สิบห้านาทีกับพ่อท่าน - ทีม สมอ. -


ซับขวัญชาวใต้

ธรรมยาตรากว่า ๘๐๐ ชีวิต
เดินทางซับขวัญชาวใต้
เพื่อร่วมเป็นเพื่อนทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน
เพื่อบอกพวกเขาว่า
เราเองก็ไม่มีอะไรหลายอย่าง
เหมือนกับที่พวกเขาสูญเสียไป
เราเองก็เคยพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
และเราก็เคยทุกข์แสนสาหัส
เพื่อให้พวกเขาเห็นว่า
เราเคยทุกข์มาแล้ว
และเรากลัวทุกข์
เราจึงยึดเหนี่ยวศาสนาเป็นที่พึ่ง
ด้วยความเคารพศรัทธาในคำสอนที่ถูกตรง
เราฝึกตายก่อนตาย
เราฝึกจนก่อนจน
เราฝึกพลัดพรากก่อนพลัดพราก
เราฝึกทุกข์ก่อนทุกข์
เพื่อฝึกการวางใจได้
ในทุกสถานการณ์ผันผวนที่เข้ามาในชีวิต



# # # ประเมินสถานการณ์จากที่ชาวอโศกนำขบวนกว่า ๘๐๐ ชีวิต ไปซับขวัญชาวใต้

- เป็นประสบการณ์ที่ชาวอโศกไปทำงานนี้เป็นครั้งแรก ไปซับขวัญคนที่รับทุกข์โศก รับภัยต่างๆนานา ทั้งเสียขวัญทั้งขวัญหาย แม้แต่สมบัติก็หาย เราไปช่วยตามสถานการณ์เท่าที่จะทำได้ วิธีการที่ไปช่วย เราก็ไม่เคยมาก่อนเลยนะ แต่ก็คิดว่า พวกเราจะทำในรูปแบบตามวิถีชีวิตที่เราเป็นอยู่ ไปแสดงความเห็นใจ ด้วยกรรมกิริยา ด้วยพฤติกรรมกาย วาจา ใจ อะไรที่เราจะไปทำได้ พอไปถึงเหตุการณ์จริง พวกเราก็ไปปฏิบัติตามสถานการณ์ ที่จริงก็ไม่มีอะไร นอกเหนือจากที่เราปฏิบัติ ในชีวิตจริงของเรา เคยทำโน่นทำนี่อะไรอยู่ก็ทำไป เรารู้สึกอย่างไร มีความเข้าใจอะไร ก็พูดกับเขาไป เป็นเรื่องจริง ที่พวกเราทำไปแล้ว ถ้าจะให้ประเมินผล อาตมาว่าสุดยอด เป็นประสบการณ์ที่อาตมาว่า"คุ้มแสนคุ้ม" แม้ลงทุนหลายล้านก็ยังคุ้ม ถ้าจะว่าไป มันเทียบเป็นเงินเป็นทองไม่ได้ มันเป็นความลึกซึ้ง ทางจิตวิญญาณ
-
แต่ถ้าถามว่าเขาได้อะไร เราพยายามที่จะวัดผล เราพยายามรับซับซาบจากผลตอบรับ เท่าที่เราสามารถ เท่าที่เราจะมีปฏิภาณรับรู้ได้ว่า เขารู้สึกอย่างไร ตามความเป็นจริง โดยไม่ใช่ว่าเราจะไปคาดคะเน แต่ไปรับรู้สึก เท่าที่เราจะมีความสามารถรับรู้ ตามปฏิภาณของเรา ก็พอจะวัดได้ เราก็รับรู้ว่า มันเกิดการช่วยเหลือแก้ไข ให้เขาได้รับการคลายใจ ได้รับการเข้าใจได้รับรู้ภาวะธรรม โดยเฉพาะ เขาได้รับน้ำใจ จากพวกเรา เพราะว่าเราเองไม่ได้เอาเงินเอาทอง เอาข้าวของวัสดุไปให้เขา ซึ่งก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่เราพยายามไปเป็นเพื่อนเขา พยายามแบ่งปันทุกข์อย่างที่ว่า เพื่อให้เขาคลายทุกข์ พยายามให้เขาเข้าใจสัจธรรมแห่งความพลัดพราก ถึงความไม่เที่ยง ถึงความสูญเสีย ที่มันเกิดได้ เป็นได้ และเราก็ไม่ควรที่จะต้องไปติดยึด หรือไปท้อถอย เราควรรู้ว่าคนเราเป็นอย่างนี้ได้ ทั้งๆที่ ไม่ต้องการเป็นอย่างนี้มันก็อาจจะเป็นอย่างนี้ได้ มันเป็นความหมุนเวียนไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง มันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติตามเหตุการณ์ ตามวิบาก ไม่แปลก แม้ผู้ที่ตั้งใจเป็นอย่างนี้ คือเป็นผู้ ไม่ต้องมีอะไรมากอย่างนี้ เป็นคนมีน้อยลงๆ โดยไม่จำเป็นต้องถูกภัยคลื่นยักษ์สึนามิ แต่ไม่ใช่เรา ไปพูดให้เขาลดละ มักน้อยหรอกนะ โดยพวกเราหลายคนไปแสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้พยายาม ที่จะไปล่าลาภ ยศ อะไรๆ คือนัยะของโลกุตระ ที่เราไม่ติดไม่ยึดสมบัติวัตถุ ไม่ยึดข้าวของอะไรต่างๆ นานา อย่างที่เราเป็นอยู่จริงและเราก็มีชีวิตที่ติดดิน มีน้อยใช้น้อย มีอะไร ก็แบ่งกันกิน กันใช้ มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงที่พวกเราเป็นได้จริง และเราไป ทำให้เขาเห็นเขารู้ เขาก็รู้สึกว่ามีเพื่อน มีผู้ที่เป็นอย่างนี้ ก็สบายดีนะ ก็ร่าเริงเบิกบาน ก็ไม่ทุกข์อะไร เมื่อเขาเข้าใจว่า คนพวกเรานี้ไม่ถูกทำให้เสียหาย แต่ตั้งใจเสียหายด้วยซ้ำ จะเรียกว่าเสียหาย หรือเสียสละ หรือเอาออกก็ได้ ขณะที่พวกเขาเองไม่อยากเสีย แต่มันก็เสียไปแล้ว ส่วนคนพวกเรานี้มีอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่เอา สิ่งเหล่านี้ เป็นภาษา ที่อธิบายด้วยภาษายาก แต่คนรับรู้ความจริงได้ มันก็พอเข้าใจ ถ้ามีปฏิภาณ แต่จริงๆแล้วในจิตวิทยาอย่างนี้ หรือญาณวิทยาอย่างนี้ มันลึกซึ้งคนที่มีปฏิภาณ หรือมีภาวะ หรือมีภูมิปัญญาพอรับได้ เขารับรู้สึกเลย เพราะฉะนั้น เราไปช่วยเขา ในลักษณะต่างๆ จะเป็นกรรมกิริยาในการทำงานร่วมกัน ในการช่วยกันบรรเทา เรื่องนั้นเรื่องนี้ ล้วนมีเป้าหมายเพื่อ หาทางที่จะกอบกู้ ให้จิตวิญญาณ เขามีกำลังวังชา มีกำลังใจ มีความรู้สึกดีๆ ปล่อยวางในสิ่งที่ ไม่ควรไปยึดไปถือ ไปหลงไปใหล เข้าใจอย่างโน้นอย่างนี้ หรือเศร้าสร้อยอะไรอยู่

อาตมาว่า มีผลดีทีเดียว กับปรากฏการณ์คราวนี้ ทำให้เราเห็นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ มีประสิทธิภาพจริงๆ


 

# # # สิ่งที่เกิดขึ้นพ่อท่านได้คิดไว้ก่อนหรือไม่ว่าจะออกมาในรูปนี้ ?

- ไม่ได้คิด อาตมาเองมั่นใจในธรรมะในพุทธธรรม ที่พวกเราได้ศึกษาฝึกฝน จนพวกเรามีของตัวเอง จะได้มากน้อยก็แล้วแต่ พวกเราเป็นชาวพุทธ มีมรรคมีผล มีกรรมกิริยา มีปาสาทิโก มีอาการที่น่าเลื่อมใส ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีพฤติกรรม มีความเข้าใจ และก็เป็นจริง เราไปอยู่กับเขา เขาเห็นพฤติกรรมได้ วันหนึ่ง ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๑๐ วัน มีความเป็นอยู่ตั้งแต่ตื่นนอนมามีชีวิตประจำวันเป็นอย่างไรๆ ได้โอภาปราศัยกัน คุยกันถึงเรื่องลึกเรื่องเราเป็นอยู่อย่างไร เราได้ละได้ลด เราปล่อย เราวางอย่างไร ซึ่งองค์ประกอบอะไรต่างๆนานาเหล่านี้ รวมแล้วมันไม่ใช่มีสิ่งเดียวโดดๆ มันมีเหตุมีองค์ประกอบไม่ใช่มีเหตุผลเดียว แต่มีหลายเหตุผล หลายเรื่องราว หลายองค์ประกอบ ซึ่งรวมๆกันแล้ว มันก็ทำให้คนเขาประมวลสิ่งเหล่านี้ มาใช้ประกอบ ในการตัดสิน ทำให้เขาตัดสิน ทำให้เขาวินิจฉัยได้ว่า อ๋อ....มันเป็นสัจจะ ที่เป็นนามธรรม หลายๆอย่าง ที่เขาได้รับคำตอบของเขาเอง

อาตมาไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาอะไรออกมาได้ แต่เราวัดผล และรู้สึกว่า เกิดผลตอบรับ ที่เขาเองเขาได้ ซึ่งไม่ใช่ได้จากเงินทองวัตถุข้าวของอะไร ไม่ใช่เด็ดขาดเลย พวกเราที่ไปทำงานทุกคนจะรู้


# # # สังเกตดูพวกเราที่กลับมา น่าจะดูเหนื่อย แต่กลับสดชื่นแข็งแรงกันมาเกือบทุกคน เป็นเพราะอะไรคะ ?

- เราไปงานนี้มันน่าเหน็ดเหนื่อย เพราะทั้งเวลานอนเวลาพัก เวลาทำงานอะไรพวกนี้ รู้สึกหนักเหมือนกัน ภายใน ๑๐ วัน ซึ่งไม่ใช่เวลาน้อยๆเลย แต่ก็รู้สึกว่า พวกเรามีความชุ่มชื่นหัวใจ รู้สึกเป็นสุขกันดี แม้เหน็ดเหนื่อยก็ไม่ได้ท้อถอย ไม่ได้เหี่ยวโหย อะไรเลย สิ่งเหล่านี้แสดงว่า พวกเราเอง มีกะจิตกะใจ เพราะว่ามีภาวะของโลกุตรธรรม คนเราจริงๆจิตวิญญาณมีปฏิภาณพอสมควร มันจะมีภาวะตอบรับ แม้จะเป็นนามธรรม ก็เป็นภาวะที่พอจะรู้ๆกันบ้างอยู่ อันนี้ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่เรื่อง คาดเดา แต่เป็นสิ่งที่ ละเอียดลึกซึ้งเท่านั้นเอง ซึ่งใครพอรับรู้ได้ พอรับซับซาบเองได้ ก็จะรับรู้ความจริง อันนี้ได้


# # # งานนี้เราจึงได้ทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ?

- ใช่ อาตมาบรรยายธรรมะ ก็รู้สึกว่าพวกเราเข้าใจกันดีจังเลย เพราะมันมีเหตุการณ์ มีองค์ประกอบ อาตมาพยายามจะเทศน์ให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม อันเป็นเหตุปัจจัย ที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ในกาละนี้ เรื่องราวนี้ แม้จะขยายออกไปกว้างไปลึก ก็มีสิ่งที่เป็นตัวนำ ตัวจูงอยู่ในเรื่องพวกนี้ มันทำให้เห็นชัดเจน

# # # เปลี่ยนจากใต้ไปเหนือ ขอถามถึงบรรยากาศงานฉลองหนาวที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างคะ?

- บรรยากาศเป็นกันเองขึ้น เนียนขึ้น เข้าใจมากขึ้น อะไรๆก็ก้าวหน้าไปตามรูปเรื่อง ของความเจริญ ตามความเข้าใจ ซึ่งอาตมาเห็นว่า เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จะพยายาม รวบรวม หรือว่าสร้างวัฒนธรรม อะไรอันหนึ่ง ที่เป็นแบบอย่างนั้นก็ค่อยๆก่อขึ้นไป เพราะว่า รูปแบบนี้มันยังไม่นาน และก็ยังไม่มี องค์ประกอบที่สมบูรณ์อะไร ไม่เหมือนเราจัดงานอื่นๆ เช่น งานพุทธาภิเษก งานตลาดอาริยะ ซึ่งเราจะจัดมานานแล้ว ที่นี่ก็เพิ่งจัดมาแค่ ๒-๓ ปียังไม่ทันไรจะไปประเมินผลทันทียังไม่ได้หรอก แต่อาตมา ก็เห็นระยะก้าว ระยะปรับตัวของมันอยู่ ก็มีประชาชนมีชาวหมู่บ้านต่างๆ มาร่วมมารวม แม้แต่พวกเราเองก็เข้าใจมากขึ้นว่างานนี้เป็นอีกแนวหนึ่ง ลักษณะหนึ่งที่เป็นการสังสรรค์ หรือเป็นงาน ซึ่งอาตมาถือว่า จริงๆแล้ว งานนี้เป็นงานพักผ่อนของพวกเรา ไปเปิดหู เปิดหัวบ้าง ไม่ต้องอยู่ในกรอบ เหมือนงานพุทธาภิเษกหรืองานตลาดอาริยะ ซึ่งเป็นงานหนักนะ แม้แต่งานมหาปวารณา หรืองาน อโศกรำลึกก็ตามก็ยังมีกรอบ แต่งานนี้ไม่มีกรอบ กรอบมันน้อยปล่อยหมด ปล่อยไปทิ้งที่ภูเขา และ ความเย็น ก็ช่วยหลอมไว้ หลอมรวมไว้มันขดไว้ ไม่ให้ทุกอย่างแตกกระจาย

# # # หลายหน่วยงานของพวกเรา จะหยุดช่วงนี้ให้พนักงานพักผ่อนกัน มีบางหน่วยงาน ซึ่งยังไม่ได้หยุด ก็เริ่มดำริจะให้พนักงานหยุด ขึ้นไปพักผ่อนร่วมกันในปีหน้า

- ก็ค่อยๆทำกันไป อาตมายังไม่เก่งพอที่จะพยายามแนะพยายามบอกว่า ให้มันเป็นอะไรๆ บ้าง เรื่องของสังคมโลกุตระนี่ มันไม่ใช่สามัญโลกีย์ มันเกิดตามธรรมชาติ อาตมาเองเป็นคนไม่เก่ง ในการทำโครงการ ไม่เก่งในการจะคิดอะไร ยืดยาวใหญ่โต อะไรนัก ไม่ใช่นักวาดวิมาน นักปั้นโครงสร้าง อะไรมากมายนัก

อาตมาเป็นคนที่ เออ....อันนี้มันเกิด อันนี้มันควรเป็นอย่างนี้ก็ต่อหัวต่อหางเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่มานั่งวาด นั่งปั้นโครงสร้างโครงการอะไรยาวยืด และอาตมาก็ไม่ตั้งใจจะทำเช่นนั้น นอกจากเห็นๆ แล้วก็ทำไป ตามลำดับพยายามทำให้ดีเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่อยากฝันหวาน อะไรมากมาย

# # # อย่างนี้เขาจะว่าพ่อท่านไม่มีวิสัยทัศน์ ?

- วิสัยทัศน์ของอาตมาน่ะหรือ อาตมามีเป้าหมายเป็นหลักใหญ่ๆอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่อง กะปริดกะปรอย ไม่ใช่เรื่องแยกๆย่อยๆเรื่องฝอยอะไร อาตมามีวิสัยทัศน์ เห็นว่า โลกควรเป็นอย่างไร สังคมควรเป็นอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่อาตมาแน่ชัด ไม่มีปัญหาอะไร



วิสัยทัศน์บุญนิยมนั้น เดินทางอย่างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่วางแผน ไม่วาดหวัง เป็นครรลองเดียวกับที่ พระพุทธองค์ ทรงค้นพบ และพาทำ มากว่า ๒๕๐๐ ปี

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๙ มกราคม ๒๕๔๘ -