แค่พริบตาเดียว สึนามิคลื่นยักษ์ก็ถล่มทำลายสิ่งที่มนุษย์บรรจงสร้างไว้อย่างวิจิตรสวยงามให้ราบเรียบ เป็นหน้ากลอง อีกทั้งยังคร่าชีวิตผู้คน เป็นหมื่นเป็นแสน ตามด้วยความสูญเสีย อีกนานัปประการ คงเป็นการ ย้ำยืนยันอย่างชัดเจนถึงคำกล่าวที่ว่า "มนุษย์นั้น ต่ำต้อยยิ่งนัก เมื่อเปรียบกับความยิ่งใหญ่ ของธรรมชาติ"

ในท่ามกลางความเศร้าสลดนั้น เราต่างได้เห็นธารน้ำใจที่หลั่งไหลต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพื่อช่วย แบ่งปัน ความทุกข์โศก ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่างเร่งรีบพร้อมเพรียง เป็นภาพความงดงาม ที่เกิดขึ้น และเป็นธรรมชาติ อย่างแท้จริง


# # # กรณีการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไรคะ ?

ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ละเว้นในวัฏฏสงสาร หรือ ในมหาจักรวาลนี้ มันอยู่ภายใต้ สัจธรรมของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลง มีการเสื่อมสูญ ไม่มีอะไร เที่ยงแท้ คงที่คงเดิม เพราะเมื่อมันแก่ ก็มีการเปลี่ยนแปลง ก็มีผลกระทบ ดังที่มันเป็นนี่แหละ จะเป็น ดินน้ำลมไฟ เกิดมรสุม เกิดฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดแผ่นดินไหว เกิดสลาตัน เกิดอะไรๆก็แล้วแต่ ตามที่มันเป็นอยู่ มากมายก่ายกอง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของธรรมชาติ

เราเองอยู่ภายใต้มหาจักรวาลนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ ดาวมันจะต้องเปลี่ยนแปลง จะต้องถูกอุกกาบาต หรือว่า ถูกดาวดวงนั้น ดวงนี้มาชนเอา ก็เป็นไปได้ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ถามว่ารู้สึกอย่างไร มันก็เห็นความจริง ของหลักความจริง ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ทุกอย่างก็อย่างนี้ มันไม่พ้นไปจาก การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดาธรรมชาติ เมื่อเราเอง เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไป เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องยอมรับ ความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่คนที่จะอยู่กับมันโดยไม่ติดไม่ยึดมัน จนถึงขั้นพ้นสภาวะ ที่จะไม่ เดือดร้อน ทุกข์ร้อนได้ เท่าที่เราจะมีการดิ้นรน เพื่อให้มันหลุดพ้นความทุกข์ในความยาก ในความเจ็บปวด หรือว่าสิ่งที่ถูกทำลาย โดยที่มันไม่น่าจะถูกทำลาย ซึ่งก็ต้องดิ้นรนกันไป ดิ้นรนได้ ก็หลุดพ้น ดิ้นรนไม่ได้ ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์

คนมีจิตวิญญาณเป็นตัวสั่งการ คนประมาทคนวิ่งเข้าไปหามันเอง หรือมันจะมาถึงเรา โดยที่เรา ไม่ได้ปรารถนา ไม่ได้คิดฝัน ก็เป็นได้ เป็นธรรมดาธรรมชาติ ถ้าพูดไปแล้ว มันก็รวมถึงกรรมวิบากด้วย มีภาวะธรรมชาติ มีทั้งกรรมปัจจุบันที่ตนเองทำ ทั้งวิบาก ของมนุษยชาติ ที่ต้องเผชิญ ซึ่งตัวเองมีกรรม มีวิบาก อันเป็นอจินไตย อีกเยอะแยะ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะไปคะเนคำนวณด้นเดาอะไรได้เลย แม้แต่ภัยธรรมชาติ สึนามิที่เกิดขึ้น ในทางด้านวิทยาศาสตร์ ทางด้านของโลก ผู้ที่เรียนรู้อะไรเก่ง มากมาย ก็ยังไม่สามารถ จะคำนวณได้ว่า วาระนั้น เวลานี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นให้มันเป๊ะๆ เขาก็ยังคำนวณ ไม่ได้เลย


# # # เราควรนำเรื่องนี้มาเป็นอนุสติ เตือนตนอย่างไร นอกจากมีความเศร้าสลดร่วมอย่างมากแล้ว ?

เราก็ต้องเรียนรู้ความจริงว่าการที่มันไม่เกิดมาถึงเราก็ดีแล้ว ถ้ามันจะเกิดมาถึงเรา เราเจอเข้า ก็คงจะหนัก น่าดูเหมือนกัน เราต้องเห็นให้ได้ว่า ความไม่เที่ยง เป็นความจริง ของสัจธรรม เป็นไตรลักษณ์ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นความไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน สำหรับความไม่รู้ เกิดเมื่อไรก็ได้ เราไม่รู้ หรือบางทีถึงรู้ ก็ยังหนีไม่พ้น หนีไม่ได้ มันก็เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านให้มีอนุสติ มีการระลึกถึงเสมอ และพยายาม เตรียมตัว โดยไม่ประมาท ผู้ใดเรียนรู้ ผู้ใดสามารถเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไป เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องวางใจ ให้เห็นว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ต้องเป็นเช่นนี้ มันถึงคราวที่จะเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องยอมจำนนอะไรอย่างนี้ เป็นต้น


# # # ขนาดเราปฏิบัติธรรม แต่พอลองคิดว่าถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเรา เราก็ยังทำใจไม่ได้เลย

เมื่อผู้ใดที่ยังเรียนรู้จิตวิญญาณไม่กระจ่าง ยังไม่สามารถจะวางได้ปลงได้ หรือจริงๆ ก็เข้าใจถึงสัจธรรม เข้าใจถึง ความจริงนี้ ยังไม่สมบูรณ์ จนมีพลังอำนาจ ที่จะทำให้เราเอง ไม่หวั่นไหว ไม่วูบวาบไปกับ ความเปลี่ยนแปลงพวกนี้ สิ่งที่ไม่เที่ยงไม่แท้พวกนี้ เมื่อทำให้เกิดความสูญเสีย อย่างที่เราเอง ยังมีใจ โหยหาอาวรณ์ ยังหวงแหน ยังไม่อยากให้พราก ยังไม่อยากให้จาก แต่มันถูกทำลาย ต้องถูกพราก ถูกจากไป ในบัดดล อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ถ้าผู้ที่ยังมีจิตใจหวงแหนเป็นเรา เป็นของเราอยู่ก็ต้องทุกข์เป็นธรรมดา ยิ่งหวงแหนมาก ก็อาลัย อาวรณ์มาก และโศกเศร้ามาก ทุกข์ร้อนมากอะไรอย่างนี้ ก็เป็นธรรมชาติ ของกิเลส ของอุปาทาน ความติดยึด ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจน เพราะฉะนั้น ผู้ใดมาหัดละ หัดวาง หัดปลง ไม่ติดไม่ยึด ว่าสิ่งเหล่านี้ ต้องพรากจากกัน ถ้าวางใจได้ว่า ไม่มีอะไรหรอก ที่จะไม่พรากจากกัน แล้วเราก็หัดวาง หัดปลง เมื่อถึงเวลาวาระ ที่ต้องพรากจากกัน จะเร็วหรือช้า จะมาโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวอะไรก็ตามใจ เราก็สามารถ ที่จะวางใจได้ เพราะเห็นความจริงว่า ในมหาจักรวาลนี้ ไม่มีใครค้ำฟ้าไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า ทุกสิ่งต้อง เปลี่ยนแปลงไป เคลื่อนย้ายไป สุดท้ายก็แตกสลาย เพียงแต่บางสิ่ง อาจจะนาน เป็นล้านๆๆๆ ปีบ้าง ก็ตามแต่เถอะ แต่ในที่สุดมันก็ต้องสูญสลายจนได้ และเราก็ต้องเกิดมาใหม่ วนเวียนไป นิรันดร ในวัฏฏสงสาร หยุดวนเวียนเด็ดขาดได้ ก็ผู้มีนิพพาน ถึงปรินิพพานเท่านั้น

ดังนั้นถ้าผู้ใดมาล้างกิเลสที่ยึดติด ถือว่าสิ่งนั้นเป็นเราเป็นของเรา เป็นโอฬาริกอัตตา เป็นมโนมยอัตตา เป็น อรูปอัตตา ยึดเป็นของเรา เป็นตัวเป็นตน ที่เที่ยงแท้ ที่จะต้องได้อยู่ เป็นอยู่เสมอๆ มันก็ต้อง มีความทุกข์ ความเดือดร้อน แต่ถ้าได้มาปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้าจริง เรียนรู้ หัดปลง หัดปล่อย หัดวางดับกิเลส เห็นความจริง ตามความเป็นจริง จนสามารถ หยั่งถึงธรรม มีจิตที่แข็งแรง มีภูมิปัญญา รู้เท่าทันว่า เออ อะไรก็ไม่ใช่ของเรา อะไรเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้แล้วจริง คนนั้นก็ไม่ทุกข์ ไม่โศก ไม่เศร้า ถึงมันจะต้อง ถูกธรรมชาติก็ดี ถูกอะไรก็ดี จะต้องมาทำให้แตกแยก ทำให้พลัดพรากก็ตาม


# # # คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เขาก็อดทนต่อความเจ็บปวดได้ โดยไม่นานเขาก็คลายใจ ได้เหมือนกัน เพราะเวลา จะช่วยเยียวยาเขา แต่เขาจะได้สำนึกอะไรเป็นบทเรียนไหมคะ ?

มันจางไปโดยธรรมชาติ พอนานๆไปคนที่ยึดติดอยู่ก็ตาม ก็จะค่อยๆเบาบางลงได้ ช้าบ้างเร็วบ้าง หรือบางคน ก็ติดยึดไป จนกระทั่งชั่วชีวิต ตายแล้วก็ยังมีอาลัยอาวรณ์อยู่ แต่มันก็อาจเบาบางลง เป็นธรรมดาธรรมชาติ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ไม่เรียนรู้ แน่นอน มันต้องยึด ต้องถือ ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องทุกข์ต้องร้อน อย่างนั้น เป็นธรรมดา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวมาแล้ว นานๆเข้าความรู้สึก ก็จะเจือจางไปเอง แต่มันเจือจาง ไปตามธรรมชาติ ของสามัญของโลกย์ๆเท่านั้น หากแม้นมันไม่ได้ดับ ที่เหตุ มันไม่ดับสูญถาวรยั่งยืน เป็นอันขาด เพราะมันไม่ได้ทำความเข้าใจ ไม่ได้เกิดภูมิปัญญา ในระดับ ของอาริยะ ที่ไม่ติดไม่ยึด เป็นระดับโลกุตระนั่นเอง

เมื่อไม่ได้มาปฏิบัติธรรม ก็ไม่ได้เรียนรู้จนกระทั่งใจของเราเป็นใจที่วางปล่อย เป็นโลกุตรธรรม มีความเข้าใจว่า ทุกอย่าง หมุนเวียนไม่ติดไม่ยึด ที่สำคัญ คือสามารถรู้จักกิเลส และกำจัดกิเลสได้จริง ถูกตัวตน ของกิเลสจบดับไม่เหลือ ไม่มีกิเลสตัณหาไม่มีอุปาทาน อย่างนั้นได้จริง ถ้าผู้ใดไม่ได้มา ปฏิบัติมันก็ต้อง มีกิเลสอยู่จริง แม้ว่าธรรมชาติ นานๆไปจะดูเหมือน มีผลเลือนลางไปบ้าง แต่มันก็ ไม่หมดหรอก พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีก ก็จะทุกข์อีกเหมือนเดิม แต่ผู้ที่มาละมาล้าง กิเลสได้แล้ว ถ้าเกิดเจออีก กี่ร้อยครั้ง ก็ไม่ทุกข์อีกแล้ว มันจะต่างกัน มันจึงไม่ได้เป็นบทเรียนอะไร เพียงแต่รอทุกสิ่ง ที่เกิดให้มันเลือนลาง เจือจางไป ทำให้ไม่มุ่นไม่ยึดแรงนัก แต่ไม่ได้หมายความว่า เหตุปัจจัยที่เราจะ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จะหมดไป ดังนั้นถ้าเราไม่ล้างกิเลสอุปาทานอย่างนี้จริง เจอเหตุการณ์อย่างนี้อีก มันก็ทุกข์อีกอย่างเดิม ดีไม่ดี อาจทุกข์ร้อนกว่าเดิมก็ได้


# # # บางคนพูดว่าภัยพิบัติครั้งนี้อาจเป็นเพราะเรารังแกธรรมชาติมากไป

คิดอย่างไรก็ได้ แต่แน่นอนที่สุดอันนี้เป็นบทเรียนที่เราจะต้องเตรียมตัวไม่ประมาท ต้องหาทางป้องกัน เรียนรู้อะไร ต่างๆนานา แม้ที่สุดเมื่อพูดถึงธรรมชาติว่า เรารังแก ธรรมชาติ มันก็ใช่ก็จริงด้วย แต่ถึงเรา ไม่รังแก ธรรมชาติจริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่เหมือนฝนตก น้ำท่วม ที่เราเห็นชัดเลยว่า เกิดจากเรารังแกธรรมชาติ เช่นเราไปตัดต้นหมาก รากไม้ ทำลายป่า จนทำให้มัน ไม่มีพลังจะดูดจะดึง จะกั้นจะขวาง เพื่อทำให้น้ำ วิ่งลงมาช้าหน่อย อย่างนั้นเห็นชัดเจน แต่นี่เพราะเปลือกโลกเกิดปฏิกิริยา จะว่ารังแกธรรมชาติ มันก็ยังห่างไกล มันไม่น่าจะใช่ แต่ว่าไปแล้วมนุษย์ก็มีส่วน ถ้าเราไปทำอะไรให้มันสะเทือน ให้เปลือกโลก เกิดรอยร้าว แตกแยกขึ้น สึนามิ คราวนี้ มันเป็นการแตกของเปลือกโลก ใต้มหาสมุทร เป็นหลุมลึกลงไป ใต้มหาสมุทร ถึง ๓๐-๔๐ ก.ม. แตกไปยาวถึง ๑,๐๐๐ ก.ม. คิดดูซิ อะไรจะไปทำ ความกระเทือน ได้ขนาดนั้น คนทำไม่ได้หรอก อาตมาจึงว่า มันยังไกล ถ้าจะว่าไปแล้ว แผ่นดินไหว หรือแผ่นดิน ใต้ทะเลไหว มันไกล เกินที่จะบอกว่า เป็นอำนาจของคน เป็นฝีมือของคนที่ทำลาย ธรรมชาติ ทั้งที่จริงๆ แล้ว คนก็ทำลายธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม มากมายจริง ที่เห็นๆทำให้ดินน้ำ ลมไฟ ไม่สะอาด ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นฝีมือคนด้วยจริงๆ และตัวเอง ก็ได้รับผลกระทบ จากธรรมชาติ ที่สูญเสียบกพร่องนั้น ก็เห็นอยู่ เพียงแต่เหตุการณ์สึนามินี้ มันไกลกว่าจะไปโทษคนทีเดียว


# # # ตอนนี้เห็นว่าชาวอโศกจะมีส่วนร่วม "ซับขวัญชาวใต้ จากภัยคลื่นยักษ์"

เราดำริว่าจะไปช่วยเขาทางด้านของจิตวิญญาณเป็นหน้าที่หลัก ชาวอโศกไม่ใช่ผู้ร่ำรวย เพราะเรา ไม่สอน ให้สะสมทรัพย์สินเงินทองข้าวของ วัสดุต่างๆนานา แม้แต่ของกิน ของใช้อะไร ก็ไม่ได้สะสม เพราะฉะนั้น อย่าไปพูดถึงเลยว่าจะไปสะสมเงินทอง หรือ ของแห้งๆที่ไม่น่าสะสม เช่น เพชรนิลจินดา อะไรต่างๆ หรือเครื่องใช้ไม้สอย เราก็ไม่ได้คิดสะสม อะไรมากมาย เพราะฉะนั้นในเรื่องของวัตถุ เราไม่มีอะไร ไปช่วยเขาได้มาก แต่เราก็ดีใจที่เห็นว่า คนในโลกยังเกื้อกูลช่วยเหลือกันอยู่มาก แม้จะไม่คุ้มกับ ความสูญเสีย ซึ่งมหาศาลกว่าก็ตาม

ส่วนชาวอโศกจะไปช่วยด้านจิตวิญญาณ โดยเราจะเดินทางในกลางเดือนนี้ (๑๐-๒๐ ม.ค. ๒๕๔๘) จะไปช่วย ในเรื่องตามที่เราถนัด คือ เรื่องของจิตวิญญาณ ที่จะไป ทำความเข้าใจ แสดงน้ำใจอะไร แก่กันและกันว่าเออ...เมื่อคนเราได้รับทุกข์ร้อน ก็ยังมีเพื่อนมีฝูง ส่วนเราเองไม่ใช่คนที่มีเหลือมีเกินอะไร เราจะไปช่วยเหลือ ตามฐานะ ของเรา ไปให้เขาเห็นว่า สังคมนี้มีผู้ที่ติดดิน หรือยังมีผู้ที่พออยู่ อย่างไม่มี อะไร มากมาย ก็อยู่กันได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปรู้สึกว่าต้องเศร้าสร้อยโหยหา เสียดายอะไร มากเกินไปนัก เพราะว่า สิ่งที่สูญ ก็สูญไป ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่เราจะไม่ไปสอน อะไรเขามาก เราจะไปเป็นเพื่อน ปรึกษาหารือกัน ปรับทุกข์กัน ถ้าเขาจะมาปรับทุกข์ด้วย เราก็ จะช่วยแบ่งเบา ปรับทุกข์กันไป ตามประสาคนที่ควรจะช่วยเหลือเฟือฟายกันได้ สรุปเราไปในด้าน นามธรรม วัฒนธรรม หรือด้านจิตวิญญาณ

บทสรุป
"สึนามิ" ให้บทเรียนราคาแพง

สอนเราว่า - ทุกสิ่งย่อมพรากจากกัน แม้เป็นสิ่งดีที่สุด ในชีวิตก็ตาม - ไม่มีสิ่งใด ควรยึดมั่นถือมั่น - สิ่งใดที่เข้าไปยึดถือแล้วไม่ทุกข์ ไม่มี

และให้เราจำไว้ว่า - มนุษย์นั้น ต่ำต้อย ยิ่งนัก เมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่ ของธรรมชาติ

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ -