ตอน.. การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในระบบบุญนิยม
เยี่ยมอาจารย์นิลวรรณ ถึงบ้านอาจารย์นิลวรรณก่อน ๑๕ นาฬิกาเล็กน้อย มีเด็กผู้หญิงมาเปิดประตูให้ สภาพบ้าน ค่อนข้างจะเงียบ เอามากๆ และดูก็รู้ว่า สมถะ ในบ้านห้องรับแขกก็ไม่มีอะไรประดับตบแต่งมาก และค่อนข้าง จะมืดหรือแสงน้อย การสนทนาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เรื่องงานทำหนังสือ จนมาจบเอาเรื่องของสังคม บ้านเมือง อาจารย์ นิลวรรณ พูดถึงตนเองว่า ทุกวันนี้ไม่ได้ฟังวิทยุ ไม่ได้ดูข่าวจากโทรทัศน์เลย มีเพียง อ่านหนังสืออย่างเดียว เพราะถ้าจะดูข่าวทีวี หรือวิทยุ ก็ทำให้เราต้องจดจ่อ เสียเวลามาก แม้หนังสือพิมพ์ เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ข่าวชวนให้หดหู่ หนังสือพิมพ์เอง ก็น่าจะมี จรรยาบรรณ อะไรที่ไม่น่า เอามาลง ก็ไม่ควรเอามาลง ซึ่งในช่วงท้ายๆนี้อาจารย์นิลวรรณวิจารณ์เรื่องการเมืองในปัจจุบันมาก จากหนังสือต่างๆ ที่ได้รับ ข้อมูลมา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ รู้ทันทักษิณ หรือการวิพากษ์วิจารณ์ของอาจารย์อัมมา ดร.วีระพงษ์ รามางกูร และบรรดา นักเศรษฐศาสตร์ คนสำคัญๆ ที่ทักท้วงการใช้จ่ายเงิน จำนวนมาก เป็นการ เอาเงิน ในอนาคตมาใช้ ซึ่งผลเสีย จะตกมาอยู่ที่ประชาชนเองอีกที เนื่องจากรัฐ ก็จะต้องมารีดภาษี จากประชาชนต่อ โดยอาจารย์นิลวรรณ บอกได้ติดตามดูว่า เงินที่เที่ยวไปแจก ที่นั่นที่นี่ มาจากเงิน คงคลัง เงินสรรพสามิต และอื่นๆที่ไปดึงของเขามา เป็นการคาดการณ์ว่าจะได้ ทำให้หน่วยงานนั้นๆ ก็ต้องเร่งทำให้ได้ เท่าที่ฟัง อาจารย์นิลวรรณ พูดแล้วรู้สึกชื่นชม ในวิริยะอุตสาหะกับการติดตามข่าว และไม่ใช่แค่รู้ธรรมดา รู้แบบลึกๆด้วย นับเป็นความห่วงใย บ้านเมือง ของคนวัย ๙๐ ที่ไม่ธรรมดา เพราะคนวัยนี้ส่วนมาก จะไม่ได้สนใจข่าวสาร อะไรนักแล้ว พ่อท่านนั่งฟังเป็นส่วนใหญ่ ตอบข้อซักถามเรื่องสันติอโศก และเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองบ้าง เล็กน้อย ถือเป็นท่าที ที่แสดงออกต่อผู้หลักผู้ใหญ่ของสังคม ที่เคยรู้จักกันมานาน
มาคราวนี้พ่อท่านแสดงธรรมในวันเปิดงาน ๖ ธ.ค. และทำวัตรเช้า ๗ ธ.ค. ส่วนภาคค่ำของวันที่ ๖ ธ.ค.นั้น เป็นรายการ เอื้อไออุ่น ในที่นี้ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ในรายละเอียด ผู้สนใจติดต่อได้ที่ ห้องสื่อธรรมะ ขณะที่หลายคนกำลังนวดฟาดข้าวร่วมกัน ที่ลานกองข้าวข้างโรงเรียนนั้น พ่อท่านเร่งตรวจแก้ งานหนังสือ อยู่ที่กุฎีดิน ไม่ได้มาร่วม ดูบรรยากาศของการฟาด และนวดข้าวร่วมกันนี้ เนื่องจาก ต้องเร่งงานหนังสือ ให้เสร็จก่อนไปบ้านราชฯ เพื่อร่วม เตรียมงานปีใหม่
พ่อท่าน : เอ้อ เริ่มแรกที่จะตั้งบริษัทพลังบุญขึ้นมานี้ ก็เป็นความมุ่งหมายเจตนาอันชัดเจนเลยว่า เราจะตั้ง บริษัทค้าขาย ในอุดมคติ ของบุญนิยม เช่นว่าบุญนิยมนี่ไม่ใช่ร้านค้าร้านขาย ที่จะมา เอาเปรียบ ประชาขน มาเอากำรี้กำไร โลภมาก เหมือนอย่าง ธรรมดาสามัญของการค้าทั่วไป เจตนา ตั้งมาเพื่อ หนึ่ง เป็นฐานปฏิบัติธรรมของชาวอโศก เพราะฉะนั้น คนที่จะไปทำงาน ในบริษัทนี้ คือคนที่ปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น ได้ฝึกปรือ ปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เริ่มต้นว่า มีรายได้ก็ถูกที่สุด เสมอภาคที่สุด เช่น ผู้จัดการ กับพนักงานทุกคน มีรายได้สูงสุด ๒,๐๐๐ บาทเท่ากันหมด ไม่มีใครเหลื่อมล้ำนะ เพราะฉะนั้น พนักงานที่บริษัทนี้ เมื่อบรรจุ เป็นพนักงาน ทุกคนแล้ว เงินเดือนเท่ากันหมด ๒,๐๐๐ บาท อย่างนี้เป็นต้น แล้ว ๒,๐๐๐ บาท มันก็ไม่มากเลย ใช่ไหมล่ะ ตั้งแต่ ๑๗ ปีที่แล้วมาถึงปีนี้ ก็ยังเงินเดือน ๒,๐๐๐ บาท อยู่เท่าเก่า ทั้งๆที่เศรษฐกิจมันไปใหญ่แล้ว โอ้โฮ ! มันห่างไปไม่รู้กี่โยชน์ แต่เราก็ยัง ยืนยันอยู่ได้นะ หนึ่ง ฝึกปรือ สอง เจตนารมณ์หลัก ก็คือว่า ให้เห็นว่าคนเราในโลกนี่นะ แม้จะเป็นธุรกิจ หรือ การค้าขายนี่ ก็เพื่อจะแจกจ่าย เผื่อแผ่ เจือจานกัน ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะมารีดนาทาเร้น หรือว่า มาขูดรีด เอาเปรียบเอารัด อะไรกัน มันไม่สมควรจะเป็นอย่างนั้น ในสังคมคน นี่เป็นหลักกว้างๆใหญ่ๆ พิมพ์บูชา : ก็แสดงว่า พลังบุญนี่นะ เป็นเหมือนกับการเอาบุญนิยมนี่มาทำให้เป็นรูปธรรม พ่อท่าน : ใช่ ทั้งประโยชน์ตน คือการฝึกปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง และประโยชน์ท่านก็คือ ไม่ใช่แหล่ง ที่ควรจะมารีดนา ทาเร้น หรือ เอาเปรียบเอารัด กอบโกยขูดรีดอะไรกันอย่างที่ว่านี้ พิมพ์บูชา : ค่ะ แล้วที่อ่าน คือหลักการบุญนิยม พิมอ่านมาคร่าวๆว่า ค่าแรงฟรีนะคะ แต่ว่าการที่เรา มีคำว่า ๒,๐๐๐ บาทเนี่ย เราจะไม่ถือว่า เป็นค่าแรงใช่ไหมคะ พ่อท่าน : ไม่ถือเป็นค่าแรงหรอก เป็นค่าบริการไปยังงั้นเอง เพื่ออาศัยใช้สอยนิดๆหน่อยๆ ถ้าจะให้เป็น อัตราเงิน ที่จะต้องไป เลี้ยงชีพจริงๆ มันคงไม่รอดหรอก สองพัน เรามีสวัสดิการพวกเราอยู่ในบริษัท ซึ่งวิธีการ ที่ใช้สวัสดิการนี่ ก็คือเป็นวิธีการ สาธารณโภคี แฝงอยู่ในนั้น เท่านั้นเอง เอ้อ วิธีการ ที่จะให้ การช่วยเหลือเกื้อกูลให้พนักงาน หรือให้คนทำงานนี้อยู่รอด มีสิ่งเสริม เครื่องกิน เครื่องใช้ ไม้สอย สิ่งที่จำเป็นที่นั่นที่นี่ แม้แต่การบริการดูแล รักษา เจ็บป่วย ๒,๐๐๐ บาท มันจะไปอยู่ได้ยังไงล่ะ พิมพ์บูชา : ก็คือว่าถ้าอย่างนี้ ๒,๐๐๐ บาท คงจะพูดเป็นค่าแรงค่าจ้างนี่น่ะ มันจะสะท้อนออกมา ลักษณะ เป็นผลิตผล ผลิตภาพ ที่คนนั้นผลิตได้ พ่อท่าน : ใช่ ใช่ นั้นก็ถูก เพราะฉะนั้นบริษัทพลังบุญนี่จริงๆแล้วนี่น่ะ เรามีบัญชีของบริษัท จ่ายเงิน ให้แก่ พนักงาน ไม่ใช่ ๒,๐๐๐ บาท พิมพ์บูชา : ใช่ค่ะ พ่อท่าน : ต้องเป็นอัตราค่าใช้จ่ายที่เต็มตามอัตราของกฎหมายแรงงาน เพราะฉะนั้น อัตราที่จ่าย ออกมา จากบริษัทนี้ เป็นเงินจ่าย ที่ออกมาเป็นค่าจ้าง เป็นค่าจ้างที่ตามโลกตามสังคม ว่าอัตรา ค่าจ้างนี่ พอเลี้ยงตัวรอด เป็นค่าแรงงาน ที่พอเลี้ยงตัวรอด ในระดับต่ำ เราจ้างเอง เราก็ออกเกณฑ์ เขาจะบอกว่า เขาจะมี Minimum ว่าต่ำที่สุดเท่าไหร่ เราก็เอาหลักเกณฑ์ ต่ำที่สุด เป็นอัตราค่าจ้าง ใช่ไหม มีเหลื่อมล้ำกันไหม มีสูงไหม น้อมนบ : มีเหลื่อมล้ำนิดหน่อยๆ ผู้จัดการ แล้วก็ฝ่ายบุคคล แล้วก็ลงมาตามนั้นค่ะ พ่อท่าน : ก็มีบ้างเหรอ มีเหลื่อมล้ำ สูงสุดเท่าไหร่ น้อมนบ : สูงสุด ๘,๕๐๐ ค่ะแล้วก็มา ๖,๕๐๐ แล้ว ๔,๕๐๐ ค่ะ พ่อท่าน : แต่จริงๆ ในนิตินัยนี่น่ะ จ่ายตามอัตรา ตามกฎหมาย ก็คือว่า อย่างนี้ไม่ผิดกฎหมายแรงงาน แต่ในพฤตินัย จริงนั่นน่ะ เขารับแค่ ๒,๐๐๐ เงินนอกนั้นไปไหน เงินนอกนั้นก็เข้ามาสมทบ เพื่อที่จะ ช่วยเหลือ เฟือฟาย เงินนอกนั้น มาเป็นกองบุญ ซึ่งเป็นกรรมวิธีของ การค้าบุญนิยม ที่ทางทุนนิยม ไม่ค่อยเข้าใจ จะเป็นการบอกว่าเป็นกองเงินของสวัสดิการ ก็เป็นกองเงิน สวัสดิการ นอกบริษัท ไม่ได้เป็นเงินของบริษัท แต่เป็นเงินของทุกคน ที่อยู่ในบริษัทนี้ มีสิทธิ์จะดูแล แล้วก็ตัดสินใจจ่าย บริหารเงินก้อนนี้ จะทำกุศล จะแจกจ่าย จะสวัสดิการแก่ใคร จะอุดหนุนจุนเจือใคร หรือจะใช้จ่าย อย่างไร ก็มีคณะกรรมการ ของบริษัท มีส่วนจะบริหารเงินก้อนนี้ น้อมนบ : มีคณะกรรมการกองบุญ พ่อท่าน : มีคณะกรรมการกองบุญ เขาดูแลบริหาร พิมพ์บูชา : ลักษณะกองบุญนี่นะคะ จะว่าไปมันก็เหมือนกับข้างนอกหรือเปล่าคะ ที่เหมือนกับ ข้าราชการ ที่มีการหักกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อเข้ากองทุนของข้าราชการน่ะค่ะ เป็นบำเหน็จบำนาญ อะไรอย่างนี้ น่ะค่ะคล้ายๆกัน พ่อท่าน : อันนั้นเขาให้แก่ส่วนบุคคลของข้าราชการ อย่างนั้นเขาเอาหักไว้ แล้วสะสม เพื่อที่จะให้ เป็นทุน เพื่อให้เป็นเงิน ส่วนได้ของข้าราชการ มันเป็นวิธีการหาทางได้มากขึ้น มากขึ้นของวิธีการ ของทางทุนนิยม เท่านั้นเอง แต่อันนี้ไม่ใช่ เงินกองบุญนี้ เป็นเงินกองกลาง ที่จะใช้ในสิ่งที่ควร สิ่งที่จำเป็นทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าเป็นของใคร ถ้าใครมีความจำเป็น จะต้องใช้เงินนี้ ที่เหมาะสม เช่น มี accident ป่วยจะต้องใช้เงิน ๓ แสน กองบุญนี้ก็จะช่วย ถ้ามีความจำเป็นก็ว่าไป แต่ว่านอกนั้น จะเอาไปบริจาค เอาไปช่วยเหลือตรงนั้น ไปใช้ทำงานตรงนี้ หรือแม้แต่ย้อนกลับมาคืนมาช่วยบริษัทก็ได้ ที่จริงก็คือ จะมีส่วนใหญ่เลย ย้อนกลับมา อุดหนุนบริษัท พิมพ์บูชา : อุดหนุนในลักษณะไหนคะ พ่อท่าน : อุดหนุนในลักษณะที่เมื่อเราจะให้บริษัทนี้เพิ่มทุน แล้วบริหารบริษัทต่อไป เราก็เอาเงิน กองบุญเนี่ย เข้ามาซื้อ หุ้นบริษัท เงินก็หมุนเข้ามาคืนบริษัท แต่เงินที่มาซื้อหุ้นนี้ มันเป็นกองกลาง มันไม่มีเจ้าของเป็นตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นของกลาง ของทุกคน ของในนามบริษัท ในนาม คือมันซ้อนลึกอยู่อย่างมาก คนในบริษัทนี้ทุกคนไม่มีสิทธิ์โดยส่วนตัว แต่แท้จริง มีสิทธิ์อย่างยิ่ง โดยรวม ทุกคนได้อาศัยบริษัทนี้ดำเนินชีวิตเป็นอยู่และสร้างงานสร้างคุณค่า เพราะฉะนั้น เงินกองบุญนี้ ไม่ใช่ของใครคนใดเลย โดยเฉพาะเจ้าของหุ้น แต่เป็นของทุกคนที่ทำงาน อยู่ในบริษัท ในขณะนั้นๆ ถ้าลาออกไปแล้ว ก็ไม่มีสิทธิ์ หรือแม้จะยังทำงานอยู่ในบริษัท ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอา มาใช้ส่วนตัว ตามอำเภอใจ แต่ก็เป็นของทุกคน ทุกคนในบริษัท นั่นแหละ มีสิทธิ์ที่จะใช้ เมื่อใคร จำเป็นอย่างเหมาะสม ใช้ในการกุศลต่างๆ ก็มีมติของหมู่ผู้บริหาร กองเงินนี้ หรือเมื่อมีมติของส่วนรวม ได้พิจารณาใช้สอยอย่างเป็นประโยชน์คุณค่าอันสมควร หรือหมุนกลับมาใช้ให้แก่บริษัทเอง เช่น เมื่อเอาเงิน ของกองบุญนี้ มาซื้อหุ้น เงินก็หมุนกลับเข้าบริษัท คือ เราไปขอจดทะเบียนเพิ่มหุ้น กับกระทรวง เพิ่มหุ้นเท่าไหร่ แล้วเราก็เอาเงินก้อนนี้มาซื้อหุ้น แต่ซื้อหุ้นแล้ว ผู้ที่เป็นเจ้าของหุ้น มันไม่มี ตัวตน มันไม่ใช่ของใครเลย เงินนั้นก็เป็นทุนดำเนินการ ในบริษัทต่อไป ซึ่งจะใส่ชื่อใคร เป็นเจ้าของ หุ้นไว้ก็ได้ ที่เหมาะสม แล้วผู้ถือหุ้นก็เขียนหนังสือกำกับไว้เป็นหลักฐานว่า หุ้นนี้ไม่ใช่เงินของตนซื้อ แต่เป็นของกองบุญ ที่มีคณะบริหาร แล้วก็แนบไว้ด้วยกันกับใบหุ้น หุ้นนี้ก็ไม่เป็นของใคร แต่ก็เป็น ของทุกคน พิมพ์บูชา : ใส่ชื่อไว้เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย พ่อท่าน : ใช่ ไม่ให้ผิดกฎหมายเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นความซับซ้อนที่แปลกประหลาดมาก พิมพ์บูชา : แล้วอย่างนี้นี่ ถ้ามีการเพิ่นทุนเข้าไป จะไม่เป็นลักษณะเข้าข่ายระบบทุนนิยมเหรอคะ พ่อท่าน : เอ้อ มันเป็นวิธีการของสังคมน่ะ มันเป็นวิธีการของรัฐบาล มันไม่ใช่เข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย มันเป็นกรรมวิธี ที่เราจะทำงานบริษัท ให้หน่วยองค์กรของเรานี่มันเจริญงอกงาม แน่นอน เวลาความเจริญ มันเจริญ มันก็ต้องใช้ทุนเพิ่ม เมื่อเราได้เงินเพิ่ม เราก็มีทุนเพิ่ม การได้ทุนมาเพิ่ม งานก็ขยายได้มากขึ้น เมื่องานเราเป็นบุญเป็นกุศล มันก็เป็นบุญนิยม ที่มากค่าสูงขึ้น เพราะทุน ที่มาเพิ่มนี่มันไม่ใช่ทุนที่มาเพิ่มโดยมีเจ้าของมาแบ่งส่วนไปเลยนะ มันมีเงินเพิ่มมาฟรีๆ แต่บริษัท มีเงินเพิ่ม มาสนับสนุนให้งานนี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะว่ามันมีทุนก้อนเงินเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีเจ้าของ มาแบ่งส่วนเลย ไม่มีใครมาเอา ก้อนเงินนี้ไป ไม่มีคนมาแบ่งส่วนเลย ทั้งความเป็นเจ้าของ ทั้งปันผล พิมพ์บูชา : อ๋อ ! ใช่ค่ะ กำลังจะถาม พ่อท่าน : มันไม่มีเลย ไม่ได้เพิ่มเงินไปให้ใคร มีแต่ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นคนก่อนๆคืนมาเป็นของ ส่วนกลาง เสียด้วยซ้ำ แม้จะมีปันผล แต่ปันผลก็จ่ายให้แก่กองบุญอีกน่ะแหละ การค้าบุญนิยมนี่ จริงๆแล้ว เราจะต้องขาดทุนเป็นหลัก เพราะฉะนั้น เมื่อขาดทุน เป็นหลัก ปันผลมันจะเกิดขึ้นมาได้ยาก ปันผล มันจะไม่มีหรอก ตั้งมานี่ ๑๗ ปี เรายังไม่เคยจ่ายปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นเลย สักบาท ไม่มีเงินปันผลให้ใคร บริษัทนี้ไม่มีการทำเพื่อหารายได้ หาส่วนได้เข้าพกเข้าห่อใครเลย คนมาซื้อหุ้น แต่แรกลงทุน ก็เข้าใจดี ก่อนจะลงทุนก็รู้แล้วว่าการกุศล โดยที่เขาไม่หวังปันผลเลยสักนิดเดียว เท่ากับให้ยืมเงิน มาทำงานนี้ แล้วไม่เอาผลประโยชน์ ทำงานการค้าขายเพื่อประโยชน์แก่ลูกค้าประชาชนไปเท่านั้นเอง น้อมนบ : พ่อท่านคะ บางทีเราก็เรียกว่าเป็นดอกบุญ พ่อท่าน : เราไม่มีดอกเบี้ยเลย ดอกบุญนี่เราได้กุศล เราได้ความช่วยเหลือ เราได้ประโยชน์ตรงที่เราได้ ช่วยคน เราได้เกื้อกูล ผู้คนเขาไปเท่านั้นเอง นี่แหละอาจารย์เขาไม่เคยเจอหรอก อาตมาถึงได้บอกว่า อนาคตจะมีพาณิชย์บุญนิยม นี่แหละ เป็นการศึกษา อีกแขนงหนึ่งของโลก ที่จะประหลาดมาก แล้วมันจะอยู่ได้ด้วยความจริงของมัน พิมพ์บูชา : พ่อท่านคะ อยากจะทราบว่าตั้งแต่ตอนเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทพลังบุญนั้น เอาเงินลงทุน มาจากไหนคะ พ่อท่าน : ก็ซื้อหุ้นไง เริ่มต้นบริษัทพลังบุญนี่ตั้งด้วยทุนหุ้น ประกาศขายหุ้น ๕ ล้านบาท ก็มีญาติโยม เราก็ช่วยๆ กันซื้อ ๕ ล้านบาท แล้วเราก็ดำเนินการมาเรื่อยๆ พิมพ์บูชา : โดยไม่มีข้อผูกมัดอะไรเลย พ่อท่าน : ก็มีชื่อเป็นเจ้าของแหละ เขาซื้อแล้วก็เป็นเจ้าของ จนในวันดีคืนดี เขาก็มาขอถอนหุ้นนี่คืน เราก็คืนหุ้น ให้เขาไป ขณะนี้ ก็มีคนมาถอนหุ้นคืนเกือบหมดแล้ว รายละเอียดพวกนี้เราจะมีอีกเยอะเลย ในการศึกษา การค้าบุญนิยมเนี่ย ขณะนี้ คนที่มา ซื้อหุ้นเดิมๆ ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เหลืออยู่ไม่กี่เจ้าหรอก ที่เขาคิดว่า เขาไม่ถอนหรอก เขาก็เหมือนยกให้ ลืมไปเลย มีแต่เพียงรายชื่อ ก็ใส่ไปเฉยๆ แต่เขาก็ไม่คิด จะมาถอนเอาคืนไป ส่วนคนที่เขาอยากได้คืน มีความจำเป็นต้องขอคืน เขาก็มาขอถอนคืนไป ซึ่งก็ไม่มี ปัญหาอะไร เราก็คืนเงินตามที่เขาจะขายหุ้นคืนให้ ตรงที่ขายคืนหุ้นให้นี่แหละ ที่เราเอาเงิน กองบุญ มาซื้อไง และเงินกองบุญมาซื้อนี่ก็คือ ตัวบุคคลเจ้าของหุ้น ก็หายตัวไป แล้วกลายเป็นของกองกลาง ที่ไม่มีเจ้าของ เป็นสาธารณโภคี หุ้นก็เป็นของกองกลาง ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่มันก็มี สินทรัพย์ ที่ดำเนินการ ประหลาดดีไหม ประหลาดมาก แต่ดีมากๆเลย พิมพ์บูชา : เงินมันเหมือนอยู่ในหนองทองจะไปไหนเสีย พ่อท่าน : นี่แหละมันเข้ากับหลักของศาสนา คือหมดตัวหมดตน ละตัวตน ไม่เป็นตัวเราของเรา แต่มันเป็น ของส่วนกลาง ที่มีประสิทธิภาพ มีพลัง มีบทบาท อยู่ในคน ในสังคม อยู่กับมนุษย์แน่นอน มันทำงานได้ ก็มีค่า เงินทุนมันก็ทำงาน ตามหน้าที่ ตามประสิทธิภาพของมัน ค่าเงินมันมีเท่าไร มันก็ทำตามสังคมขณะนั้น เหมือนกันหมดเลย นี่มีรายละเอียดอีกมาก ถ้าเผื่อ จะซอกแซกถาม อธิบายอะไรไปนี่ โอ้โฮ อาตมาว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากเลย แต่อาตมาไม่มีเวลา ที่จะมามุ่งมาสอน แต่เรื่องนี้ แนะแต่เรื่องนี้ อธิบายแต่เรื่องนี้ รายละเอียดพวกนี้อาตมาไม่ค่อยได้อธิบาย มันเข้ากับศาสนา เมื่อมาเป็นทุน เข้าไปในบริษัทแล้ว บริษัทนี้เป็นบริษัทบุญนิยม เป็นส่วนกลางสาธารณโภคี ไม่งั้น มันจะมีวิธีการเงิน มีรายได้บ้าง สองพันเท่านี้ ก็แล้วแต่ วิธีขาย ก็ขายให้ต่ำกว่าทุน หรือขายให้ต่ำ มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ไม่ได้มากอบโกยอะไร พิมพ์บูชา : ที่พิมได้อ่านจากระบบบุญนิยมนี่ รู้สึกว่ามันมี ๔ ขั้นใช่ไหมคะ พ่อท่าน : นั่นเป็นอุดมการณ์ ๔ ระดับของเรา คือ ขั้น ๑. กำหนดค่าต่ำกว่าราคาตลาด ขั้น ๒. กำหนดค่า เท่าทุน ขั้น ๓. กำหนดค่า ต่ำกว่าทุน ขั้น ๔. ให้ฟรี พิมพ์บูชา : ของพลังบุญนี่ล่ะคะ อยู่ในขั้นไหน พ่อท่าน : ของเรามันมีเฉลี่ย สินค้าแต่ละตัวขายต่ำกว่าทุนก็มี ขายแค่ต่ำกว่าราคาตลาดก็มี เราพิจารณา หลายนัย บางตัวก็จะต่ำกว่า ราคาตลาดเท่านั้น บางตัวเท่าทุน และบางตัวขายต่ำกว่าทุน เช่นสินค้าตัวที่เรามีเจตนาจะให้คนซื้อไปมากๆ เพราะเป็นประโยชน์ แก่ชีวิตเขา เราก็ขายต่ำกว่าทุน บางตัวที่เราไม่ค่อยสนับสนุนนัก ก็ขายแค่ต่ำกว่าราคาตลาด เป็นต้นว่า ก่อนนี้คนยังไม่นิยม กินข้าวกล้อง เราก็อยากให้คนกินข้าวกล้อง เพราะเป็นประโยชน์กว่า กินข้าวขาว เราก็ขาย ข้าวกล้องถูกๆ ขายต่ำกว่าทุน ส่วนข้าวสารขาวเราก็ขายไม่ต่ำกว่าทุน ขายต่ำกว่าราคาตลาดเท่านั้น อะไรอย่างนี้แหละ พิมพ์บูชา : แจกฟรีล่ะคะ พ่อท่าน : มีทั้ง ๔ สภาพ บางคราวเราก็ถึงขั้นแจกฟรีก็มี ต่ำกว่าทุนก็มี เท่าทุนก็มี เกินทุนก็มี เรามีหลักเกณฑ์ แต่แจกฟรีนั้น เป็นครั้งคราว ไม่ใช่มีแจกตลอด สำคัญขั้นต้นคือไม่สูงกว่าราคาตลาด แต่ก็ไม่ใช่จะขายให้ต่ำ เพื่อทำเอาเด่น โดยใช้ชั้นเชิง ทางจิตวิทยา เหมือนอย่างกะเชิงชั้นของ ไดเร็คเซลล์ เขานี่ โอ้โห ยิ่งถ้าสูงเท่าไร ข้ายิ่งเท่อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่เลย เราขายเพื่อ แบ่งแจก เจือจาน ถึงขั้นเสียสละได้อย่างจริงใจยิ่งดี เท่าที่เราจะดำเนินการเลี้ยงตัวเองอยู่รอด พิมพ์บูชา : พ่อท่านคะ อย่างเช่น ป้าต้อย(น้อมนบ)บอกว่าตอนนี้นะคะ พลังบุญมีการระดมทุน อีกรอบหนึ่ง ก็คือ หลักการเดียวกัน เหมือนกับตอนเริ่มต้นใช่ไหมคะ พ่อท่าน : ใช่ ใช่ เพิ่มทุนตามหลักการเมื่อถึงคราวต้องเพิ่ม (หันไปถามเจ้าหน้าที่) จะเพิ่มทุนเหรอ น้อมนบ : เพิ่มค่ะ จะเพิ่มหุ้น ต้องเพิ่มทุนอีก ๓๐ ล้าน เราจะขยายร้าน แต่เงินกองบุญของบริษัท เราไม่พอ พ่อท่าน : เราก็หมุนไง มีวิธีที่เรียกว่าหมุนเอา บางทีเราก็ต้องยืม เมื่อกองบุญของบริษัทมีไม่พอ เราก็ต้อง ไปยืม จากกองบุญสวัสดิการ ของชุมชนส่วนกลางอีกที พิมพ์บูชา : นี่ก็คือหลักการเดียวกับเมื่อตอนเริ่มตั้ง พ่อท่าน : ใช่ ยืมเข้ามาด้วย แต่การยืมของเราชาวอโศกไม่มีดอกเบี้ย เพราะชาวอโศกเราแอนตี้ (ต่อต้าน) เรื่องดอกเบี้ย มันเป็นบาป "กองบุญสวัสดิการ" ส่วนกลางของชุมชนชาวอโศกทุกชุมชน ไม่มีการคิด ดอกเบี้ยใดๆ แม้บริษัทจะยืมเงินจาก "กองบุญ สวัสดิการส่วนกลาง" ของชุมชนมาใช้ ก็ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใด เป็นหนี้ส่วนตัว คนของบริษัททุกคน รับผิดชอบ ร่วมกัน แล้วก็ทำงานหาเงินมาผ่อนใช้คืน จนกว่าจะหมด การยืมชนิดที่ไม่มีดอกเบี้ยนี้ เราไม่เรียกว่า "กู้" เรามีภาษา ของเรา เรียกกันว่า "เกื้อ" เพราะเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันจริงๆ และเงินที่ค้างอยู่ เราก็ไม่เรียกว่า "หนี้" แต่เรียกว่า "หนุน" ไม่เรียก "เงินหนี้" เรียก "เงินหนุน" เพราะเป็นเงินอุดหนุน จุนเจือ กันแท้ๆ ในสังคมทุนนิยมทั่วไปถ้า"กู้"มามีดอกเบี้ย ก็เรียกเงินนั้นว่า "เงินหนี้" แต่นี่เป็นการ "เกื้อ" ไม่ใช่"กู้" เงิน"เกื้อ"ไม่มีดอกเบี้ย "เป็นหนี้" จึงเรียกว่า "เป็นหนุน" เงินที่เป็นกองกลาง ของชาวอโศก ที่เรียกว่า "กองบุญสวัสดิการ"นี้ เป็นเงินของสมาชิกชาวอโศกทั้งหลาย ที่เอามาฝากไว้ เหมือนฝากธนาคาร แต่เจ้าของเงิน ไม่ได้รับดอกเบี้ย ไม่มีการจ่าย ดอกเบี้ย นำมาฝากไว้เพื่อรวมเงินกัน ให้เป็นเงินกองโต ที่จะมีไว้ให้"เกื้อ" ไปใช้ทำประโยชน์ ในคราวจำเป็น ดังที่บริษัท พลังบุญ ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ยืมมา เป็นต้น ระบบบุญนิยมไม่ส่งเสริมให้คนสะสมเงินกระทั่งเป็นคนรวย แต่ส่งเสริม ให้สะพัดออก แจกจ่าย เจือจาน จนกลายเป็นคนจน คนอโศก "กล้าจน" เพราะคนที่"กล้าจน"ได้จริง อย่างเป็นโลกุตระ คือคนปฏิบัติ ลดกิเลสจริง จึงเป็นคน ไม่ทำลายสังคม ไม่เป็นตัวแย่งในสังคม ไม่ทำให้สังคม แย่งชิง ขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท เกิดอาชญากรรม เพราะมีแต่สะพัด ออกสู่สังคม ฟังดูก็น่าหมั่นไส้ แต่บุญนิยม เป็นเช่นว่านี้จริงๆ ก็เป็นพฤติกรรมแปลกๆ ในสังคม พิมพ์บูชา : แล้วอย่างพนักงานนี่นะคะ มีการให้โบนัสหรือเปล่าคะ พ่อท่าน : ไม่มีโบนัส ปันผลเรายังไม่มีเลย จะมีโบนัสได้ยังไง พิมพ์บูชา : ก็โบนัสที่เหมือนกับว่า ทำงานดี ให้เป็นการตอบแทน พ่อท่าน : ไม่มี มีแต่จะเสียสละ บุคคลที่ทำงานอยู่ในนี้นี่ ความเจริญของเขาคือ เขาจะเอาเงิน ของบริษัท ไปใช้จ่ายน้อยที่สุด ลงไปเรื่อยๆ แม้จะได้แค่ ๒,๐๐๐ บาท บางคนรับไป ๒,๐๐๐ บาท แต่เอาเข้า กองบุญเสีย ๑,๐๐๐ บาท บางคนเอาไป ๒,๐๐๐ บาท ใช้แค่ ๕๐๐ บาท เอาคืนเข้า กองบุญเสีย ๑,๕๐๐ บาท หรือบางคนก็เซ็นรับเฉยๆ ๒,๐๐๐ บาท ก็เข้ากองบุญไปหมด ถ้าเขามี ความจำเป็น ก็ไปขอเบิกจากกองบุญไปใช้ เท่าที่เขาจะใช้ได้ คือแต่ละเดือน เขาจะใช้ได้ไม่เกินเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เท่าเงินเดือนไง เขามีรายได้เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เพราะฉะนั้นอัตราเงินเดือนเขา ๒,๐๐๐ บาท นี่ เขาเซ็นแล้วเขาไม่รับ เขาก็เข้ากองบุญ แต่เขาก็สามารถที่จะใช้ ถ้าเขามีความจำเป็น เขาก็มีสิทธิ์ใน ๒,๐๐๐ บาท นั้น เพราะฉะนั้น บางเดือนเขาไม่มี ความจำเป็นอะไรเลย เขาก็ไม่ใช้ เขาก็เข้ากองบุญไปเป็นการเสียสละหมด เจ็บป่วยเขามีสวัสดิการ รักษาดูแลกัน กองบุญนี้แหละ กองบุญก้อนโต ก้อนนี้แหละ เป็นก้อนที่จะเอาเงินออกมารักษา พิมพ์บูชา : ซึ่งไม่มีราคากำหนดไว้ พิมพ์บูชา : จะมีการพิจารณาจากคณะกรรมการเอง พ่อท่าน : ไม่ใช่กีดกัน ถ้าจะพูดกีดกันมันดูน่าเกลียดน่ะ เราไม่พูดว่ากีดกัน เราพูดว่า เป็นหลักการจริง ขององค์กรของเรา ที่เราทำงาน ฉะนั้นใครแน่จริง เมื่อดูระเบียบการนี้แล้ว ตามหลักการนี้แล้ว คุณไหว ไหมละ ถ้าคุณไหวคุณก็เข้ามา อาสาเข้ามา ถ้าคุณไม่แน่จริง ก็ไม่ได้เข้ามา จะบอกว่ากีดกัน ไม่ได้กีดกันนะ อยากได้ แต่บุคคลต้องแน่จริง จึงจะเข้ามาได้ ไม่ได้หมายความว่า เรากีดกัน เราต้องการ ด้วยซ้ำไป แต่คุณเข้ามาได้ไหมล่ะตามหลักการ ไหวไหมล่ะ พิมพ์บูชา : ผู้ที่จะเข้ามาทำงานนี้ล่ะคะ มันเหมือนกับว่า ต้องมาประพฤติปฏิบัติธรรม พ่อท่าน : ใช่ ก็บอกแล้วแต่ต้นไง บริษัทนี้ตั้งขึ้นเพื่อที่จะใช้เป็นการปฏิบัติธรรมของพวกเรา เพราะฉะนั้น เราเข้ามาทำงาน ในบริษัทนี้ เราจะต้องปฏิบัติธรรมจริงๆ ไม่ปฏิบัติธรรมได้ไงล่ะ ก็มันอยู่แค่นั้น กินแค่นั้น ใช้แค่นั้น แล้วก็ทำงานเหมือนกับ ทางโลกเขาเลย ก็เหมือนบริษัท ทั้งหลาย นั่นแหละ เจ้าหน้าที่แต่ละแผนก แต่ละหน่วยงาน ทำอะไร ก็ต้องทำเต็มที่ เหมือนกัน พิมพ์บูชา : แล้วปัญหานะคะ ได้คุยกับป้าต้อยแล้ว ปัญหาของพลังบุญนะคะ จุดบกพร่อง น่าจะอยู่ที่ เรื่องของคน เป็นหลัก พ่อท่าน : ใช่สิ ถ้าคนไม่มีคุณภาพ ถ้าคนไม่มีสมรรถนะเพียงพอ ไม่มีคุณธรรมเพียงพอก็ทำไม่ได้ มันเป็น อิสรเสรีภาพ ไม่ได้กีดกัน ไม่ได้บังคับ เป็นการเสนออย่างท้าทายก็ว่าได้ เป็นอิสรเสรีภาพแท้ๆ เราต้องการคนที่มีคุณภาพ คุณสมบัติที่จะทำอันนี้ได้ เหมือนกับ บริษัทแต่ละบริษัท เขาก็ต้องมีคน ที่จะต้องมีคุณสมบัติเหมาะสม ตรงกับบริษัทเขา แต่ละหน่วย แต่ละแผนก แต่ละบริษัท แต่ละงาน ของเขา แต่ละหน่วยงานของเขา มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ของเราก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นการกีดกัน แต่เป็น.... มันเป็นเรื่องของการเหมาะสม และอิสรเสรีภาพ ยืนยันว่าอิสรเสรีภาพ ไม่ใช่เป็นการ กีดกันอะไร น้อมนบ : พ่อท่านคะ เหมือนจะบอกว่าต้องการปริญญาตรี ต้องการอะไร พ่อท่าน : ก็ใช่ เหมือนกันกับบริษัทอื่นๆนั่นแหละ ก็เป็น specification (คุณสมบัติเฉพาะ ที่ระบุไว้) ของเขา พิมพ์บูชา : ถ้าบริษัทพลังบุญเป็นอย่างนั้นนะคะ คือว่าการที่จะจัดการกับคนในองค์กรได้ บริหารคน ในองค์กร มันจะต้องมีลักษณะ ที่เกื้อกูลกัน และต้องมีความเป็นพี่เป็นน้องกัน พ่อท่าน : ใช่สิ คุณสมบัติของผู้บรรลุพุทธธรรมนั้นจะเป็นพี่เป็นน้องกัน มีภราดรภาพจริงๆ ขั้นจิตวิญญาณ ทีเดียว ซึ่งเป็นสัจธรรม ที่ท้าทาย การพิสูจน์ เมื่อมาลดตัวลดตน ลดกิเลส มักน้อย สันโดษ ต้องเป็นจริง จึงจะไม่ฟุ่มเฟือย จึงจะประหยัด มัธยัสถ์ ประณีต และมีน้ำใจได้จริง พิมพ์บูชา : และเห็นว่ามันจะมีการประชุม คือประชุมงาน พ่อท่าน : บุญนิยมนั้นเป็นขบวนการกลุ่ม ทำงานร่วมกัน วิธีการปฏิบัติงานนี่นะ เราจะใช้องค์รวม ประชุมเป็น ประชาธิปไตย นี่แหละ แสดงความเห็นร่วมกัน คิดร่วมกัน ตัดสินร่วมกัน เอ้อ....ใช้วิธีโหวต พิมพ์บูชา : พิมก็สงสัยว่า ถ้าการบริหารงานในลักษณะเป็นพี่เป็นน้องกันค่อนข้างที่จะแบบรวม ใกล้ชิดกัน ขนาดนี้นะ การขยายตัว ของพลังบุญ ถ้าเป็นองค์กรใหญ่ขึ้นมา จะบริหารงาน ในลักษณะนี้ ได้อยู่ไหมคะ พ่อท่าน : ถ้าคุณภาพของคนมากเพียงพอ มันก็บริหารได้ ถ้ามีปริมาณของคนที่มีคุณภาพดังที่ว่านี้ ทั้งคุณธรรม และคุณสมบัติ อย่างนี้มากพอ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำงานสอดประสานกันได้ เพราะต่างคน ต่างเข้าใจ และต่างคน ต่างมีคุณภาพ คุณธรรม คุณสมบัติของตัวเอง ถึงขีดถึงเกณฑ์ พิมพ์บูชา : ในความคิดพิมว่าถ้าคนมาก เรื่องยุ่งก็มากขึ้น น่าจะมีการปรับเปลี่ยน พ่อท่าน : ใช่เรื่องยุ่งมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันมีคุณสมบัติที่จริงไง คุณสมบัติที่จริงของคน ที่จะมา ทำงานกับเรา ต้องเป็นคน ปฏิบัติธรรม มีประสิทธิภาพ เขาจะต้องลดละได้จริง เขาจึงจะ อยู่ได้จริง เพราะฉะนั้น คนจะมาทำงานที่นี่ จึงแกล้งเข้ามา ปลอมแปลงมาเป็นไส้ศึกไม่ได้หรอก คุณอยู่ไม่ได้ อดไม่ได้ ทนไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนจริงแล้วเข้ามา ปลอมแปลงเข้ามา เป็นแนวที่ ๕ แทรกซ้อน เข้ามานี่ ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ผู้มีคุณภาพ ทางจิตวิญญาณเพียงพอ คุณจะอด คุณจะทนไม่ได้ กิเลส ของคุณมี คุณจะมากดข่มทำ ดีไม่ดี มาระเบิดในนี้นะ มันปลอมไม่ได้ แต่อาจจะกดข่มทนเอา ก็ได้ระยะหนึ่ง น้อมนบ : พ่อท่านคะ วิธีการทำงาน เราก็มีการแบ่งระบบเหมือนอย่างบริษัทข้างนอก เขามีตำแหน่ง พ่อท่าน : เหมือนกันแหละ มีการทำงาน การพาณิชย์เหมือนกัน แต่วิธีการ กลไกการทำงาน และ เป้าหมาย ต่างกัน เป้าหมายคือ การเสียสละ สร้างสรร ไม่ใช่เป้าหมายแบบ.. ได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี พิมพ์บูชา : แต่ปัญหา มันเหมือนกับมีปัญหา เพราะว่าเนื่องด้วยว่าทุกคนเท่าเทียมกันหมดแบบนี้ ซึ่งมันก็มอง แง่หนึ่งก็ดี เพราะเป็น ประชาธิปไตย แต่มองอีกแง่หนึ่งก็คือว่า จะแบบข่มกันไม่ลงนะคะ
น้อมนบ : ดิฉัน เห็นข้อหนึ่งว่า ยอมรับในภูมิธรรมด้วย พ่อท่าน : ก็ใช่ ต้องยอมรับในภูมิธรรมกันจริงๆ จะใช้คำว่าภูมิธรรมก็ใช่ด้วย ทั้งภูมิธรรม ทั้งสมรรถภาพ แหละ สมรรถภาพ ของบุคคล ก็ไม่เท่าเทียมกัน สมรรถภาพ คือความสามารถของบุคคล ภูมิธรรมคือ คุณธรรมของแต่ละบุคคล พิมพ์บูชา : พิมพ์จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบริษัทอื่นๆกับบริษัทพลังบุญในลักษณะที่ว่า การเคารพกัน ระหว่างชนชั้น มันต่างกันตรงที่ว่า เขาใช้ตำแหน่งเป็นตัวเคารพกัน ระหว่างชนชั้น ซึ่งตำแหน่งนี่สะท้อนในรูปของ เงินเดือนเป็นหลัก เพราะเงินเดือนสูง ตำแหน่งสูง เราก็เคารพกัน โดยตำแหน่ง แต่ในขณะที่บริษัทพลังบุญ เคารพกันในระดับ ตำแหน่งที่มีตัววัด คือภูมิธรรมที่ต่างกัน พ่อท่าน : ความจริง.... มันก็ทั้ง สมรรถนะ และ ภูมิธรรม พิมพ์บูชา : คือเปรียบเทียบอย่างนี้ก็ได้ใช่ไหมคะ พ่อท่าน : ใช่ แต่ต้องชัดเจนว่า ภูมิธรรมคืออย่างหนึ่ง สมรรถนะคืออย่างหนึ่ง บางคนสมรรถนะสูง แต่ภูมิธรรม ไม่ค่อยสูงนัก บางคน ภูมิธรรมสูง สมรรถนะสูง และเราเข้าใจกันโดยปริยายว่า ภูมิธรรม ถึงอย่างไรก็มีค่ามากกว่าสมรรถนะ พิมพ์บูชา : อย่างนั้น พ่อท่านจะเห็นว่า การที่คนเข้ามาทำงานในบริษัทพลังบุญได้ เขาต้องมีทั้งศรัทธา และสมรรถนะ อยู่ในตัวใช่ไหมคะ พ่อท่าน : แน่นอนๆ ต้องมีทั้งศรัทธาและสมรรถนะ โดยเฉพาะปัญญาหรือภูมิธรรม พิมพ์บูชา : ซึ่งแตกต่างจากข้างนอกเลย พ่อท่าน : ต้องมีศรัทธามีปัญญาหรือภูมิธรรมชัดเจนที่จะเข้ามาทำ อยู่ดีๆจะเข้ามาเล่นๆ ไม่ต้องไป พูดมากหรอก อัตราเงินเดือน ๒,๐๐๐ บาท คนเขาก็ไม่ค่อยจะมาอะไรมากแล้ว เพราะว่า ๒,๐๐๐ บาทนี่จะมีปัญญาหรือไม่มีปัญญา ก็จะบอกว่า โอ้โฮ เงินเดือนแค่ ๒,๐๐๐ บาท จะอยู่ยังไง แค่นี้ ก็เป็นเครื่องวัด เป็นดัชนีคัดเลือกบทแรกแล้ว น้อมนบ : มีคนมาสมัคร อะไรก็บอกว่าได้หมด พอดิฉันบอกว่าเงินเดือน ๒,๐๐๐ บาทนะ แล้วก็ เริ่มต้นเข้า ๙๐๐-๑,๒๐๐ บาท เขาบอกว่ามีหนี้เยอะแยะ พ่อท่าน : มันเป็นตัวคัดที่ง่ายที่สุดก่อนอื่นแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องมีทั้งศรัทธาและปัญญาที่เป็น ภูมิธรรม ดังกล่าว เราจะมีปัญญา ขนาดไหนก็แล้วแต่ พอเจอ.. บอกว่านี่บรรจุแค่ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น เขาก็บอกว่า ไปแบกหินดีกว่า คงได้วันหนึ่งซัก ๕๐๐ บาท เอ้อ หรือว่าวันละ ๑๕๐ บาทก็ได้เดือนละ ๔,๕๐๐ บาทแล้วนะ น้อมนบ : ตอนหลังเราต้องพูดว่า คนที่มานี่ต้องพร้อมที่จะมา "ให้" ด้วย ไม่ใช่มา "เอา" หรือพวกที่ จะเอาเงิน ของเราไปช่วยข้างนอกน่ะยาก พ่อท่าน : ใช่ ยาก ถึงบอกว่าไม่ใช่เป็นบริษัทที่จะมาทำอาชีพอย่างที่โลกๆเขาหมาย แต่เป็นบริษัท ที่จะมาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่บริษัทที่จะ "ทำอาชีพ" เลี้ยงชีพอย่างโลกีย์ ถ้าจะว่าไม่เลี้ยงชีพ ประเดี๋ยว ก็จะกลายเป็นเลี้ยงชีพไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ เราเป็นบริษัทที่เลี้ยงชีพได้ ในระบบบุญนิยม ซึ่งเป็น บริษัทที่ "ทำอาชีพ" เลี้ยงชีพอย่างโลกุตระ เพราะฉะนั้น คนที่จะมาปฏิบัติ จึงต้องมีคุณภาพ คุณสมบัติ เป็นคนบุญนิยม ที่มีคุณธรรม คือ คนเข้ามาอยู่ในวงจรนี้แล้ว เข้ามาอยู่ในวง วัฏฏะแล้วนี่ เขาก็จะต้อง มีคุณสมบัติ ที่มีธรรมะพอสมควร เขาต้องมีจิตวิญญาณ ที่ไม่ใช่ชาวโลก ที่โลภโกรธหลงจนเขา เขาต้องมีชีวิต ของเขานี่นะ เขาทนได้ เขาอยู่ได้ เขาปฏิบัติได้ เขารู้สึกว่าเขาเจริญ หรือเขาได้อะไร ก็แล้วแต่ มันจะเป็นความแตกต่าง จากสามัญโลกเขา เยอะแยะไปเลย พิมพ์บูชา : พิมพ์คิดอยู่นะคะว่า ถ้าพิมเอาไป present (นำเสนอ) แค่เริ่มต้น recruitment (การจ้าง คนงานใหม่) การรับพนักงานมา ก็ตรงกันข้ามกันแล้ว เพราะว่าพิมพ์ เรียนตอนเริ่มต้น อาจารย์ เขาให้ทำ เกี่ยวกับ job description (อธิบายลักษณะของงาน) ต้องจบปริญญาตรี ขั้นต่ำ มีประสบการณ์ การทำงานเท่านี้ แล้วพิมต้องมาทำ job description ของพลังบุญนี้คงแบบว่า ถือศีลห้า พ่อท่าน : เออ description ต่างกันแน่ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่ามันเป็นลักษณะพิเศษ เขาจะต้องมา ศึกษาธุรกิจ หรือว่า พาณิชย์บุญนิยมนี่แน่ เพราะแก่นแท้ของบุญนิยม มันคนละเรื่องกับทุนนิยม แก่นแท้ของโลกีย์ มันคนละทางกับโลกุตระ แม้แต่ในรายละเอียด ในหัวข้อ ในระเบียบการ ก็ต่างกันแล้ว คุณสมบัติของบุคคล มันก็ต้องแตกต่างกัน อยู่แล้ว พิมพ์บูชา : พิมคิดว่าถ้าอย่างนี้เราเอาไปเผยแพร่ข้างนอก ถ้าคนผิวเผินเขาก็คิดว่าเป็นเรื่อง ที่แบบ อาจจะไม่มอง ในแง่ลบ แต่อาจจะมองว่า เป็นไปไม่ได้ พ่อท่าน : เออ ใช่ ส่วนมากเขาจะเข้าใจ เขาจะฟังแล้วไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ท่านสีล : มองออกก็ได้ครับพ่อท่าน
แต่เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ไม่สามารถขยายกว้างได้ พ่อท่าน : อันนี้ก็ไม่จริง เพราะว่าเราได้พิสูจน์ในขณะนี้ เอาเถอะ มันอาจจะยังไม่นาน ถ้าเป็นไปถึง ๑๐๐ ปี เขาจะจำนน แต่ตอนนี้ มันยังไม่ยาวถึง ๑๐๐ ปี แต่เราก็ทำมาถึงสูงสุด ๑๗ ปี บริษัทเรา ก็ขายเพิ่มขึ้น จนกระทั่ง มาบริษัทล่าสุดนี้ บริษัทขอบคุณนี่นะ พนักงาน ไม่รับเงินเดือนเลย อย่าว่าแต่ ๒,๐๐๐ บาท พนักงานทำงานฟรีหมดเลย แต่เป็นบริษัทตามกฎหมาย บริษัทนิตินัย แน่นอน บริษัทจำกัด พิมพ์บูชา : เหมือนกับบริษัทพลังบุญ เพียงแต่ ๒,๐๐๐ บาทเขาก็ไม่เอา พ่อท่าน : ใช่ สละหมดเลย ทำงานฟรี ซึ่งเรายิ่งทำ เราก็ยิ่งเจริญขึ้น ความเจริญแบบบุญนิยม คนละทาง กับทุนนิยม เช่น บริษัทฟ้าอภัย นี่เป็นต้น เป็นตัวอย่าง ที่เห็นได้อีกชัดๆ คือ บริษัทฟ้าอภัย นี้ตั้งแต่แรก เงินเดือนคนละ ๓,๐๐๐ บาทสูงสุด ไม่ว่าผู้จัดการ หรือพนักงานทุกคน พอบริษัทเจริญขึ้น มีที่พักที่อาศัยดีขึ้น มีที่ทำงานมีอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ อะไรต่ออะไร แข็งแรงดีขึ้นๆ มีสวัสดิการ ดีขึ้น พนักงานก็จะต้องเจริญก้าวหน้าขึ้น คือ เขาพากันลดเงินเดือน ตัวเองลง หมดทุกคน เป็นรับกัน คนละ ๒,๐๐๐ บาท คนไหน ๒,๐๐๐ ยังไม่พอใช้ คนที่ ๒,๐๐๐ พอ เหลือใช้ เขาก็จะช่วยกันเฉลี่ย ให้แก่คนที่ยัง ไม่ค่อยพอ นี่คือบุญนิยม มันตลกไหม? พิมพ์บูชา : ตรงกันข้ามกับข้างนอกเลยค่ะ พ่อท่าน : เพราะฉะนั้น ความเจริญขึ้น วัตถุเจริญ คุณภาพของประสิทธิภาพของงานเจริญๆขึ้น สะดวก คนที่ทำงาน ก็สะดวก เจริญขึ้น เครื่องมือ มีเครื่องทุ่นแรงเพิ่มขึ้น มีที่พักที่อาศัยเพิ่มขึ้น อะไรๆ อุดมสมบูรณ์ขึ้น ในเรื่องวัตถุรอบตัว ของส่วนกลาง ของส่วนกลางนะ มันเจริญขึ้น เพราะฉะนั้น ตัวบุคคล ก็ต้องเจริญด้วย คือ ลดส่วนได้หรือลดเอาส่วนที่เราเอาไป จากส่วนกลางลง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ บริษัทฟ้าอภัย ไม่มีแล้วเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องมุข มันเป็นจริง ที่เกิดขึ้นมาแล้ว มันเป็นไปได้ อย่างนี้เป็นต้น จากเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท มาเหลือ ๒,๐๐๐ บาท แต่บางคน ยังมีความจำเป็นอยู่ ก็อาจจะใช้ ๒,๐๐๐ กว่า แต่ไม่เกิน ๒,๕๐๐ บาทนั้น เขาไม่ได้เอา จากบริษัทส่วนกลาง แต่เขาเฉลี่ยกัน ระหว่างบุคคล ที่เขาจะแชร์กันได้ ช่วยกันได้ พิมพ์บูชา : แล้วอย่างนี้ บริษัทข้างนอกเขาจะเอาเราไปเป็นแบบอย่าง ได้ไหม พ่อท่าน : ข้างนอกจริงๆ คือ ทุนนิยม ลอกเลียนไม่ได้ พิมพ์บูชา : ทำไมไม่ได้คะ พ่อท่าน : ไม่ได้ ใช่บริษัทข้างนอกจะลอกเลียนไม่ได้ จะปลอมแปลงไม่ได้เลย ไปหลอกชั่วคราว ชั่ววัน ชั่วเดือนหนึ่งนี่ได้ แล้วก็โกง ป่นปี้ไปเลย แต่จะยืนยาวอยู่ เพื่อที่จะสร้างสรร เพื่อที่จะก้าวหน้า เจริญจริง อะไรนี่ เป็นไปไม่ได้ ต้องของจริงอย่างเดียว น้อมนบ : พ่อท่านคะ สมมติว่าดิฉันมีความเข้าใจบุญนิยมอย่างที่เราคุย แล้วดิฉันจะไปตั้งบริษัทใหม่ พ่อท่านว่า จะอยู่รอดไหมคะ พ่อท่าน : อันนี้นี่ จะเป็นตัวที่ขยาย ต้องทำให้มันรอดสิ ทีนี้จะทำให้มันรอดได้อย่างไร เราต้องสร้างคน ขึ้นมาให้ปฏิบัติธรรม ให้มีมรรคผล เพราะฉะนั้น คนที่คุณจะต้องเลือกมา คุณต้องบริหารเขา หรือว่า คุณจะต้อง สร้างเขามาเป็น พนักงาน หรือมาเป็นคนทำงาน ในบริษัท มันก็ต้องแข็งแรงพอ ต้องเป็น คนที่มีคุณภาพเป็นอาริยบุคคล มาลดละใช้น้อย แล้วก็มีจิตใจมีปัญญา มีศรัทธาได้จริงๆ มีศรัทธา มีปัญญาสอดคล้องกับทิศทางของโลกุตระที่แท้จริง บริษัทคุณ ก็ตั้งอยู่ได้ แต่ถ้าคุณไม่สามารถ ที่จะสร้างคน ขึ้นมาได้ ก็ไปไม่รอด น้อมนบ : พ่อท่านคะ ถ้าดิฉันจ้างคนในลักษณะแบบพลังบุญ แต่คนที่เข้ามามีพื้นฐานเล็กน้อย แต่ดิฉัน สามารถแบบว่า เราเพิ่มคุณธรรม ให้เขาจากงานของเรา อธิบายให้เขาฟังให้จนกระทั่ง เขามีคุณธรรม เพิ่มมากขึ้นได้ โดยที่ว่า พ่อท่าน : ก็นั่นแหละๆ ถูกแล้วไง ก็เขามีภูมิธรรมสูงขึ้น ส่วนสมรรถนะนั้นไม่ต้องพูดถึงหรอก เพราะว่าสมรรถนะ คุณก็ต้อง เอาตามที่ใช้ได้ คุณสมรรถนะต่ำกว่าที่ควร คุณจะเอาเขามาร่วมงาน ได้ไงล่ะ แต่ทีนี้ มันวิเศษตรงที่ มันมีคุณธรรม ถ้าไม่มีคุณธรรม เขาทำงาน อยู่ได้ไม่นาน นอกจาก ไม่ยืนนานแล้ว ก็มี conflict (ขัดแย้งกัน) ได้มาแบบโกง ไม่สุจริต ทุจริต อะไรต่างๆ ก็อยู่กะเรา ได้ไม่นาน พิมพ์บูชา : อย่างเขามีคุณธรรม เขาต้องมีศาสนาเข้ามาอยู่แล้ว พิมพ์บูชา : แล้วหลักบุญนิยมนี่นะคะ มันจะต้องเป็นไปตามหลักการของศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นนี้ ไม่สามารถ ที่จะเอาไปใช้ได้เหรอคะ พ่อท่าน : ยาก ที่อาตมาตอบว่ายาก เพราะว่าศาสนาอื่นๆนั้นเป็นการกดข่ม ไม่ได้เรียนรู้วิธีการ ล้างกิเลส ถูกตัวตนกิเลส ชัดเจนจริง เหมือนกับศาสนาพุทธ สรุปก็คือ ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มีมรรคองค์ ๘ ไม่มีความรู้ทางโลกุตรธรรม ยังเป็นโลกีย์อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น โลกียธรรมก็จะเพียงกดข่ม หรือมีคุณธรรมในระดับโลกีย์ คือสะอาดจากกิเลสอย่างปราศจากอนุสัยอาสวะไม่ได้ จึงมีเชื้อ อนุสัยอาสวะ ทำงานอยู่ภายในจิตลึกๆแน่ แต่ชาวเทวนิยม หรือผู้ที่ไม่บรรลุโลกุตรธรรม ไม่สามารถ รู้แจ้ง ความจริงนี้เท่านั้น แม้ผู้มีคุณธรรมทางโลกีย์ จะตั้งปณิธานที่ดีว่าต้องเสียสละ จะเสียสละ เหมือนนักเสียสละ อยู่ทั่วโลก ที่เป็นศาสนาอื่น ที่อยู่ในแนว เทวนิยม นี่แหละ เขาก็เสียสละได้ แต่ไม่เหมือนชาวโลกุตระ และไม่ยั่งยืนเท่า ไม่จริงจัง เท่าไรหรอก แม้ชาวพุทธเอง ที่ไม่บรรลุ โลกุตรธรรม ก็เหมือนกัน ดูอย่างนักปฏิกิริยาพวก activist (ผู้ยึดถือทฤษฎีที่ว่า ความจริงคือ การดำเนินการ ที่บริสุทธิ์ โดยเฉพาะ ทางจิต) ต่างๆสิ เห็นแข็งแรงจริงจังกันในยุค ๑๔ ตุลา โอ้โฮ activist บานเลย ๖ ตุลา ก็ออกบานเลย เดี๋ยวนี้เป็นไง ไปรับตำแหน่ง บริหารอะไรๆอยู่ ก็เป็นทุนนิยม ศักดินาอยู่เต็มหมดเลย แต่ก่อนนี้โอ้โฮ ประณามทุนนิยม ประณามศักดินา ประณาม อะไรต่ออะไร เต็มที่เลย จริง....ตอนนั้นเขาก็คิดอย่างนั้นจริงๆอย่างนั้นนะ อาตมาว่า เขาไม่ได้โกหกหรอกนะ เขารู้สึก อย่างนั้น จริงๆนะ ตอนที่เขาเป็นตัว activist ตอนนั้นนี่ เขาก็เป็นจริงๆอย่างนั้นนะ แต่พอเขาผ่าน อันนี้ไปแล้ว กิเลสมันยังอยู่ ในตัวเขา ตอนนั้นเขากดข่ม หรือกิเลส มันยังไม่ขึ้นมาทำงาน ยังไม่มีโอกาส แต่พอถึงช่วงเป็นโอกาส อย่างขณะนี้ พวก activist สมัย ๑๔ ตุลา หรือ ๖ ตุลา ก็เข้าไปทำงาน ไปรับใช้นายทุน รับใช้ศักดินาอยู่ ดังที่เขาเองเขาเคยประณาม มันไม่จริงไง มันได้ช่วงหนึ่ง ระยะหนึ่ง เท่านั้นเอง จะไม่ยั่งยืน จะเป็นไปไม่รอด อาจจะกดข่มได้นานปีก็ได้นะ กว่าจะปรากฏตัวจริงขึ้นมา กว่าเนื้อแท้ จะแสดงตัว ออกมาจริง อาจจะนานก็มีเหมือนกัน อย่างฤๅษีสะกดจิตข่มสมาธิอะไรพวกนี้ เขาอยู่ได้ จนกระทั่งชีวิตเขาตาย ก็ดูเหมือน เขาไม่มีกิเลสออกมา ๑. เขากดข่มอยู่ได้ ๒. เขาไม่ออกมา เผชิญกับสิ่งที่จะมา กระแทกกระทุ้ง ให้กิเลสเขาออกมา ฤๅษีก็เลยไม่รู้ เขาก็อยู่ได้ ก็ตายตามอายุขันธ์ ของเขาไป แต่เขาไม่ได้พิสูจน์เลยว่า ความจริงกิเลสของเขา มันหมดหรือไม่หมด ความจริง มันไม่หมด เขานึกว่าเขาหมดแล้วไง ความจริงนะ เขาสะกดมันอยู่ และเขาไม่มีเหตุปัจจัย ที่จะมากระทุ้ง กระแทก เอาให้กิเลสเขาออกมา เพราะว่าเขาเลี่ยงเขาหลบ พิมพ์บูชา : แล้วถ้าเขาอธิษฐานว่าขอเป็นฤๅษีต่อไปเรื่อยๆอย่างนี้ กิเลสของเขาก็ไม่ปรากฏซิคะ พ่อท่าน : ถ้าจะเป็นแบบฤาษีก็เกิดมาเป็นก้อนดินเสียดีกว่า มาทำตนให้เป็นคนไม่มีประโยชน์อะไรกับ สังคม มันไม่มีประโยชน์ อะไร กับมนุษยชาติ มันหนักแผ่นดินเขา เป็นคนก็ต้องกินต้องขี้ คุณจะต้อง อาศัยวัตถุดิบ ของธรรมชาติแวดล้อม ของโลกใช่ไหม แต่คุณไม่มีคุณค่าประโยชน์อะไร ให้เขาเลย แล้วมีชีวิตทำไมล่ะ ชีวิตมันก็เท่ากับ เดรัจฉานตัวหนึ่ง ที่ไม่มีประโยชน์ เดรัจฉาน วัวควายได้ไถนา ทำอะไร ม้าช้างมันก็ได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมบ้าง นี่มันยังกะมด กะปลวก มันไม่มีประโยชน์ ลิงหลายตัว ยังเอาขึ้นต้นมะพร้าว ทำงานอะไรได้ด้วย แต่นี่มันไม่ได้อะไร มันก็เท่ากับเดรัจฉาน ที่ไม่มี ประสิทธิภาพอะไรเลย ก็เท่านั้นเอง เสียชื่อ เสียชาติคนหมด น้อมนบ : พ่อท่านคะ อย่างฤๅษีในอโศก
เขาจะ.. น้อมนบ : พ่อท่านคะ เขาอยู่ยาก แต่เขาจะปรับตัว เขาจะปรับได้ยากหรือง่าย พ่อท่าน : ก็แล้วแต่ตัวเขาแหละ เขาจะทำได้หรือไม่ ที่พูดค้าง จะตั้งบริษัทต่อไปได้หรือไม่ หนึ่ง ได้อย่าง ที่ว่านี่ ถ้าคุณสามารถ ที่จะสร้างคน ในบริษัทของคุณขึ้นมาดีได้ แล้วก็สืบต่อมาดีได้เรื่อยๆ บริษัท มันก็ยั่งยืน แต่ของเรานี่มันอยู่ได้ เพราะเรามันมี องค์กรใหญ่ มันมีมวลกลุ่มใหญ่ ทั้งหมดเป็นหลัก ก็จะได้อันนี้เป็นส่วนหนึ่ง ขององค์กรใหญ่ เพราะฉะนั้น แน่นอน มันมีการ support ทั้งส่วนอะไร ที่มันขาดเหลืออะไร ก็แล้วแต่ทางวัตถุ วิธีการ แม้แต่นโยบายอะไรก็แล้วแต่ เพื่อจะเกื้อกูลกันทั้งหมด น้อมนบ : พ่อท่านคะ กว่าจะเกิดเป็นองค์กรใหญ่
ไม่ใช่จะทำง่าย น้อมนบ : ดิฉันว่าเกี่ยวกับ....ต้องมีตัวจริง คนจริง พ่อท่าน : ใช่ ถึงยังงั้นก็จะมีคนถามในประเด็นนี้อีก คือ แล้วอย่างนี้มันจะกว้างขวาง มันจะกระจาย แพร่ไปทั่วโลกเหมือนทุนนิยมเขาได้ไหมล่ะ พิมพ์บูชา : ค่ะ พ่อท่าน : ก็ตอบได้ว่า จริง....ในโลกต้องยอมรับอยู่ว่า คนมีกิเลสมันมีมากกว่าคนไม่มีกิเลส นี่คือ คำตอบ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ในพ.ศ. นี้ คนที่มาเป็นชาวบุญนิยมได้ มันไม่มากเท่าทุนนิยม หรือว่า คนที่ขี้โลภ มันยังมีในโลก มากกว่าคนลดความโลภได้ เราพยากรณ์ ไม่ได้จริงๆว่า ความดีจริง อันนี้ จะขยายวงออกไปได้กว้างขวางเท่าใด แต่สิ่งที่ดีแน่ดีแท้ยิ่งกว่านั้น ก็คือ บริษัทอย่างนี้ มันมีประโยชน์ ทันที เป็นประโยชน์แก่สังคมแล้วทันที มันไม่เบียดเบียนคนในสังคม ไม่ได้ขูดรีด เอาเปรียบเอารัดสังคม มันให้แก่สังคม ทันที เพราะฉะนั้น จะยาวนานเท่าไร จะมีมากกว่าหรือไม่ ไม่เสียอะไรเลย สำหรับ มวลมนุษย์โลก มีแต่ดีมีแต่ได้ ทั้งตัวผู้ปฏิบัติเอง ทั้งสังคมผู้ที่ได้รับบริการออกไป มันเป็นประโยชน์ ไปทั้งหมด เพราะฉะนั้น มันจะน้อยก็ตาม แต่มันก็เป็นประโยชน์ ตลอดไป ทีนี้พูดถึงความยั่งยืน บุญนิยมยั่งยืนเพราะอะไร ยั่งยืนเพราะจิตของเขาได้รับการขัดเกลา สำรอก กิเลสออกจริง มีปัญญา เข้าใจความจริง อย่างชัดเจน ว่านี่คือสิ่งที่เป็นคุณค่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นความประเสริฐของมนุษย์ การมีเงินมากๆ เขาเข้าใจ ชัดเจนว่า คนที่กักเงินไว้เป็นของตนมากๆ ไม่ได้ประเสริฐเท่าเขาได้เสียสละให้แก่มนุษยชาติ อันนี้ต้องถามตัวเอง แต่ละคนว่า ตัวเองยอมรับไหม การได้เสียสละให้แก่คนอื่นมากๆดีกว่าตัวเองมีเงินมากอบกองไว้ให้แก่ตัวเอง กอบโกยมาให้แก่ตัวเอง มากๆ เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องไปรวยหรอก คุณมาจนนี่แหละ สะพัดเงินออกไปไม่กักเก็บไว้ เป็นของตน นี่แหละ จึงจะเป็นคน มีประโยชน์มีคุณค่า ต่อสังคม อย่างเป็นสัจจะ เงินที่คุณถือสิทธิ์ไว้ เป็นของคุณนั่นคือ มูลค่าที่มันลดคุณค่าของคุณ ต่อสังคมอยู่แล้วชัดๆในตัวมันเอง ในเมื่อคนจน ที่สะพัดเงินออกไปแล้ว แต่ก็ทำงานเต็มสมรรถนะ เท่ากับคุณที่ยังเก็บกักเงิน ไว้เป็นของตน เป็นคนรวย แถมเงินนั้น ยังมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่ดูดเอาจากสังคม มาให้แก่คุณเพิ่มขึ้นๆ อย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย โดยปัญญาของชาวบุญนิยมนี่จะเข้าใจชัดแจ้ง ไม่ใช่ความลวง เราเป็นประโยชน์เราเสียสละตลอดเวลา จะมาก จะน้อยก็แล้วแต่ ยิ่งประสิทธิภาพของเราสูง ถ้าตีราคาตามตลาด เงินเดือนเราอาจจะ ๕๐,๐๐๐ บาท รายได้ราคาสมควร เหมาะสม ตามตลาด ๕๐,๐๐๐ บาท แต่เรามาเอา ๒,๐๐๐ บาท เราก็สะพัดให้สังคมไปได้แล้ว เดือนละตั้ง ๔๐,๐๐๐ กว่าบาท ทำไปความเชี่ยวชาญ ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ประสิทธิภาพมากขึ้น ราคาค่าตัวเราก็อาจจะไม่ใช่จะหมื่น มันต้องห้าหมื่น หกหมื่น แปดหมื่น แสนหนึ่ง อะไรขึ้นไป แน่นอน แต่เราเองเรากินใช้ ๒,๐๐๐ บาท นี่นะ นี่พิสูจน์มาแล้ว ๑๗ ปีก็ยัง ๒,๐๐๐ บาทอยู่ ต่อไปส่วนตัว กินใช้สักพันเดียว หรือห้าร้อย ด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น มันมีทิศทาง พิสูจน์เลยว่า ความตั้งใจอยู่ได้ของ ผู้มักน้อยนี่ มันตั้งอยู่ได้ สถิตเสถียร เพราะมันทั้งไม่มีกิเลส ผลักดันอยู่ในตน และมีทั้งปัญญาที่รู้แจ้ง เชื่อจริงว่า มันดีจริงๆ ประเสริฐจริงๆ ประโยชน์คุณค่า ที่เราได้ให้แก่ผู้อื่นได้อีกมากขึ้นๆก็ยิ่งดีขึ้นมากๆ ซึ่งคนทำเองก็ตาม คนอื่นๆก็ตาม รู้เห็นอัตถะ ประโยชน์นี้ อัตถะ คุณค่าอันนี้ รู้เห็นอัตถะคุณค่าของคนคนนี้ ทั้งตัวเราเอง ทั้งสังคม ที่เขาจะเห็น มันจึงไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆแน่ ทำไมล่ะ ก็มันดีจริงๆ มันดีแล้วนี่ เราก็ดี คนอื่น เขาก็เห็นว่าดี ชัดเจนไม่ใช่การหลอกลวง แล้วเราก็อยู่ได้ เราก็ไม่ลำบากอะไร ไม่ต้องฝืน ต้องทน เราได้ลดกิเลสจริง เราก็อยู่ได้ แต่เรามีสันโดษ เรามีความพอ เรามีความตั้งอยู่ได้สถิตเสถียร สันโดษนี่ เป็นคุณภาพ ของจิตวิญญาณที่มันพอ แค่นี้ก็พอ พอจริงๆ แล้วเราเป็นอยู่ก็มีระบบของสวัสดิการ ระบบสาธารณโภคี ระบบของ การเป็นอยู่ของเรา อย่างนี้แหละ เป็นวัฒนธรรมด้วย บางคนอยู่ในวัด นี่เขาไม่มีรายได้เลย เขาก็อยู่ของเขาได้ไปเลย คุณได้ตั้ง ๒,๐๐๐ บาท ทำไมคุณอยู่ไม่ได้ คนตั้งมากมาย ในชุมชนชาวอโศก ที่ทำงานฟรี ไม่มีรายได้สักบาท เขายังอยู่สบายได้ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณก้าวหน้า เจริญทางธรรมขึ้นอีก คุณทำไป จนกระทั่งสุดท้าย คุณก็ไม่ต้องมีรายได้เลย คุณก็อยู่ได้ แต่คุณ มีตำแหน่งหน้าที่ อยู่ใน บริษัทนี้ มากกว่านั้น ก็ได้เหมือนกัน แล้วมันก็สถิตเสถียร เพราะว่ามันชัดเจน มันไม่ได้มีอะไร มาพราง มาลวง มาล่อ เป็นอามิส แต่อย่างใด ใจเราก็ไม่ได้เดือดร้อนดิ้นรนอะไรแล้ว จิตเราสงบแล้ว จิตเราพอ ไม่ดิ้นรนเดือดร้อน มากกว่านี้ เราก็เป็นสุขดีด้วย เพราะฉะนั้น อันนี้จึงเป็น สิ่งที่ยั่งยืนแน่แท้ sustainable (สถิตเสถียร) อย่างนี้ น้อมนบ : พ่อท่านคะ พนักงานในพลังบุญหลายคนนี่ ยังส่งเงินกลับไปที่บ้าน พ่อท่าน : เออ นั่นน่ะสิ ๒,๐๐๐ บาท เขายังสามารถแบ่งเงินนี้ส่งไปให้ที่บ้านได้ด้วย ดูสิ efficient (ความสามารถ) ขนาดเขาได้เงินเดือน เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เขายังมีเงิน ส่งไปที่บ้านนะ ฟังแล้วมัน เฮ้ย เหม็นขี้ฟันน่ะ คนฟังที่พูดนี้ อยากบอก อย่างงั้นจริงๆ ใช่ไหม พิมพ์บูชา : เท่าที่คุยกับพ่อท่านมาแล้ว คือจะว่าไปแล้วบุญนิยมตรงข้ามกับทุนนิยมหมดเลยค่ะ แบบขาว กับดำเลยค่ะ พ่อท่าน : คนละขั้วคนละทิศเลย พิมพ์บูชา : แต่พูดเหมือนกัน ก็นึกถึงเรื่อง value added (ค่าที่เพิ่มขึ้น) เหมือนกันนะคะว่า เออ พนักงาน แบบนี้ทำงานเพิ่ม value added ให้แก่ตัวเองในลักษณะตรงข้ามกับทุนนิยมที่เพิ่มเงินเดือน แต่นี่เป็นลักษณะ ของบุญนิยม พ่อท่าน : นี่มันลดเงินเดือน พิมพ์บูชา : ลดเงินเดือนหรือไม่มีเงินเดือนเลย พ่อท่าน : ค่าของไอ้สิ่งนี้ ความเจริญทางวัตถุหรือทุนนิยมมัน add (เพิ่ม) ไปทางลบ มันไม่ใช่ add ทางลึก ก็ว่าได้ ทุนนิยม กับบุญนิยม มันคนละขั้ว ด้านหนึ่งประสิทธิภาพคุณธรรมมากขึ้น มันลด เงินเดือน อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านทุนนิยม เขาต้อง add เข้าไป ต้องบวกเข้าไปๆ ไม่มีพอ พิมพ์บูชา : แล้วเขา add เข้าไปในลักษณะค่าทวี พ่อท่าน : ทวีคูณเลย พิมพ์บูชา : เข้าตัวเองด้วยค่ะ พิมพ์บูชา : ถ้าฟังจากพ่อท่านพูดนี่คือ..... พ่อท่าน : เข้าตัวเองของทางทุนนิยม ก็คือ เป็นอัตราปฏิภาคทวี เช่น จากชั้นระดับซี ๓ ขึ้น ๔ ซี ๕-๖-๗-๘ ขึ้นไปนี่ มันเป็น อัตราก้าวหน้า อัตรานั้นไม่ใช่เท่ากันเลย ทุนนิยมเขาขึ้นเงินเดือนปีนี้ซี ๓ ขึ้น ๑๐๐ นะ ซี ๔-๕-๖-๗-๘ ก็ ๑๐๐ เท่ากัน เหมือนกันหมด ไม่ใช่เลย มันมีอัตราที่สูงมากกว่ากัน อย่างเหลื่อมล้ำ ในวิธีคิดเอาเปรียบ ยิ่งเรื่องเอกชนส่วนตัว ก็ยิ่งเหลื่อมล้ำ ฉ้อฉล ตามอำเภอใจ อย่างไม่มีขอบเขต เพราะฉะนั้น ทางโลกมันมีเชิงชั้นฉ้อฉล ที่จะเอารัดเอาเปรียบเยอะ หนักหนาสาหัสจริงๆ พิมพ์บูชา : พิมคิดว่า หนึ่งในที่แบบบุญนิยมไม่ค่อยได้รับการยอมรับนี่นะ เพราะว่าเขาไม่กล้า ที่จะยอมรับ ด้วยรึเปล่าคะ พ่อท่าน : มันเป็นเรื่องจิตวิทยา มันเป็นจิตวิทยาตรงที่ว่า เขา guilty ถ้าเขายอมรับ ถ้าเขายอมรับ ก็เท่ากับ เขาเข้าใจ เขาเชื่อ แต่เขาทำไม่ได้ เขาเสียหน้า เพราะฉะนั้น เขาทำทีเป็นไม่เข้าใจดีกว่า ไม่ยอมรับดีกว่า ถ้ายอมรับ แล้วเขาทำไม่ได้ ต้องเสียเขานะ น้อมนบ : เพราะทำไม่ได้ ก็เป็นปมด้อย พ่อท่าน : มันด้อย มันมีปมด้อย เป็นจุดด้อยเกิดขึ้นที่เขา เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของจิตวิทยา มันจะต้อง รู้เท่าทัน พิมพ์บูชา : พิมคิดว่า อย่างนี้มันยากนะคะ
คือ เข้าใจแต่พยายามที่จะทำให้ไม่เข้าใจ พ่อท่าน : เออ ใช่ บางทีแกล้งโจมตี แล้วบางทีก็เข้าหมู่ทางด้านโน้นไปเลย พิมพ์บูชา : ถึงแม้อธิบายจนปากเปียกปากแฉะ เขาก็จะไม่รับ ผิดกับคนที่ไม่เข้าใจอธิบายให้จนเขา เข้าใจ เขาก็จะยอมรับ พ่อท่าน : ใช่ เข้าใจแล้วไม่ยอมรับ มันก็หมดทางแล้ว เขาปิดประตูแล้ว เขาเข้าใจแล้ว ที่จริงพูดไปยังไง คือเขา ไม่มีปัญหาแล้ว แต่กิเลสเขา เขาไม่ยอมรับ เขารับไม่ได้ กิเลสเขาเป็นตัวตัดสิน กิเลสเขาเป็น ตัวจบ มันรู้แล้วละ แต่เขาไม่เอา น้อมนบ : พ่อท่านคะ พลังบุญ เราทำมา ๒-๓ ปีแล้ว คือที่ว่า ปีใหม่ไปทานข้าว ตอนปีใหม่นี่ จะให้เงิน พนักงาน ประมาณ ๓๐๐ บาท พ่อท่าน : นั่นเรียกว่า อั่งเปา เราเรียกเงินขวัญ เขาเรียกเงินอั่งเปา เป็นเงินชำร่วย เป็น compliment เป็น อภินันทนาการ เท่านั้นเอง มันไม่ใช่เป็นเรื่อง หลักเกณฑ์อะไร น้อมนบ : พ่อท่านคะ อีกเรื่องหนึ่งนะคะ มีพนักงานคนหนึ่งเขาเก็บสร้อย เป็นสร้อยข้อมือได้ที่บริษัท ประมาณ ๒ บาท เราก็รอ ให้คนมารับคืน หลายเดือนมาแล้วเราก็รู้สึกว่า ไม่มีคนมารับคืน ใช่ไหมคะ ดิฉันก็เลยถามเหมือนกับว่า ข้างนอก เวลาเขาเก็บของได้ เขาไปคืนให้ตำรวจ และในที่สุด เมื่อไม่มี คนมารับ เขาจะคืนให้กับคนที่เก็บได้ แต่นี่ดิฉันก็บอกว่า เอ๊ะ บริษัทเราเอง ถามหลายคน บางคน ก็บอกว่า ให้กับบริษัท ให้กับวัด เพราะมันเก็บได้ในองค์กร แต่คนเก็บได้นี่ เขารู้สึกว่า น่าจะเป็นของเขา ก็มีการคุยกัน ในที่ประชุมเมื่อวาน สมณะก็ตัดสินว่า ควรเป็นของกองกลาง แต่ก็มีคนบอกว่า คนนี้ เขามีปัญหา เรื่องเงินเยอะ ต้องการใช้เงิน พูดในที่ประชุม สมณะก็บอกว่าไม่ได้ ควรหาวิธีอื่น แต่ไม่ใช่ว่า วิธีเอาจากตรงนี้ไป มันเสีย พ่อท่าน : ใช่ มันจะกลายเป็นหลักการเป๋ไป๋ เราจะมีการให้โดยวิธีอื่นใดก็แล้วแต่ ก็หาทางที่จะเป็นไป แต่อย่ากลายเป็น ธรรมเนียม กลายเป็นหลักการนี้ ถ้าหลักการนี้ ทีหลังมันจะไม่ดีหรอก น้อมนบ : พ่อท่านคะ ถ้าสมมติว่าเขาต้องการเงิน เขาสามารถเบิกเงินจากส่วนกลางได้ ซึ่งเป็นไปตาม หลักการที่ตั้งไว้ พ่อท่าน : ถ้าเป็นเงินจากส่วนกลาง จะเบิกเป็นส่วนตัวโดยตรงมันไม่ได้ มันต้องเป็นสิ่งที่เหมาะสม กับบางเรื่อง น้อมนบ : ก็ต้องดูเป็นบางเรื่อง บางเรื่องที่เราช่วยได้ อย่างเช่นว่า เอาไปซื้อตู้เย็นก็ไม่เหมาะ พ่อท่าน : เราต้องดูความจำเป็นบางอย่างที่เหมาะสม พิมพ์บูชา : อ๋อ รวมถึงญาติพี่น้องด้วย พ่อท่าน : ต้องพิจารณาถึงเนื้อหาของมัน ว่าสมควรจำเป็นแค่ไหน พิมพ์บูชา : ไม่มีหลักการตายตัว คือใช้ที่ประชุมเป็นหลัก นโยบายและวิธีการของบริษัทพลังบุญ อย่างนี้ อาจารย์คงอึ้งค่ะ อาจารย์คาดหวังมากเลยค่ะ ว่าจะได้เป็นลักษณะองค์กรทั่วๆไป อะไรอย่างนี้ นะคะ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ธรรมดา อาจารย์คง ไม่ได้คาดหวังว่า จะเจอแบบนี้นะคะ พ่อท่าน : ไม่เจอหรอก หลักเกณฑ์ธรรมดาไม่มีอะไร อาจจะแตกต่างนิดหน่อย แต่ไม่น่าจะหักศอก หักขั้ว อย่างนี้ เขาจะต้อง คิดแล้วว่า ไม่หักศอกหักขั้วอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราไม่ยอมรับว่า คนเรานี่นะ สามารถที่จะเป็นคนเข้าใจจริง และลดกิเลส ได้จริง ถ้าเขาไม่เชื่อมันก็จบ แต่ถ้าเขาเชื่อว่า คนนี่สามารถเข้าใจจริง และลดกิเลสได้จริง เขาก็จะทึ่ง แล้วเขาก็ศรัทธา แต่ถ้าเขาบอก ไม่เชื่อหรอก ไอ้นี่มันเรื่องหลอก เรื่องชั่วคราว เรื่องมอมเมา เรื่องทำเท่ ทำชั่วคราว มาคุยโม้ มาทำอวด สร้างภาพ ถ้าเขาไม่เชื่อนะ เขาจะคิดเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเขาเชื่อ เขาจะทึ่ง จะรู้สึกอัศจรรย์ น้อมนบ : ตอนนี้คนจะมาพลังบุญมากขึ้น พ่อท่าน : ใช่ เขายังไม่ลึกหรอก ถ้าเขาไปดูรายละเอียดที่ลึกกว่านี้ ก็เราทำได้ ไม่ใช่หมายความว่า เล่นๆ เผินๆ ไม่ใช่ มันมีอะไร ที่ลึก เป็นเหตุปัจจัยของมันตั้งมากมายหลายเรื่องหลายอย่าง และมันจะต้อง สัมพันธ์กัน มันจะต้อง เป็นโครงสร้าง ทุกอย่าง มันจะต้องช่วยเหลือกัน อันนั้นนิดอันนี้หน่อย ทุกอย่าง สอดคล้อง ช่วยกันเป็นโครงสร้างใหญ่ที่จะเกิดก่อ และอาตมา ขอยืนยันว่า โครงสร้างเหล่านี้ เป็นโครงสร้างที่เป็นอยู่ ไม่ใช่โครงสร้างที่เป็นนั่งร้าน แล้วก็ต้องรื้อทิ้งทีหลัง ไม่ใช่ เป็นโครงสร้าง ที่ลงรากฐาน หยั่งลึก เกิดจริง เพราะฉะนั้นจะเกิดยั่งยืน พิมพ์บูชา : แต่ก่อนมองแค่พลังบุญเป็นแบบที่เขาเรียกว่าบริษัททดลองธรรมดาอย่างนี้ล่ะค่ะ พ่อท่าน : มันจะทดลองยังไง ตั้ง ๑๗ ปีแล้ว แล้วมันก็มีน้องๆเกิดขึ้นมาอีกตั้งไม่รู้กี่บริษัทแล้ว ตอนนี้ เพียงแต่ มันไม่เร็ว มันไม่หว่าน เพราะว่าเรามันจำกัด ข้อจำกัดมันอยู่ที่คน มันไม่มีบุคคลากร มันก็สร้าง ไม่ได้ ต้องมีบุคคลากรจริง อย่างที่ว่า คุณจะปลอมๆ แปลงๆเล่นๆไม่ได้ ต้องมีบุคคลการจริง จริงๆแล้ว มันก็ดีมาตั้งแต่ร้านมังสวิรัติ ร้านมังสวิรัตินี่นะ คนทำงานฟรี ทุกคนเสียสละ เข้ากองกลางหมด ไม่ต้องคิดมาก กรรมวิธีมีน้อย ระบบน้อยๆง่ายๆ ซื้อขายมีส่วนเหลือ หรือไม่พอ ก็ปรับตัว เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีอะไรที่จะต้องแย่งชิง อะไรต่ออะไร ก็ระบุอย่างชัดเจนว่า เป็นเรื่องของ ส่วนกลาง ร้อยเปอร์เซนต์ อย่างมั่นคง ไม่มีใครเห็นเป็นอื่นเลย ทุกคน มีความสมัครใจ หรือเห็นดีเห็นชอบ เพราะฉะนั้น สูงส่งมาก ชมร. นี่นะ สูงส่งมาก ไม่แย่งตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีทั้งอำนาจ อามิส ทั้งลาภ ยศอะไร ไม่มีเลย มันมีบ้างละ ยศ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า หนักนะ ผู้รับใช้หนักท่าเดียว อะไรอย่างนั้นเป็นต้น คือ ผู้รับตำแหน่งหน้าที่นั้นๆนี้ๆ หนักท่าเดียว ไม่มีอะไรนอกจาก ผิดพลาดมา โดนด่า ถ้าดีก็เท่านั้นเอง ดีก็เท่าทุน พลาดมาก็โดนจิ้ม โดนว่า พอมาเป็นรูปแบบว่า ที่เราจะเอา โครงสร้างของโลก เข้ามาใช้ เข้ามาอะไร ต่ออะไรมาแต่ง ก็เลยต้องปรับตัว ต้องประยุกต์ ให้สอดคล้อง กับอะไร ต่ออะไรหลายอย่าง พิมพ์บูชา : พ่อท่านคะ ถามอีกอย่างหนึ่ง คือ วัตถุประสงค์ที่พลังบุญจะมีติดราคา ราคาทุนและ ราคาขายนี่นะคะ คือต้องการ ที่จะสื่อให้ลูกค้าเห็นว่า เราซื่อสัตย์ พ่อท่าน : ใช่ ต้องการที่จะให้ลูกค้าเห็นจริงจังจริงใจว่า เราไม่ได้เอาเปรียบเอารัดจริงๆเลยนะ คุณรู้ ราคาทุนนี่นะ คุณไม่เชื่อ คุณไปสอบถาม กับต้นทางได้เลยว่า เราซื้อมาเท่านี้จริงหรือเปล่า แล้วเรา ก็ขายเท่านี้จริงหรือเปล่า ๑. เราซื่อสัตย์ ๒. คุณจะได้รู้ว่า เราไม่ได้มานั่ง โลภโมโทสันจริง เพราะเรา ไม่ได้บวกส่วนเกิน อย่างที่เขาปิดบังทุน เสร็จแล้วได้โอกาส ทุน ๑,๐๐๐ ขายมันไปตั้ง ๘,๐๐๐ อะไร อย่างนี้ มีในสังคมทุกวันนี้ ค้าขายในทุนนิยม ต่างๆนานา ใช่ไหม เราไม่ได้นั่งพราง พรางไว้ เพื่อที่จะ รีดนาทาเร้น ขูดรีดเอา คุณมาเท่าไรได้ยิ่งดี ไม่เลย เพราะฉะนั้นเราจะซื่อสัตย์สุจริต เพียงแต่ว่า เราต้องการส่วนเกิน แต่เพียงเท่านี้ เพื่อมาบริหารงาน กันต่อไปได้เท่านั้นเอง เท่าที่อยู่ได้ ด้วยความจริงจังจริงใจ ยิ่งคนเรียนมากก็ยิ่งรู้มาก นี่แหละดี มาคุยกับ อาตมาเลย ทางด้าน เศรษฐศาสตร์ ก็จะได้คุย ต่อไปในอนาคตนี่นะ อาตมาจะได้คุย ทางรัฐศาสตร์กับคน พวกนักการเมือง คอยดู แต่คงอีกนานเพราะพวกนี้จะค้อมหัวมาคุยกับอาตมาคงอีกนาน พิมพ์บูชา : แต่พิมสับสนนะคะ เพราะพิมเหมือนกับอยู่กึ่งกลางระหว่างสองด้าน ก็รับจากพ่อท่าน และก็รับจาก ที่มหาวิทยาลัยด้วย แล้วมันขัดแย้งกันนะคะ พ่อท่าน : ใช่ซิ เราต้องชัดเจนสิ ชัดเจนว่าอันนั้นก็อย่างนั้น อันนี้คืออย่างนี้ หนึ่งเราชัดเจนทั้งสองด้าน โลกียะ หรือว่า ทุนนิยม บริโภคนิยมอย่างไร กับทางเรานี่อย่างไร ทางด้านโลกเขานี่นะ เต็มไปด้วย หนึ่ง ทุนนิยม สอง บริโภคนิยม สาม กามนิยม สี่ อัตตนิยม เขาเต็มไปหมดเลย ส่วนทางนี้นะ ลดหมด ลดทุนนิยม ลดบริโภคนิยม ลดกามนิยม ลดอัตตนิยม ลดหมด มันทวนกระแส กันชัดเจน นั่นคือ เราเข้าใจทุนนิยมเข้าใจโลกียะแล้ว เราเข้าใจทั้งโลกียะทั้งโลกุตระ มันคนละฟาก คนละขั้วกัน สอง ตัวเรา เราจะอยู่ตรงไหนล่ะ เราจะเอาทางไหน สองความเป็นจริงของเรา กิเลสหนาแค่ไหน เราขณะนี้ status quo สถานภาพ ที่เป็นอยู่จริง ขณะนั้น เรายืนอยู่ตรงไหน มันยืนอยู่ฝั่งโลกียะมากกว่า หรืออยู่ฝั่ง โลกุตระมากกว่า อะไรมาก อะไรน้อยแท้ เราต้องตรวจ ตัวเราเองให้ชัด พิมพ์บูชา : คืออย่างพิมนี่นะคะ เรียนเศรษฐศาสตร์ทำข้อสอบตอบอะไร ก็รู้ มันเหมือนรู้ว่า ต้องอย่างนี้ แบบว่า ผู้ประกอบการต้อง maximize profit พ่อท่าน : นั่นแหละโลกเขาเป็นอย่างนั้นหมด พิมพ์บูชา : แต่จิตลึกๆมันก็รู้ว่า มันก็ตรงกันข้ามกับที่พิมฟังพ่อท่านมาอย่างนี้นะคะ เหมือนกับว่า มันต้อง ตอบไป อย่างนั้นล่ะคะ พ่อท่าน : maximize profit พิมพ์บูชา : พิมพ์เลยรู้สึกขัดแย้ง พิมพ์บูชา : แต่พิมคิดว่าบางครั้งอย่างนี้นะคะ ฟังพ่อท่านพูดแล้วพิมยังสับสนเหมือนกัน สับสนกับเนื้อหา ที่พิมพ์ เรียน พ่อท่าน : เอ้า จะไปสับสนทำไมล่ะ พิมเรียน เรียนโลกีย์แน่ๆ ทุนนิยม ศักดินาแน่ๆ จะไปสับสนทำไม พิมพ์บูชา : เหมือนกับว่า พิมเรียนมา มันตอกย้ำมาตลอดตั้งแต่ปี ๑ ว่าหลักการนี้คือ หลักการของ การคงอยู่ ของเศรษฐกิจไงคะ พ่อท่าน : นั่นแหละ เศรษฐกิจเขาจะคงอยู่ในลักษณะของโลกีย์ แต่โลกีย์มันต้องเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้น นายทุนนี่ จะมีทุนทรัพย์ น้อยกว่าลูกน้องไม่ได้ แต่ของโลกุตระนี่นะ ยิ่งนายทุนยิ่งไม่มี ยิ่งสุดท้าย บริษัท เจ้าของบริษัทใหญ่นี่ ไม่ต้องมีทรัพย์สินเลย แจกจ่ายให้ และระดับล่าง จะต้อง มีทุนรองรัง เป็นหลักประกันมากกว่า คนที่มีสมรรถนะสูง พวกมีสมรรถนะสูง เขาก็ได้เปรียบ ตรงที่ว่า เขามีสมรรถนะที่จะช่วยตัวเองได้แล้ว เงินทุนเขามีน้อยเขาก็ไม่เป็นไร พวกที่มีสมรรถนะต่ำ ควรที่จะต้อง ให้เขา มีเงินทุนสูง ทุนเผื่อพอสมควร มันจึงจะเกิดการเฉลี่ยอย่างถูกสัจจะ นี่คือ หลักเศรษฐศาสตร์ที่มีการสะพัด หรือเฉลี่ยทุกอย่าง ให้มัน สมดุลกัน แต่ทางทุนนิยมนั่นนะ โลกีย์เขาไม่ สมรรถนะมากเขาก็ต้องเอามากมีมากได้มาก วิธีคิด มันคนละเรื่องกัน วิธีคิดนั้น วิธีคิดเอาเปรียบ ให้แก่ตัวเอง แต่วิธีคิดของโลกุตระนั้น เป็นการเฉลี่ยเข้าไปให้สมดุล ตามสถานภาพ ความตั้งอยู่ได้ เพราะฉะนั้น คนที่ด้อยควรมีหลักประกันมากกว่าคนที่แข็งแรง คนที่เหนือกว่า มีเงินทุน เป็นหลักประกันน้อยก็ได้ เพราะว่า ความแข็งแรง สมรรถนะ ความรู้สูง มันเป็นทุนอยู่ในตัวคุณอยู่แล้ว พิมพ์บูชา : ซึ่งมันตรงข้ามกันเลย พ่อท่าน : เออ พิมพ์บูชา : คือพิมพยายาม บางครั้งพิมพ์พยายาม จะหาความสัมพันธ์ระหว่าง ทุนนิยม กับ บุญนิยมนะคะ แล้วพิมพ์ ก็เลยสับสน น้อมนบ : ถ้าอย่างนั้น ต้องแบ่งให้ชัดเจนที่เรียนก็เรียนไป ทางนี้ก็รู้ไป จะได้ไม่สับสน แบ่งให้ถูกเส้น ของมัน พ่อท่าน : มันจะสับสนอยู่ตรงเรานี่แหละ ถ้าเราเอนเอียงอยู่ข้างทุนนิยม มาศึกษาทางนี้ก็เข้าใจ ยากขึ้น แต่ถ้าเรา เอียงเอนมาข้าง โลกุตระ มากขึ้น เราจะสับสนน้อย เพราะว่าโลกียะมันเรื่องมาก มันวุ่นวาย สับสน ในตัวมันเองอยู่แล้ว ต่างจากโลกุตระ เพราะจิตสะอาด สว่างขึ้นๆ วุ่นน้อยลงๆ พิมพ์บูชา : พิมเคยตั้งคำถามอาจารย์เหมือนกันที่คณะค่ะ ทำไมต้องดูแต่ จีดีพี นะ ทำไมเศรษฐกิจ จะเจริญ ต้องดูแต่ จีดีพี พ่อท่าน : นั่นแหละโลกีย์ มันจึงไม่ลึกพอ พิมพ์บูชา : พิมก็ถามอาจารย์แล้วเมื่อไร พิมพ์ถามอาจารย์ว่า เมื่อไหร่จะถือว่าเป็นจุดสุดยอดแล้ว ของระบบ เศรษฐกิจ ที่ไม่ต้อง ทำอะไรกับมันแล้ว อาจารย์เขาบอกว่า มันไม่มีการไปถึงจุด ที่เป้าหมายหรอก มันต้องมีการพัฒนา ต่อไปเรื่อยๆ อย่างพิมพ์ ฟังวิทยุ นะคะ เขาบอกว่า ราคาน้ำมัน อย่างงี้นะ เริ่มชะลอตัว แล้วเขาบอกว่า ระบบเศรษฐกิจ จะมีการกระเตื้องขึ้น เพราะราคาน้ำมัน ชะลอตัว เพราะมีการเอาน้ำมันไปใช้มากขึ้น นักวิชาการ คาดการณ์ว่า อนาคตจะเฟื่องฟู พิมพ์ก็หัน ไปถามแม่ พิมพ์ก็งงว่า เขาไม่คิดเลยหรือว่า น้ำมันมีวันหมด พ่อท่าน : หมดแน่นอน พิมพ์บูชา : พิมพ์ยังงงว่าเขาต้องการอะไรจากการที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู อันนี้พิมก็เริ่มสับสนเหมือนกัน พ่อท่าน : อาตมาตอบให้ได้เลย ตัวเขานั่นแหละ จะมีหลักประกัน คือข้าต้องมีมากไว้ก่อน เพราะฉะนั้น แนวคิดของ ทุนนิยมนี่นะ ข้าจะต้อง มีไว้มากกว่า ลึกๆในใจเขามองรู้เหมือนกันว่ามันจะหมดนะ ยกตัวอย่าง น้ำมันนี่ก็ได้ เขารู้เหมือนกันว่า มันจะหมด เพราะฉะนั้น ข้าจะต้องมี ขณะนี้มีคนคาด จะจริงเท็จ ไม่รู้นะ อเมริกานี่นะ ไม่เอาน้ำมัน ของประเทศตัวเอง ออกมาใช้ ไปเที่ยวใช้ของประเทศอื่น หมดเสียก่อน พิมพ์บูชา : ของตัวเองเก็บไว้ก่อน พ่อท่าน : เก็บไว้ก่อน ขณะนี้นะ นี้เป็นมิติระนาบง่ายๆตื้นๆ ไม่ได้ลึกซึ้งซับซ้อนอะไรเลย เป็นอย่างนั้นอยู่ เพราะฉะนั้น นี่แหละ อย่างนี้แหละ เขาก็ทำของเขาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีเงินตุนไว้มากๆก่อน ไปใช้เงินคนอื่นก่อน ถ้ามีวัตถุดิบอะไร ฉันก็รักษา ของฉันไว้ก่อน เที่ยวไปใช้ของคนอื่นให้หมดก่อน รู้ว่ามันจะหมดเหมือนกัน พิมพ์บูชา : พ่อท่านคะ ที่พูดว่าเศรษฐกิจโลกจะเฟื่องฟู ที่จริงเป็นแค่คำโกหก พ่อท่าน : คำโกหก มันไม่จริงหรอก เศรษฐกิจจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อโลกธรรมชาตินี่นะ น้ำมันก็ดี ต้นหมาก รากไม้ก็ดี พืชพันธุ์ ธัญญาหารก็ดี มันไม่ร่อยหรอลง เพราะธรรมชาติเหล่านี้มันทำตัวมันเอง น้ำมัน มันก็ฟักตัวมันเอง เลยมีน้ำมัน มากขึ้นได้ พืชมัน ก็โตได้ ของมันเอง แต่การทำลายมากกว่าการเกิด การทำลายน้ำมันมากกว่าการสั่งสมตัวเอง อัตราความก้าวหน้า ของการทำลาย มีมากกว่าอัตรา ความก้าวหน้าของการเกิด ไม่ว่าวัตถุดิบอะไรก็แล้วแต่ คนไปผลาญ ให้เกิดการทำลายมาก อัตรา การก้าวหน้า ของการทำลาย มากกว่าอัตราการก้าวหน้าของการเจริญ มันก็แน่นอน มันก็ต้องศูนย์สิ มันต้องหมด แต่ในระบบบุญนิยมนั้น ช่วยธรรมชาติ ช่วยทั้งบุคคล ไม่ให้ไปผลาญไปทำลาย เพราะฉะนั้น จะเป็นทั้งวัตถุดิบ ของทรัพยากรโลก ทั้งพืชพันธุ์ ธัญญาหาร ทั้งบุคคล ที่กินที่ใช้ โดยเฉพาะ ทรัพยากรบุคคล ที่มีจิตวิญญาณ โลภโกรธหลงน้อยลงๆ และขยัน สร้างสรร เสียสละ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลมากขึ้นๆ อัตราการเจริญมันมากกว่าอัตราการทำลาย เพราะฉะนั้น อันนี้จึงยิ่งยั่งยืน และไม่มีวันหมด เห็นไหม เศรษฐศาสตร์เชิงบุญนิยม นี่มันลึกซึ้งกว่า พิมพ์บูชา : ทำไมคนเขาไม่คิดว่าเขายิ่งใช้ไปอย่างนี้ แล้วในที่สุดก็จะไม่มีใช้ พ่อท่าน : ๑. เขาคิดไม่ถึง ๒. เขาไม่มีทางออก เขาไม่เห็นทางว่า เขาจะทำได้อย่างไร ในเมื่อทุกคน ก็ทำอย่างนี้ กันหมด เขาไม่ทำ เขาก็โง่ เขาไม่ทำตามเขาจะอยู่รอดอย่างไร เขาก็ทำตามกันหมด แต่เมื่อมาศึกษา ทางศาสนาพุทธ โลกุตระนี่นะ ไม่ได้ยึดตัวยึดตน แม้ตนจะตาย ก็ธรรมดา ไม่เห็นเป็นไร เราไม่เกิดชาตินี้ ตายแล้วชาติหน้า คนอื่นก็ได้รับประโยชน์ต่อไป แล้วเราก็ล้างกิเลส ของเราออกแล้ว เราไม่ได้บำเรอ ไม่ได้บำบัด ความต้องการของเรา เราไม่ได้สนองตัณหาของเรา เราไม่ได้เสียดาย และก็ไม่ได้เสียใจ ไม่เห็นน้อยหน้า น้อยตาอะไร มันเป็นความจริง ของบุคคล ที่ล้างกิเลสตัณหากันจริงๆ เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ จึงไม่คิดว่าตัวเอง ด้อยตรงไหนเลย กลับมอง ในมุมชัดเจนขึ้นไปว่าตัวเองกลับเป็นคนมีคุณค่ามีประโยชน์ อย่างน้อย เราไม่ได้ไปทำลาย ทรัพยากร วัตถุดิบของโลก วัตถุดิบของสิ่งแวดล้อม ของมนุษยชาติ ไม่ได้เป็นคนทำลาย ก็ไม่เห็นเสียหาย จะเห็นว่าลึกซึ้ง ศึกษาไปดีๆ แล้วกัน ยิ่งคนรู้มากมายมาคุย ถ้ายิ่งมีพื้นฐานมาด้วยจะดี อย่างพิมพ์ นี่มีพื้นฐานมาบ้าง โอ้ย ดี พิมพ์บูชา : แต่มันเป็นพื้นฐานทุนนิยมนะคะ พ่อท่าน : ไม่ ไม่ ไม่ พื้นฐานบุญนิยม พิมก็ได้มาก่อน ไม่ใช่ไม่มี อย่าพูดไป เพราะว่าเราเองเราโตไปจาก ที่นี่ เหมือนกัน อย่างน้อย ก็สัมผัส สัมพันธ์ ไม่เข้ามากก็เข้าน้อย มันออสโมซิสเข้าไปได้ ในนี้มันเป็น สนามแม่เหล็ก คุณเป็นโมเลกุลหนึ่ง เท่านั้นเอง มาอยู่ในนี้ มันก็ออสโมซิสเข้า ใช่ไหมล่ะ
ตรวจร่างกายและรักษาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
+ การจัดกระดูก เครื่องสามารถตรวจวัดข้อมูลในร่างกายคนเราได้ ๘,๐๐๐ รายการ โดยไม่ต้องตรวจเลือด และไม่ต้อง เอกซเรย์ นอกจากใช้ตรวจแล้ว ยังสามารถรักษาได้ด้วย ข้อมูลที่ได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะโอนข้อมูลที่ได้ บันทึกไว้นี้ เข้าไปปรับ ระดับสัญญาณ ในร่างกายเรา แถมยังตรวจถึงอารมณ์ และสารอาหาร ที่ขาดหรือเกิน สารพิษ กระดูก โครโมโซม และยีนส์ นี่คือ ๕ ชนิดใหญ่ๆ และก็มีข้อมูลทางด้านมะเร็ง หรือเนื้องอกด้วย เริ่มการตรวจรักษาด้วยการมัดคลื่นกระแสที่จุดสำคัญ ๓ จุด ข้อมือ ข้อเท้า และศีรษะ ซึ่งเป็นจุด ชีพจรใหญ่ ที่จะวัดคลื่นได้ โดยจะมีกระแสสัญญาณ ส่งไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้ตั้งค่าตรวจวัดไว้ ตรวจประมาณ ๓ นาทีเท่านั้น ปกติในไต้หวันตรวจครั้งละ ๘,๐๐๐ เหรียญ ซึ่งเป็นเงินไทยประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท แต่ตัวหมอคนนี้ เขาจะเก่งเรื่อง การจัดกระดูกด้วย เพราะฉะนั้นหมื่นบาทนี่ก็คุ้ม ตรวจด้วยเครื่อง เสร็จแล้ว เขาจะจัดกระดูก ให้ด้วย พระจิ้งเซี่ยงฝ่าซือกล่าว หมอได้รายงานผลการตรวจจากเครื่องว่า พ่อท่านควรจะลดเรื่องเกลือให้น้อยลง และควรเพิ่ม น้ำส้มสายชู ซึ่งจะช่วย ความสมดุลของร่างกายได้ พ่อท่านนี่สามารถจะหลับได้เร็วมาก แต่ก็ง่ายมากที่จะตื่นขึ้นมา คืออาจจะหลับไม่ลึกเท่าไร และมี ลักษณะหวัด ที่รักษาไม่หาย อาจจะเกี่ยวกับ เรื่องบริเวณไหล่ที่ตึง นอกจากนี้พ่อท่าน ยังจะมีลักษณะ ปวดหลัง ระบบขับปัสสาวะมีปัญหา ซึ่งพ่อท่าน จะไม่รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันอยู่ภายในลึกๆ ตับก็ไม่ดี มีลักษณะตับอักเสบ ส่วนข้อเท้ามีบาดเจ็บมาก่อน ยังไม่ได้รักษากลับคืนดีดังเดิม ตาก็มีปัญหา และใช้พลังสมองเกินขีด เกินกว่าคนธรรมดาไปมาก แล้วกรามล่างขวามีปัญหา ในการกิน จึงทำให้พ่อท่าน เคลื่อนไปใช้ข้างซ้ายมากเกินไป ใช้ด้านเดียว จึงไม่สมดุล ระบบการย่อยก็ยังไม่ดีนัก ร่างกายมีลักษณะคล้ายหวัดร้อน นอกจากนี้เสลดยังมีลักษณะ ขากออก มายาก ต้องเอา ความร้อน เข้าไปช่วย เสลดจึงจะขากออกมาได้ มีสารพิษตกค้าง อยู่ในระบบ ต่อมน้ำเหลืองมาก ระบบการขับสารพิษ ออกจากร่างกายไม่ดี สารอาหารก็ยังไม่พอ ต้องช่วยเสริมสารอาหาร ช่วยเพิ่มน้ำจุลินทรีย์ที่มีเชิงเปรี้ยวหน่อย เพื่อปรับสมดุล ช่วยระบบ การย่อยได้ และข้างบน กับข้างล่างไม่สมดุล ทำให้พลังรวมของร่างกายไม่ดี ระบบย่อยไม่ดี อาหารที่กินเข้าไปแล้วเป็นพิษ จะย่อยไม่ดี สารอาหารที่ขาดมากๆคือแคลเซี่ยม เพราะว่าการนอนหลับไม่เพียงพอ ก็เลยทำให้ขาดแคลเซี่ยม แล้วทำให้ มีลักษณะ ปวดเมื่อย ในร่างกาย ถ้าไม่สามารถขับเรื่องปวดเมื่อยไปได้หมด แคลเซี่ยม ก็ยิ่งจะขาดแคลน ส่วนโปแตสเซี่ยมมากไป หรือการขับสารโปแตสเซี่ยมออกไปได้ไม่ดี เขาแนะนำสารอาหารตัวหนึ่ง เรียกว่า CRANBERRY ซึ่งผลิตที่ อเมริกา มันสามารถขับตัวร้อนตัวนี้ออกไปได้ ข้อมูลยืนยันว่าพ่อท่านเคี้ยวสองข้างไม่เท่ากัน ใช้ด้านหนึ่งมากกว่าด้านหนึ่ง เมื่อหมอเอามือไปจับกราม ของพ่อท่าน ทั้งสองข้าง แล้วเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าข้างขวา ใหญ่กว่าข้างซ้าย จึงสันนิษฐานว่า พ่อท่านใช้ฟัน เคี้ยวอาหาร ได้ไม่เท่ากัน พ่อท่านบอกเล่าว่า ฟันกรามข้างหนึ่งถูกถอนไป ๔ ซี่ ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกถอนไป ๒ ซี่ การใช้งาน จึงต่างกัน หมอบอกว่าผลจากอันนี้ทำให้มีอิทธิพลไปถึงกระดูกสันหลัง และเมื่อพ่อท่านนอนแผ่ ไม่ได้นอน ตะแคง ตรงกลาง จึงมีช่องว่าง หมอเขาจะช่วยปรับเอว ให้ตรงนี้นิดหนึ่งแล้วจะดี ระบบกระเพาะอาหารของพ่อท่านเป็นปัญหามานานแล้ว ไม่ใช่ช่วงสั้นๆ และระบบการ ขับถ่ายพิษ ที่ผิวหนัง ก็ไม่ค่อยดีนัก แนวกระดูกสันหลัง ข้างกระดูกไม่ค่อยดี ตึงเกินไป เมื่อมีอากาศเปลี่ยนแปลง พ่อท่านจะเป็นหวัดได้ง่าย ส่วนเรื่องน้ำตาลนั้นมีสองด้าน คือไม่ได้กินเลย หรือกินเยอะ พ่อท่านตอบว่ากินน้อย ขนมหวานนี่แทบไม่ถึง ๐.๑ % หมอแนะนำว่าฟันมีปัญหา น่าจะไปซ่อม พ่อท่านบอก ซี่หนึ่งกำลังจะไปทำ แต่สองซี่นี่ได้ครอบไว้แล้ว หมอเห็นว่าแม้จะครอบแล้ว แต่ภายในมีปัญหา เครื่องมันบอกอย่างนั้น นอกจากนี้ยังพบว่า สารโลหะหนัก ในร่างกายมีปรอท และตะกั่ว จะมีบ้างแต่ไม่ได้เป็นปัญหามาก จากที่แสดงออกที่จอภาพบอกอีกว่า ระบบการย่อยไม่ดี หมอบอกว่าผลจากเครื่องบอกว่าพ่อท่านนี่จะมีความรับผิดชอบสูงมาก ทำให้ร่างกายไม่ได้ผ่อนคลาย เพียงพอ พ่อท่านว่า ไม่ได้เครียดอะไร พระจิ้งเซี่ยงฝ่าซือกล่าว ไม่ได้เครียด แต่ภาระรับผิดชอบสูงมาก พ่อท่านจะทำอะไรก็ตาม ไม่ปล่อยอะไร ง่ายๆ แต่ว่าคนอื่น จะคิดอะไรก็ตาม ฉันจะทำให้ได้ และถ้ามีอะไรในใจ ก็จะเก็บไว้อยู่ที่ตัวเอง ไม่ได้ระบายออกมา (มีเสียงหัวเราะกัน หลายคน) เครื่องมันอ่านถึงจิตใจ หมอยังได้บอกเพิ่มเติมต่อไปว่า พ่อท่านมีลักษณะกระดูกที่เริ่มจะผุกร่อน และพ่อท่านมีการไอ ที่ต่อเนื่อง เรื้อรังมานาน การที่ร่างกายต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบมาก ทำให้ภูมิคุ้มกันไม่ดี สิ่งสำคัญกรามและแนวกระดูกสันหลัง ที่มันได้เคลื่อนย้ายออกไปแล้ว ก็ต้องทำให้เข้าที่ เมื่อหมอขอตรวจชีพจร หมอบอกว่าเครื่องร้อนมาก พลังของหัวใจไม่ได้เต็มเปี่ยม หมอบอกให้กินผง CRANBERRY จุดที่พ่อท่านมีปัญหามากที่สุด คอมพิวเตอร์มันระบุเลยว่าอยู่ที่คอ ส่วนสารอาหารที่ขาดก็คือ บีรวม คอเรสเตอรอล ขาดสารน้ำมันที่ดี น้ำมันที่ไปหล่อเลี้ยงที่ผิวไม่พอแล้ว น้ำมัน จะช่วยเรื่อง ขับสารพิษด้วย ภายในคือตัวหล่อลื่นไม่ค่อยดี ผลของการย่อยไม่ดี ก็เลยมีผล ไปถึงการพักผ่อน ได้ไม่ดี มันมาจาก ร่างกายไม่ดี การนอน ๘ ชั่วโมง ก็ยังไม่ได้แก้ที่เหตุ เหตุก็คือ ร่างกายมันเคลื่อนจากที่แล้ว นอกจากนี้ที่นับเป็นที่ครื้นเครงของผู้ที่อยู่วันนั้นก็คือ หมอจีนได้บอกถึงผลที่ปรากฏบนจอต่อไปว่า เครื่องมือ ตรวจสุขภาพนี้ สามารถตรวจอดีตที่ผ่านมาได้หลายๆชาติด้วย เมื่อ ค.ศ.๕๕๗ พ่อท่าน ไปเกิดเป็นหญิง ชาวอัฟริกัน คนหนึ่ง ดูแลเรื่อง การค้าการเงิน คลื่นจากครั้งนั้น ส่งผลมาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อดูถึงสีที่เหมาะกับพ่อท่านในปัจจุบัน คือสีชมพูบานเย็น ซึ่งสะท้อนว่าพ่อท่านมีปัญหาเรื่องไต มีผลไม้ ชนิดไหน ที่เป็นสี ชมพูบานเย็น เช่น ลูกแก้วมังกร เนื่องจากพ่อท่านใช้สมองมาก จึงควร ที่จะฉันผลไม้ ที่มีสีชมพูบานเย็น ต่อมาตรวจดูเปอร์เซ็นต์ของคลื่นสมอง ของพ่อท่านค่าอยู่ที่ ๓๕ % ถ้าอยู่ที่ ๕๐ % จึงถือว่าดี คลื่นสมอง ของพ่อท่าน อยู่ที่ ๓๕ % ถือว่าปกติธรรมดา จากนั้นหมอเขาก็ส่งคลื่นย้อนกลับเข้าไปรักษา ซึ่งจะปรับให้เป็น ๕๐ % ซึ่งถ้าพ่อท่าน ไม่ทำงาน หักโหมเกินไป และพักผ่อนให้เพียงพอ คลื่นสมอง ที่มีค่าที่ปรับขึ้นไปถึง ๖๐ % นี้ก็จะอยู่ได้นาน แล้วหมอก็บอกให้ฟังว่า เครื่องกำลังพยายาม จะขับ พลังอะไร ที่มันตกค้าง อยู่ในสมองออก ซึ่งมันใช้แล้ว ฝังตัวอยู่ข้างใน จากนั้นเครื่องยังอ่านไปถึงจิตใจว่า พ่อท่านรู้สึกว่าตนเองยังทำอะไรได้ไม่ดีมากพอ คือไม่ได้ดังใจ หมอจีนคนนี้ได้ใช้เครื่องนี้ทำงานมา ๕ ปีแล้ว ในมาเลเซียคนเข้าแถวรอจะให้ตรวจ สุดท้ายก็เป็นการกดนวดและการจัดกระดูก โดยให้พ่อท่านนอนบ้าง นั่งบ้าง ยืนบ้างแล้ว บิดดัดเอา ตามวิธีการ ของการจัดกระดูก มีการให้ฉันน้ำนาโน สารอาหารที่ตรวจและรักษาสุขภาพ หลังจากดื่มแล้ว ถ้าผู้ดื่มรู้สึกว่า มีกลิ่น และรส เป็นอย่างไร ก็จะบอกได้ว่า มีปัญหาที่จุดใด เช่น ถ้ามีรสคาว ก็คือไตจะมีปัญหา ให้ระวัง ร่วมงานชุมชนทางเลือก ที่อาศรมวงศ์สนิท
ร่วมสัมมนาธรรมะเพื่อสันติภาพ เสมหะมีเลือด ที่หลังโพรงจมูก มีรอยแดง สันนิษฐานว่าเลือดน่าจะออกมาจากจุดนี้ แล้วหยุดไป ทำให้ยังมีอาการ แดงอยู่ และ ลักษณะ ที่เคยพบ คนไข้จะไม่รู้ว่า มีอาการอะไร แต่จะเป็นมะเร็งได้หลังโพรงจมูกนี้ โดยต่อมน้ำเหลืองจะโต หลังการตรวจแล้วหมอวิวัฒน์ได้นำเอาภาพแสดงอวัยวะของร่างกาย ที่บริเวณช่องปาก ลิ้น คอให้ดูแล้ว อธิบายประกอบ ไม่ว่าจะเป็นแผล ที่โคนลิ้น และที่หลังจมูก ก็น่าเฝ้าระวังเรื่องเนื้องอกหลังจมูก เพราะเป็น มะเร็งอันดับสองของไทย แต่ที่อุบลฯ นี้พบมะเร็ง ที่หลังจมูกเป็นอันดับหนึ่ง มุ่งมาจน พ่อท่านเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่เขาออกมาเป็นเอกสาร อย่างนี้เราจะได้อธิบายกับสังคมได้ เราจะชี้แจงเป็น ลายลักษณ์อักษร และจะลงพิมพ์ ในหนังสือของเราเลย นี่อาจจะเป็นเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวก็ได้ เราจะได้อ้างอิง พระพุทธเจ้าว่า ก็ทำตนให้จน และเรา ทำกันมาจริงๆ ไม่ใช่ประชด นโยบายของรัฐบาล ในหลวงเองก็ยังตรัสว่า พระองค์เป็นคนจน จึงกินข้าวกล้อง ต่อมา(๒๗ ธ.ค.)คุณตายแน่และคุณรินไทได้ช่วยกันเขียนร่างหนังสืออุทธรณ์ ขอใช้นามสกุลนี้ขึ้นไปอีก โดยอธิบาย แก้ข้อกล่าวหาว่า ไม่ได้เป็นคำหยาบ และไม่ได้ส่อเสียดสังคมแต่อย่างใด โดยนำมา ให้พ่อท่าน ช่วยตรวจแก้คำความ เพื่อความเหมาะสม จากเนื้อความบางส่วน ของหนังสืออุทธรณ์ นั้นดังนี้ กระผม นายตายแน่ เชียวเขตรวิทย์ เห็นว่าชื่อ "มุ่งมาจน" เป็นคำไพเราะ เป็นที่ประทับใจยิ่งนัก เพราะเป็นคำ ที่ยืนยัน ความจริงจัง จริงใจของผู้ที่ปฏิบัติโลกุตระ ในพระพุทธศาสนา แต่อาจจะ ทวนกระแสความรู้สึก (ปฏิโสตัง) คนที่ยังติดยึด ในความเป็น โลกียะอยู่บ้าง ซึ่งปณิธานในการ "มุ่งมาจน"นี้ เป็นอุดมคติที่แท้ของเราผู้ปฏิบัติธรรม ชาวอโศก มิใช่คำส่อเสียดสังคม ไม่ใช่คำประชด ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นความจริงใจแท้ๆที่เราเห็นเป็นความประเสริฐของคน คำว่า "มุ่งมาจน" ผู้นั้นจะต้อง "ใจพอ มีฉันทะ มีเจตนากระทำ มุ่งปฏิบัติให้เข้าถึงความจน" ตามแนวทาง ที่ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเป็นตัวอย่าง ทิ้งราชสมบัติมาเป็นคนจน มาเป็นนักบวช มาเป็นบุคคลที่มีวรรณะ ๙ ได้แก่ ๑. เป็นคนเลี้ยงง่าย ๒. เป็นคนบำรุงง่าย ๓. เป็นคน มักน้อย ๔. เป็นคนสันโดษ ๕. เป็นคนขัดเกลา ๖. เป็นคนมีศีลเคร่ง ๗. เป็นคนมีอาการ ที่น่าเลื่อมใส ๘. เป็นคนไม่สะสม ๙. เป็นคนยอดขยัน ตามแนวทางปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังกล่าวนี้ ชาวอโศกได้ปฏิบัติให้มาเป็นคน "มุ่งมาจน" เป็นคนจนที่มีวรรณะ ๙ มีโพชฌงค์ ๗ เป็นตัวขับเคลื่อนให้เข้าทางอยู่ในอาริยมรรคมีองค์ ๘ ปฏิบัติ อาริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นประจำ ทุกวัน เป็นปกติธรรมดา กระทั่งเป็นคนจนอย่างสมบูรณ์ ตามที่ได้ตั้งใจ "มุ่งมาจน" เมื่อเกิดคน "มุ่งมาจน" มีจำนวน มากขึ้น จึงเกิดเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านราชธานีอโศก (เนื้อความจากนี้ไป มีรายละเอียด ในสารอโศก และ ข่าวอโศกรายปักษ์ ที่ผ่านมา ผู้สนใจติดตามได้จากสื่อ ทั้งสองนั้น ในที่นี้ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน) ล่าสุด(๔ ก.พ. ๒๕๔๘) ทราบว่าทางกระทรวงฯได้โทรแจ้งให้ทางอำเภออนุมัติการขอใช้นามสกุลนี้ได้ แต่ยัง ไม่มีเอกสาร เป็นลายลักษณ์อักษร ออกมา แก้เอกสารที่ไม่อนุมัติให้ใช้ ว่าไม่ได้เป็นคำหยาบ และไม่ได้ส่อเสียด สังคมอย่างไร โดยทางอำเภอ ได้แจ้งมาให้ นายตายแน่ รีบไปเปลี่ยนนามสกุลนั้นได้ เนื่องจากว่ามีกฎกระทรวงฯเพิ่งออกมาเมื่อ ๒๐ ม.ค. ๒๕๔๘ นี้ ให้อำนาจ อำเภอ มีสิทธิในการ พิจารณาตัดสิน อนุมัติหรือไม่อนุมัติ ในการขอชื่อนามสกุลของ ประชาชนได้เอง ไม่ต้องส่งเรื่อง มาให้จังหวัด หรือกระทรวงฯพิจารณา ซึ่งต่อมานายตายแน่ก็ได้เขียนคำร้องขอใช้นามสกุล"มุ่งมาจน"ขึ้นไปใหม่ และก็ได้รับอนุมัติ จากทาง อำเภอ วารินชำราบ โดยสะดวก - รักข์ราม. - - สารอโศก อันดับที่ ๒๘๐ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ - |