ได้ห้ามสิ่งมอมเมา ไม่ได้เตือนคนให้รู้ทันสิ่งมอมเมา แถมส่งเสริมด้วยซ้ำ เขาไม่ได้สร้าง ปัญญา ให้รู้สาระที่แท้ของชีวิต ไม่ได้นำพาคนลดกิเลส ซ้ำมิหนำทั้งรัฐเองทั้งนายทุนด้วย สร้างสิ่งที่ ไม่ควรสร้าง ขึ้นมาทับถม ให้คนงมงาย หลงติดหลงใหลกันเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะฉะนั้นเงินพวกนี้มันจะวนเวียนกลับไปหาความผิวเผิน วนเวียนกลับไป มันออกมา อย่างผิวเผิน แต่มันจะวนเวียน กลับคืนไปหาแหล่งดูด เข้าไปสู่ขั้วของคนที่มีอำนาจ คนที่เป็นตัวหลักกลุ่มหลัก กลุ่มที่รวมหัวกันอยู่ มันจะดูดขึ้น ไปทางนั้น จะแรงขึ้นมากขึ้น ด้วยความฉลาดของคนที่ไม่ลดกิเลส นักข่าว : ปัจจุบันที่สันติอโศกก็มีแนวทางในการทำชุมชนพึ่งตนเอง ตรงนี้น่าจะนำเสนอ ให้กับสังคม วงกว้าง พ่อท่าน : เราเสนออยู่ แต่เขาไม่เอา เขาจะเอาอย่างโน้น นั่นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเขาไม่เชื่อว่า มันจะเป็นจริง เขาฟังดู.....ดี! แต่เขาไม่เชื่อว่าจะเป็นได้ เขาเชื่อกิเลสมากกว่าเชื่อพระ เชื่อกิเลส มากกว่าเชื่อสมณะ อย่างพวกเรานี่เป็นสมณะที่พยายามจะสอนในทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็ทำ มาตลอด เพื่อพิสูจน์ความจริง ของพระพุทธเจ้า และพยายามสร้างคน ให้ลดละ กิเลสอย่างนี้ จนกระทั่ง เกิดเป็นหมู่กลุ่มชุมชน เกิดเป็นวิถีการ ดำเนินชีวิต เกิดเป็นระบบ บุญนิยมขึ้นมา ปรากฏ ในทุกวันนี้ ระบบบุญนิยม เกิดมาได้ก็เพราะ ความจริงของ ธรรมะ พระพุทธเจ้า เราก็ได้มาอย่างนี้ แต่เขายังไม่เชื่อ เขาเห็นว่ามันเล็ก แล้วมันจะไปสู้เขา ได้เหรอ มันเล็กนิดเดียว ทางโน้น.... นอกจาก จะใหญ่แล้ว ยังทำได้สารพัดด้วยจริงๆ แม้แต่สิ่งไม่ดี ไม่งาม เขาทำได้สารพัด ทำชั่วได้ด้วย แต่เรา ทำไม่ได้ เราไม่สู้เขาหรอก ทุกวันนี้เราทำงานหรือว่าทำอะไรต่ออะไร เราไม่ได้ทำอย่างต่อสู้ เราไม่สู้กับใคร เพราะการสู้นั้น เป็นเรื่อง แข่งขัน เป็นเรื่อง ชิงดีชิงเด่น เป็นเรื่องเอาชนะคะคาน เราไม่สู้ ไม่เคยคิดสู้ เราทำสิ่งที่ดี เราเสียสละ ให้จริง ให้ได้มากขึ้นๆ แค่นี้เราก็หนักหนา เหน็ดเหนื่อยสาหัสแล้ว เราไม่มีเวลา-ไม่มีแรงงาน-ไม่มีทุนรอน ที่จะไปสู้ทุนนิยมเขาเลย จะไปสู้ทำไมล่ะ ก็มันคนละทาง อยู่แล้วด้วย ไม่เห็นจะไปสู้ทำไม อย่างที่ทางทุนนิยมเขาทำ เขาก็อย่างหนึ่ง เราทำมัน ก็อย่างหนึ่ง มันคนละขั้วคนละทิศ มันไม่ได้แข่งขัน ไม่ได้ต่อสู้กันเลย เราเจตนาจะเสียสละ อยู่แล้ว ไม่ต้องไปสู้ อะไรกันนี่ เขาจะเอาให้ได้มากๆ แต่เรา จะเสียสละ ให้ได้มากๆ มันก็ไม่ขัดแย้ง อะไรกันเลย ไปด้วยกันได้ดีด้วยซ้ำ เราตั้งใจ จะเป็นผู้ให้เรื่อยๆไป
# การเมืองภาคประชาชน
คุณสมบูรณ์ : สวัสดีครับท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการการเมืองภาคประชาชนนะครับ นำท่านผู้ชม มาถึงสำนัก สันติอโศกนะครับ ซึ่งเราจะได้พูดคุยกับสมณะโพธิรักษ์ ซึ่งเป็นผู้นำของชาวอโศกว่า ปัจจุบันนี้ ท่านมีความคิด เกี่ยวกับเรื่องของ การบ้านการเมือง เป็นอย่างไร วันนี้ผม สมบูรณ์ ยืนยงสุวรรณ และอาจารย์สมาน ศรีงาม ดำเนินรายการ นมัสการครับ วันนี้ทางรายการการเมืองภาคประชาชนก็รู้สึกมีความปลื้มปีตินะครับ ที่ได้มีโอกาสมา สัมภาษณ์ แล้วก็พูดคุย รับฟังความคิดเห็นจากท่าน ผมนี้ไม่เคยได้พูดคุย กับท่านโดยตรง แต่ว่ามีโอกาส อ่านบทความ ของท่าน แล้วก็ฟังท่านเทศนา มาหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็ดีใจนะครับ ที่รายการของเรามีโอกาสมาสัมภาษณ์ โดยตรง (ข้าพเจ้าขอข้ามผ่านการสนทนาในช่วงที่ ๑ นี้ ผู้สนใจรายละเอียดติดตามได้ที่ฝ่ายเผยแพร่เท็ป) คุณสมบูรณ์ : ท่านผู้ชมครับ ก็กลับมาพบกับช่วงที่ ๒ ของรายการการเมืองภาคประชาชน วันนี้เรานำ ท่านผู้ชม มาสนทนากับ สมณะโพธิรักษ์ผู้นำชาวอโศก ถึงสำนักสันติอโศก ที่บางกะปิ ในช่วงต้น ของรายการนั้น ท่านได้ เกริ่นนำถึง สถานภาพของสันติอโศก ว่าเป็นอย่างไร และตลอดจนหลักปฏิบัติ หลักข้อเชื่อของ สันติอโศก และ อาจารย์สมาน ก็ได้ทิ้งประเด็นท้ายไว้ เกี่ยวกับเรื่องของสันติอโศก กับความสัมพันธ์ทางสังคมและ การเมืองภายนอก ขอให้อาจารย์สมาน ได้ทบทวนคำถาม อีกสัก ครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะให้ ท่านโพธิรักษ์ ได้ตอบในรายละเอียดครับ อ.สมาน : ท่านผู้ชมครับ เนื่องจากว่าในสังคมนี่มันมีการคิดค้นลัทธิใหม่ๆ เพื่อจะสร้างสังคม ในอุดมคติ กันนะครับ องค์ประกอบของสังคม ๓ ส่วน คือการเมือง เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรมนะครับ ก็มีความสัมพันธ์กัน อย่างลึกซึ้ง หลังจาก ศาสดาได้สิ้นไปแล้ว ก็ได้มีการแยกการเมือง ออกจาก ศาสนา ออกเป็นส่วนๆ ทำให้ปัญหา เกิดขึ้นกับสังคม อย่างมากมาย แล้วก็รุนแรงตลอดมา จึงมี แนวคิดกันว่า น่าจะมีการจัดองคาพยพ ของสังคมให้ถูกต้อง ตรงตามหลักวิชา หรือหลักของ ธรรมชาติ บัดนี้สำนักสันติอโศกก็มีความแปลก และเป็นความใหม่ซึ่งเราพึ่งศึกษากัน วิเคราะห์ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรมซึ่งเป็นองค์ประกอบของสังคม สันติอโศกนะ ท่านผู้ชมครับ ในทางเศรษฐกิจ เริ่มต้นก่อนนี้ ได้มีการดำเนินการผลิต ทางเศรษฐกิจ ที่ไม่เหมือนกับระบบทุนนิยม และก็มีลักษณะ ต่างจากระบบทุนนิยม แบบหน้ามือ เป็นหลังมือ การผลิตเศรษฐกิจของสันติอโศกนั้น ผลิตเพื่อที่จะ ส่งเสริมการลด ละ กิเลส ตัณหา อุปาทาน อันนี้เป็นเรื่องแปลกนะครับ และก็ดำรงอยู่ได้ แล้วก็เติบโต ขึ้นเป็นลำดับ สวนทางกับระบบ ทุนนิยม พูดโดย ชัดเจน ก็คือว่า การผลิตทางเศรษฐกิจของบุญนิยม ของสันติอโศกนั้น ก็เพื่อที่จะส่งเสริม หรือเอื้อต่อ การปฏิบัติธรรม อันนี้เป็นคำถามแรกที่อยาก จะกราบเรียน ถามพ่อท่านว่า เรื่องนี้ท่านได้มีการวางแผน อย่างไรบ้างครับ พ่อท่าน : จริงๆแล้วอาตมาเป็นคนไร้แผนนะ เป็นคนทำงานมาไม่มีแผนอะไร อาตมาทำตาม พระพุทธเจ้า ท่านสอน ศีล สมาธิ ปัญญา สอนจรณะ ๑๕ สอนโพธิปักขิยธรรม อาตมา ก็เอาหลักธรรม ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติไปให้คนพัฒนาตนเอง ทีนี้อาตมาคิดว่า เมื่อปฏิบัติ ตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า อย่างสัมมาทิฐิแล้ว ผลมันก็เกิดขึ้นมาเอง คนได้ลดละกิเลส เพราะว่าทฤษฎีของ พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้แยกคนออกไปจากสังคม ปฏิบัติธรรมก็อยู่กับสังคม เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจ ในสังคมเราก็รู้ สังคมมีความเป็นไปอย่างไรๆก็รับรู้ รู้ด้วย ร่วมด้วย เพราะฉะนั้น แม้แต่การเมืองของ สังคมเป็นอย่างไรก็รับรู้ รู้ด้วย ร่วมด้วย ไม่ได้เป็นการแยก ไม่ได้แปลกแยกออกไปจากสังคม ซึ่งอาตมา ขอวิจัยนิดหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรม ของพุทธ ขณะนี้เขาเข้าใจผิดกัน ชาวพุทธเกือบทั้งนั้นเข้าใจกันว่า การปฏิบัติธรรมที่สูงไปถึงขั้นจิตนี่ จะต้องไปปฏิบัติอยู่ในป่า ออกหนีไปสู่ป่าสู่เขาสู่ถ้ำ หรือไม่ก็ไปหา ที่สงบสงัดนั่งหลับหูหลับตา ความจริงแล้วนั่งหลับตาสมาธินี่ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็น วิธีการสอน ของดึกดำบรรพ์ วิธีการของอาจารย์เก่าแก่ฤๅษีดาบสสอนกันไว้ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ก็ทรงพบว่ามีอยู่แล้ว การปฏิบัติแบบนั่งหลับหูหลับตา พระพุทธเจ้าออกป่าไปตอนแรก ไปหาไปพบ อาจารย์อาฬารดาบส-อุทกดาบส ก็เจอแล้ว ท่านก็ไปพานั่งหลับตาทำฌาน รูปฌาน อรูปฌาน ไปจนกระทั่ง ถึงอรูปฌาน ๘ โน่น พระองค์ก็ทำ ก็ฝึกตามอาจารย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส มันก็ไม่ได้ ยากเย็นอะไร พระองค์ก็ทำได้ ก็ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อทำดูท่านก็รู้แล้วว่า มันไม่ใช่ทาง ตามแนวพุทธ ส่วนของพุทธนั้น ท่านก็มีสิ่งที่ตรัสรู้เอง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็มาสอนสมาธิของท่าน สมาธิของ พระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกของเถรวาท ๔๕ เล่ม มีสูตรๆหนึ่งคือมหาจัตตารีสกสูตร อยู่ใน พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒ ถึงข้อ ๒๘๑ มันมีมากหลายข้อเลย สอนเป็นสูตร เอาไว้ให้รู้เลยว่า มรรคองค์ ๘ นี้ปฏิบัติอย่างไร และในมรรคองค์ ๘ เอง ข้อที่ ๘ คือคำว่า "สัมมาสมาธิ" นี่แหละผู้ไม่ สัมมาทิฏฐิก็ไปแบ่งแยกเอา "สัมมาสมาธิ" ออกไปนั่งปฏิบัติเป็น "สมาธิ" แบบฤาษี ความจริงแล้ว ไม่ได้แบ่งแยก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลยว่า สัมมาสมาธิ จะเกิด เพราะปฏิบัติ มรรค ๗ องค์ ไม่ใช่เกิดจาก การไปนั่งหลับตาสมาธิ มรรคมี ๘ องค์ ใช่มั้ย เมื่อปฏิบัติมรรคทั้ง ๗ องค์ นี่แหละ จากองค์ที่ ๑ ถึง ๗ ปฏิบัติแล้วมรรคทั้ง ๗ จะขัดเกลาจิตใจ จนกระทั่งสั่งสมลงเป็น สัมมาสมาธิ เป็นมรรคองค์ที่ ๘ โดยที่สมาธิไม่ต้องไปนั่งหลับตา สะกดจิต อย่างนั้น แต่ปฏิบัติทั้ง ๗ องค์นี่ ท่านบอก เป็นเหตุ เป็นบริขาร เป็นอุปนิโส เป็นปริขาโร เป็นเหตุเป็นองค์ประกอบ ๗ องค์ที่จะทำ ให้เกิด สัมมาสมาธิ เพราะฉะนั้น สมาธิของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่สมาธิแบบนั่งหลับตา ตามฤๅษี สอนมา แต่ไหนๆ แต่ชาวพุทธ เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจ อาจารย์ไหนๆก็ดูจะไม่เข้าใจทั้งนั้น ไม่เข้าใจ "สัมมาสมาธิ" ถ้าพูดถึงสมาธิ ก็จะต้องไปนั่ง หลับตาสะกดจิตทั้งนั้น อันนี้มันผิด สมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นั่งหลับ ทำเอา อย่างฤาษีเก่าแก่ ถ้าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามของพระพุทธเจ้าท่าน ก็คือ ปฏิบัติมรรคทั้ง ๗ องค์ ปฏิบัติ ขณะลืมตา เป็นปกติชีวิต ไม่ต้องแยกจากชีวิตสามัญไปนั่งทำสมาธิ ทำความเข้าใจให้ถูก เรียกว่าสัมมาทิฐิ แล้วก็มีความพยายาม มีสติ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วปฏิบัติอยู่กับสังคม มีตาเห็นรูป มีหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ทวารทั้ง ๖ นี่สำรวมสังวรแล้ว แล้วก็อ่าน ใจตัวเองให้ออก เราเกี่ยวข้องกับอันนี้ เราเกิดความโกรธแล้วนะ อันนี้เราเกิดความโลภแล้วนะ เกิดปฏิกิริยาอะไรในจิต อ่านจิตให้ออก แล้วก็ลดละ กิเลสในปัจจุบัน ในขณะคิดก็ลดกิเลส ในขณะพูดก็ลดกิเลส ในขณะที่ทำการ ทำงาน อะไรอยู่ กัมมันตะ ก็ลดกิเลส แม้ประกอบ การงานอาชีพ อาชีวะ ก็ลดกิเลส ถ้าลดกิเลสได้ ก็เป็น สัมมาอาชีพ อยู่ตลอดเวลา นี่แหละ เมื่อเราปฏิบัติแล้วมันจะทำการฝึกฝนจิตใจไปตลอดเวลา ทั้งคิดทั้งพูด ทั้งทำการงาน ทั้งประกอบอาชีพ ทั้งมีอิริยาบถอยู่ทุกอย่าง อยู่กับสังคมธรรมดา เป็นแต่เพียงว่า คุณต้องตั้งศีล ให้แก่ตัวเองแล้วก็ทำในกรอบที่ตนถือ เรายังไม่มีอินทรีย์พละแก่กล้า ก็ขอศีล ๕ สมาทานศีล ๕ ตั้งศีล ๕ ถือศีล ๕ ขึ้นมา แล้วเราก็ปฏิบัติตามกรอบของศีล ๕ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ถ้าเราเห็นสัตว์ เราต้องระมัดระวัง ไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์ พรากชีวิตอะไรต่ออะไร เราจะพูดจายังไง เห็นคนฆ่าแม้เราไม่ได้ฆ่า หรือว่าเราจะไปเผลอฆ่า หรือว่าเห็นคนอื่นเขาฆ่า เราจะพูดยังไง ก็สังวรระวัง ทั้งความคิด ทั้งการพูด ทั้งการกระทำ ทั้งการงาน ทั้งประกอบ อาชีพต่างๆ นานาพวกนี้แหละ แล้วก็อ่าน ใจตนเอง ตลอดเวลาเลย จับจิตใจของเรานี่ มันจะผิดในศีล ๕ ข้อที่เราถือนี่ไหม ถ้ามันผิด เราต้องระงับ ระงับกายกรรม วจีกรรม ก็ไม่ให้ผิดศีล และที่สำคัญอ่านเข้าไปในจิต แล้วลดละกิเลส ในขณะนั้นทันที จะปฏิบัติ จนกระทั่งลดกิเลสให้ได้ กิเลสนี่มันมีอำนาจ มันสามารถทำให้เราละเมิด อะไรๆได้ แม้แต่เรา จะตั้งใจแล้วว่าเราจะไม่ฆ่าสัตว์ เราจะไม่ลักทรัพย์ จะไม่ผิดผัวเขาเมียใคร จะไม่โกหก จะไม่กินเหล้า อะไรก็แล้วแต่ เราต้องควบคุม แล้วกิเลสมันแรง คนตั้งใจแล้ว ถือศีลแล้วก็ตาม ถ้าไม่พยายาม พากเพียรจริงๆ มันลดยาก เพราะกิเลสนี่มันเก่ง ต่อให้รู้แสนรู้ มันก็พาคุณทำ เช่น คนที่จะคอรัปชั่น จะโกงนี่ คุณรู้มั้ยว่ามันเป็นความชั่ว รู้ใช่มั้ย คนจะไปปล้น รู้มั้ยว่ามันชั่ว คนจะไปข่มขืนรู้มั้ยว่ามันชั่ว ผิดผัวเขาเมียใครอย่างนี้ รู้มั้ยกำลังจะทำชั่ว รู้ใช่มั้ย แต่เขาห้ามตัวเองไม่ได้ คนอยากทำชั่วมั้ย ไม่อยาก ทำชั่วหรอก ใช่มั้ย คนไม่อยากทำชั่ว เขาก็รู้ว่าชั่ว แต่เขาก็ทำชั่วได้ อะไรมันพาทำ ตัวกิเลสนั่นแหละ กิเลสแท้ๆ น่ะมันพาทำ นี่ยกตัวอย่างเอาแต่แค่นี้ คนมันรู้ทั้งนั้นว่ามันชั่ว เพราะฉะนั้น กิเลสมันจึง ยิ่งใหญ่ นี่คือปัญหาสำคัญ อาตมาขอก้าวล่วงเลยไปถึงการบริหารประเทศก็ตาม การพัฒนาสังคมก็ตาม ถ้าไม่พัฒนา ให้คน ลดกิเลส ขอยืนยันว่าพัฒนาสังคมไม่ได้ผลเจริญถาวรแน่ มีแต่ได้อย่างหลอกหลอน หรือได้ชั่วคราว เท่านั้นแหละ ไม่ยั่งยืนแล้วก็ไม่สำเร็จอย่างแท้จริง ถ้าไม่ให้คนลดละกิเลส เพราะฉะนั้นการศึกษาทุกวันนี้ มีการศึกษาไหนๆก็ตาม แม้แต่มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็สอน เพื่อที่จะไปล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ได้เรียนรู้เพื่อลดกิเลสจริงจังเลย เมื่อไม่เรียนรู้ เพื่อลดกิเลสเป็นสำคัญ คนจะดีแค่โลกีย์ พัฒนาได้ไม่ถาวร ไม่ว่าโลกไหน ไม่ว่าสังคมประเทศไหน เหมือนกันหมด อ.สมาน : ด้านเศรษฐกิจโดยหลักวิชาทั่วไปก็คือ ถือว่าเป็นรากฐานของสังคม เป็น economic base ตัวกำหนดสังคมให้เป็นไปเป็นมาอย่างนั้น แต่สำหรับทางสันติอโศกดูว่า ด้านเศรษฐกิจ เป็นเพียง ส่วนประกอบ ด้านการเมืองเป็นเพียงส่วนประกอบ ของด้านจิตใจเท่านั้น อันนี้ท่านอธิบายได้ไหมครับ สวนทางกับทุนนิยม พ่อท่าน : คือคนเรานี่นะ ไม่รู้ความจริงว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ก็ไปหลงว่าเกิดมาเพื่อมีอำนาจ มักใหญ่ จะต้องเป็นเจ้าโลก เป็นเจงกิสข่าน เป็นอเล็กซานเดอร์มหาราช อะไรอย่างนี้นะ จะต้องเป็นอำนาจ แผ่อิทธิพล หรือจะไปร่ำรวย ต้องล่าทรัพย์สินเงินทอง ใครที่ร่ำรวยอยู่ทุกวันนี้ ก็ต้องเอาเปรียบ เอารัด เขามา แย่งชิงเขามาหนักหนาเหน็ดเหนื่อย แล้วไม่ได้เป็นคุณค่าอะไร โลกไปยกย่องกันเอง ได้เงินมา มากๆ กอบโกยมามากๆ เป็นคนวิเศษ เป็นคนเลอเลิศ เปล่าเลย เป็นคนทำลายสังคม เพราะคนที่ กอบโกย ไปเป็นของตัวมากๆ คนอื่นขาดแคลนมั้ย เอาสามัญสำนึกตอบ ไม่ต้องเอาคน ฉลาดตอบ ใช่มั้ย เพราะฉะนั้นหลักเศรษฐศาสตร์จริงๆแล้วให้กระจาย ไม่ใช่ให้ไปกอบกองไว้ที่คนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ให้ กระจุก แต่ให้กระจายออกต่างหาก อ.สมาน : พ่อท่านไม่ใช่ทุนนิยม ไม่ใช่อัตตานิยม ตัณหานิยม กิเลสนิยม แต่ว่าเป็นบุญนิยม อันนี้ มันหมายถึงการเอานรกมาขู่เอาบุญมาล่อหรือเปล่า พ่อท่าน : ไม่ๆ บุญนี้แปลว่าการชำระ บุญนี้คือชำระกิเลส บุญนี่มีความหมาย ๒ อย่างใหญ่ๆ ๑. แปลว่า ความดี ๒. แปลว่าการชำระ บุญหรือปุญญะภาษาบาลีแปลว่าเครื่องชำระกิเลส เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติบุญนิยม คือปฏิบัติอย่างไรที่จะได้ชำระกิเลสเรา ถ้าเราไปโลภโมโทสัน เอาเปรียบเอารัดมา มันได้ชำระกิเลสตรงไหนเล่า แม้แต่หวงแหนขี้เหนียวมันเป็นกิเลส หรือ มันเป็นบาปหรือเป็นบุญล่ะ กิเลสหวงแหนขี้เหนียวอยู่อย่างนี้มันก็เป็นบาปทั้งนั้น มันไม่ใช่บุญ สักหน่อยเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดว่า ผู้ใดเกิดมาเป็นคน อาตมาพูดค้างอยู่เมื่อกี้นี้ว่า ไม่เข้าใจชีวิต ชีวิตเกิดมาจะเอาอะไร คนอย่าง พระพุทธเจ้า นี่เกิดมาเงินทองมีมาพร้อม มีกุศล มีบุญสั่งสมมามากมาย คาบช้อนเงินช้อนทองมา ว่างั้นเถอะ ไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อยหาเลย เพราะท่าน ทำมานานแล้วบุญกุศลของท่านเกิดมาแล้วก็มีเอง อันนี้เป็นวิบากบุญวิบากกุศล ซึ่งศาสนาพุทธ สอนไว้ทั้งนั้น สุดท้ายแม้จะมีมาแล้วท่านก็ทิ้งหมด นอกจาก ทิ้งแล้วยังไม่พอ ยังมาเอาคนอื่น ดึงออกมาให้ทิ้งๆๆ ท่านไม่เคยสอนใครเข้าไปแย่ง สอนใคร เข้าไปกอบโกยเลย ให้รวยลาภ รวยยศรวยนั่นรวยนี่ ไม่เคยมีคำสอน ในพระไตรปิฎก แม้แต่ข้อเดียว ขอยืนยัน มีแต่ให้เลี้ยง พอตัวแล้วก็เผื่อแผ่กระจาย ให้บริจาค ให้จาคะ ให้ทาน ให้เผื่อแผ่ออกไป ถ้าใครเผื่อแผ่มากได้ ก็จงทำ ถ้าเผื่อแผ่ไม่ได้มาก ก็เรื่องของเขา กิเลสหวงแหนของเขา ไปบังคับเขาไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง แล้วก็พยายามให้ลดละกิเลสก็แล้วกัน จะได้ละออกได้มากๆ อ.สมาน : ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า ในขณะนี้บ้านเมืองเราหรือโลก เขาเอาเศรษฐกิจ เป็นตัว รากฐานใหญ่ กำหนดชีวิตของสังคมเลย แล้วเอาตัวการเมืองนี้ มานำนะครับ อำนาจนี่มานำ แล้วพ่อท่าน กลับตาลปัตร พ่อท่าน : ไม่ปัดหรอก อาตมาก็เอาเศรษฐกิจนำเหมือนกัน เศรษฐกิจบุญนิยมไง เศรษฐกิจ ที่มาสร้าง แล้วก็พึ่งตัวเองให้รอด สร้าง เราอย่าไปงอมืองอเท้า ไปแย่ง ไปแบ่ง ไปเอาของคนนั้น คนนี้ ไม่เอา ของเรานี่แหละ เราสร้างขึ้นมา สร้างเสร็จแล้วพออยู่พอกินของเรา เหลือ สร้างให้พออยู่พอกิน อย่าไป เบียดเบียนคนอื่น ตนเองต้องสร้างมาให้คุ้มตัว ให้พึ่งตัวเองรอด แล้วทำให้มาก ทำให้เหลือ เอาส่วนเกิน ส่วนเหลือนั้นแหละแจกจ่ายคนอื่น อ.สมาน : อันนี้เป็นปัญหาอย่างนี้ คือพระพุทธเจ้าได้เทศนาไว้ว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จที่ใจ อันนี้ดูจาก ระบบเศรษฐกิจของ สันติอโศก ดูจากการสัมพันธ์กับการเมืองของสันติอโศกแล้ว เอาด้านจิตวิญญาณ หรือเอาด้านจิตใจ มานำการเมือง มานำเศรษฐกิจ และมานำสังคม อันนี้ท่านทำอย่างนี้โดยจงใจ หรือว่าเป็นของท่านเอง หรือว่าเป็นในพระธรรมวินัย พ่อท่าน : ของพระพุทธเจ้า คุณก็พูดออกมาเอง มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ใจเป็นเอก ใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้าใจเราเองกิเลสลด ใจเราเองเห็นแก่ตัวน้อยลงๆ จนถึงขั้น ไม่เห็นแก่ตัว ใจก็เป็นตัวจริง ใจก็ลดจริงๆ ใจก็สละจริงๆ ไม่มาทำข้างหน้าสละๆ แต่ข้างในลึกๆ มีเล่ห์มีเหลี่ยมที่จะดูดมาให้แก่ตัวมากๆๆอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมอย่างนั้นเลย เป็นเรื่องจริง ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ถ้าใจไม่มีกิเลส หรือใจไม่เห็นแก่ได้ ไม่หวง ไม่กอบโกยแล้ว มันก็จะเกื้อกูล แล้วถามหน่อยซิว่า เราให้คนอื่น เราเกื้อกูลคนอื่น กับเราเอาของคนอื่น อันไหนมันดีอันไหนมันเลว ไม่ต้องไปใช้คนอัจฉริยะ คิดเลย สามัญคนใครเขาก็รู้ทั้งนั้น แต่ทำไมไม่ทำดีล่ะ ทำไมไม่ทำสิ่งที่ให้คนอื่น เพราะฉะนั้น คนที่มาศึกษาธรรมะแล้วนี่ ก็จะรู้อ้อ....อันนั้นดีสิ่งที่ควรกระทำ เมื่อจิตใจมันลดความโลภ ความโกรธ ลดกิเลสได้จริง เขาก็ทำดี คนเราจะไปทำชั่วทำไมล่ะ ความหวงแหน ความตะกละ ตะกลาม ความโลภมันน้อยลง สร้างสรรได้เขาก็แจกจ่ายเจือจาน เพราะมันเป็นความดี ก็ทำดี กิเลสมันเป็น ตัวจริง มันไม่มีหรือมันลดแล้ว มันก็ทำดีได้ง่าย อาตมาพูดแล้วเมื่อกี้นี้ ถามแล้วว่า ไอ้คนทำชั่ว เขารู้มั้ย ไอ้ที่เขาจะทำนั้นชั่ว แต่มันต้องทำเพราะ กิเลสบังคับให้เขาทำ กิเลสบังคับ ให้เขาทำชั่ว กิเลสให้เขาโลภ กิเลสให้เขาเอาเปรียบ ที่ไม่ยอมลดยอมราอยู่ทุกวันนี้ ไม่ยอมคาย อะไรออกมา ได้แต่ดูดๆๆๆทุกวันนี้ กิเลสทั้งสิ้น อ.สมาน : ทีนี้ท่านฮะ มาถึงประเด็นการเมือง ทรรศนะของท่านต่อการเมืองทั่วไป กับการเมือง ในเมืองไทย ในฐานะที่ท่านตั้งทฤษฎีบุญนิยมก็ดี ตั้งทฤษฎีที่ดำเนินการอยู่ ณ ปัจจุบัน ถึงตั้งพรรค เพื่อฟ้าดิน อันนี้ท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อการเมือง หรือท่านมีทรรศนะอย่างไร ต่อการเมือง ปัจจุบันครับ พ่อท่าน : อาตมามีทรรศนะต่อการเมืองอยู่ว่า การเมืองทุกวันนี้เป็นการเมืองหลอก เขาบอกว่า ประชาธิปไตย ประชาชนเป็นอำนาจใหญ่ แต่ความจริงมันไม่ใช่ อำนาจมันอยู่ที่ผู้ที่ถืออำนาจ มันไม่ได้ อยู่ที่ประชาชน เป็นของคนไม่กี่คน เห็นอย่างนั้นจริงๆเลย ไม่ว่าประเทศไหน ทั่วทั้งโลกเลย ไม่ใช่ประเทศไทย เท่านั้น ประชาธิปไตยหลอกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่า เมื่อมีเหตุการณ์ บังคับ ให้เราต้อง ตั้งพรรคเพื่อฟ้าดินขึ้นมานี่ เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า เป็นเหตุการณ์ที่จำนน เราไม่ได้คิดว่า จะมาตั้งพรรคการเมือง เพราะเรารู้อยู่ว่า ในกาละ อย่างนี้แล้ว เราตั้งหรือไม่ตั้ง มันก็ผลเท่ากัน เพราะไหนๆเราก็ทำงานกับสังคมอยู่แล้ว การเมือง ก็ทำงานกับสังคม ศาสนาก็ทำงาน กับสังคม เพียงแต่แบ่งหน้าที่ อ.สมาน : ท่านถูกเล่นงานเนื่องจากการเมืองสังคม พ่อท่าน : อา...อันนั้นอย่างหนึ่ง อันนี้อาตมาก็ให้สัมภาษณ์ไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยเขียนกัน บอกว่า ศาสนาหรือพระก็ตามอย่าไปยุ่งกับการเมือง แล้วถามหน่อยเถอะว่า ไอ้การเมือง มันมายุ่ง กับเรามั้ย คนไหนบอกว่าตัวเองอย่าไปยุ่งกับการเมืองนั้น คนนั้นแหละ ตกเป็นความซวยของเขาแล้ว การเมือง เล่นงานเขา กลายเป็นเบี้ยของการเมือง ที่พวกนักการเมือง จะจับไถถูไปได้สบายเลย เป็นเบี้ยของ การเมืองให้เขาจับไปใช้ เป็นเบี้ย เป็นทาส เพราะฉะนั้นคนต้องรู้การเมือง เกี่ยวข้องกับการเมือง อ.สมาน : ท่านครับ ผู้นำบอกว่าถ้าพระมาเทศนาการเมืองก็ดี เรื่องอบายมุข พระมาเทศน์ เรื่องว่า นโยบายรัฐบาลผิดอะไรอย่างนี้ ผิดธรรมะนี่ ท่านก็บอกว่า พระไม่ควรมายุ่งการเมือง ในลักษณะนี้ ถ้าจะมายุ่งการเมือง หรือมาทำการเมือง ก็ถอดจีวรลงมาเลย แล้วไปสมัคร ส.ส. ส.ว.กันไปเลย ท่านเห็นยังไง เรื่องนี้ พ่อท่าน : อันนั้นเป็นการพูดประชดแดกดันเกินไป ความจริงแล้วคนที่เขารู้อยู่ในสังคม จะเป็นพระ ก็ตาม เป็นฆราวาสก็ตาม ที่เขาไม่เป็นผู้ทำงานการเมือง ไม่ไปทำหน้าที่ นักการเมือง ตรงๆเลย มันมีอยู่ ตั้งเท่าไหร่ มากมาย แต่เขาก็ทำงานการเมืองโดยสิทธิ และหน้าที่ เขามีสิทธิและหน้าที่ ที่อยู่ในเมืองนี้ ประเทศนี้ เขาก็ต้องมีหน้าที่ สิทธิและหน้าที่ ตามการเมืองหลายอย่าง ไม่ไปทำ คุณยัง จับเขา ยังมีข้อ กฎหมายบังคับ ทุกคน ภายใต้การเมือง เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาบอกว่า แยกการเมือง ออกจากมนุษย์ คนนั้น กำลังตัดความเป็นคนออกจากมนุษย์ มิจฉาทิฐิแน่นอน ไม่เข้าใจการเมือง ไม่เข้าใจ ความเป็นคน ไม่เข้าใจความเป็นสังคมด้วยซ้ำไป มันหมดเรื่องหมดรูปเลย เรียนรัฐศาสตร์ มาก็เป็นรัฐศาสตร์ เหลวไหล รัฐศาสตร์เสียหายมาหมดเลย ผิด อ.สมาน : แล้วการเมืองในขณะนี้ ทั้งอำนาจก็ดี ก็สวนทางกับที่ท่านว่ามา ทั้งระบบ เศรษฐกิจก็ดี ส่งเสริมเรื่อง GDP สรณัง คัจฉามิ ดัชนี สรณัง คัจฉามิ นะครับ พ่อท่าน : เอาเถอะ อย่าไปวิจารณ์พวกนั้นเลยเพราะมันเรื่องยาว เรื่องใหญ่ เรื่องเยอะ อ.สมาน : แล้วท่านมีความเห็นยังไงต่อปัญหาขณะนี้ การเมืองขณะนี้ คุณสมบูรณ์ : เหลือเวลาอีก ๕ นาที อาจารย์สมานฟันธงไปเลย จะให้ท่านพูดว่า อนาคต ทางการเมือง ท่านจะเคลื่อนไหวยังไง พ่อท่าน : การเมืองพรรคเพื่อฟ้าดิน จะไม่เหมือนการเมืองใดๆในโลก มันเป็นการเมืองชนิดใหม่ มันเป็น ประชาธิปไตยแบบใหม่ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่สร้างอำนาจ ประชาธิปไตย ที่จะเป็น ของ ประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ไม่ใช่ภาษาแต่จะต้องเป็นความจริง เป็นความจริงๆ เลยว่า ทำแล้ว ถ้าผู้ใดมีฐานะถึงขั้นที่ประชาชนจะเลือกไปทำงาน เป็นตัวแทน ส.ส.เป็นต้น หรือเลือกอย่าง ประธานาธิบดี เขานี่ หรือว่านายกฯเขาเลือกกันโดยตรง อะไรก็ตามใจ ถ้าประชาชนเลือกคน ที่ประชาชน เลือกไปเป็นตัวแทนแล้วนี่ คนนั้น ต้องไปเสียสละ ต้องไปทำงานให้แก่ประชาชนแล้ว ไม่รับเงินเดือนเลย เงื่อนไขของเรา ตามนโยบายของเราเขียนให้ กกต.อย่างนั้นเลย ต้องไม่รับเงินเดือน ทำงานให้ประชาชน แล้วประชาชนก็เลี้ยงไว้ รัฐต้องมีสวัสดิการให้ไป เลี้ยงดูไป แล้วคนที่ไป ทำงาน การเมือง ต้องมี คุณธรรม ถ้าเป็นอนาคามีแล้วก็เหมาะที่สุด เป็นโสดาบันอย่างน้อย เป็นสกิทาคามี ต้องกิเลสลดลง จริงๆ ไม่ใช่เป็นปุถุชนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไปเป็นนักการเมืองบรรลัยมาทั้งนั้น อ.สมาน : เป็นสมาชิกเอาขนาดไหนครับ
ศีล ๕ อ.สมาน : เป็นกรรมการบริหารพรรค อ.สมาน : คุณภาพทางธรรมะใช่มั้ย อ.สมาน : แล้วมันจะมีหรือครับที่ท่านพูด อ.สมาน : พรรคอย่างนี้ แล้วการจัดระบบสังคมแบบนี้
เมื่อก่อนเราเรียกว่า เกาะยูโทเปีย แล้วมันเป็นไป ไม่ได้ อ.สมาน : ความเป็นไปได้ จะเป็นไปได้หรือเปล่า อ.สมาน : เป็นยังไงท่าน อ.สมาน : อันนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จในการจัดหน่วยทางสังคมที่เป็นธรรมะ
ยิ่งกว่าเกาะ ยูโทเปีย ที่นี้พรรคเพื่อฟ้าดิน มันจะสำเร็จ ท่านบอกว่า ๕๐๐
ปี อ.สมาน : ทำไมมันเป็นอย่างนั้นท่าน อ.สมาน : ทีนี้จะมาเสริม มีส่วนในการแก้ปัญหาสังคมขณะนี้ได้อย่างไร
มันกำลังวิกฤติหนักอยู่ อ.สมาน : แต่มันยังไม่เป็น อ.สมาน : แต่ท่านมั่นใจว่าเป็นจริง อ.สมาน : นั่นหมายความว่า ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมจริงๆ
ลดละกิเลสจริงๆ มันจะไม่เป็น อย่างท่านว่า อ.สมาน : แล้วท่านคิดว่าองค์รวมทั้งหมดนี่
จะปฏิบัติธรรมรวมหมู่ได้อย่างนั้นหรือครับ อ.สมาน : คำถามสุดท้ายท่าน เหลืออีก
๑ นาที พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนี้ ใครๆก็บอกว่า ไม่มีใครสอนท่านได้เลยนะครับ
หรือ อหังการมมังการ หรืออะไร ก็แล้วแต่ ขณะนี้นี่ ท่านในฐานะที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
มีหน้าที่ไปจัดการเรื่องเหล่านี้นี่ ในทรรศนะของท่าน จะแก้ไข ด้านจิตวิญญาณ
ของนายกรัฐมนตรี อย่างไรบ้างครับ อ.สมาน : ก็ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณมีหน้าที่ทำด้านนี้ อ.สมาน : ครั้งที่แล้วท่านก็นำได้เรื่องหวยหงส์ลิเวอร์พูล อ.สมาน : แล้วท่านก็หยุดไปตามที่ท่าน อ.สมาน : แต่ต่อไปท่านไม่ทำหรือครับ อ.สมาน : ความขัดแย้งระหว่างนายกฯ
พลตรีจำลอง ท่านเห็นยังไงบ้างครับ เรื่อง สปก.ก็ดี เรื่อง... อ.สมาน : แล้วท่านมีความเห็นยังไง
จะแก้ไขยังไง อ.สมาน : ยังไงครับ อ.สมาน : ไปช่วยให้เกิดสัมมาทิฐิ คุณสมบูรณ์ : ท่านผู้ชมครับ นี่คือความคิดเห็นนะครับ รายละเอียด จากสมณะโพธิรักษ์ นะครับ ผู้นำชาวอโศก ซึ่ง ๑ ชั่วโมง หรือว่า ๒ ตอนที่เราได้นำเสนอ ให้กับท่านผู้ชม รายการ การเมือง ภาคประชาชน ให้ได้รู้ถึงความคิดของผู้นำ ผู้นำซึ่งเป็นผู้ที่มีแนวคิด ทางด้าน พุทธศาสนา แต่ท่าน ก็มีแนวคิด ในการตีความกันไป แตกจากแนวความคิด ของกระแสหลัก นะครับ แล้วก็ได้ซักถาม ประเด็นทางการเมือง โดยอาจารย์สมาน ถึงอนาคต ทางการเมือง พรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งชาวสันติอโศก ให้การสนับสนุนอยู่ หรือว่า เป็นเนื้อเดียวกัน นะครับ จะเป็นอย่างไรนั้น แล้วอนาคต ท่านมีความเข้มข้น ทางการเมืองขนาดไหน ท่านผู้ชม คงจะต้อง ติดตามชมเอาเอง สำหรับวันนี้หมดเวลาลงครับ ผม อาจารย์สมาน ต้องขอกราบลาไปก่อน ขอขอบพระคุณท่านโพธิรักษ์นะครับ ที่ให้ความกรุณา พวกเรา ได้มีโอกาส มาสัมภาษณ์ท่าน ท่านผู้ชมครับหมดเวลานะครับ พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ
"กิจกรรมการเมืองของเราวันนี้ก็ดำเนินไปตามปกติ ไม่มีใครคิดว่าเราทำงานการเมือง เพราะการเมือง ของเราคือ "การบ้าน" โดยตรงแท้ๆ ชาวอโศกเราได้ทำงานการเมืองมา ๓๐ กว่าปีแล้ว โดยไม่ได้ จดทะเบียน เพิ่งไปจดทะเบียนเป็นพรรคเพื่อฟ้าดินเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ที่จริงไม่ได้คิดจะจดทะเบียน แต่มีเหตุการณ์ ให้เราต้องไปจดก็จดไป แต่เราก็คงเหมือนเดิม คือ ทำงานกับประชาชนไปอย่างที่เคยทำ เมื่อมีหัวโขนว่าชาวอโศกมีพรรคการเมือง โดยเฉพาะอาตมาก็พูดถึงพรรคการเมือง อาตมา ก็ออกตัว ออกตนไปเกี่ยวกับการเมือง ตอนนี้ก็รู้กันไปเรื่อยแล้ว และยิ่งจะแหลมคม ไปอีกเมื่อ "กระแส" ขณะนี้มีว่า มีพรรคทางเลือกที่สามเข้ามา แล้วก็มีคนมาโมเมว่า พรรคเพื่อฟ้าดิน จะเป็นพรรคทางเลือกที่สาม เราไม่ได้คิด จะเป็นพรรคที่สง ที่สามอะไรหรอก นักข่าว เขาก็มา สัมภาษณ์ เราก็บอกว่าเราก็เป็น พรรคของเรา อยู่อย่างนี้แหละ ไม่ได้คิดว่า จะเป็น พรรคทางเลือกที่สามอะไรเลย ก็คิดว่าจะต้องทำความเข้าใจกับพวกเราเสียก่อน ไม่เช่นนั้นข้างนอกเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ แล้วมัน จะไป ยังไงล่ะ งานการเมืองที่อาตมาเข้าใจ ก็คืองานที่ทำงานกับสังคม ทำงาน กับประชาชน โดยเฉพาะ ผู้ที่อาสาสมัคร เข้าไปทำงานการเมือง จะแต่งตั้ง หรือได้รับเลือกตั้ง เข้าไปก็ตาม ถ้าใครเต็มใจ อยากจะเข้าไป ทำงานการเมือง ก็คือผู้ที่เข้าไปช่วยให้สังคมกินดีอยู่ดีมีชีวิตดี มาช่วยปรับ จุดบกพร่องทุกด้าน อะไรที่มันจะดีก็ส่งเสริมสนับสนุนให้ดียิ่งขึ้น เป็นคนที่เสียสละ จริงๆ การเมือง คือช่วยบ้านเมือง โครงสร้างของการเมืองเขาก็มี กระทรวงต่างๆ กรมต่างๆ มีเจ้าหน้าที่การเมืองเข้าไปรับอาสา และก็มีเจ้าหน้าที่ข้าราชการทำงานอยู่แล้ว ซึ่งเป็นโครงสร้างของการบริหารประเทศ นักการเมือง ก็เข้ามาเป็นชุดๆ ผู้ที่ทำงานก็อาศัยภาษีของประชาชนเป็นรายได้เลี้ยงตัวเอง และใช้ในการทำงาน แล้วก็ทำงานไป แต่ทุกวันนี้มันเพี้ยนหมดแล้ว ข้าราชการ กลายเป็นนายประชาชน แล้วก็เอาเงินให้ได้มากๆด้วย อาตมาทำงานด้านศาสนา อาตมาเข้าใจว่าศาสนาคือการพัฒนาคน ศาสนาคือมหาวิทยาลัย อันยิ่งใหญ่ พุทธนี่มีการศึกษา ๓ คือไตรสิกขา หรือมรรคองค์ ๘ ถ้าเราได้เรียนรู้แล้วปฏิบัติ ไปตามลำดับ เราก็จะเป็นคนเจริญขึ้น เจริญด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วก็ทำ ในสิ่งดีให้เจริญ การศึกษาทุกวันนี้ ส่งเสริมให้คนบาปทั้งนั้น วิชาใดที่ส่งเสริมให้คนไปเอาชนะคะคานคนอื่น ส่งเสริมให้คน เอาเปรียบคนอื่น วิชานั้นก่อบาป เลวทั้งนั้น ถ้ามีคนมาถามว่าการเมืองพรรคเพื่อฟ้าดินเป็นอย่างไร ก็ตอบเขาไปได้ว่าคือชีวิตพัฒนาตนเอง โดยมีหลักศาสนาเป็นทฤษฎีปฏิบัติ นั่นคือการเมืองของพรรคเพื่อฟ้าดิน แล้วจะส่งสมัคร ส.ส. หรือเปล่า ถ้าบังคับให้สมัครก็สมัคร แต่ถ้าไม่บังคับก็ยังไม่สมัคร ยังไม่ถึงเวลา เพราะการเมือง ของพรรคเพื่อฟ้าดินทำตามประชาธิปไตย ก็ประชาชนยังไม่ได้เรียกร้อง ให้สมัคร จะไปสมัครทำไม ถ้าเขตนี้ มีประชาชนใช้สิทธิได้แสนคน ประชาชนมาเรียกร้องให้ไปสมัคร ๖-๗ หมื่นคน เอ้อ....ไปสมัคร สมัครแล้วก็มีป้ายบอกไว้พอให้รู้เท่านั้น ป้ายใหญ่ๆแผ่นเดียว หรือสองสามแผ่น จะไม่ติดป้าย หาเสียง ไปทั่ว แม้นักข่าวจะมาสัมภาษณ์ส่อเชิงหาเสียงก็ไม่เอา ไม่หาเสียงเชิงแฝงใดๆ ต้องระมัดระวัง ประชาชนเขาจะรู้เองจริงๆว่าคนนี้เหมาะที่จะเป็นตัวแทนในด้านเกษตร ในด้านวัฒนธรรม ในด้านการศึกษา เขาก็จะเลือกเข้าไป จะเป็นกรรมาธิการ เป็นรัฐมนตรีก็แล้วแต่ที่เห็นเหมาะ การเมืองของเราเป็นการเมืองแบบใหม่ เป็นการเมืองที่ยังไม่เคยมีในโลก นักรัฐศาสตร์ มาฟังแล้ว ก็คงบอกว่า อันนี้เพ้อฝัน ไม่เป็นไร ฝันก็ฝัน เราจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองตามนิตินัยทางกฎหมาย เอาคำว่าพรรคการเมือง ครอบหัว เข้าไปเฉยๆ ติดป้ายคำว่าการเมืองเท่านั้น แต่ทุกอย่างเราก็ยังทำเหมือนเดิม เราทำงาน ศาสนาให้กับชีวิตคน พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็เพียงมีการกำหนดบุคคล ให้รับผิดชอบ คอยเอาป้ายไปติด ในการทำกิจกรรม ของชาวอโศกไปทำอะไร ที่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้ เพื่อเขียนรายงานส่ง กกต.ไป เราจะอบรมช่วยกสิกร นักเรียน ครู ข้าราชการ จะช่วยให้ไป ทำกสิกรรม ไปทำน้ำยาล้างจาน ไปช่วยทำถนนหนทาง เราก็ทำ ตามประสาเรา เพราะเราไม่มีเงินทุน จากรัฐ ใครจะมาช่วยลงขันกันบ้างก็ทำกันไป ตรงนี้จะเปิด ตลาดนัด กสิกรรมไร้สารพิษ ก็เป็นวิธีการที่เราจะทำกับสังคม เพื่อช่วยให้สังคมอยู่ดีมีสุข ไร้พิษไร้ภัย ใครที่เอาพืชผัก ไม่ไร้สารพิษมาขายเราก็ให้ออก ไม่ให้มาขายอีก เราต้องการ ให้คนมีความซื่อสัตย์ กับสังคม การเมืองอย่างที่เราทำนี้ไม่ได้แสวงหาอำนาจ เราจะช่วยประชาชนอย่างจริงใจเท่านั้น เราช่วยอะไรได้ ที่เห็นว่าเหมาะควรเราก็ทำ เราจะพิสูจน์การเมืองแบบที่เราเข้าใจ ถ้าประชาชน เลือกเรา เชิญเรา เข้าไปบริหารเราก็ไป แต่ถ้าประชาชนไม่เชิญไม่เลือกเรา ไม่ขอร้องเรา เราก็ไม่ไป เราก็จะทำงานของเรา อย่างนี้แหละ ไม่ใช่เราไปขอร้อง ประชาชนให้มาเลือกเรา ในนโยบายของพรรคเขียนไว้ว่าให้ไปทำงานให้ประชาชน อย่าไปรับจ้าง อย่าไปเอาค่าจ้างใดๆ ไม่ว่า ในเชิงแฝงหรือตรง เมื่อทำงานให้ประชาชนแล้ว ประชาชนก็จะรู้เองว่า เขาจะเลี้ยงเรา ไว้อย่างไร และพวกเรา ก็ได้ฝึกอบรมให้เป็นคนมักน้อยสันโดษ ไม่ใช่เป็นคนผลาญพล่าทำลาย กินน้อยใช้น้อย ผู้ใดที่มีความสามารถในด้านใด เช่น สาธารณสุข เกษตร การศึกษา หรืออื่นๆ ก็เชิญ ขึ้นไปทำงาน ให้ดูแลด้านนั้นๆ ไปตามระบบระเบียบของประเทศ เราก็ไป ถ้าไม่เชิญไม่ไป เพราะไม่รู้จะไปทำไม เพราะมันไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่ใช่ประชาชนเขาเห็นดีเห็นชอบจริง เราทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็ทำอย่างนี้แหละ แล้วประชาชนจะรู้จักเราจริง แล้วเราก็จะเป็นคนจริง ไม่หลอก ไม่ลวง ไม่หาเสียง เขาไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เราอุตส่าห์ทำดีแต่คนไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร เราก็จะทำดี ต่อไป จนกว่า คนตาบอดจะเห็นได้ วันหนึ่งคนตาบอดเห็นได้ เขาก็จะเลือกเรา เข้าไปเอง คนทุกวันนี้คนตาบอดตาใส เยอะ ไม่รู้หรอกว่าคนดีคือใคร แต่คนลวงกลับไปเชื่อเขา เพราะฉะนั้นคำว่าตาบอดเห็นได้ ก็ไม่ได้ หมายความว่า ตาบอดจริงๆอย่างพาซื่อ คือ ทำให้เป็นความจริงจนเข้มจนข้นจนล้นจนแผ่รังสี จนคนโง่ ก็รู้ได้ คนตาบอดก็เห็นได้ ว่างั้นเถอะ ช่วงบ่ายมีการประชุม ๗ องค์กร มูลนิธิธรรมสันติ กองทัพธรรมมูลนิธิ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมทัศน์สมาคม มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา สมาคมนักศึกษา ผู้ปฏิบัติธรรมแห่งประเทศไทย หลังการประชุมจนครบทุกองค์กรแล้ว พ่อท่านได้ให้โอวาท ปิดการประชุมดังนี้ "พวกเรายังไม่ค่อยจะเข้าใจการเมืองบุญนิยม ไม่ใช่ประมาทพวกคุณ แต่มันไม่ง่ายที่จะเข้าใจ อาตมาเทศน์เมื่อเช้า พยายามที่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว การเมืองบุญนิยม ไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากเอาคำว่า "การเมือง" เข้ามาติดป้ายใส่ในเราเท่านั้นเอง ทุกอย่าง เราปฏิบัติอย่างเดิม ที่เราได้ ปฏิบัติมาแล้ว ที่อาตมาพาปฏิบัติมา ๓๐ กว่าปีแล้ว นั้นแหละ การเมือง แต่เราไม่ได้เรียก การเมือง เท่านั้นเอง ต่อไปนี้เราจะเอาคำว่าการเมือง ที่ได้จดทะเบียน โดยนิตินัยเข้ามาครอบเข้าไป เรามี พรรคการเมืองอยู่ในชุมชน แล้วพรรคการเมือง ทำอะไร ก็มีหน้าที่เอาป้ายมาติดหลังกิจกรรมที่ทำ นี่ไงการเมือง แล้วจะไปสมัคร ส.ส.ไหม สมัครถ้าถึงกาละที่เป็นความพร้อมทั้งประชาชนทั้งเรา แต่ไม่สมัคร อย่างที่นักการเมืองทั่วไป เขาทำกันอยู่แน่ อันนี้พูดไปก็ยังไม่เข้าใจกันง่ายๆ แล้วถ้าจะเข้าไปทำในองค์กรของรัฐจะทำอย่างไร จะทำแบบไหน เราก็บอกแล้วว่า เราจะเข้าไปทำจริงๆ ไม่รับเงินดาวเงินเดือน ไม่ได้ยึดพรรคยึดพวก ไม่มีวิป มีหน้าที่ไหนก็ทำ พรรคเดียวกัน ก็ออกเสียง กันคนละข้างก็ได้ เข้าสภาแล้วก็อิสรเสรีภาพ เขาบอกว่า เอ....ทำไมพรรคนี้เสียงแตก เอ้า.... ก็ความเห็นของเขา มันไม่เหมือนกัน จะไปบังคับเขายังไง ไม่มีวิป วิปยังไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความเห็นของพรรคการเมืองเพื่อฟ้าดิน ไม่ใช่มานั่งทำระบบซับซ้อนแฝง ว่าประชาธิปไตย แต่ก็มีเชิงเผด็จการแฝงอยู่ เล็กบ้าง น้อยบ้าง อะไรก็แล้วแต่ มุ้งเล็กในมุ้งใหญ่ไม่มี เป็นเรื่องอิสรเสรีภาพเต็มที่ และประชาชน เลือกด้วยปัญญาจริงๆ ยังมีการหาเสียงอยู่ ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างนี้เป็นต้น การเมืองอย่างนี้ขอยืนยันว่าในโลกยังไม่มี นักข่าวเขามาสัมภาษณ์เขาก็ถามว่า แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ อาตมาบอก ไม่ใช่จะเป็นไปได้หรือ มันเป็นไปแล้ว ราชธานีอโศกมี อบต. มีผู้ใหญ่บ้าน ก็เลือกกันขึ้นไป ไม่ใช่เล่นนะ นั่นของมหาดไทยนะ ศีรษะอโศก ก็มีพวกนี้ เช่นกัน แต่มันไม่ใหญ่ ต่อไปจะเลือกนายอำเภอ เลือกผู้ว่าฯ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นแล้วจะรับใช้ประชาชนจริงๆ เมื่อเช้าก็เทศน์แล้วว่า ข้าราชการ จะรับใช้ประชาชนจริงๆ นี่คือประชาธิปไตย ทุกวันนี้ประชาธิปไตย ข้าราชการก็ไม่ใช่ ผู้รับใช้ประชาชน เป็นนายประชาชนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นการเมืองของเรานี่ มันคนละแบบเลย ยิ่งเป็นข้าราชการ การเมือง ก็ยิ่งต้องเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการประจำเลย เราต้องเป็น ผู้รับใช้ประชาชน สังคมของพวกเราก็ทำอะไรเท่าที่เราคิดว่าดี เราก็ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะตาย ยิ่งรุ่นหลังๆมาก็รับช่วง ถ้ามันดี ก็ทำสืบต่อ ถ้าไม่ดีคุณก็หนีไปทำอย่างอื่น เห็นว่าอะไรดีก็เอาก็ทำไป"
# ร่วมเสวนาธรรมะเพื่อสันติภาพ ที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ คุณวิสุทธิ์ เจตสันติ์ ได้ทำหน้าที่ดำเนินการเสวนาครั้งนี้ ทวนประเด็นที่ได้เสวนากันไปในช่วงเช้า ให้ทราบ แล้วให้ผู้ร่วมเสวนาซึ่งมาจากหลายสำนักความเชื่อ ได้แสดงความเห็นต่อ บ้างก็บอกเล่า ผลการปฏิบัติของตน ที่ได้ประโยชน์ และสาธิตการแผ่พลังจิต ส่งมาให้ ผู้ร่วมเสวนาได้รับ แถมชวน ให้ทำตาม เพื่อกระจายผลแผ่พลังจิต ไปยังคนอื่นๆ ในสังคม บ้างก็บอกให้ตั้งจิตสวดมนต์ และ ให้ปฏิบัติ ตามหลักศาสนา เพื่อจะได้เกิดสันติภาพ บ้างก็ได้เสนอโครงการมหาวิทยาลัย ปราชญ์ชาวบ้าน บ้างก็เห็นว่า การฆ่าสัตว์ ในสังคมที่ไม่พร้อมนั้นไม่ผิด นอกจากนี้ก็มีหญิงจีนได้บอกเล่าถึงชุมชนซอยทรัพย์ของตน พ่อแม่จะสอนถ่ายทอดกันมา ไม่ให้โลภ ให้ซื่อสัตย์ อดทน ให้เสียสละ มีบาทหลวงชาวเขาได้พูดถึงสันติภาพ ต้องสร้างหลักสูตรเพื่อทำลายชนชั้น อย่างพระพุทธเจ้า และพระเยซู ก็ทำลายชนชั้น เช่นถ้าใครมีสองเมียสองผัวไม่ต้องเป็นผู้แทนฯ คุณหลุยจี้ บูโรตี ชาวอิตาลี เป็นคาทอลิกก็ได้แสดงความเห็นอยากให้จัดการเสวนาอย่างนี้ ในสถานที่ มีคนมาร่วมมากกว่านี้ เพื่อให้สิ่งดีๆนี้ไปถึงหูคนกรุงบ้าง คุณสมพร เทพสิทธา ได้กล่าวถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมของทุกศาสนา ให้ทุกคนได้เข้าใจถึง ศาสนา ของตน และปฏิบัติด้วย นอกจากศาสนาแล้ว เราน่าจะอาศัยพระบรมราโชวาท ของในหลวง ต่างๆ และน่าจะได้มีการนำมาใช้ก็คือคุณธรรม ๔ ประการ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ก่อนจบยังได้เสนอ สภาที่ปรึกษาฯ ให้ใช้ศาสนศาสตร์มาเป็นหลักในการแก้ปัญหา คุณสมาน อาดัม ได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ว่าศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้รุนแรง อย่างที่ปรากฏ ตามสื่อต่างๆ อิสลามสอนให้เอื้ออาทรแก่คนที่ไม่ได้เป็นอิสลามก็ตาม และมิใช่เมตตา แก่คนเท่านั้น แม้กับสัตว์ ก็สอนให้เมตตาต่อสัตว์ด้วย อิสลามไม่ได้สอนให้ทำสงคราม แต่สอนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับ ผู้ที่มารุกราน การแก้ปัญหาสังคมต้องนำคนเข้าสู่ศาสนา ปัญหาจึงจะแก้ได้ ปัญหาของภาคใต้ ไม่ใช่ปัญหา ในเรื่องของศาสนา แต่เป็นปัญหาในเรื่องความไม่เข้าใจกัน ระหว่างผู้ที่ปกครอง กับผู้ที่อยู่ ภายใต้การปกครอง ได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนากับภาครัฐมากมาย แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ผมได้เสนอว่า ข้าราชการที่จะไปอยู่ตรงนั้นต้องผ่านการอบรม ให้เขารู้ว่า ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของท้องถิ่น เป็นอย่างไร ปัญหานิดเดียวที่เราคิดว่าไม่เป็นปัญหาก็คือ อิสลามจะให้ความสำคัญกับความสะอาด เราจะเห็นได้ว่า อิสลามจะไม่สวมรองเท้าขึ้นบ้าน เพราะที่พักที่บ้านนั้นเป็นส่วนที่เขาจะต้อง ละหมาด เท้าเราจะไปเหยียบย่ำ สิ่งที่เปรอะเปื้อนไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่บางครั้งไม่เข้าใจ ไปขอตรวจ แล้วใส่ รองเท้าบรู้ช ขึ้นไปบนบ้านของเขา หรือโรงเรียนปอเนาะ กระแสของการต่อต้านนี่มันมี เขาถือว่า ไม่ให้เกียรติ อีกส่วนหนึ่งต้องปรับโครงสร้างของส่วนราชการ ข้าราชการที่จะไปอยู่ตรงนั้น ถ้าเป็นคนมุสลิม หรือพยายาม เอาคนตรงนั้นให้มาอยู่ในกลไกของรัฐบาลให้มากที่สุด หรือส่งเสริม ในเรื่องของการศึกษา อิสลามจะเน้น ให้ความสำคัญกับเรื่องของศึกษามาก ประเทศไทยนี่โชคดี เราไม่มีความขัดแย้งกันในเรื่องของศาสนา รัฐธรรมนูญไทย ก็ให้สิทธิเสรีภาพ ในเรื่องของการ นับถือศาสนา บุคคลที่ไม่ใช่พี่น้องชาวพุทธก็ถือว่าโชคดี ไม่เหมือนบางประเทศ ที่ไม่สามารถจะปฏิบัติ ศาสนกิจได้อย่างเสรี แต่ประเทศไทย ของเราโชคดีตรงนี้ สิ่งที่อยากจะฝากภาครัฐก็คือ ๑. จะต้องจัดให้มีโครงการศาสนิกสัมพันธ์อย่างน้อยปีละ ๓ ครั้ง อย่างที่จัดที่โรงแรมจอมเทียน มีคนมาร่วม ๘๐๐ คน มาจาก ๕ ศาสนา ทำให้ได้มี การแลกเปลี่ยน ทำความเข้าใจกัน ๒. จัดตั้งสำนักงานกลาง เพื่อรับผิดชอบ ในเรื่องนี้โดยตรง ๓. รัฐบาลจะต้อง จัดตั้งงบประมาณ ให้ชัดเจน เพื่อสันติสุข สันติภาพ ความหลากหลาย ทางด้านวัฒนธรรม อันนี้เป็นจุดแข็งของไทย ที่ต่างวัฒนธรรมต่างศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้ จากบางส่วนที่พ่อท่านกล่าวในที่ประชุมนั้นดังนี้ "ที่ทุกคนต้องการสันติภาพนั้นมันเป็นความจริง แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนมีกิเลส คนจะโกง จะข่มขืน จะคอรัปชั่น เขารู้ทั้งนั้น แต่กิเลส มันทำให้เขาอดไม่ได้ สันติภาพในโลกที่เกิดไม่ได้ก็เพราะกิเลสทั้งนั้น อาตมาขอพูดในส่วนที่ได้ปฏิบัติมา ซึ่งก็ไม่เหมือนใครแม้แต่ชาวพุทธด้วยกันเอง จนถูกกล่าวหา ถูกดำเนินคดี แต่อาตมาก็ขอยืนยันว่า อาตมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม และก็อยู่ในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ศาสนาทุกศาสนาดีด้วยกันทั้งนั้น และก็ได้ช่วยโลกมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ขอพูดเฉพาะ ในส่วนของ ศาสนาพุทธ ที่อาตมาทำมา คนไม่ได้แก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยความรู้ แต่ต้องแก้ปัญหาด้วยการฆ่ากิเลส ถ้าไม่มีการศึกษา ไม่มีการปฏิบัติ การฆ่ากิเลสกันจริงๆ ขอยืนยันว่าแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งโลก ความรู้ยิ่งมาก คนเรายิ่ง ฉลาดโกง ซ่อนแฝงเพื่อจะได้เอาชนะคะคาน เอาเปรียบเอารัด หรือทำลายล้าง คู่ต่อสู้ลงไป ถ้าใช้สามัญสำนึกทุกคนก็จะรู้ว่า คนที่ไปบริหารประเทศ ไม่น่าจะเสียเวลา ไปรบรา ฆ่าฟันกันเลย น่าจะเอาเวลามาทำงานกับประชาชนให้ดี น่าเสียดายเวลา แรงงานและทุนรอน ขออภัยที่จะต้องกล่าวถึงกลุ่มชาวอโศก เพื่อเป็นตัวอย่างยืนยัน ส่วนปรัชญานั้น ใครๆ ก็พูดกันได้ ผู้ที่เลี้ยงตนเองด้วยปรัชญา แต่ตนเองไม่เป็นจริงเลยมีอยู่เยอะแยะ ศาสตร์ต่างๆที่เรียนและสอนกันอยู่ โดยเจตนาก็เพื่อให้นำมาใช้กับมนุษย์ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี เกิดสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อจะเอาไปทำร้ายมนุษยชาติ ศาสนาพุทธนั้นมีโลกุตระ เช่นสอนให้คนมาจน ไม่ได้สอนให้คนไปรวย ที่สอนๆกันให้ไปรวยๆนั้น ผิดทั้งนั้น ผู้ที่บรรลุธรรมของศาสนาเรียกว่าเป็นอาริยะ ฆราวาสก็เป็นอาริยะได้ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สำหรับผู้มาเป็นนักบวชแล้ว ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติใดๆเลย ไม่ต้องมี บ้านช่อง เรือนชาน เป็นของตน เรียกว่า โภคักขันธาปหายะ ถ้าไม่มีคุณธรรมเพียงพอ ก็อดตายไป เมื่ออาตมาศึกษาแล้วได้ปฏิบัติจริงจัง ถึงวันนี้เกิดบุคคล เกิดกลุ่มหมู่สังคม แล้วก็เป็น คนที่ดำเนิน วิถีชีวิตอย่างพุทธบริษัท ขณะนี้เกิดเป็นหมู่บ้าน เป็นชุมชน ยังไม่ได้ขยายใหญ่ ไปถึงอำเภอหรือจังหวัด ซึ่งในหมู่บ้านนั้นถือว่าสันติ ขออภัย ที่ต้องเอาตัวเองมาอวด คือมีศีลจริง อย่างน้อยก็ศีล ๕ เป็นศีล พื้นฐาน ของศาสนา ไม่ฆ่าสัตว์ แม้แต่เนื้อสัตว์ ก็ไม่กินทั้งหมู่บ้าน มีบ้าน มีวัด มีโรงเรียนรวมกันอยู่ ไม่มีน้ำเมา อย่าไปพูดถึงยาบ้าเลย เด็กเล็กๆที่เกิดมาเขาก็จะสัมผัสกับวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตอย่างนี้ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ข้อ ๑ และข้อ ๒๐๘ ก็ยืนยันว่าปฏิบัติศีลแล้วจะไปถึงวิมุติ ไม่ใช่เกิดผล แค่กายวาจา แต่เกิดไปถึงจิต ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่จะต้องไป นั่งหลับตาทำสมาธิ หนีออกป่า เหมือนอาฬารดาบสและอุทกดาบส ไม่ใช่ แต่ในที่นี้ อาตมาขอข้ามผ่าน เมื่อปฏิบัติแล้วเราจะรู้ว่าชีวิตเกิดมาไม่ต้องไปรวย หรือไปแย่งโลกียสุข ซึ่งเป็นความสุขหลอกๆ ที่เขาโฆษณา เร่ขายกันเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าไม่มาศึกษาสัจธรรมจริงๆแล้วก็ไม่รู้ แม้รู้แล้ว ก็ยังล้างออกยากเลย ถ้ารู้แล้วลดกิเลสได้จริง แล้วถาวรด้วย เพราะโลกุตระ สามารถหยั่งเข้าไปถึง ปรมัตถธรรม คือสามารถอ่านจิตใจของเรา จิตก็คือพลังงานชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในตัวเราแท้ๆ ถ้าจะเกิดสันติได้ก็ขอยืนยันว่าต้องปฏิบัติหลักธรรม ทำอย่างไร จึงจะให้รัฐบาล มาสนใจ ให้ความรู้ หรือระดมให้คนปฏิบัติธรรม ให้ทุกศาสนามีมรรคผลของศาสนา ที่บรรลุผล ของแต่ละศาสนา ให้จริง ถ้าจริงแล้วสันติภาพเกิดแน่ ทุกวันนี้ศาสนา"พุทธ"กับศาสนา"คริสต์"ไม่มี มีก็แต่ศาสนา"พูด" กับศาสนา "คิด" พระศรีปริยัติโมลี ได้กล่าวถึงทุกศาสนาต่างก็มีเนื้องอกกันโดยทั่ว การระเบิดตึกเวิร์ลเทรด ก็ถือเป็น เนื้องอกของศาสนา สันติภาพไม่ใช่จะได้มาด้วยเลือด ทำอย่างไร เราจึงจะมองกัน และกัน อย่างพี่ อย่างน้องได้ รัฐบาลเองก็เอาแต่เห็นเงินเป็นสรณะ อะไรก็ตาม ทำแล้วได้เงิน เป็นทำหมด แม้แต่ที่ ธรณีสงฆ์ ก็ยังจะแปลงเอามาเป็นเงินอีก แล้วยังหลง เรื่องการลงทุน จากต่างชาติว่าเป็นเรื่องดี สุดท้าย ท่านได้เล่าประวัติศาสตร์ของความรุนแรงที่เกิดขึ้น มาจากศาสนาที่ต่างกัน ไม่ได้คุยไม่ได้ร่วมมือกันทำ พระวินัย สิริธโร เสริมว่าสันติภาพมีอยู่จริง กิเลสก็มีอยู่จริง ทำอย่างไร จึงจะรวมศาสนาต่างๆ ให้ร่วมมือกัน ทำให้เกิดสันติภาพ จะตั้งองค์กรอย่างที่อาจารย์โพธิรักษ์ว่า จะทำอย่างไร ให้มีมหาวิชชาลัย สอนเรื่องโลกุตรธรรม คนที่ทดสอบขั้นต่ำ ในระดับโสดาบัน จึงจะไปสมัครผู้แทนได้ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่คาดคิดว่าจะเกิดก็คือ ช่วงหนึ่งที่พ่อท่านลุกออกไปเข้าห้องน้ำ เดินผ่านด้านหลัง ของผู้ร่วมเสวนาหลายท่าน คุณสมพร เทพสิทธาได้หันกลับมานมัสการ จับมือของพ่อท่าน แล้วทักถาม เรื่องสุขภาพ นับเป็นสันติภาพที่เกิดขึ้นทันทีแล้วในวงเสวนานั้น ใครที่รู้ ประวัติศาสตร์ ก็คงจะจำกัน ได้ว่า คุณสมพรเป็นหนึ่ง ในบรรดาผู้ที่กล่าวโทษพ่อท่าน และชาวอโศก ต่างๆนานา รวมทั้ง ร่วมเป็น พยานโจทก์ปากหนึ่ง ในคดีที่พ่อท่าน และหมู่สมณะ เป็นจำเลย ถูกดำเนินคดี พ่อท่านเอง ก็คาดไม่ถึงว่า จะเกิดเหตุการณ์นี้ คิดไปว่าคุณสมพรยังคงถือสาอยู่แน่ ด้วยความผิด ที่ถูกกล่าวถึงนั้น หนักหนาร้ายแรงเหลือเกิน ในรอบที่สองนั้นพ่อท่านยังคงเน้นธรรมะที่เป็นโลกุตระ ชี้ว่าการอธิบายอริยสัจ ๔ และ มรรคองค์ ๘ ของศาสนากระแสหลัก ยังอธิบายอย่างโลกีย์ ไม่ถึงขั้นโลกุตระ ส่วนผู้ที่ จะบริหารประเทศ ถ้าไม่ศึกษา และปฏิบัติจนเกิดผลที่เป็นโลกุตระ ก็จะไม่เกิด ประโยชน์ ต่อสังคมอย่างแท้จริง และย้ำว่า การจะแก้ ปัญหาใดๆ หรือการจะทำให้เกิด สันติภาพที่จริง ก็ต้องปฏิบัติให้เกิดผลเป็นโลกุตระ เสร็จการประชุมสัมมนาประมาณ ๑๗.๓๕ น. หญิงคนหนึ่งจากกระทรวงศึกษาฯ ได้มาถวายหนังสือ คุณสมพร เทพสิทธา ได้มาสนทนา และเอ่ยปากอยากให้พรรคเพื่อฟ้าดิน ได้เข้ามามีบทบาท ในการบริหาร จะได้นำเอาธรรมะกลับมาสู่สังคมได้ เป็นอีกหนึ่งท่าที และความคิด ที่ข้าพเจ้าคาดไม่ถึง เพราะบทบาท ท่าทีของคุณสมพร ค่อนข้างจะอยู่ในกลุ่ม อนุรักษ์อย่างยิ่ง การแสดงออกของพ่อท่าน ต่อสังคม ถึงการนำศาสนาเข้ามาสู่การเมือง น่าจะได้รับการต่อต้านคัดค้าน มากกว่าสนับสนุน ส่งเสริม จากฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างนี้ จะถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่งของการนำเสนอ การเมืองบุญนิยม ได้กระมัง ก่อนแยกย้ายกันกลับ ได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน ขณะอยู่ในลิฟต์เพื่อลงมาสู่ชั้นที่จอดรถ เห็นพ่อท่านยืนอยู่ในมุมที่กระจกสะท้อนรอบทิศ ทำให้เห็น ภาพ พ่อท่านเหมือนหลายคน นับเป็นมุมภาพที่แปลกจึงถ่ายไว้หลายแช็ค แต่น่าเสียดาย เสียเกือบหมด สั่นไหวบ้าง มุมไม่ดีบ้าง เพราะรีบไปหน่อย ทำให้เหลือ แค่ภาพเดียวที่พอใช้ได้ แต่ในภาพ หน้าตาพ่อท่านไม่หล่อ เหมือนคนอื่นถ่ายเอาเลย - รักข์ราม. - (ยังไม่จบตอน โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ - |