กรรมตามสนอง ลูกกตัญญู เรื่องราวของลูกกตัญญูนี้ เป็นวิบากกรรมดีของคุณพ่อมาและคุณแม่เฮียง พิมคำใหล คุณแม่เฮียง ขณะนี้อายุ ๖๕ ปี(ปี ๒๕๔๗) อยู่บ้านเลขที่ ๑๑/๑ บ้านคำไฮ หมู่ที่ ๖ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น คุณแม่เฮียง ได้เล่าถึง การทำความดีต่อพ่อแม่ ตอนแรกดูมันจะยากลำบากแสนเข็ญ แต่ตอนหลัง ผลแห่งกรรมดี ได้ย้อนมาสนอง ให้ได้รับความสุขสมหวังทุกสิ่ง อย่างที่คาดไม่ถึง... ฉันเกิดมา เป็นลูกชาวนาโดยกำเนิด มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันถึง ๘ คน ฉันเป็นลูกคนที่ ๓ ตั้งแต่เติบโตมาก็ต้องร่วมทำไร่ทำนา ทำมาหากินช่วยพ่อแม่ ด้วยดีเสมอมา พี่สาว ๒ คนพอแต่งงานแล้ว ก็ได้แยกออกไปอยู่กับสามีและครอบครัวของเขา ส่วนน้องๆก็มีแต่ผู้ชาย ต่างก็พากันเล่าเรียนหนังสือ หวังจะได้เป็นเจ้าเป็นนายกัน จึงมีฉันเท่านั้นที่ช่วยพ่อแม่ทำนา และช่วยทำมาหากินโดยตลอด จนกระทั่งฉันแต่งงานมีสามี คือพ่อมาคนนี้ จึงได้ให้พ่อแม่หยุดทำนา เพราะเห็นว่า ท่านทั้งสอง ก็ทำงานมามากแล้ว อีกอย่างอายุของท่านก็มาก สมควรพักผ่อนได้แล้ว การทำนา หรือการหาเงิน เลี้ยงพ่อแม่และน้องๆ จึงตกเป็นภาระของฉันและสามีทั้งหมด ทุกๆปี....ฉันและพ่อมา สองสามีภรรยาเท่านั้น ที่ช่วยกันทำนาตั้ง ๓๑ ไร่ แถมการเดินทาง ไปทำนา ก็ไกลอีกต่างหาก ต้องพากันตื่นแต่ตี ๓ หรือ ตี ๔ ลุกขึ้นมานึ่งเอาข้าว เสร็จแล้วก็ไล่ต้อนเอาควาย ไปสู่ทุ่งนา กว่าจะไปถึงที่นาก็สว่างพอดี พอไปถึงที่นา หากเป็นเดือนเจ็ดเดือนแปด พ่อมาก็จะลงไปไถนาหรือคราดนาไว้ เพื่อปักดำนา ส่วนฉัน ก็จะลงไปถอนกล้า พอสายหน่อย ก็จะรีบขึ้นไปทำกับข้าวกินกัน หลังจากกินข้าว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะรีบลงไปปักดำนากัน การปักดำนาในสมัยเก่าก่อนนั้น ไม่ค่อยมีใครเขารับจ้างปักดำนากันเหมือนสมัยทุกวันนี้ ทุกครัวเรือน เขาก็ทำนาใครก็นามัน อย่างมากก็ชวนกันไปลงแขกดำนา หรือเกี่ยวข้าว ช่วยกัน ไม่มีเงินค่าจ้าง ค่าออน อะไรเลย มีก็เพียงหุงหาอาหาร มาเลี้ยงดูกันเท่านั้น แต่ฉันและพ่อมา มีกันสองคนเท่านั้นที่ช่วยกันทำนา ถึงฝนจะตก ถึงแดดจะออก ร้อนเปรี้ยง ขนาดไหน ก็ต้องทนทำ จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่มีใครเขาจะมาช่วยทำ บางปีฝนแล้ง เดือนแปดเดือนเก้าค่อยได้ปักดำ ฉันและพ่อมากลัวจะปักดำนา ไม่ทันปีทันเดือน ทำนามาทั้งวันแล้ว พอตกตอนเย็น ยังเคยเอาตะเกียงแก๊สส่อง หรือเอาแสงเดือน จากท้องฟ้าส่อง ปักดำนากันก็ยังมี ที่จริงแล้ว การปักดำนาในตอนเย็นหรือตอนกลางคืน จะได้งานมากกว่าในตอนกลางวัน เพราะตอน กลางคืนอากาศจะเย็นดี ไม่เร่าร้อนเหมือนตอนกลางวัน บางคืน ฉันและพ่อ มาช่วยกันปักดำถึง ๓-๔ ทุ่มถึงเลิก จนชาวบ้านบอก ฉันและพ่อมาว่า หยุดทำนากันเถอะ มันหมดฤดู ปักดำนากันแล้ว แต่ฉัน และพ่อมา ก็ไม่ยอมหยุดทำ กว่านาจะเสร็จ บางปี ก็เดือน ๑๐ หรือเดือน ๑๑ ฉันก็ยังเคยทำกัน กว่าจะได้ข้าวมาเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องๆ ต้องได้รับความลำบาก บางครั้ง พ่อแม่บ่น จนฉันและพ่อมา คิดจะทิ้งหนีไปก็หลายครั้ง แต่ก็เพราะความสงสารพ่อแม่ และน้องๆ ที่กำลังกิน กำลังเรียน จึงอดทน ต่อไป อีกอย่างสามีของฉันเคยบวชเรียนมาก่อน ก็คอยพร่ำสอนอยู่เสมอว่า การตอบแทน บุญคุณ พ่อแม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือในเรื่องการทำงานแทนท่าน หรือ การให้ข้าวน้ำอาหาร หรือเรื่องเงินทอง ให้ท่านได้ใช้สอยในสิ่งจำเป็นของชีวิต เป็นบุญ อันยิ่งใหญ่ เพราะหากว่าท่านไม่ทนเลี้ยงดูเรามา เราจะมีชีวิตจนตราบเท่าทุกวันนี้หรือ
ฉันเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องๆ เขาเติบโตกันทุกคน ได้เรียนจบ มีงานทำ บ้างก็มีเมีย มีลูกกันแล้ว ฉันและ พ่อมาก็มีลูกกันถึง ๔ คน จึงขอแยกออกมา ตั้งครอบครัว เป็นของตัวเอง รวมเวลาที่ฉัน และสามี ทำนาหาเงิน เลี้ยงดูพ่อแม่และน้องๆ เป็นเวลาร่วม ๑๐ กว่าปีทีเดียว ถึงแม้ว่าจะแยกครอบครัวออกมาแล้ว แต่ฉันและพ่อมา ก็ยังทำนา เลี้ยงดูพ่อแม่ ด้วยดีตลอดมา เพียง แต่หากว่างเว้นจากฤดูทำนา ก็จะไปรับจ้างทำงานก่อสร้าง หรืองานอะไรที่พอจะได้เงิน มาจุนเจือ ครอบครัว ได้เงินมา ฉันก็จะแบ่งให้พ่อแม่ไว้ใช้ อีกส่วนหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ฉันทำอยู่ เป็นกิจวัตรประจำ ทุกวันนี้(ปี'๔๗) พ่อแม่ของฉัน ท่านแก่มากแล้ว เจ็บป่วยออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันป่วย ฉันก็ยัง แวะเวียน ไปดูแลท่านทั้งสองอยู่เสมอ ไปคอยหุงหาอาหาร คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ คอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ ฉันไม่เคยคิด รังเกียจท่านทั้งสองเลย เพราะคิดอยู่เสมอว่า
ผลแห่งบุญกุศลของฉันและพ่อมาเคยทำแต่กรรมดีต่อพ่อแม่โดยตลอด จึงทำให้ฉัน กับพ่อมา ได้ลูกทั้ง ๔ คนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนว่านอนสอนง่าย ด้วยกันทั้งนั้นเลย เรียกว่าเทวดามาเกิดก็ได้ โดยเฉพาะ ลูกคนที่ ๔ นี้เป็นผู้หญิง ชื่อศิรประภา หรือชื่อเล่นว่าปิ้ง ฉันจัดว่าเขาเป็นลูก กตัญญู รู้บุญคุณ พ่อแม่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว คือหลังจากเขาแต่งงาน กับข้าราชการตำรวจ คนหนึ่งไปแล้ว ตอนแรก เขาก็รักกันด้วยดี จนมีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง พออยู่ด้วยกันมาถึงปีที่ ๓ คำพังเพยที่ว่า รถไฟ-เรือเมล์-ลิเก-ตำรวจนั้น ไว้ใจไม่ได้ มันชักจะจริงเสียแล้ว คือสามีของลูกสาวคนนี้ ก็ไปแอบมีเมียน้อย โดยเช่าบ้านให้อยู่ อีกแห่งหนึ่ง จนลูกสาวฉันสืบรู้ จึงไปตาม สามีกลับบ้าน แล้วก็ได้เห็นเขา นอนอยู่ในห้องเดียวกัน ด้วยความรักหรือความหึงหวง กลัวสามีจะหลุดมือไป เลยจะเข้าไปตบตี ผู้เป็นเมียน้อยนั้น แต่สามีผู้เป็นกลาง ก็ได้ห้ามเอาไว้ โดยการกอดรัด ผู้เป็นเมียหลวงไว้ ในระยะนี้ทั้งสอง ก็ด่าทอกันต่างๆนานา ผู้เป็นเมียน้อย เห็นสามีกอดเมียหลวงเอาไว้ ก็เข้ามาขีดข่วนตามใบหน้า ตามร่างกาย จนเมียหลวง ได้รับความเจ็บปวดไปหมด ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เมียหลวงจึงถือว่า ผัวไม่รักเราแล้ว เราจะอยู่ไปทำไม จึงเก็บเอาข้าวของ พร้อมหอบเอาลูกน้อยมาอยู่กับพ่อแม่ แม้ว่าผู้เป็นสามีจะมางอนง้อ ให้กลับไป ครองคู่อยู่ด้วยกันอีกครั้ง ถึงจะพูดอย่างไร ลูกสาวฉันก็ไม่ยอมกลับไป อีกเลย ต่อมาอีกหนึ่งปีให้หลัง คือปี ๒๕๔๔ ลูกสาวฉันคนนี้ก็ตัดสินใจไปทำงานที่ภูเก็ต กับเพื่อนๆ ของเขา พอไปทำงานอยู่ที่นั้น ประมาณเดือนสองเดือน ก็ได้ไปพบรัก กับหนุ่ม ชาวสวิตเซอร์แลนด์ แล้วเขา ก็ได้มาสู่ขอ แต่งงานกันที่บ้านพ่อแม่นี้ พอแต่งงานเสร็จ เขาก็ได้พาเมียบินลัดฟ้ากลับไป อยู่ประเทศ ของเขาเลย จนตราบเท่าทุกวันนี้ ในระยะที่เขากลับไปอยู่ประเทศเขาใหม่ๆ ลูกสาวและลูกเขยฝรั่งคนนี้ ก็ได้ส่งเงิน ให้พ่อแม่ใช้ เดือนละ ๘,๐๐๐ บาทบ้าง เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทบ้าง ลูกสาวบอกกับฉันว่า สงสารพ่อแม่ ไม่อยากจะเห็น พ่อแม่ ลำบากอีกต่อไป เพราะพ่อแม่ลำบากมามากแล้ว อยากจะเห็น พ่อแม่มีความสุข ในบั้นปลาย แห่งชีวิต พอเขาแต่งงานไปได้สามปี ทั้งสองก็ได้ส่งเงินมาก้อนหนึ่ง ให้พ่อแม่สร้างบ้านหลังใหม่
เพราะเขาคิดว่า บ้านหลังเก่ามันเก่า ไม่ทันสมัย ไม่เหมาะสมกับความดี ที่พ่อแม่เลี้ยงดูเขามา
อย่างลำบาก ฉันนึกไม่ถึงเลยว่า การตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้น ตอนแรกดูมันจะยากลำบากแสนเข็ญ จนบางครั้ง ฉันแทบจะท้อใจ จะหยุดทำความดีกับพ่อแม่ แต่ตอนหลังผลของวิบากกรรมดี ได้ส่งผลให้ฉัน และพ่อมา มีความสุขยิ่ง ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า ฉันจะมีวันนี้ คือวันที่ฉันมีทุกสิ่งทุกอย่าง โอ้...มหัศจรรย์จริงๆ การทำความดี ต่อพ่อแม่นั้นมีคุณค่าถึงปานนี้ คุณแม่เฮียงกล่าวกับผู้เขียน (ก่อแก่น)ในที่สุด ก่อนจากผู้เขียนขอคัดเอาบทธรรมมาฝาก จากข้อเขียน ท่าน อ.สุนทรเกตุ ในหัวข้อ "พ่อแก่ แม่เฒ่า" มีใจความว่า
|