ขอตั้งชื่อสกุล "มุ่งมาจน"

เรื่อง อุทธรณ์คำสั่งขอจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลใหม่
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ตามที่จังหวัดอุบลราชธานี โดย นายเนาวรัตน์ บุญหล้า ปลัดจังหวัด ปฏิบัติราชการแทน ผู้ว่าราชการ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ตรวจสอบและพิจารณาชื่อสกุลใหม่ ตามคำขอ จดทะเบียน ตั้งชื่อสกุลใหม่ของ นายตายแน่ เชียวเขตรวิทย์ อยู่บ้านเลขที่ ๑๗๔ หมู่ที่ ๑๐ หมู่บ้านราชธานีอโศก ตำบลบุ่งไหม อำเภอ วารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ตามคำขอ แบบ ช.๑ ขอตั้งชื่อสกุลใหม่จาก "เชียวเขตรวิทย์" เป็น "มุ่งมาจน"

จังหวัดอุบลราชธานีได้ตรวจสอบและพิจารณาแล้ว เห็นว่าชื่อสกุลที่นายตายแน่ เชียวเขตรวิทย์ ขอเปลี่ยน และจดทะเบียนใหม่เป็น "มุ่งมาจน" นั้น ไม่มีความเป็นสิริมงคล แก่วงศ์ตระกูล และ มีความหมาย หยาบคาย ส่อเสียดสังคม ซึ่งขัดกับพระราชบัญญัติ ชื่อบุคคล พ.ศ.๒๕๐๕ และระเบียบ กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจดทะเบียน ชื่อบุคคล พ.ศ.๒๕๐๖

กระผม นายตายแน่ เชียวเขตรวิทย์ ไม่เห็นพ้องด้วยกับการวินิจฉัยตรวจสอบ และพิจารณา ของจังหวัด อุบลราชธานี กระผมเห็นว่า ชื่อ "มุ่งมาจน" เป็นคำไพเราะ เป็นที่ประทับใจยิ่งนัก เพราะเป็นคำที่ยืนยัน ความจริงจังจริงใจ ของผู้ปฏิบัติโลกุตระ ในพระพุทธศาสนา แต่อาจจะทวนกระแสความรู้สึก(ปฏิโสตัง) คนที่ยังติดยึด ในความเป็นโลกียะอยู่บ้าง ซึ่งปณิธานในการ "มุ่งมาจน" นี้ เป็นอุดมคติที่แท้ของเรา ผู้ปฏิบัติธรรม ชาวอโศก เป็น "เศรษฐศาสตร์บุญนิยม" ที่วิธีคิดแตกต่างจาก "เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม" อย่างมีนัย สำคัญ และเกิดความเป็นไปได้ที่ได้พิสูจน์แล้วด้วย มิใช่คำส่อเสียดสังคม ไม่ใช่คำประชด ไม่ใช่ เรื่องเล่นๆ แต่เป็นความจริงใจแท้ๆ ที่เราเห็นเป็นความประเสริฐของคน และไม่ผิดกฎหมายแต่ อย่างใด จึงขอ ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของจังหวัดอุบลราชธานี ต่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย ดังประทานกราบเรียนดังนี้

ข้อ ๑. คำว่า "มุ่งมาจน" ผู้นั้นจะต้อง "ใจพอ มีฉันทะ มีเจตนากระทำ มุ่งปฏิบัติ ให้เข้าถึงความจน" ตามแนวทาง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงเป็นตัวอย่าง ทิ้งราชสมบัติมาเป็นคนจน มาเป็นนักบวช มาเป็นบุคคลที่มีวรรณะ ๙ ได้แก่ ๑. เป็นคนเลี้ยงง่าย ๒. เป็นคนบำรุงง่าย ๓. เป็นคนมักน้อย ๔. เป็นคนใจพอ สันโดษ ๕. เป็นคนขัดเกลาได้ ๖. เป็นคนมีศีลเคร่ง ๗. เป็นคนมีอาการ ที่น่าเลื่อมใส ๘. เป็นคนไม่สะสม ๙. เป็นคนยอดขยัน

ตามแนวทางปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังกล่าวนี้ ชาวอโศก ได้ปฏิบัติให้มาเป็นคน "มุ่งมาจน" เป็นคนจนที่มีวรรณะ ๙ มีโพชฌงค์ ๗ เป็นตัวขับเคลื่อน ให้เข้าทาง อยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นประจำทุกวัน เป็นปกติธรรมดา กระทั่งเป็นคนจนอย่างสมบูรณ์ ตามที่ได้ ตั้งใจ "มุ่งมาจน" ด้วยคำขวัญที่ว่า ลด ละ ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม นิยมสร้างสรร สวรรค์นิพพาน

แล้วพากเพียรปฏิบัติให้บรรลุความเป็นจริง เมื่อเกิดคน "มุ่งมาจน" มีจำนวนมากขึ้น จึงเกิดเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านราชธานีอโศก หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี และหมู่บ้านศีรษะอโศก หมู่ที่ ๑๕ ตำบลกระแชง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นหมู่บ้านปลอดอบายมุขอย่างถาวร เป็นชุมชน เข้มแข็ง มองเห็นได้เด่นชัดถึงคุณสมบัติ ๑๔ ประการ ดังนี้

๑. เป็นคนมีศีลในตัว ๒. เป็นคนพึ่งตนเองได้ ๓. เป็นคนมีงานทำที่เป็นสัมมาอาชีพ ๔. เป็นคน มีความขยัน สร้างสรร ๕. เป็นคนมีความเป็นอยู่ผาสุก ๖. เป็นคนไม่ฟุ้งเฟ้อ ๗. เป็นคนมีความประณีต ประหยัด ๘. เป็นคนไม่มีอบายมุข ๙. เป็นคนมีความพร้อมเพรียง ๑๐. เป็นชุมชนมีความเป็นปึกแผ่น เป็นภราดรภาพ ๑๑. เป็นชุมชนแข็งแรงมั่นคง ๑๒. เป็นชุมชนสร้างทุนทางสังคม มีประโยชน์ต่อสังคม ๑๓. เป็นชุมชน อุดมสมบูรณ์ ไม่สะสม ๑๔. เป็นชุมชนที่มีน้ำใจ เสียสละอย่างสูง

ดังนั้น "มุ่งมาจน" จึงมาเป็นคนจนที่มีวรรณะ ๙ เป็นสิริมงคลแก่วงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่จะต้อง เอาจริง ปฏิบัติให้ถึงจริง ไม่ใช่ทำกันเล่นๆ แต่ละคนทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิต เพื่อสืบสานการ "มุ่งมาจน" ให้ถึงแก่นแท้ของสัจธรรม ทุกคน "มุ่งมาจน" มาอยู่รวมกันเป็น "สาธารณโภคี" เป็นชุมชน เศรษฐกิจ พอเพียง โดยมุ่งมั่นพากเพียร ดำเนินชีวิตให้ได้ ตามรอยพระยุคลบาท ดังพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ของปวงชนชาวไทยว่า "มีคนบอกว่า คนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน"

"มุ่งมาจน" ทางจังหวัดอุบลราชธานีเห็นว่า มีความหมายหยาบคาย ส่อเสียดสังคม ซึ่งเป็นการเข้าใจ ที่แตกต่างกัน คนละมโนทัศน์ ด้านหนึ่งมองอย่างโลกียะ แต่เรามอง อย่างโลกุตระ ที่มุ่งมาเป็น ศีลธรรม อันดีของประชาชนชาวพุทธ จึงอาจจะทำให้ผู้มอง อย่างโลกียะเห็นเป็นมุมลบ เห็นเป็นความต่าง จึงเป็นเหตุให้เข้าใจผิดว่า "เป็นการส่อเสียดสังคม หยาบคาย"

สังคมปัจจุบัน รัฐบาลดำเนินนโยบายให้ทุกคนในสังคม ในประเทศชาติมีเศรษฐกิจดี ให้ทุกคน ทุกครอบครัว หลุดพ้นจาก "ความยากจน"

"มุ่งมาจน" เป็นลักษณะของใจที่พอแล้ว พอเพียงแล้ว เมื่อคนพอแล้ว ก็จะไม่มี ความยากจนอีก "ความยากจน" ก็จะหมดไปจากแผ่นดินไทย จึงสอดคล้องพ้องกับ นโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งจะให้ ความยากจน หมดไปจากประเทศไทย

ข้อ ๒. จังหวัดอุบลราชธานีเห็นว่า "มุ่งมาจน" ขัดกับพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ.๒๕๐๕ และระเบียบ กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทะเบียนชื่อบุคคล พ.ศ. ๒๕๐๖

พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๘ วงเล็บ ๔ มีใจความว่า "ชื่อสกุล ต้องไม่มีคำ หรือ ความหมายหยาบคาย"

คำว่า "มุ่งมาจน" จังหวัดอุบลราชธานี มีความคิดเห็นเข้าใจว่า มีความหมาย "หยาบคาย ส่อเสียด สังคม" จึงเห็นว่าขัดกับกฎหมายดังกล่าว ซึ่งความจริงนั้นเป็นเพียงความคิด ความเข้าใจที่แตกต่างกัน คนละ แนวคิด คนละมโนทัศน์เท่านั้น มิได้มีความหมาย หยาบคายแต่อย่างใด

อนึ่ง กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ ในเรื่องสิทธิ และเสรีภาพ ตามมาตรา ๔ บัญญัติว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา ๒๘ บัญญัติว่า บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้ เท่าที่ ไม่ละเมิด สิทธิและเสรีภาพ ของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี ของประชาชน"

กฎหมายรัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิและเสรีภาพแก่กระผม ที่ขอใช้ชื่อสกุล "มุ่งมาจน" เพราะคำว่า "มุ่งมาจน" ไม่ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ ต่อรัฐธรรมนูญ และไม่ขัดต่อ ศีลธรรม อันดีของประชาชน ประกอบกับกฎหมาย รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐ กฎหมายได้วางหลัก ความเสมอภาค ไว้ให้ความเป็นธรรม แก่บุคคล ไม่ว่าเพราะเหตุแห่งความแตกต่าง ในเรื่องสถานะ ของบุคคล ฐานะทาง เศรษฐกิจ หรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็น ทางการเมือง อันไม่ขัดต่อ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมาย เท่าเทียมกัน

ดังที่ได้เรียนมา กระผมขอยืนยันถึงความจริงใจ ขอความเห็นใจ ขอท่านได้โปรดอนุเคราะห์ พิจารณา ให้กระผม ได้ใช้ชื่อสกุล "มุ่งมาจน" จักเป็นพระคุณอย่างสูง

ขอแสดงความนับถือ

(นายตายแน่ เชียวเขตรวิทย์)
๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๗

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ -