ให้อภัยกันได้ สบายกว่ากันเยอะเลย
ดิฉันขาดการตอบรับทางสมาคมฯก็นานจนจำไม่ได้ว่าฉบับสุดท้ายเขียนส่งไปเมื่อไหร่ แต่ทางสมาคม ยังมีเมตตาส่งหนังสือมามิได้ขาด ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หนังสือทุกฉบับมีค่ามาก ระยะนี้ ดิฉันห่างวัด ห่างเพื่อน-พี่-ญาติธรรม ก็มีหนังสือ ให้ติดตามความเป็นไป การปฏิบัติธรรมก็ยังอยู่ ในเกณฑ์ดี ไปช้าแต่ก็ไม่สอบตก ดิฉันยังได้นำสารอโศก ดอกหญ้าไปให้เพื่อนอ่านด้วย พอดีเพื่อนป่วย เป็นมะเร็ง ระยะสุดท้าย ตอนนั้นดิฉันไปเยี่ยม เห็นแล้วใจหาย ก็ให้กำลังใจเธอ และเอาหนังสือ ไปฝากด้วย หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้ไปหา ครั้งสุดท้ายที่เจอ ปรากฏว่า เธอเหมือนเกิดใหม่ แข็งแรง ใบหน้าสดชื่น สุขภาพจิตดีมาก เธอบอกว่าช่วงก่อน เครียดมาก เลยหมดกำลังใจ หลังจากที่อ่าน หนังสือแล้ว ทำให้รู้ว่าทุกสิ่ง ในโลกนี้ล้วนอนิจจัง ไม่ใช่มีแต่เราที่ทุกข์ สิ่งที่เราจะต้องสู้ มันคือ กิเลสที่อยู่ในใจเรา ตอนนี้เธอบอกว่าเธอสามารถที่จะอภัยผู้อื่นได้ ถ้าเรารู้จักให้อภัย มันก็ไม่เครียด ถ้าไม่เครียดโรคก็ไม่กำเริบ นั่นเป็นเพราะอานิสงส์ ของหนังสือธรรมะแท้ๆ

ดิฉันขอยกความดีทั้งหมดให้สมาคมฯ ดิฉันสัญญาว่าจะแบ่งปันให้คนอื่นๆอ่านด้วย หนังสือทุกฉบับ มีค่าสำหรับดิฉัน อ่านแล้วเก็บไว้อย่างดี สิ่งดีๆในหนังสือ จะจดจำ นำมาประพฤติปฏิบัติตลอดไป
* นงนุช กันธะ จ.เชียงใหม่

- อย่ารอให้เจ็บป่วยจนเป็นมะเร็งก่อนแล้วจึงให้อภัยนะ ยังไม่เจ็บป่วยก็อภัยให้กันได้ ชีวิตของเรา มีค่ามากกว่า มัวแต่ถือสาเพ่งโทษผู้อื่น ใครๆก็เป็นเจ้าของกรรม-วิบากของตัวเอง ดูแลตนเองคิด-พูด-ทำแต่กุศลเข้าไว้ปลอดภัยกว่ามั้ย? - บ.ก.



สำนึกดี-มีอภัย-ใจเบิกบาน-สุขสำราญในธรรม....
อ่านแล้วมีประโยชน์มีความสำนึกดีเพิ่มขึ้น เป็นหนังสือดีเพราะมีธรรมะอยู่ด้วย ผมอยากให้ทุกคน อ่านแล้วมีจิตสำนึกสงสารผู้ที่อ่อนแอกว่า และเมตตาต่อสัตว์ มีความกตัญญูต่อสัตว์ ที่มีประโยชน์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะคนและสัตว์ อยู่คู่กันมานาน ช่วยกันทำไร่ทำนาให้คนทั้งประเทศ ได้กินได้ใช้ ขนส่งสิ่งต่างๆ มีคุณค่า ประโยชน์มากมาย แต่คุณค่าสัตว์ที่มาช่วยงานมนุษย์ มันไม่มีค่า เหลืออยู่เลย ถูกทำลาย ถูกเบียดเบียนจากมนุษย์และเทคโนโลยีสมัยใหม่

สมัยก่อนเลี้ยงสัตว์ไม่เคยคิดจะทำลาย ทั้งคนและสัตว์รักกัน มีความผูกพันกัน แม้จะขายให้คนอื่น ก็ยังร้องไห้ เพราะมีความสำนึกดีต่อกัน แต่ปัจจุบันนี้หาแบบนี้ไม่มี มีแต่จะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ประหัตประหารผู้อ่อนแอ ผู้บริสุทธิ์ก็เลยตกเป็นทาส แห่งความชั่วร้าย

ยังไงผมต้องขอขอบคุณ ที่ยังมีหนังสือสารอโศก ช่วยปลุกจิตสำนึกให้คนกลับมาพึ่งตนเอง โดยไม่เบียดเบียนสัตว์และผู้อื่น ถึงปัจจุบันจะมีหนังสือแบบนี้ หรือผู้ปฏิบัติแบบนี้ แข่งกับเทคโนโลยี และมีความเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์ สักวันหนึ่ง ถ้าไม่ละความเพียร พยายาม ทุกอย่างคงประสบ ความสำเร็จอย่างมีประสิทธิผลอย่างแน่นอน ผมขอเป็นกำลังใจ ในอนาคตคงจะมีผู้เมตตาสัตว์ และมนุษย์เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

ผมอยากให้หนังสือแบบนี้อยู่คู่กับคนไทย ไปตลอด และคงแบบนี้ไว้ (เหมือนเกลือ ในสมัยพระพุทธเจ้า เค็มอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น)
ผมขอเป็นกำลังใจ กับแนวทางอย่างนี้
* วิษณุ วงษ์เสนา จ.ขอนแก่น

- เราคงไม่ได้เจตนาจะทำแข่งกับเทคโนโลยีในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปหรอก หากแต่เรา ยืนยันปฏิบัติ สัทธธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้นำพาปฏิบัติ จนเราเอง ก็ได้รับผลเป็นกุศลวิบาก ไม่เบียดเบียนแล้วสบายกว่าจริงๆ เราทดลองทำแล้วดีกว่าจริงๆ จึงบอกต่อให้ใครๆพิสูจน์ดูบ้างไงล่ะ....
ไม่ว่าโลกย์ จะเปลี่ยนไป สู่ยุคใด เราก็ยังสุข-สงบ สันติได้ - บ.ก.



เบียดเบียนชีวิตเขาทำให้เราต้องเจ็บป่วยบ่อยๆ
ผ่านมาแล้วสองเดือนกว่า กังวลใจเรื่องสุขภาพที่น้ำหนักลดลงมาก กลัวว่าร่างกาย จะไม่ได้รับ สารอาหารครบถ้วนจึงยอมทานเนื้อสัตว์(เพื่อนร่วมโลก) เนื้อสัตว์บางชนิด ให้โทษมากกว่าประโยชน์ รู้ดั่งนี้แล้วจึงเริ่มต้นใหม่ทุกวัน(ทั้งที่รู้แต่ก็ยังทำ) ชีวิตจึงย่ำ อยู่กับที่ (เรื่องการกิน) วันเวลาที่ผ่านไป ได้มองเห็นสัจจธรรม ความจริงการเปลี่ยนไป ของชีวิต โดยการชี้วัดจากคนอื่น(คนข้างเคียง) และ ที่สำคัญที่สุดก็จิตใจของตัวเอง ก็จะตั้งใจทำให้ดีขึ้นทุกวัน
* สมพร หลุนบูชา จ.มหาสารคาม

- ขอเอาใจช่วยให้สามรถปลดปล่อยชีวิตเพื่อนได้ทุกมื้ออาหารทุกวัน สัตว์ทุกตัวไม่ได้เกิดมา เพื่อเป็นอาหารของเรา เราคงรู้สึกแย่มากที่เอาชีวิตเขามาต่ออายุชีวิตเรา ทุกวันนี้ คนในโลกย์ เป็นโรคมะเร็งตายกันเยอะ สาเหตุหนึ่งมาจากอาหารเนื้อสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ หมู-เป็ด-ไก่-ปลา-กุ้ง เลี้ยงมาฆ่าขายต้องใช้ยาป้องกันโรคระบาด ต้องใช้ฮอร์โมนเร่งเนื้อ เร่งนม เร่งไข่ สารพัด จะกระตุ้น นี่ไม่นับรวมที่ตายเพราะเป็นโรค แล้วนำมาฆ่าขายอีกล่ะ

คนกินเนื้อสัตว์ทุกวันนี้จึงได้รับวิบากกรรมเร็วทันตา เป็นมะเร็งตายกันแต่อายุยังน้อย อาหารมังสวิรัติ ปราศจากการเบียดเบียนชีวิต ปลูกกินเองก็ยังได้ ปรุงสักหน่อยก็อร่อยแล้ว ยิ่งเรื่องขาดสารอาหาร ยิ่งไม่ต้องกังวล แค่ข้าวกล้อง ถั่วหลากหลาย(ไม่ต้องมาก) งาและข้าวโพด ผัก-ผลไม้ เล็กน้อย ตามฤดูกาล แค่นี้ก็ได้อาหารครบคุณค่าทุกหมู่แล้ว ไม่ขาดแม้แต่โปรตีนที่จำเป็นของร่างกายอีกด้วย น่าจะทดลองทำดู เมื่อใจคลี่คลายกายก็จะสบายขึ้นด้วย... - บ.ก.



ผู้มีศีลห้าคือครูต้นแบบที่สังคมต้องการ
ได้รู้จักกับชาวอโศกเมื่อต้นปี ๒๕๔๕ นับแต่นั้นมาได้เป็นส่วนหนึ่งของชาวอโศก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ ในชุมชนชาวอโศกก็ตาม เมื่อมีงานบุญเมื่อใด จะต้องพยายามหาเวลาว่าง ไปช่วยงานทุกครั้ง เพราะขณะนี้ ต้องดูแลบุพการีทั้ง ๒ ท่าน อายุ ๘๔ และ ๘๒ ปี คุณแม่ก็ชอบอ่านหนังสือทุกเล่ม ที่ส่งไปถึง ดิฉันจะต้องอ่านต่อจากท่านจนจบทุกที ท่านบอกว่าดีมาก บางครั้งยังขอติดตาม ข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมร่วมกับชาวอโศก แต่ไปไม่ได้ เพราะเราอยู่กัน ๓ คน คุณพ่อเป็นโรคสมองฝ่อ เบาหวาน และโรคเก๊าต์ ต้นปี ๒๕๔๗ (เม.ย.-มิ.ย.) ท่านเดินไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงให้ท่านรับประทาน มังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง ข้าวกล้องสลับกับข้าวขาว งดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิด และรับประทาน เห็ดหลินจือด้วย ท่านแข็งแรงเดินได้ตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นมา ความจำดีขึ้น มีคุณแม่ที่รับประทาน เฉพาะเมนูเห็ด แต่ยังรับประทานเนื้อปลาเป็นประจำ สัตว์อื่นข้าพเจ้าไม่นำมาให้ท่าน

นักเรียนที่โรงเรียนได้แบบอย่างจากนักเรียนสัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ ซึ่งข้าพเจ้า พาไปเข้าค่าย หลายรุ่น (หลายคน) ประมาณ ๗๐ คน ได้ไปเข้าเรียนที่หินผาฟ้าน้ำ และนักเรียนหลายคนก็ปฏิบัติตน ตามอย่างครู คือมีศีลห้าอย่างเคร่งครัดในวันพระ ส่วนวันอื่นๆก็พยายามลดละมากที่สุด ข้าพเจ้า จะพยายามเป็นครูที่มีศีลห้าตลอดไป เพื่อเป็นต้นแบบให้แก่ศิษย์ และรักศิษย์ทุกคนเหมือนลูก นำความรู้ ที่ได้รับจาก การศึกษา ธรรมะไปกล่อมเกลาจิตใจของเด็กให้เป็นคนดี มีคุณภาพ มีคุณค่า ต่อสังคมต่อไป
* สุมาลี จันทร์เพ็ง จ.ขอนแก่น

- อนุโมทนากับกุศลกรรมที่คุณครูตั้งใจกระทำ ทั้งความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีทั้งสอง และ ความปรารถนาดีต่อลูกศิษย์ในการสร้างคนดีมีคุณภาพ มีคุณค่าต่อสังคม. - บ.ก.



ปัญหาทำให้เกิดปัญญา
อยู่ได้เพราะมีอาหารสมองดีๆ จิตใจดีๆ ร่างกายนี้อีกหน่อยก็ต้องเน่าเปื่อยตายไป ทุกวันนี้คิดดี พูดดีทำสิ่งดีๆ ไม่มีเวรมีภัยกับใคร พยายามคุมจิตวิญญาณตัวเองให้ดี บางทีเผลอขาดสติ นึกเรื่อง ที่มากระทบหู ตาทำให้รู้สึกเคือง แต่ก็ระงับได้ด้วยข่มใจไว้ อดทนต่อคำติฉินนินทา เสียดแทงในใจ บางครั้งมีปัญหาชีวิตอย่างหนัก แต่นั่นแหละ ที่ผู้รู้กล่าวว่า ชีวิตไม่มีปัญหาเสียเลย ก็ไม่รู้รสชาติของชีวิต
* ธงชัย ศิริมาตย์ จ.เชียงราย

- เมื่อเรียนรู้ภาคทฤษฎีแล้ว ก็ต้องมีบทฝึกภาคปฏิบัติจริงด้วยจึงจะได้รู้เพิ่มเติม ได้รู้ชัดเจนยิ่งขึ้น ชีวิตต้องปรับต้องพัฒนาไปตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่นั่นแหละนะ - บ.ก.



รู้อะไรก็ไม่สู้รู้อวิชชาของเราเอง
จากการที่ได้อ่านสารอโศก และได้เรียนรู้การนั่งสมาธิ นำมาผสมผสานกัน แล้วมาใช้ ในชีวิตประจำวัน ได้ผลดีตามมาพอใช้ อย่างน้อยในบางเวลาที่ถูกคำด่าหรือดูถูก ถ้าอารมณ์ไม่พลุ่งเดือดพล่านๆเสียก่อน ก็ยังสามารถแยกออกได้ว่า นี่เราไม่ได้เป็น อย่างที่เขาด่า แล้วเราก็อย่าด่าตอบกลับ แล้วเราก็อย่าเก็บ เอาคำด่านั้นมาไว้ที่ใจเรา ให้รู้ตัว ถ้าด่าตอบไปเราก็ต่ำลงๆ ต้องพยายามรู้ตัวเสมอว่า บุคคลผู้นี้ มักทำให้เรา เคืองอยู่เสมอ ทั้งๆที่เราทำดีไม่เคยกลั่นแกล้งบุคคลผู้นี้เลย แต่เขาก็คิดในทางร้ายๆ ใส่ความให้มาตลอด คิดว่าคงจะต่อไปๆจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งล้มหายตายจากไป เพราะเท่าที่ดูมา ตลอดชีวิตจนปัจจุบันเขาไม่เปลี่ยน แต่เราเปลี่ยน จึงไม่สงสัยว่า ทำไมคนเราต้องศึกษาธรรมะ ไม่ต้องถึงขนาดอรหันต์หรอก เอาแค่พอรู้จิต-กิเลส-ตัณหาแล้วมาลดกัน อย่าว่าแต่"ละ"เลย เอาแค่ "ลด" สำหรับบางคนยังยากเลย อย่างดิฉันนี้ยังต้องปรับปรุงอยู่ตลอด ใช้เวลาก็นานหลายปี ต้องขอยอมรับว่า เมื่อก่อนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากๆ มากจนคิดไม่ถึงว่าถ้ายังเป็นอยู่อย่างนั้น ปัจจุบัน คงต้องไปอยู่ที่โรงพยาบาลประสาทแล้วแน่นอน ย้อนคิดดูก็เสียว แต่คนเราไม่แน่นอนหรอก ต้องไม่ประมาท ถือศีลไปแม้ว่าจะตกๆหล่นๆ เราก็พยายามเท่าที่เราทำได้ ยอมรับว่าช้า....

รายงานการปฏิบัติศีล ๕
๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต ส่วนเสีย-มดยังตายเพราะมือขณะเราล้างจาน
๒. ไม่ลักทรัพย์ ก็มีหยิบฉวยของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้สนใจใฝ่หา แต่อารมณ์มีบ้าง
๔. ไม่พูดจาโม้ปดมดเท็จ คิดว่ามีผิดพลาดบ่อย รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง
๕. ไม่เล่นอบายมุข ไม่ติดบันเทิง เล่นหวยน้อยมาก ยังมีบ้าง

ตกลงยังใช้ไม่ได้เลย นี่ไงยากจริงๆ ถ้าแจงออกมาคิดว่ายังมีมากกว่านี้อีก นี่แค่ศีล ๕ นะยังไม่ไป ถึงไหนเลย ปัญหาก็มีเยอะแยะ พอถึงเวลานึกไม่ออกซะแล้วว่าจะถามอะไร อ้อ! มักเป็นคนที่ตอบอะไร ไม่ตรงคำถามอยู่เสมอ คือรู้ตัวว่าต้องการบิดเบือน ปกปิด ความผิดพลาด บกพร่อง เลยตอบแบบ เลี่ยงไป เลี่ยงมา จะแก้ไขค่ะ
* สรญา เจริญศรีเกษม. จ.สงขลา

- ฝึกสัญชาติแห่งคนตรงด้วยการมีศีล ถือเป็นหลักสำคัญของชีวิตเลย โดยเฉพาะศีลข้อ ๔ ตั้งใจให้ดี ว่าจะไม่พูดเรื่องเท็จ ใคร่ครวญให้ดีก่อนจะพูด ต้องเป็นความจริง-ไม่หยาบคาย-ไม่นินทา-ไม่เพ้อเจ้อ ไร้สาระ หรือยุแหย่ให้คนทะเลาะกัน หากไม่แน่ใจก็อย่าพูด ฟังคนอื่น ให้มาก ฝึกแยกแยะ จะรู้เท่าทัน ตัวเอง ฝึกอย่างนี้ต่อเนื่องไปดู แล้วลองเขียน มาเล่าสู่กันฟังนะ ส่วนศีลข้อ ๕ อย่าฝันลมๆแล้งๆ กับความผกผัน ของตัวเลขเลย และถึงจะถูกหวย เงินที่ได้มาก็เป"นเงินของคนที่หวังแต่จะได้ เป็นเงินมาจาก ความขี้โลภแท้ๆ - บ.ก.



ดีใจก็ทุกข์แบบดีใจ เสียใจก็ทุกข์แบบเสียใจ
ระยะนี้พยายามฝึกจิตฝ-กใจให้ต่อสู้กับตัวกิเลสที่เรียกว่า "ราคะ โทสะ โมหะ" ซึ่งเข้ามาทาง ตาหูจมูก ลิ้นกายใจของเรา โดยตั้งสติไว้ให้มั่น ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาที่มากระทบ เพราะคนเราเคยชิน กับความอยากมี อยากได้ มาโดยตลอด และก็เป็นทุกข์มาตลอด เช่นกัน ดีใจก็ทุกข์แบบดีใจ เสียใจ ก็ทุกข์แบบเสียใจ ดังนั้น จึงวางใจกับความสุข และความทุกข์ ตั้งแต่ดิฉันได้อ่านหนังสือ"สารอโศก" ทำให้ดิฉันรู้สึกรักและสงสาร เพื่อนมนุษย์ ผู้เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น "รู้จักบาป-บุญคุณ-โทษ รู้คุณผู้มีพระคุณ คิดตอบแทน พยายามให้อภัย ทานทั้งกายวาจาใจ แต่อภัยทานนี้ ทำยากกว่าวัตถุทาน เพราะเป็นเรื่องจิตใจมากขึ้นไปอีก โดยมีหลักว่า ให้อภัยโทษ ยอมรับขมา และไม่พยายามเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อยู่ด้วยจิตที่แผ่เมตตา

ทุกวันนี้ดิฉันมีบทเตือนสติเกี่ยวกับความไม่ประมาทในชีวิตในเรื่องความตายอยู่ตลอดเวลา เพราะถือว่าเป็น ธรรมดาของโลก เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตายเป็นของคู่กัน คนทุกคน ที่เกิดมานั้นล้วน พาความตายติดตัวมา วันเวลา ผ่านไปเราก็ใกล้ความตายไปทุกขณะ คนเราเมื่อมีชีวิตอยู่ นี่ก็ของฉัน นั่นก็ของแก แต่เวลาตายแหงแก๋ ไม่ใช่ของแก ไม่ใช่ของฉัน เพราะมันกลายเป็นของคนอื่นไปหมด

สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่า ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา และได้อ่านหนังสือสารอโศก ก็ไม่พึงละเลยประมาทมัวเมาในชีวิต ควรหาโอกาส อบรมจิตใจ ไว้เสียแต่บัดนี้ค่ะ
* พวงเพชร จิรภัทรพงษ์ จ.ฉะเชิงเทรา

- หมั่นระลึกเตือนสติตนเองไว้ ถึงความตายที่จะเกิดขึ้นกับเราและทุกคน จิตใจที่พุ่งเพ่ง ออกไปจัดการผู้อื่น จะเปลี่ยนทิศทางมาขวนขวาย ปรับปรุงตัวเองมากขึ้น บ่อยขึ้น เพราะเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ หากไม่ขวนขวาย ปรับเปลี่ยนตนให้ทำชั่ว-บาป-เวร-ภัย ลดลงแล้ว จะไปจัดการชีวิตของใครได้ง่ายๆเล่า - บ.ก.

- สารอโศก อันดัที่ ๒๗๙ มกราคม ๒๕๔๘ -