ปากกาด้ามเดียวแท้ๆ
วันสุดท้ายของงานพุทธาภิเษกฯ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ณ ศาลีอโศก เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. เศษๆ หลังเสร็จกิจการเลี้ยงอาหารตนเอง ญาติธรรมที่เก็บสัมภาระยังไม่เรียบร้อยก็มาเก็บต่อ ผู้เก็บเสร็จแล้ว ก็ลำเลียงมาไว้ใกล้ๆรถ ข้าพเจ้าอยู่ในประเภทหลัง

ขณะที่กลับไปเที่ยวที่สองเพื่อขนสัมภาระเที่ยวสุดท้าย ญาติธรรมห้าคนกำลังสนทนากัน น่าจะเป็น เรื่อง เกี่ยวกับธรรมข้อสำคัญ หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ ดูสีหน้าจริงจัง ไม่สนใจขนสัมภาระ ไปที่ใด

๑ ใน ๕ ท่านหนึ่งลุกพรวดมาหาข้าพเจ้า "พ่อ พ่อ ยืมปากกาหน่อย ขอกระดาษด้วย"

ข้าพเจ้าหยิบปากกาในกระเป๋าเสื้อยื่นให้ด้วยความปีติที่มีโอกาสช่วยเหลือญาติธรรม ก่อนจะกลับบ้านพร้อมกับบอกว่า "มีแต่ปากกา ไม่มีกระดาษ"

เขาหยิบปากกาแล้วตรงไปที่ศาลาประชาสัมพันธ์ ถือวิสาสะหยิบกระดาษมา ๑ แผ่น เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ไม่อยู่ แล้วกลับมานั่งบันทึกในวงสนทนา ข้าพเจ้านำสัมภาระชิ้นสุดท้าย มารวมที่กอง แล้วนั่งพักรอรถ มองไปยังวงสนทนา ยังคงสนทนาและบันทึกอะไรอยู่

บัดดลนั้นเองจิตของข้าพเจ้าได้แตกออกเป็น ๒ ดวง มิหนำซ้ำเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างเอาจริงเอาจัง

ดวงที่ ๑ "เอ ถ้ารถมาตอนนี้ เราจะได้ปากกาคืนไหมนี่" ตาจับอยู่ที่ญาติธรรมผู้นั้น
ดวงที่ ๒ รีบให้สติ "เสียดายเหรอ แค่ปากกาด้ามเดียว กี่บาทเชียว"
ดวงที่ ๑ ชักฉุน "เสียดายซิ เผื่อมีเรื่องต้องบันทึกมั่ง" เถียงไม่ตกฟาก
ดวงที่ ๒ ยิ้มเยาะก่อนพูด "นั่นแหละอัตตาละ ยังมีกู ยังมีของกู"
ดวงที่ ๑ เสียงแปลบในอกหันมามองดวงที่ ๒ ช้าๆ พูดอะไรไม่ออกได้แต่รำพึงในใจ "กรรมหนอกรรม"
ดวงที่ ๒ ได้ทีขี่แพะไล่ "นั่นแหละ เพราะเคยโกงเขามา ควรจะดีใจซิที่ได้ใช้หนี้เก่า"
ดวงที่ ๑ กุมมือดวงที่ ๒ ด้วยรู้สึกขอบคุณ ต่างหันหน้าไปทางวงสนทนา ปรากฏแต่ความว่างเปล่า วงแตกอันตรธานไปแล้ว ทั้ง ๒ ดวงหันมามองหน้ากันด้วยรักสามัคคี โปรยยิ้มให้กันอย่างมีความสุข โผเข้ากอดกันแน่น รวมกันเป็นจิตเดียวดวงเดิม แต่รำพึงด้วยปีติว่า "เสียปากกาไปนั่นแหละคือกำไร ได้อริยทรัพย์ที่มากกว่าปากกาหลายเท่า มัวแต่คิดเสียดายจะเอาคืน นั่นคือขาดทุนป่นปี้เลยแกเอ๋ย รู้ไว้อีกอย่างว่า เขาได้โอกาสบันทึกสิ่งประเทืองปัญญาเมื่อใด เราก็พลอยปัญญาประเทืองเมื่อนั้น" ข้าพเจ้ากลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ พร้อมจิตงามดวงใหม่ แม้จะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้เข้าพิธี พุทธาภิเษก "กราบขอบพระคุณผู้ยืมปากกาครับ" ปากกาด้ามเดียวแท้ๆ
* ประกาศิต จันทรศร จ.นครราชสีมา

- นับเป็นวิธีคิดที่พาตนหลุดออกมาจากวังวนของทุกข์ได้อย่างน่ายกย่อง สื่อได้ชัดถึงสภาวะ แม้จะเป็น ครั้งแรกของการมางานพุทธาภิเษก ก็ได้รับโจทย์ที่ท้าทายความสามารถ ซึ่งก็ดูจะตั้งใจใช้ความสามารถ อย่างเต็มที่กันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามผู้ชื่อว่า ชาวอโศกทุกชีวิตพึงสังวรศีลแห่งตนให้ดี อย่าละเลย ด้วยเห็นเป็นแค่เพียงวัตถุ แล้วเผินไป จะทำให้ศีลของตนต้องทะลุ-ด่าง-พร้อยไปอย่างไม่ควรเลย พ่อท่าน นำพาให้เรามาสะสม "บุญ" (ชำระกิเลส) ต้อง"ประณีต" (ละเอียดลออ)...- บ.ก.



ทำนาไร้สารพิษแบบบูรณาการ....ขอรายงานตัวครับ !
เนื่องจากการทำนาลดละเลิกใช้สารพิษทางการกสิกรรม ช่วยรักษาชีวิตพระแม่ธรณี ถ้าดินตาย เพราะเติมสารพิษ ขนเอาปุ๋ยเคมีใส่ลงไปๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ ไส้เดือน แมลง มนุษย์ สัตว์ ฯลฯ

การทำนาไถกลบฟาง ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ-ปุ๋ยน้ำ ยังไม่สมบูรณ์ แต่เป็นการปรับดิน สร้างดิน เป็นการ สร้าง ชีวิตจุลินทรีย์เพิ่มความอุดมให้แก่ดิน หากต้องการให้ได้ผลเร็วต้องไถกลบฟาง ใช้ปุ๋ยน้ำหมัก ชีวภาพ และหว่านเมล็ดปอเทือง หรือโสนอาฟริกา เพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุ เติมลงดิน นาไร่ พอสรุปได้ว่า

หลังไถกลบฟาง ไถหว่านเมล็ดปอเทืองเฉลี่ยไร่ละ ๕-๘ กก. ไถกลบต้นปอทำปุ๋ยพืชสด ก่อนหว่าน ข้าวมะลิ ๑๐๕ ก่อน ๑๕-๒๐ วัน ๙ ไร่หว่านข้าว ๑๖๐ กก. น้ำเลี้ยงต้นข้าวมีตลอด

ปี ๒๕๔๔ ทำนาได้ข้าวเปลือก ๘๘ กระสอบ น้ำหนักประมาณ ๗ ตัน (ไถกลบฟางเลิกสารพิษฯ ใช้น้ำหมัก ชีวภาพ)

ปี ๒๕๔๖ ทำนาได้ข้าวเปลือก ๗๖ กระสอบ คิดเป็นน้ำหนักประมาณ ๖ ตัน (ไถกลบฟางเลิกใช้สารพิษ ใช้น้ำหมักชีวภาพ)

ปี ๒๕๔๗ ทำนาได้ข้าวเปลือก ๑๓๖ กระสอบ คิดเป็นน้ำหนักประมาณ ๑๐ ตัน

ผลผลิตข้าวมะลิ ๑๐๕ ปี ๒๕๔๗ ได้ข้าวเปลือก ๑๓๖ กระสอบ หรือคิดเป็นน้ำหนักประมาณ ๑๐,๘๘๐ กก.ต่อ ๑๘ ไร่ สูงกว่าปี'๔๖ ถึง ๔,๘๐๐ กก. ต่อ ๑๘ ไร่ (ป• ๒๕๔๕ น้ำท่วม) สูงกว่าป• ๒๕๔๔ ถึง ๓,๘๔๐ กก./ ๑๘ ไร่

ลงทุนไถหว่านเมล็ดพืชทำปุ๋ยสด และไถกลบ รวมค่าเมล็ดปอ เป็นเงินประมาณ ๓๖๐ บาท / ไร่ แต่จะได้ ผลผลิตสูงถึง ๖๐๔ กก./ ไร่ ราคาข้าวหอมมะลิ ๑๐๕ ที่ อ.วิเชียรบุรี ราคา ๗,๓๐๐-๗,๔๐๐ บาท/ตัน หรือ ๑,๐๐๐ กก.

ปี ๒๕๔๗ สามารถลดต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกได้ ๓.๗๔ บาท/กก. กว่าจะเป็นข้าวกล้องตกราว ๔.๔๒ บาท/กก.

ปี ๒๕๔๖ ต้นทุนผลิตข้าวเปลือกอยู่ที่ ๖.๗๐ บาท/กก. กว่าจะสีเป็นข้าวสารกล้องตก ๗.๒๐ บาท/กก. (ข้าวเปลือกสีข้าวกล้องได้ประมาณ ๖๖ - ๗๐ % ราคาข้าวสาร ๑ กก. คงไม่ต่ำกว่า ๙-๑๐ บาท สงสาร ชาวนานะครับ

ต้นทุนการทำนาหว่านนาปีตกไร่ละ ๒,๒๖๐ บาท ต้นทุนนาปักดำตกไร่ละ ๒,๘๐๐ บาท หากใช้รถ เกี่ยวข้าวจะลดค่าใช้จ่ายเหลือนาหว่าน ๒,๐๖๐ บาท และนาดำ ๒,๖๐๐ บาท ต่อไร่

หากจะลดต้นทุนให้ต่ำ บนคันนาปลูกถั่วฝักยาวไว้ค้าง ปลูกเผือกตาแดง ปลูกมันเหน็บ พริก มะละกอ มะเขือ ฯลฯ หรือคันนาใดมีต้นหญ้าสูงรกมาก หว่านเมล็ดถั่วเขียวลงไปก่อน แล้วจึงใช้มีด ฟันต้นหญ้า คลุมคันนา จะมีต้นถั่วเขียวขึ้นมาคลุมคันนางามเขียว ได้ถั่วเขียวเมล็ดงามต้มน้ำตาล แก้เหนื่อย แก้หิวได้ ดีกว่าดื่มน้ำเมา
* สยาม สาวทอง จ.เพชรบูรณ์

- ชาวกสิกรรมไร้สารพิษที่ตระหนักถึงการดูแลบำรุงผืนดินอันอุดมโดยไม่เบียดเบียนชีวิต แม้สัตว์เล็ก สัตว์น้อย มีต้นทุนทางความคิด ที่ไม่มุ่งเอาเปรียบย่อมมีหนทาง เพิ่มมูลค่า และคุณค่า ทั้งทางวัตถุ และจิตวิญญาณไปด้วยกันเสมอ แต่หากเมื่อใดกสิกรคนใดมุ่งค้นหาวิธีการ "เอา" จากผืนดิน แต่ถ่ายเดียว เมื่อนั้นหายนะภัยจากความเห็นแก่ตัวจักปรากฏขึ้นเรื่อยๆ - บ.ก.



ขอสำนึกดี...แด่ชาวอโศก ผู้อยู่ทุกซอก-มุมแห่งหัวใจ
ผมตอนนี้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกอบต.ได้ปีเศษแล้ว ผมคิดว่าผมได้ถอยหลังจากทางธรรม ไปหลายก้าวแล้ว ต้องเข้าสังคมบ่อยมาก บางครั้งต้องจ่ายเงินค่าเหล้าเลี้ยงเพื่อนสมาชิกอบต.ด้วยกัน ในบางโอกาส และเลี้ยงเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่มาสัมผัสและเกี่ยวข้องด้วย ในสมาชิกอบต. ๔๘ ท่าน มีผมเพียง คนเดียว ที่กินมังสวิรัติ เกือบจะทุกงานเลี้ยงสังสรรค์ผมต้องกินแบบเจเขี่ย ถ้าใน กรณีอบรม หรือ สัมมนา ผมจะสั่งทางเจ้าของสถานที่อบรม (ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรม) ว่าให้ทำ อาหารมังสวิรัติให้ ทางฝ่าย จัดการอบรมส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเป็นงานสังคมต่างๆ ไปสั่งเขาทำ ผมเห็นว่าไม่ควร เลยต้องใช้วิธีเจเขี่ย บางงานที่เขาเห็นความสำคัญและให้เกียรติเรา เขาก็จะทำพิเศษให้ แต่ผมจะบอก เขาว่า ไม่เป็นไรหรอกผมมีวิธีกินของผมได้ พยายามกิน ในส่วนที่ เราเห็นว่าควรกินและไม่แสดงตัวว่า ผมเป็นคนไม่กินเนื้อสัตว์ ส่วนเครื่องดื่มก็ถอยไปดื่มน้ำอัดลม การเป็นสมาชิก อบต. ก็ถือเป็นนักการเมือง ระดับต้นแล้ว (นักการเมืองระดับรากหญ้า) การมี เล่ห์เหลี่ยมอะไรต่างๆ ขอยืนยันว่ามีครบ เหมือนการเมือง ระดับใหญ่ทุกประการ มันเกี่ยวโยงกันหมด

ผมสรุปแบบไม่เข้าข้างตัวเอง กับการเป็นนักปฏิบัติธรรม แล้วไปทำงานการเมืองของผม ในระดับ รากหญ้านั้น เพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่ยอมรับนับถือ และให้เกียรติว่าเราเป็นคนดี จนเรารู้เลยว่า เขาให้เกียรติเราเกินไป จนกลัวว่าจะเสียถึงชาวอโศก แต่ผมก็ยังไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นชาวอโศก ถ้าเปรียบชาวอโศก มี ๔ พวก ผมจัดตัวผมเองอยู่ในพวกที่ ๔ คือพวกปทปรม และในพวกปทปรม ถ้าจัดซ้อนอีก ผมก็เป็นพวกท้ายของท้ายปทปรมครับ
* อดุลย์ จ.กำแพงเพชร

- โดยปรกติแนวทางปฏิบัติธรรมของพุทธ เราเห็นประโยชน์ตนที่การลด-ละกิเลสของตน ส่วนประโยชน์ท่าน นั้นคือ การที่เราได้เสียสละออกไปตามที่เราสามารถตามฐานะ พระพุทธองค์ ท่านได้ตรัสเตือนให้ชาวพุทธอย่าผลาญประโยชน์ตน โดยประโยชน์ผู้อื่นแม้มีประมาณมาก ดังนั้น หากประกาศตัวเป็นผู้ปฏิบัติธรรมให้ปรากฏต่อสาธารณะให้ชัดเจน จะทำให้ความยุ่งยาก ในการปฏิบัติด ีปฏิบัติชอบ มีอุปสรรคน้อยลงกระมัง - บ.ก.



กสิกรรมไร้สารพิษ! ก้าวแรกเริ่มต้นที่....เราและชุมชนของเราก่อน....
ดิฉันอ่านข้อเขียนของคุณพลอยไพร ที่ลงในสารอโศกฉบับมหาปวารณา อ่านเฉพาะข้อเขียนของคุณ ๓ รอบ มองเห็นคุณเคลื่อนไหวออกมาจากตัวหนังสือ ดิฉันมีข้อเสนอ หากคุณยังสนใจปลูกผักส่งวัด ส่งชมร.หรือจะฝึกลองทำ มีที่ดินหลายไร่ให้ทำโดยไม่คิดมูลค่า มีสระน้ำแล้วหัวไร่ท้ายไร่ มีหมู่กลุ่ม ที่เริ่มฝึกฝนหัดทำเช่นกัน อยู่เลยอ่างฤาไนมาอีกประมาณ ๑ ชม. ความอุดมมีพอควร หน้าฝนมีเห็ดโคน ขึ้นตามธรรมชาติ ชาวบ้านมาเก็บกิน หากสนใจติดต่อท่านเกตุมาลโกก็สะดวก กลุ่มชื่อวังสวนฟ้า ต.วังทอง กิ่งอ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว หรือจะลองมาเยี่ยมชมชุมชนก่อนก็ยินดีค่ะ
* บัวฟ้า ประทุมสูตร จ.สระแก้ว

- ได้รับคำตอบจากคุณพลอยไพรแล้วว่า ขณะนี้ชุมชนสันติอโศก ได้รับบริจาค และได้รับอนุญาต ให้ใช้พื้นที่คลอง ๑๓ ปทุมธานี ชาวชุมชนฯจะร่วมกันทำพื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งวัตถุดิบไร้สารพิษ เพื่อครัวของเราให้จงได้ ขณะนี้กำลังรวมพลังช่วยกันฟื้นฟูปรับปรุงดิน และลงพืชผักบางอย่าง ไปบ้างแล้ว โดยมีผู้ไปเป็นหลักดูแลให้คือคุณร้อยแจ้งและครอบครัว แม้จะยังไม่เป็นผลนัก แต่ก็กำลัง พยายาม ทำกันอยู่ พอเป็นไปได้ พ่อท่านได้กรุณาตั้งชื่อให้ว่า "สวนบุญผักพืช" คุณพลอยไพร จึงขอลงแรง ร่วมกับ พี่น้องทางนี้ก่อน พี่น้องท่านใดจะมาร่วมแรงร่วมใจกัน หรือมีคำชี้แนะใดๆ จะช่วยเกื้อกูลกสิกร ไร้สารพิษ ชาวกรุงในทางใด ก็ขอน้อมรับด้วยความยินดี..... - บ.ก.



รู้แล้วทำ ทำแล้วเกิดผล จะสะสมความเชื่อมั่น
...เพราะไม่ค่อยได้มีโอกาสพบสมณะ จึงอาศัยอ่านติดตามข่าวอโศก จากหนังสือ ที่ทางบ.ก.กลาง จัดส่งมาให้ พร้อมฟังเท็ปเก่าที่มีอยู่จากสมณะบ้าง แม่เณรบ้าง ก็ได้รับประโยชน์มากมาย แต่ก็สงสัย ตนเองว่า เวลาอยู่ตามลำพังหรือขณะทำงานที่ทำประจำ หรือขับรถ เวลาเจอปัญหา เวลาเจออุปสรรค มักจะคิดอะไรได้ตลอด แต่เวลาจะสื่อสารจากเราสู่คนอื่น มักจะพูดเรื่องอะไรที่ดีๆไม่ออก คือเวลา เราอยู่กับตนเอง เราจะนึกอะไรทะลุปรุโปร่งเหมือนเส้นทางตรงยาว แต่เวลาจะสนทนา หรือบอกเล่า สู่คนอื่นเหมือนเส้นทางตัน นึกคำพูดสื่อออกมาลำดับความไม่ถูก สับสน เคยถามเพื่อนที่รู้ธรรมอโศก (ศึกษา) ด้วยกัน เขาตอบว่าผมไม่ค่อยจะอ่านหนังสือ (อ่านหนังสือไม่เก่ง) สมองจึงไม่แล่น ต้องหัด มีสมาธิ อ่านหนังสือให้มากๆจะได้เกิดปัญญาในการสนทนากับผู้อื่น แต่ผมก็พยายาม ก็เลยสรุป กับตนเองว่า ต้องอ่านให้มาก แล้วต้องลงมือปฏิบัติเอาจริงเอาจัง (กับการลดละกิเลส) อะไรลงไป ให้มากๆด้วย ไม่ทราบผมสรุปถูกหรือเปล่า ทุกครั้งที่ออกงานนอก(สังคม) เวลาจะพูดคุยกับคน ทางโลกๆ จะมีสติมากขึ้น พยายามลด ความโกรธ-ความถือสาลง ทำได้ระดับหนึ่ง แต่ยังมีตัว ไม่พอใจอยู่บ้าง จะพยายาม ล้างให้มากเท่าที่จะทำได้ สรุปตั้งแต่นี้จะร่วมกิจกรรมอโศกให้มาก เพื่อใกล้ชิดสมณะ ญาติธรรม ไม่ถูกกลืน (ลืม) จากทางส่วนกลาง
* นายสนิท เกษมสุข จ.เพชรบูรณ์

- อนุโมทนากับการตั้งใจจะปรับปรุงตนสู่หมู่กลุ่มให้มาก เพื่อใกล้ชิดคบคุ้นกันมากขึ้น ซึ่งก็เป็น การเรียนรู้ และฝึกฝนที่จะปรับพฤติกรรมทั้งสามทาง(กาย-วาจา-ใจ)ของตัวเราเองให้ไปในทิศทางที่เป็น "สัมมา" มากขึ้น อีกทั้งหากมีข้อสงสัยขัดข้องในใจเกิดขึ้น ก็สามารถถามได้ไม่ต้องลังเลใจ - บ.ก.



บนเส้นทางสายปฏิบัติธรรมในวิถีชีวิตจริง
ที่ได้ดิบได้ดีก็จากหนังสือนี้เป็นหลักเหมือนได้อยู่กับหมู่กลุ่ม ดิฉันชอบอ่านมากๆแต่ไม่ค่อยชอบเขียน อยากรู้สงสัยอะไรก็ได้รับคำตอบจากหนังสือนี่แหละค่ะ ภูมิใจที่เกิดมาชาตินี้แล้วได้พบกับอโศก ยิ่งนานไป ความศรัทธาที่มีต่อพ่อท่านก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ เข้าใจชัดเจน ปฏิบัติตามคำสอน ลดละเลิก ทำที่ตนก่อน เสมอๆ เมื่อก่อนยังไม่คิดว่าจะเข้าไปช่วยงานตามหมู่กลุ่ม เพราะติดอยู่ที่ตัวเอง ภาระ ที่ต้องเลี้ยงดูมารดา-ลูก ๒ คน สุขภาพไม่ค่อยดีนัก ซึ่งตอนนี้ก็ลดละเบาบางลง มารดาท่านก็จากไป ตามอายุขัย ลูกชาย คนเล็กวัยรุ่น ม.๔-๕ ก็มีความเป็นห่วงคอยอบรมสั่งสอน ยังยากมากๆ เพราะตัวเขา ไม่มีบารมี มาทางนี้เลย ขี้เกียจ มักง่าย นอนตื่นสาย ก็เนื่องจากแม่คงไม่ขยันเคี่ยวเข็ญ มั้งคะ จะทำงานการอะไร ต้องให้บงการทุกครั้ง จึงจะทำให้ ดิฉันเห็นสมณะท่านมีความอดทน มีเมตตา กับญาติธรรมบางคน ที่เข้าใจยาก ดื้อรั้น ฯลฯ แล้วก็ชื่นชม

เมื่อไม่นานนี้ก็ได้รับหนังสือดอกบัวน้อยด้วยเป็นครั้งแรก ดิฉันแปลกใจมากๆ เทวดาองค์ไหนนะที่ส่งมา เหมือนรู้ว่าดิฉันกำลังต้องการ เพราะมีเด็กอยู่สองคนที่บ้าน เด็กโตกับเด็กเกือบสามขวบ ลูกของหลาน (ลูกพี่สาว) อยู่ด้วยกัน เพื่อเป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณดิฉันจะต้องหมั่นปฏิบัติรักษาศีล ภาวนา ทำตาม ที่พ่อท่านอบรมสั่งสอน ทำแต่ความดีจะไม่ประมาท เพราะเชื่อเรื่องกรรมว่ามีจริง ดิฉันยอมรับ วิบาก อยู่ทุกวันนี้ หากมีบุญพอไม่ตายซะก่อน ก็จะขอเข้าช่วยงานส่วนกลาง เพราะเห็นอยู่ว่า งานเยอะมาก คนน้อย ดิฉันจะนึกถึงความตายตลอด คติธรรมประจำใจก็คือ ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เคยจนตั้งแต่เล็กๆ พอโตขึ้นทำงาน มีครอบครัว ก็มามีเหมือน คนชั้นกลางทั่วไป มีบ้าน-ที่ดิน-รถ-สามี-ลูก มาบัดนี้ไม่มีอะไรเลย ในปัจจุบัน ไม่เสียดาย กลับขอบคุณ ที่เป็นอย่างนี้ อ๋อ!ยังเหลือลูกสองคนเท่านั้น (สามีเสียชีวิต ๑๓ ปี) ทุกอย่าง เป็นไปตามธรรม มาทบทวน ดูตัวเอง ก็เห็นว่าเรานี้มาสายบริการผู้อื่น สายเกษตรไม่เท่าไร แต่ก็พยายามทำทั้งนาสวน ทำกับเพื่อน ญาติธรรมบ้าง รู้สึกว่ามันดีกว่าเก่า ไม่รวยแต่สบายใจ ไม่อดอยาก ผักก็ปลูกกินเอง ถ้าไม่ติดมีหนี้อยู่บ้าง (ของเก่า) คงมีสวรรค์บนดินเป็นของเรา ชีวิตนี้ชอบอิสระก็คิดว่าได้แล้วค่ะ

ในชาตินี้ชาติไหน ก็จะตั้งใจเดินทางสายนี้ จะตั้งใจเป็นลูกพ่อท่านด้วยคนนะคะ
* ธรรมธารทิพย์ จ.นครพนม

- พ่อท่านเคยให้โศลกธรรมไว้เมื่อ ๑๖ พ.ค. ๒๕๒๐ แต่ยังทันสมัยมากในทุกวันนี้ หลายท่านใช้เป็นคาถา เตือนใจว่า "จงใช้ภาระที่ยังไม่สิ้นสุดของเรานั้นให้เป็นประโยชน์ ในการเพิ่มภูมิเพิ่มธรรมแก่ตนให้ได้ และจงขีดขอบของภาระไว้ อย่าให้เพิ่มออกไปอีกเป็นอันขาด การปลงภาระของเราก็ย่อมมีได้ และ วันจบภาระทั้งภายนอกภายในของเราก็จะมาถึงได้เร็วที่สุด" - บ.ก.



ผมคิดว่า...พรรคเพื่อฟ้าดิน น่าจะทำอย่างนี้ครับ...
ผมได้รับหนังสือสารอโศก ฉบับมหาปวารณา'๔๗ และโรงบุญ ๕ ธันวามหาราช'๔๗ แล้ว ขอขอบ พระคุณ มากครับ ก็ต้องกราบขออภัย ที่ได้แสดงความเห็นโดยการตำหนิหลวงพ่ออย่างแรง เรื่องการตั้ง พรรคเพื่อฟ้าดิน ต้องขออภัยขอโทษอีกครั้งนะครับ เหตุเพราะผมติดภาพของ พรรคพลังธรรม ติดภาพ แกนนำที่เป็นสายวัดมาก เพราะได้เห็นพฤติกรรมที่ไม่ดีหลายอย่าง จนรับไม่ได้

เพราะเหตุนี้ที่ฝังใจฝังความรู้สึกมาตลอด พอมารู้ว่าอโศกจะตั้งพรรคการเมืองอีกแล้ว ภาพเก่าๆ บรรยากาศเก่าๆก็เกิดขึ้นอีก ซึ่งเห็นว่าบรรยากาศอันไม่สงบจะกลับมาอีกแล้วหนอ มันไม่สมกับ เป็นวัดเลย

ด้วยเหตุนี้จึงคิดค้านท่านอย่างแรง ว่าไม่เหมาะสม ผมได้มาอ่านเรื่องราวจริงๆของพรรคเพื่อฟ้าดิน ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร จากสารอโศกฉบับโรงบุญ ๕ ธันวามหาราช ในบันทึกปัจฉาสมณะ จึงได้รู้ว่า อ้อ ! จริงๆแล้ว หลวงพ่อก็ไม่ได้ตั้งใจจะตั้ง แต่เป็นเพราะมันมีเหตุบังเอิญให้ต้องตั้งพรรคการเมือง เอาละครับทีนี้ผมก็ขออภัยต่อท่านเป็นอย่างมาก ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่มีอะไรจะวุ่นวายอีกนะครับ

ผมเห็นด้วยที่ท่านหรือทางพรรคเพื่อฟ้าดิน จะมีเป็นกิจกรรมอย่างเดียว คือเสนอแต่สิ่งดีๆสู่สังคม โดยยังไม่ต้องส่งผู้สมัคร ให้เอาแต่สิ่งดีๆป้อนออกไปเป็นระยะๆ ถ้าสิ่งนั้นดีจริงๆใครจะนำไปใช้ก็ให้เขา และถ้าเขาไม่เข้าใจสิ่งใดๆ หรือเรื่องใดๆ ก็ให้เขาเข้ามาถาม นโยบายใดที่ดีๆก็ให้เขานำไปใช้ และถ้าได้ผลดีแล้ว นโยบายอื่นๆก็จะมีพรรคการเมืองต่างๆแย่งกันนำไปใช้ในบางเรื่องนั้น ตอนนำไปปฏิบัติใหม่ๆ มันอาจเหมือนทำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าปรับปรุงอีกเล็กน้อยก็อาจจะดีมากๆเลยก็ได้

ผมเห็นว่าดีเสียอีกที่มีพรรคอื่นจะนำไปใช้แทน คนในพรรคเพื่อฟ้าดินจะได้ไม่ต้องเหนื่อย สมมุติว่า พรรคเพื่อฟ้าดิน มีนโยบาย ๓๐ เรื่อง ทีนี้ถ้าพรรคอื่นจะนำไปใช้ เขาก็อาจจะเอาเรื่องหนักๆไปใช้ยังไม่ได้ ก็จะเอาเรื่องเบาๆไปก่อนสัก ๒-๓ เรื่อง ไปใช้แล้วถ้าได้ผลดีต่อประชาชนต่อบ้านเมือง แล้วเขาก็จะนำ เรื่องอื่นไปใช้อีกทีละเรื่องสองเรื่อง ทีนี้เขาก็จะต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองไปด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้ ต่อไป คุณภาพของนักการเมืองก็จะดีมีมาตรฐานขึ้น ระบบการเมืองก็จะต้องดีขึ้น

และพรรคการเมืองที่จะนำนโยบายนี้ไปใช้ก็จะไม่ใช่พรรคการเมืองเดียว อาจจะมีหลายๆ พรรคการเมือง นำไปใช้ก็ได้ และสมมุติว่าคุณภาพของนักการเมืองดีขึ้น มาตรฐานของ พรรคการเมืองดีขึ้น และบ้านเมือง มีอะไรดีๆขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วมันก็จะดี สมเป็นเจตนา ที่ท่านตั้งไว้แล้วครับ โดยที่คนของพรรค เพื่อฟ้าดิน ไม่ต้องไปเหนื่อยทำตรงนั้น เพราะเป็นอย่างนั้น มันก็จะสมกับเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ

หรือว่ามองอีกภาพหนึ่ง ถ้าหากว่าสมัยนี้คนเลวคนไม่มีศีลธรรมมีมาก คนไม่มีศีลธรรมที่ว่านี้ ก็จะรวมทั้ง นักการเมืองและประชาชนด้วยนั่นแหละ ถ้าเขามีกิเลสมาก มีความโลภ โกรธ หลงมาก ก็ให้เขาแย่งกัน ให้เต็มที่ อัดกันให้เต็มที่ ท่านหรือพรรคเพื่อฟ้าดินก็ไม่ต้องส่ง เพราะถึงส่งไปเขาก็ไม่เอา ไม่เชื่อก็ลองดู และเมื่อเขาอัดกันเต็มที่แล้ว ที่ล้มหายตายจากก็คงต้องมี ส่วนที่เหลือเขาก็คงจะหา แนวทาง หรือ ช่องทางอื่นๆมาทดแทนแน่ และหนึ่งในนั้นก็อาจจะเป็นแนวทางแบบ พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็ได้ ซึ่งผมเห็นว่า นโยบายและแนวทางแบบพรรคเพื่อฟ้าดินนั้น คงอีกนานนะกว่าที่จะได้ผล เพราะผู้คนทุกวันนี้ ที่มีศีล มีธรรมขึ้นนั้นนับวันจะมีน้อย แต่ที่ไร้ศีลไร้ธรรม หรือคนไม่ดีนั้น นับวัน จะเพิ่มมากขึ้น จะเห็นว่าตอนนี้ สิ่งยั่วย้อมมอมเมานั้น มีมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เด็กประถม ก็จะใจแตกแล้ว

ผมจึงอยากให้ท่านทำด้านจิตวิญญาณ หรือสอนในด้านจริยธรรมนี่แหละครับให้มาก และสิ่งที่ผมเห็น ท่าน กำลังทำอยู่นี้ที่ยอดเยี่ยมเลยก็คือ สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต เพราะท่านสอนในด้านศีลธรรม อย่างเข้มข้น ซึ่งท่านเหล่านี้ ถ้าจบออกมาก็จะสามารถมาสอนคนด้านจิตวิญญาณได้ดีมากเลย ได้โดยตรง
* นายสัมพันธ์ มณีวรรณ จ.เชียงราย

- ขอบพระคุณสำหรับข้อเสนอแนะที่เห็นว่า พรรคเพื่อฟ้าดินน่าจะทำประโยชน์เกื้อกูลประชาชน และประเทศชาติได้ แต่เราเป็นเพียงพรรคเล็กๆ ที่มีนโยบายพัฒนาตนก่อน จึงต้องขออภัย ที่บางครั้ง บางทีอาจจะ "ดี" ได้ไม่ทันใจ - บ.ก.



อโศกกับการนั่งหลับตาทำสมาธิ

สำหรับการปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตาทำสมาธินั้น ผมเห็นว่าอโศกออกจะปัดทิ้งมากไปหน่อยนะครับ เพราะการนั่งหลับตาทำสมาธินั้นถึงแม้ไม่ถึงขั้นหลุดพ้นหรือพ้นทุกข์ได้ แต่ก็เหมาะกับสังคม ยุคนี้ นะครับ เพราะปัญหาสังคมทุกวันนี้มันสับสนวุ่นวาย อวัยวะทุกส่วนของร่างกายต้องทำงานหนัก ตลอดเวลา มันก็เกิดความอ่อนล้า และสมองจะตึงเครียดมาก ดังนั้นการที่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิบ้าง ก็ทำให้สมอง ได้สงบได้ว่างบ้าง การที่จะทำงานตลอดเวลามากเกินไปนั้น มันทำให้สมองตึง และ ตื่นมาก จนคน ที่หลับยากนั้น จะนอนไม่หลับเอาทีเดียว

ดังนั้น การที่ได้เข้าวัดทำสมาธิให้จิตได้พักได้สงบบ้าง ผมเห็นว่าดีหลายด้านนะครับ ทั้งต่อสุขภาพ โดยรวม ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต ดังนั้นท่านไม่ควรตีทิ้งไปทีเดียว ท่านต้องบอกเป็นขั้นเป็นตอน เพราะธรรมะมีหลายระดับ ผมเห็นว่าคนเอาเวลาว่างที่พอมีนั้น นั่งสมาธิดีกว่าคนที่เลิกงาน และว่าง ก็เที่ยวราตรีเสพอบายมุขต่างๆแน่ เพราะคนที่ทำสมาธิสำรวมจิตให้สงบอยู่ในศีลในธรรมนั้น ย่อมเป็น ความดีระดับหนึ่งแล้ว ส่วนการจะบรรลุธรรมนั้น ก็ต้องพากเพียรลดละกิเลสไปเรื่อยๆ ธรรมะต้องมีต้น มีกลาง มีที่สุดครับ
* นายสัมพันธ์ มณีวรรณ จ.เชียงราย

- "ทุกวันนี้เรามีรายการฝึกนั่งเจโตสมถะกันมากขึ้นแล้ว ด้วยเห็นว่ามีอุปการะมาก สำหรับผู้ได้อาศัย บางพุทธสถานก็มีการฝึกทำเจโตสมถะทุกเช้า ก่อนจะฟังธรรม ทำให้ชาวอโศกหลายท่าน ได้ค้นพบ ช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าการใช้เวลาแห่งชีวิต ในการลดละตัดกิเลส หรือสักกายะ บางตัว ของเจ้าของได้ถูกตรงกว่าที่เคยเป็นมา.... ส่วนผู้ที่ยังทำได้ไม่ถนัดนัก ก็ได้ร่วมทดลอง ฝึกฝน ค้นหา แง่มุมดีๆ จากการนั่งเจโตสมถะ ที่ช่วยเกื้อกูลการปฏิบัติธรรมตามจริตของตน แต่ละท่าน แต่ละคนไป...... - บ.ก.


- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๐ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ -