สึนามิ มิรู้ลืม

ผมมีอาชีพทำ-ขูดขัด-คัดต่อ-แต่งเติมกะลามะพร้าว ให้มีรูปร่างสวยงามและใช้งานต่างๆได้ ตามความ เหมาะสม และความต้องการของลูกค้า ได้ดีพอสมควร ซึ่งเป็นเจ้าเดียวที่กำลังผลิตขาย อยู่ในจังหวัด พังงา ตอนนี้ และกำลังไปได้ สวยมากทีเดียว.....ภาษาชาวบ้านตอนนี้ ใช้คำว่า กำลังเวิร์ค

ผมมีงานสั่งจากลูกค้าชาวเยอรมัน เช้าวันนี้ (๒๖ ธ.ค. ๒๕๔๗) หลังรับประทานอาหาร จึงมานั่งทำงาน ที่ซุ้มกะลาหน้าบ้านเรียกว่า เร่งเป็นปกติเสียแล้ว ทำไงได้ ก็ทำอยู่ ๒ คน แม่บ้านนี่ครับ งานฝีมือ คืองานที่ สิ้นเปลืองเวลามาก เพราะฉะนั้น ขยันลูกเดียว ผมทำงานจากช่วงเช้าไปถึงประมาณบ่าย ๓ โมงของทุกๆวัน จึงจะได้เวลาขับรถสามล้อพ่วงนำสินค้าไปขายที่หน้าห้าง "นางทองซุปเปอร์มาร์เกต" หรือเขาหลัก ซึ่งที่นั่น จะมีชาวต่างชาติ ที่มาพักผ่อนกันมากมาย และออกมาเดินช็อปปิ้งกันตอนเย็น จนค่ำทุกวัน จนมีความรู้สึกว่า คนไทยดูโหรงเหรง ในสายตา

เวลาประมาณ ๙.๑๐ น. ขณะที่ผมนั่งขัดกะลาอยู่รู้สึกว่า ตัวสั่นคล้ายถูกจับเขย่าเบาๆ เกิดความรู้สึก งงๆ ว่า เอ้.... เราเป็นอะไรไปนะ จึงเอื้อมมือไปปิดเครื่องหยุดทำงาน แต่ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่า มันไม่ได้สั่นอยู่ที่ตัวเรานี่นา จึงหันไปมอง ดูรอบๆ อ้าว....นั่นต้นโกศลใหญ่ที่อยู่หน้าบ้าน สั่นริกๆ เห็นชัดเจน ทั้งๆที่ไม่มีลมพัดผ่านเลย

มันเกิดอะไรขึ้น....ความมีสติ ได้บอกกับตัวเองว่า นี่คือแผ่นดินไหวแน่นอน และความจำเก่าๆ ที่พ่อเคย เล่าไว้ว่า ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว ขณะนั้นพ่อเลี้ยงปลาหัวตะกั่ว (คล้ายปลากัด) ไว้ในขวดโหลแก้ว ตั้งเรียงราย กันไว้บนหิ้ง เกิดการกระแทกกัน จนแตกเสียหลายใบ....นี่ก็ต้องเป็นแผ่นดินไหวแน่ๆ จึงรู้สึกตื่นเต้นมากทีเดียว เพราะว่าตอนนี้ อายุย่าง ๕๒ ปีแล้ว ยังไม่เคยรู้ว่า แผ่นดินไหวมันเป็นยังไง

"หญิงๆ ลูกหญิง ออกมาดูนี่เร็ว"......ผมร้องเรียกลูกสาวซึ่งขณะนั้นกำลังอยู่ในบ้าน แต่คงง่วนอยู่กับ งานส่วนตัว ของเขา จึงไม่ออกมาเร็วเหมือนใจผมต้องการ "ออกมาเร็วๆซิลูก แผ่นดินไหว" ผมย้ำ และบอก รายละเอียด ว่าเกิดเรื่องอะไร

"ไม่เห็นรู้สึกอะไร" เจ้าลูกสาวผมพูดเมื่อออกมายืนหน้าบ้าน พลางยิ้มอย่างเซ่อซ่าไม่สนใจ ซึ่งตอนนั้น อาการสั่นสะเทือน ของแผ่นดินได้ลดลงแล้ว แต่ผมก็ยังสัมผัสได้อยู่ เธอคงไม่ได้รับรู้แรงสะเทือน ที่ลดลงแล้วจริงๆ "แผ่นดินไหวจริงๆ.... เมื่อตะกี้ต้นโกศลมันสั่นไปทั้งต้นเลย" บอกย้ำอย่างจริงจัง กับลูกสาวอีกครั้ง

ความรู้สึกตื่นเต้นยังไม่หายไปจากผม..... "ฮัลโหล ตอนนี้เกิดแผ่นดินไหวที่ตะกั่วป่าน่ะ" ผมกดโทรศัพท์ ไปบอกลูกชาย ที่กรุงเทพฯ ซึ่งตอนนั้นแม่เขาก็อยู่ด้วยกันที่แถวๆบางกะปิ เพราะกำลังเตรียมตัว ไปร่วม งานประจำปี ของชาวอโศก ที่หมู่บ้านชุมชน ราชธานีอโศก อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลฯ ซึ่งจะจัดงาน "ตลาดอาริยะ" สำหรับขายสินค้า ที่ต่ำกว่าทุนทุกปี จนเลื่องลือรู้กันทั่วแล้ว

"จริงหรือพ่อ แผ่นดินไหวแรงมั้ย ?" ลูกชายถามด้วยความสนใจ มันทำให้เกิดความรู้สึกดีขึ้นว่า จะได้ระบาย ความตื่นเต้น ออกมาบ้าง จึงเล่าให้ฟังตามความรู้สึกเหมือนกับว่า เรารู้อยู่คนเดียวจริงๆ ตอนนั้น

ผมโทรศัพท์ไปหาคุณสกล นักข่าวช่อง ๗ ประจำอำเภอตะกั่วป่า ที่คุ้นเคยรู้จักกัน เพื่อบอกข่าวและ ถามข่าว จากเขาด้วย แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ โทรอยู่ ๒-๓ ครั้ง ผมก็เลิกความพยายาม ซึ่งขณะ เดียวกัน นั้น "หญิง" ก็แต่งตัว ออกจากบ้าน เพื่อไปทำงานที่โรงแรมโซฟีเทล ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายหาด ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า ตามปกติ เขาจะเข้าเวร ตอน ๘.๓๐ น. ออกตอนเย็น แต่วันนี้ได้ยินว่า โทรไปขออนุญาตหัวหน้าว่าไม่สะดวก ขอไปเข้าเวรตอนเที่ยง ออกสามทุ่ม ลูกสาวผม จึงออกจาก บ้านไป ประมาณสิบโมงเช้า

กริ๊ง...ๆ...ๆ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ผมวางมือจากการขัดกะลามะพร้าว เอื้อมไปยกหูรับสาย "....พ่อ .... พ่อ คลื่นยักษ์ถล่ม โรงแรมพังหมดแล้ว คนตายเยอะแยะ ลูกกำลังหนี....." เสียงลูกสาวของผม ซึ่งพูดละล่ำละลัก ปนกับเสียงร้องไห้ ด้วยความกลัว โทรศัพท์มาบอก จากนั้นสัญญาณก็ขาดหายไป ผมพยายามติดต่อไป แต่ก็เงียบหาย ไม่มีสัญญาณตอบรับ แต่อย่างใด และในทันใดนั้นเอง ! มอเตอร์ ไฟฟ้า สำหรับขัดกะลา ที่กำลังหมุนอยู่ ก็หยุดลง อย่างกะทันหัน......ไฟฟ้าดับ

...เกิดอะไรขึ้น?.....ได้ยินเสียงรถต่างๆบนถนนเพชรเกษม ซึ่งห่างจากบ้านผมประมาณ ๒๐๐ เมตรนั้น ฟังดูเหมือนวิ่ง อย่างสับสนชุลมุนวุ่นวาย แม้ว่าจะไม่สามารถมองไปเห็น ภาพบนท้องถนน แต่ในความรู้สึก ของผม บอกว่า มันผิดปรกติ ไปจากวันธรรมดา ที่เคยได้ยินมาเป็นประจำเสียจริงๆ

ปิ๊นๆ เสียงแตร และเสียงมอเตอร์ไซค์ วิ่งเข้ามาในซอยวัดสวนไผ่เป็นคันแรก ผมเดินออกไปหา เป็นท่าน เจ้าอาวาส วัดสวนไผ่นั่นเอง ท่านนั่งรถพ่วงสามล้อมากับเด็กวัด ท่าทางตื่นเต้นตกใจ และบอกกับ ผมว่า "คลื่นยักษ์ถล่มบ้านเรือน ที่น้ำเค็ม และเกาะคอเขา พังพินาศหมดแล้ว เห็นว่าตายกันเยอะแยะ และตอนนี้ คนกำลังหนีคลื่นยักษ์กัน โกลาหลแล้วโยม"

"ท่านครับ... ลูกสาวผมก็โทรมาบอกว่า....ที่คึกคักก็โดนถล่มอย่างหนัก โรงแรมพังเสียหาย เขากำลัง หนีอยู่ ไม่ทราบ เป็นอย่างไรบ้าง ผมก็ห่วงเขาอยู่เหมือนกัน" ผมเรียนให้ท่านทราบว่า ไม่ธรรมดาแล้ว ทันใดนั้นเอง! เสียงรถเครื่อง และรถยนต์ วิ่งเข้ามาหลายคัน ส่งเสียงอื้ออึง สนั่นซอยวัดสวนไผ่..... "ตาหนู" เป็นคนอาศัย อยู่ในซอยเดียวกัน ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามา ร้องตะโกนบอกว่า คลื่นยักษ์มา หนีเร็ว...หนีเร็ว แกพูดพลาง เร่งน้ำมันรถ ดังลั่นเข้าไป ในซอยเล็กๆ บ้านของแก ซึ่งอยู่เชิงเขา ไม่ไกลจากบ้านผมนัก

ผมวิ่งเข้าไปในบ้าน กดโทรศัพท์ไปหาญาติธรรม คุณสุนทรี ที่อยู่หมู่บ้านน้ำเค็มเพื่อตรวจข้อมูล ด้วยความ เป็นห่วง แต่ก็ติดต่อไม่ได้ ไม่มีสัญญาณเลย จึงเปลี่ยนไปที่ญาติๆที่อยู่ ต.เกาะคอเขา แต่มันก็ไร้ผล ไม่สามารถ ติดต่อได้อีก ผมเพิ่งจะรู้สึกตัว ตอนนี้เองว่า เหตุที่เกิดขึ้นมันรุนแรง เกินความ คาดคิดเสียแล้ว มันคงไม่ใช่แค่คลื่นลูกโตๆ ขึ้นมากระแทกฝั่งแรงๆ ตามที่ผมคิดคำนวณ วาดภาพไว้แต่แรกๆ

เมื่อฟังเสียงรถนานาชนิด ที่ดังสับสนวุ่นวายอยู่ตอนนี้ มันจึงเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม และความ เป็นห่วงลูกสาว ก็ยิ่งมีมากตามไปด้วย เพราะตอนนี้บนถนนเพชรเกษม ได้ยินเสียงไซเรนท์ ของรถพยาบาล ดังกึกก้องอยู่เป็นระยะๆ ย่อมหมายถึงคนป่วย คนเจ็บ คนตาย ต้องเพิ่มขึ้น ตามเสียง ของมันแน่นอน เกิดความคิดว่า เราน่าจะขับรถ ออกไปข้างนอกดีไหม ออกไปเพื่อหาข่าวเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น แต่มีความขัดแย้ง กับตัวเองขึ้นว่า.... เราจะออกไปเพิ่มความวุ่นวาย บนท้องถนนทำไมอีก ในเมื่อตอนนี้ฟังดูแล้ว เหมือนกำลังขับรถกัน อย่างแตกตื่น ดีไม่ดี จะไปเกิดอุบัติเหตุเปล่าๆ ก็ได้แต่รอว่า เมื่อไหร่ลูกจะกลับมาถึงบ้านเท่านั้น แต่มันก็เกิดความเครียด อย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็พยายาม คุมสติไว้ และก็โทรศัพท์ ไปแจ้งข่าวกับลูกชาย และแม่เขาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความระมัดระวัง ความแตกตื่น ของผู้รับสาย

"มันเป็นเหตุการณ์รุนแรงมากทีเดียว แต่พ่อก็ยังไม่ได้ออกไปไหน กำลังรอลูกหญิงอยู่ คิดว่าน่าจะ ปลอดภัย เพราะเขาโทรมา บอกพ่อแล้วล่ะ บอกแม่ด้วยไม่ต้องเป็นห่วง" นั้นเป็นคำพูดปลอบใจ ที่ควรพูด ตอนนี้เท่านั้น เพราะสัญญาณโทรศัพท์ ที่ขาดหายไป อย่างกะทันหันนั้น มันคาดเดาอะไร ชัดเจนไม่ได้เลย

ทันใดนั้นเอง เสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาจอดหน้าบ้าน ลูกหญิงนั่นเอง เธอกลับมาด้วยท่าทางตื่นเต้น ตกใจ หน้าซีดขาว แต่ด้วยน้ำใจ ที่มีต่อเพื่อน หลุดคำพูดแรกมาว่า "ไม่รู้เพื่อนๆของลูก ในที่ทำงาน จะรอดไหม มีคนที่รอดตาย ตรงนั้นบอกว่า โรงแรมพังเสียหายยับเยินเลยพ่อ"

"คนไม่ถึงที่ตาย ก็ไม่ตายหรอก ยังไงก็ไม่ตาย เชื่อพ่อเถอะ หากเขาถึงเวลาลูกก็ต้องทำใจ" ก็ได้แต่พูด เตือนสติ ไปเท่านั้นเอง ความเป็นห่วงลูกหมดไป แต่สถานการณ์ตอนนั้น มันยังเต็มไปด้วย ความหวั่น วิตกว่า มันจะรุนแรง ถึงระดับใด คิดถึงเรือ "โนอา" ที่ขึ้นไปติดบนยอดเขาสูงตามกระแสความเชื่อ ที่มีมา แต่ดึกดำบรรพ์ นั่นมันหมายถึงโลก ถึงกาลวินาศ ของแต่ละยุคแล้ว แต่คนที่หนีตายในขณะนั้น ที่ไหนคิดว่า ปลอดภัยแน่นอน เขาต้องไปที่นั่นไว้ก่อน

"พ่อไปเขาศกกันไหม....ลูกกลัว....มีคนพูดว่า ต้องไปอยู่ที่นั่น จึงจะรอดปลอดภัย น้ำไม่ถึง" ลูกสาว คนเดียวของผม ชวนหนีภัย ด้วยความหวาดหวั่น แต่ด้วยสติและความมั่นใจว่า บ้านหลังนี้ มันอยู่บน เชิงเขา ที่สูงมากพอแล้ว หากว่ามันท่วม ถึงที่นี่ได้นั้น ย่อมหมายความว่า....อำเภอตะกั่วป่าทั้งพื้นที่ ไม่เหลือแผ่นดินให้อยู่อีกแล้ว และการจะพากันหนีภัย ไปที่วนอุทยานเขาศก จังหวัดสุราษฎร์ ที่สูง เสียดฟ้านั้น มันมากไปแล้ว แต่ด้วยความเข้าใจ ความรู้สึกกลัว ของผู้ประสบภัยมาหยกๆ จึงบอกว่า.....

"เราเก็บข้าวของที่จำเป็นจริงๆ เตรียมไว้ในรถก็แล้วกัน เดี๋ยวลองขับรถออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกัน" พ่อว่า เราแวะไปดูที่โรงพยาบาลกันไหม? เผื่อเจอพี่จิ๋ม" (หมายถึงญาติธรรมสุนทรี) ผมปรารภกึ่งชวน ลูกสาว เพราะเป็นห่วง ญาติธรรม ที่อยู่หมู่บ้านน้ำเค็ม ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุรุนแรงอีกจุดหนึ่ง ในอำเภอ ตะกั่วป่า จังหวัดพังงา คาดว่าเสียหายหนัก ไม่น้อยกว่าที่อื่นๆ

ที่โรงพยาบาลตะกั่วป่า ตอนนี้เต็มไปด้วยมนุษย์เลือด ทั้งอาการน่าเป็นห่วงและเสียชีวิตไปแล้ว ....รถพยาบาล จากโรงพยาบาลอื่นๆ เริ่มส่งกำลังเข้ามาเสริมอย่างไม่ขาดระยะ รวมทั้งรถชาวบ้าน ที่มีน้ำใจ ช่วยกันขนคนป่วย ทั้งที่เป็นญาติ และไม่ใช่ญาติ กันอย่างโกลาหล.... ผมเดินหาจนทั่วทุกตึก ที่คิดว่า น่าจะมีคุณสุนทรี แต่ก็ไม่พบ.... เลยต้องเปลี่ยนแผน เป็นเดินหาคนรู้จัก เพื่อสอบถามข่าวคราว แต่คนแล้วคนเล่า ก็ตอบว่าไม่ทราบ ไม่พบ ผมก็ไม่ละความพยายาม เดินถามไปเรื่อยๆ จากคนที่คิดว่า เขาน่าจะรู้

"กันหา....เจอน้องจิ๋มบ้างมั้ย" ผมถามอดีตน้องสะใภ้ของแม่บ้าน "จิ๋ม"เป็นชื่อเล่นของคุณสุนทรี

"เจอเมื่อตอนเที่ยง เห็นเดินอยู่มุมโน่นแต่ไม่ได้คุยกันหรอก" เธอตอบพร้อมกับชี้มือประกอบคำพูด ซึ่งเป็นคำตอบ ที่เหมือนยกภูเขา ออกจากอกจริงๆ แต่ก็ถามย้ำไปอีกว่า "แน่ใจนะว่าไม่จำสับสน" เมื่อได้รับคำยืนยันขันแข็ง ก็หมดปัญหา หมดห่วงไปอีกคนหนึ่ง เหลือแต่ญาติๆ ฝ่ายแม่บ้านเท่านั้น ซึ่งมีกันหลายคน ทำให้น้ำหนักของ ความห่วงกังวล น้อยกว่าญาติทางธรรม ที่มีแค่คนเดียว ในจุดอันตรายนั้น

เมื่อได้รับข่าวคราวคนที่เราเป็นห่วง ว่าอย่างน้อยเหลือชีวิตอยู่แน่นอน ก็รู้สึกเบาใจ หันมาบอกลูกสาวว่า "เรากลับไปอยู่ ที่บ้านกันเถอะ..... คลื่นยักษ์มันขึ้นมาไม่ถึงบ้านเราแน่นอน พ่อรับรอง"

"ตอนเย็นลูกจะมาหาเพื่อนอีกครั้ง" เธอพยักหน้าตกลงและบอกความประสงค์ หลังจากที่ไปเดิน หาเพื่อน มารอบหนึ่งแล้ว ผมก้มลงมองเท้าตัวเอง ที่ไม่มีรองเท้า พรางคิดอยู่ในใจว่า วันสองวันนี้ คงต้องใส่มันก่อน เพราะบนพื้น ของโรงพยาบาล ทุกชั้นทุกที่ มีแต่คราบเลือด กันไว้ดีกว่าแก้ อาจติดเชื้ออะไรก็ได้ หากเท้าเราเป็นแผล

เวลาผ่านไป.....แทนที่คนบาดเจ็บที่ถูกขนมาโรงพยาบาลน่าจะน้อยลง แต่กลับมากขึ้นๆและมากขึ้น เรื่อยๆ จนโรงพยาบาล หมดปัญญาจะรับคนป่วยแล้ว คนบาดเจ็บหลายคนทำแผลเสร็จ น่าจะได้ นอนพัก บนตึกพยาบาล กลับต้องปล่อย ให้ออกมานอนพักอยู่ที่เต็นท์ชั่วคราว หน้าโรงพยาบาลนั่นเอง หรือถ้าบ้านใกล้ ก็ปล่อยกลับไปเลย น่าสงสารคนป่วย แต่บรรดาหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่และ อาสาสมัคร ต่างๆ ยิ่งน่าสงสารกว่า เพราะต้องทำงานกัน ยังกับเครื่องจักร ไม่ได้พักผ่อนกันเลย จนบางคน ล้มป่วยไปก็มี

ตกตอนเย็นยิ่งโกลากลยิ่งขึ้น เพราะคนป่วยมาทั้งบนอากาศและบนถนน เป็นความโชคดีของ ผู้ประสบภัย ที่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐและเอกชน ลื่นไหลเข้ามาช่วยเหลือ อย่างมากมายไม่ขาดสาย บนอากาศ เสียงเครื่องบิน ปีกหมุน ชนิดต่างๆ บินผ่านข้ามหลังคาบ้านผม สวนกันไป-มา ยังกับ สนามรบ ทั้งๆที่ก่อนเกิด เหตุการณ์นั้น หากมีเครื่องบิน ผ่านมา เด็กๆจะแหงนหน้ามอง ด้วยความสนใจ

ผมกลับลูกสาวมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อช่วยกันหาเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน และก็หากันไป หลายตึก ในที่สุด ไปเจอคนหนึ่งชื่อ เก๋ ซึ่งนอนบาดเจ็บ ปะปนกับชาวต่างชาติอยู่บนชั้น ๔ ของตึก อำนวยการ และก็ได้ข่าว จากคนนี้แหละว่า เพื่อนคนอื่นหนีออกมา จากห้องสปาไม่ทัน คงรอดชีวิต ได้ยาก.... ในห้องนี้ ไม่มีเตียงพยาบาล มีแต่พื้นโล่งๆ คนป่วยทั้งไทยและเทศ นอนกันอย่าง สมาน สามัคคี ครวญคราง ไม่มีแบ่งชนชั้น สีผิวกันแต่อย่างใด

"หญิงขออนุญาตอยู่ดูแลเพื่อนนะพ่อ" มันเป็นสิ่งที่ควรแสดงออกซึ่งน้ำใจ ที่มีต่อกันอย่างยิ่ง ในยาม เจ็บป่วย นับว่า ห่างไกลญาติ แต่ไม่ขาดมิตร ลูกสาวของผม เขาได้ทำสิ่งที่ควรแล้ว....ผมคิดอยู่ในใจ

เมื่อผมกลับมาที่บ้าน น้องชายของแม่บ้านและครอบครัวรวม ๓ คน หนีคลื่นยักษ์มาจากตำบล เกาะคอเขา ซึ่งอยู่ใกล้กับ ฝั่งหมู่บ้านน้ำเค็ม ขออาศัยอยู่ด้วย เพราะบ้านพังหมดแล้ว และก็ไม่มีใคร กล้าอยู่ที่นั้น ผมรู้สึก ดีใจมาก ที่เขารอดตาย กันทั้งครอบครัว และมีโอกาสได้ถามถึงคนอื่นด้วย ซึ่งญาติๆ หลายคน เขาก็ไม่รู้ชัดเจนว่า เป็นตาย ร้ายดีอย่างไร เพราะต่างก็ถูกคลื่นซัดไป พร้อมๆกัน แต่ที่รู้แน่ๆอยู่คนหนึ่งคือ พี่สาวต้องตายแน่นอน เพราะจมน้ำเห็นๆ อยู่ต่อหน้าต่อตา ไปช่วยก็ไม่ได้

เวลาประมาณสักหนึ่งทุ่มคิดว่าน่าจะได้ เสียงรถมอร์เตอร์ไซค์วิ่งเอะอะกันเข้ามาในซอยวัด หลายคัน และ ร้องบอกว่า น้ำมาถึง หน้าโรงพยาบาลแล้ว หนีขึ้นเขากันเร็ว... สร้างความตกใจ ให้กับทุกคนมาก โดยเฉพาะน้องสะใภ้และลูก เขารีบชวนผม หนีขึ้นภูเขาที่อยู่ข้างบ้าน ตามขบวนที่หนีมาจาก ถนนใหญ่ ทันที ...แต่ผมก็อิดออด ที่จะไม่ไป เพราะไม่เชื่อว่า มันจะเป็นไปได้ แต่เมื่อโดนน้องสะใภ้รบเร้า ด้วยความหวาดกลัว ผมก็เห็นใจเขา และเข้าใจความรู้สึก ของคนที่โดนมาจังๆ อย่างนั้นมาแล้ว

อาศัยที่ผมเป็นคนพื้นที่ชำนาญทางขึ้นภูเขาเป็นอย่างดี จึงกลายเป็นผู้นำไปโดยปริยาย อีกทั้งยังมี ไฟฉาย กระบอกใหญ่ด้วย ผมนำขบวนผู้หนีภัย ประมาณร้อยกว่าชีวิต ไต่ไปตามเส้นทางของ ท่อน้ำประปาภูเขา วัดสวนไผ่ และขึ้นไป จนถึงเขื่อนกั้นน้ำ ซึ่งนับว่ามันเป็นจุดกึ่งกลางภูเขาแล้ว จึงบอกว่า...อยู่กันที่นี่แหละ ปลอดภัยแน่นอน ทุกคนจึงนั่งพักกัน ด้วยความเหน็ดเหนื่อย บางคน แทบจะเป็นลม

จากนั้นผมก็ปีนขึ้นไปอีก เพื่อจะได้มุมที่สามารถมองเห็นถึงถนนได้ เผื่อจะได้ดูว่าคลื่นยักษ์มาถึงจริง หรือเปล่า แต่ก็ปรากฏว่า ยังมองเห็นแสงไฟบนถนนหน้าโรงพยาบาลอยู่ชัดๆ ไม่เห็นว่าจะมีอะไร เกิดขึ้นสักนิด จึงลงมา บอกน้องว่า ไม่มีน้ำมาถึงโรงพยาบาลหรอก พี่ขึ้นไปดูมาแล้ว แตกตื่นกันไปเอง นั่นแหละ

สักพักหนึ่ง....มีเสียงกู่เรียกหาจากข้างล่าง ปรากฏว่าเป็นตำรวจ ต.ช.ด. ที่อยู่ติดกับโรงพยาบาล ขึ้นมาตาม พวกที่วิ่งหนีขึ้นภูเขา ให้ลงไปข้างล่าง และบอกว่า ฟังเเล้วเข้าใจผิดสับสนกัน เพราะที่ แม่บ้าน ของตำรวจ เอาน้ำดื่มไปให้ พวกคนหนีภัย และคนเจ็บที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ หน้าโรงพยาบาล ด้วยความสงสาร และมีน้ำใจ แต่คนฟังเข้าใจผิด จากคำบอกว่า....น้ำมาแล้ว....น้ำมาแล้ว ไม่ทราบว่า ฟังกันอย่างไร จึงพากันหนี เหมือนผึ้งแตกรัง

เรื่องนี้จบด้วยเสียงหัวเราะให้กัน ในความสามัคคีแตกตื่น ปีนขึ้นเขากันกลางดึก เป็นเรื่องน่าทึ่ง ที่คนป่วย ที่เต็นท์หน้าโรงพยาบาล ขาเจ็บเดินไม่ค่อยได้ แต่เมื่อตื่นตกใจ วิ่งขึ้นเขาไปได้เฉย ตอนขาลง กลับลงไม่ได้ ตำรวจต้องเอาเปลสนาม ขึ้นไปหามลงมา และส่งไปโรงพยาบาลเหมือนเดิม....

เวลาผ่านไปสองวันย่างเข้าวันที่สาม อาการของเก๋ ดูผิวเผินภายนอก ก็ไม่เห็นมีบาดแผลฉกรรจ์อย่างใด แต่ก็มีอาการ เจ็บๆอยู่ภายใน น่าเป็นห่วงไม่น้อย ครั้นจะปกปิดอาการบาดเจ็บตรงนี้ กับพ่อแม่เขาต่อไป ตามคำขอร้อง ของคนป่วย คงไม่ได้อีกแล้ว

ผมจึงตัดสินใจขอเบอร์โทรจากลูกสาวและก็ติดต่อไปทันที หลังจากบอกอาการให้ทราบตามจริง พ่อแม่ ของเธอบอกว่า จะรีบมาเช้าวันรุ่งขึ้นทันที และก็เข้าใจด้วยดี ที่ลูกสาวต้องการให้ปกปิดไว้ เพราะไม่ต้องการ ให้พ่อแม่ ต้องเป็นทุกข์ กังวลมาก แต่ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอก ที่ลูกตัวเองบาดเจ็บ แล้วจะไม่เป็นห่วง และไม่มาเฝ้าดูแล อย่างใกล้ชิด

ตอนเย็นของวันที่สาม หลังคลื่นยักษ์สึนามิถล่ม และหลังจากที่เก๋ เพื่อนของลูกสาว ถูกพ่อแม่ นำกลับไป รักษาตัว ที่จังหวัดนครศรีฯ เพราะที่นี่คนป่วยมาก เกินกว่าที่หมอจะดูแลได้ทั่วถึง.... ความรัก และความเป็นห่วง ของพ่อแม่นั้น มันยากที่จะลูกๆ จะเข้าถึงได้.....

ผมและลูกสาวขับสามล้อพ่วงคู่ชีพ ห้อตะบึงบนถนนเพชรเกษม ผ่านช่วงบ้านบางสัก ปากวีป ซึ่งตอนนี้ พอที่จะหลบๆ ไปได้ แม้ว่าไม่สะดวกนัก ตรงนี้ต้องชมเชยการไฟฟ้าภูมิภาคหลายจังหวัด ที่มาเร่งรีบ ช่วยกัน จัดการต้นไม้ และเสาไฟฟ้า ที่ล้มระเนระนาด บนถนนออกไป จนพอจะเข้าไปช่วยคนเจ็บ เก็บคนตายได้

แถวๆนี้หมู่บ้านสูญหาย รีสอร์ทราบเรียบ และโรงเรียนเหลือแต่เสาธง รวมทั้งรถนานาชนิด ที่ถูกคลื่น หอบ ตีลังกาไปติด สวนยางพารา ซึ่งห่างจากถนนนับร้อยเมตร และหลายคันเหมือนถูกยักษ์มารใจโหด ใช้ตะบองทุบตี ระบายอารมณ์ โกรธแค้น อย่างไม่เลือกยี่ห้อ หรือเจ้าของรถแต่อย่างใด

ถนนช่วงนี้ห่างจากทะเลประมาณ ๖๐๐ เมตร ก่อนหน้านี้ขับรถผ่านจะมองไปไม่ค่อยเห็นทะเล เพราะอาคาร บ้านช่อง บดบังไว้ แต่มาบัดนี้มองผ่านไปโล่งโจ้ง จนเห็นเกลียวคลื่นของทะเลสีมรกต ดูเป็นละลอก ระยิบระยับสวยงาม อย่างน่ามหัศจรรย์ ไม่มีวี่แววของความหฤโหดหลงเหลืออยู่ แม้แต่น้อย....
โอ้ อนิจจา สึนามิ

Sofitel magic logoon resort & spa ป้ายโรงแรมระดับห้าดาว ยังเด่นหรูหราเหมือนเดิม แต่สภาพบริเวณ รอบด้าน เต็มไปด้วย ความเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ และคงต้องใช้เวลาปลูกสร้างซ่อมแซมค่อนปี เป็นอย่างน้อย ผมและลูกสาว เดินผ่านสิ่งปรักหักพังนั้น อย่างลำบาก มองไปที่สระน้ำเห็นซากศพฝรั่ง ที่ลอยเท้งเต้ง คว่ำหน้าอยู่ สระน้ำ ซึ่งเคยหรูหรา แต่บัดนี้เต็มไปด้วยเศษไม้ ทราย โคลนและอื่นๆ ดูระเกะระกะไปหมด ปานนางงามจักรวาล โผล่มาจากถังขยะ ฉันใดฉันนั้น

ลูกสาวพาผมเดินลัดเลาะมุ่งไปยังแผนกสปา ซึ่งอยู่ติดริมทะเล ผมมองเห็นสภาพตึก ที่โดนถล่มอย่าง ไม่เชื่อสายตา ว่ามันเกิดขึ้น จากแรงของคลื่นในทะเลเพียง ๒-๓ ลูกเท่านั้น เนื่องจากผมเป็นลูกทะเล เคยเป็นชาวประมง มาค่อนชีวิต เคยเจอกับคลื่น มาสารพัด....แต่หากมีคนบอกว่า ที่นี่โดนบอมบ์ ด้วยขีปนาวุธแรงสูง จากเครื่องบิน บี. ๕๒ ผมจะเชื่อ อย่างสนิทใจ โดยไม่สงสัยเลย ว่ามันเป็นไปได้ อย่างไร มันไม่น่าเชื่อจริงๆ

สำหรับเจ้าสึนามิ ผมบอกได้เลย มันไม่ใช่คลื่นหรอก เพราะความสูงของมันไม่ต่ำกว่า ๙ เมตรทีเดียว แต่เป็นการเอียง ของทะเล ไปอีกข้างหนึ่ง แล้วเทกลับมาอย่างรุนแรง เปรียบเสมือนว่า เอาน้ำใส่ กะละมัง ใหญ่ๆ ทำให้เอียง ไปอีกข้างหนึ่ง แล้วเทกลับ อย่างรวดเร็ว ฉันใดฉันนั้น

"ตรงนี้แหละห้องทำงานของลูกและเพื่อนๆทั้งหมด" ลูกสาวผมแนะนำจุดที่เขาทำงาน ซึ่งกลายเป็น เต้าหู้ โดนขยำ เสียแล้ว "พ่อ...พ่อ...นั่น ศพ" เสียงลูกสาวร้องบอกพร้อมกับชี้มือ ผมก้มลงมอง อ้าว.... เกือบเหยียบไปแล้ว เป็นศพ แหม่มคนหนึ่ง โดนทับด้วยกำแพงอิฐบล็อค ตายโผล่แต่แขนขาครึ่งหนึ่ง กับใบหน้าซีกหนึ่ง เล็บมือเล็บเท้า ทาสีม่วง ใส่เสื้อสีชมพู ก่อนตายคงเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ กำลังบวมเป่ง ขึ้นอืดแล้วละ น่าสงสาร ก่อนตาย คงเจ็บปวด ทรมานมากทีเดียว

ผมรีบถ่ายรูปไว้ และร้องบอกให้ลูกสาวมาเก็บไว้ในโทรศัพท์ เผื่อว่าสักครู่จะได้นำไปบอกเจ้าหน้าที่ หน่วยกู้ภัย มาเก็บศพออกไป ลูกทำท่ากลัวๆ ส่งโทรศัพท์มาให้ผมถ่ายเอง แต่เมื่อผมรับมาแล้ว กลับมอง มุมภาพ ไม่ชัดอีก เพราะลืม เอาแว่นตามาด้วย เป็นเสียอย่างนี้ คนเราเมื่อแก่แล้ว จึงคะยั้นคะยอ ให้ลูกมาถ่ายอีก โดยบอกว่า เราได้สร้างบุญ สร้างกุศลนะ เดี๋ยวจะได้นำภาพไปแจ้ง เจ้าหน้าที่เขา ผมพยายามเอาความดี มากลบความกลัว และก็ได้ผล ลูกเดินมาใกล้ที่ผมยืนอยู่ และก้มลงเก็บภาพ อย่างใกล้ชิดสองครั้ง

ลูกสาวพยายามเดินหาศพ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทสี่คน แต่ก็ไม่พบ ไม่ทราบว่าถูกทรายกลบฝัง หรือถูกคลื่น กระชาก ลงทะเลไป หรืออาจจะถูกซัดไปที่อื่นก็เป็นได้ ในที่สุดเราต้องทำใจ ยุติการค้นหา พากันเดิน กลับออกมา ที่หน้าโรงแรม ซึ่งจอดรถไว้ เพราะใจลึกๆก็ยังหวาดๆกลัวอาฟเตอร์ช็อค(เลื่อนเข้าที่) ของแผ่นดินไหว และทางการก็ประกาศ ให้ระมัดระวัง อยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะนำรูปในโทรศัพท์มือถือ ของลูกสาว ไปเปิดให้เจ้าหน้าที่ดู พร้อมกับชี้ตำแหน่ง ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะขึ้นรถสามล้อ ขับออกมา ที่ถนนใหญ่

ด้วยความตั้งใจว่า จะไปดูแถวบ้านบางเนียงซึ่งเป็นตลาดนัด และศูนย์การค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่เขาหลักด้วย เพราะมันเป็นจุด ที่ผมต้องไปขายผลิตภัณฑ์ จากกะลามะพร้าวทุกวัน ด้วยความ อยากรู้ว่า สภาพที่มันจะแหลกลาญ ขนาดไหน

แต่เมื่อไปถึงปากซอยจะเลี้ยวขวาขึ้นถนนเพชรเกษมเท่านั้นเอง เสียงรถนานาชนิดทั้งรถกู้ภัย และรถ ทหารบก ที่มีทหาร นั่งมาด้วย ต่างวิ่งกันมาด้วยความเร็ว และมีเสียงตะโกนบอกว่า หนีเร็ว หนีเร็ว อาฟเตอร์ช็อค ! มาแล้ว.....

มืออาชีพการขับสามล้ออยู่แล้ว จากเลี้ยวขวากลับเป็นเลี้ยวซ้ายได้ทันใจสั่ง โดยที่ไม่เกิดอาการเสียหลัก แต่อย่างใด จ่อตามหลัง ปิคอัพคันหนึ่งมาติดๆ แต่ก็ยังมีสติระมัดระวังอย่างยิ่ง เกรงว่า รถจะชนกัน ตายเสียก่อน ในใจยังไม่เชื่อว่ามันจะเกิดซ้ำขึ้นมาอีกจริงๆ

แต่รถจำนวนมากที่แตกตื่นวิ่งกันมาจาก ด้านเขาหลัก มันทำให้ไม่มีเวลาที่จะใคร่ครวญมากนัก เมื่อวิ่ง มาถึง สามแยก บ้านปากวีป ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นภูเขาและสามารถออกไปได้หลายแห่ง เช่น เมือง ตะกั่วป่า เมืองพังงา และจังหวัด สุราษฎร์ ที่สำคัญมันเป็นเส้นทางหลีกภัยทางทะเล ได้ทางเดียว เท่านั้นในช่วงนี้

ตรงจุดนี้มีรถของหน่วยกู้ภัย จอดให้สัญญาณการจราจรอยู่ เพราะถนนเพชรเกษม ซึ่งตรงไปนั้น เป็นเส้นทาง เลียบทะเล หากเกิดอาฟเตอร์ช็อค ก็หมายถึงอันตรายอย่างยิ่ง ไปไม่ได้เด็ดขาด จึงต้องกัน รถทุกคัน ให้เลี้ยวขวา ขึ้นภูเขาทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึง ความปลอดภัยอย่างแน่นอน

"อาฟเตอร์ช็อค จริงหรือ?" ผมอดที่จะตะโกนถามไปที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งไม่ได้ ซึ่งจำได้ว่ารถกู้ภัยคันนี้ แซงหน้าผมมา "จริง" เสียงตะโกนตอบมาสั้นๆ ทำให้ผมค่อยหายคลางแคลงว่ากระต่ายตื่นตูม แต่ด้วยความเป็นคนพื้นที่ ก็ทำให้ผมหาย แตกตื่นไปเยอะ เพราะรู้ว่าตรงจุดนี้เป็นที่สูงพอสมควร จึงขับสามล้อ ไปด้วยสติเต็มร้อย สิ่งที่น่ากลัว ตอนนี้คือ รถมันจะชนกันตาย ผมเปิดไฟเลี้ยวซ้าย ให้คันหลัง แซงตลอดทาง

ครั้นรถวิ่งมาถึงภูเขา มีหลายคนคงหายตื่นกลัวกันแล้ว พากันจอดข้างทางพยายามโทรศัพท์หาข้อมูล เรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มี สัญญาณใดๆ ทันใดนั้นเองมีปิคอัพคันหนึ่งวิ่งมาและตะโกนว่า ตรงนี้อาจจะ ไม่พ้นรัศมีระเบิด...อ้าว...เอ๊ะ มันอะไรกันแน่ เรื่องที่ได้รับการยืนยันว่าจริง กลับไม่จริงเสียแล้ว

"มันไม่ใช่อาฟเตอร์ช็อคหรือ" ผมจึงตะโกนถามขณะที่รถเขากำลังช้าๆอยู่ "ไม่ใช่...อีกสิบนาที คลังเแสง ที่ทับละมุ จะระเบิด" เขาตะโกนตอบมาและเหยียบคันเร่งไปทันที รถที่จอดอยู่ตรงนั้น ๒-๓ คัน ต่างก็ เข้าเกียร์สุนัข หนีต่อ กันอย่างอุตลุด เพราะคำนวณว่าตรงนี้ห่างกับ ฐานเรือที่บ้านทับละมุ ไม่มากเท่าไหร่

"พ่อ...ไป คลังแสงระเบิด อันตรายมาก ลูกกลัว" เสียงลูกสาวดังขึ้นไล่ๆกับเสียงเหยียบคันเร่ง ของรถ กระบะ ที่วิ่งผ่านไปมา ผมนึกในใจ มันบ้าอะไรเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมนุษย์ถึ งขนาดนี้เหรอ?

แต่การที่รู้ภูมิประเทศอย่างดี ค่อนข้างมั่นใจว่า ถึงระเบิดก็ไม่สามารถผ่านเขาหลักมาได้หรอก เพราะเป็น ภูเขา ที่สูงทะมึน บดบังฐานทัพเรือ ที่อยู่ในหุบเขาชายทะเล เป็นอย่างดี ยากที่จะมีสะเก็ด ระเบิด ปลิวมาถึงได้ ตรงจุดนี้ มันห่างกัน ไม่น้อยกว่า ๒๐ ก.ม. และเป็นสิ่งที่น่าเคลือบแคลงว่า คลังแสงระเบิด มีการเตือนให้รู้เหรอ ที่โคราชตอนนั้น คลังแสงระเบิด ไม่เห็นว่ามีข่าวการเตือน แต่อย่างใดเลยนี่นา ผมใคร่ครวญอยู่ในใจ ตามที่รู้มา

อย่างไรก็ดีเราต้องใช้เส้นทางสายนี้วิ่งกลับบ้านอยู่แล้ว คลังแสงจะระเบิดหรือไม่ เราก็ต้องไปทางนี้ อยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหา แต่บอกตัวเองว่าไม่เชื่อๆ ขับรถไปพลางยิ้มไปพลาง เกิดเห็นว่าคนเรา ในยามที่ หวาดกลัว สุดขีด อะไรกระดุกกระดิก เป็นเตลิดทันทีจริงๆ

วิ่งมาสักครู่เจอบ้านข้างทาง เห็นคนยืนอยู่กัน ๒-๓ คน ท่าทางตื่นๆ อดไม่ได้ที่จะเลี้ยวไปบอกว่า "เขาลือกันว่า คลังแสง จะระเบิด เลยวิ่งกันมาหูดับตับแลบ แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่า มีที่ไหน จะระเบิด มีการบอกล่วงหน้ากันด้วย" เขาคงไม่เข้าใจแน่ เพราะผมพูดแล้ว ก็ขับรถจากมา และคงด่าตามหลังว่า อ้าว...ไม่เชื่อ แล้วมึงหนีทำไมวะ ใครจะมารู้ว่า ผมกำลังขับรถกลับบ้าน ตามเส้นทางนี้

มาเจอตำรวจตรงสามแยก กำลังโบกมือรำหน้าเครียดอยู่กลางถนน ผมขับช้าๆหวังว่าจะพูดอะไรกับ ตำรวจ เผื่อว่า จะมีประโยชน์กับฝูงรถ ที่แตกตื่นกันมาบ้าง แต่กลับโดนตำรวจตะเพิดให้ไปเร็วๆ คงกลัวว่า เราจะกีดขวางการจราจร บ้าชะมัด..... ผมบ่นพึมพำ ก่อนที่จะเร่งน้ำมันรถจากมา ไม่ทราบว่าได้ยินหรือเปล่า

เมื่อมาถึงตลาดย่านยาวแล้ว จึงรู้ข่าวว่าผู้ใหญ่ในฐานทัพเรือออกมาแถลงว่า ไม่มีเรื่องคลังแสงระเบิด แต่อย่างใด แค่เป็นถังแก๊ส ร้อนจัด แล้วเกิดระเบิดขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเสียหาย พอรู้ข่าว ผมก็ยิ้ม อย่างผู้ชนะ ว่าแล้วมั้ยล่ะ ตื่นตูมกันดีจริง และคงจะตื่นตูมกันอีกหลายละลอก คิดดูแล้วเป็นเรื่อง ที่น่าเห็นใจ และควรเข้าใจ คนที่โดนจังๆ กับเจ้า "สึนามิ" มหาโหดนั่น.....

เอ็งมันไม่โดนนี่หว่าทำเป็นเก่ง โดนเข้ามั่งจะได้รู้ว่าหมู่หรือจ่า นี่เป็นคำเตือนตัวเอง อย่าหลงว่าเก่ง ไม่ว่า เรื่องอะไร ก็แล้วแต่ มันต้องผ่านผัสสะของจริงมาได้จริง จึงจะเป็นสภาวะของแต่ละเรื่อง ของแต่ละคน อย่าเพิ่งขี้โม้... เคยหน้าแตก มาแล้วไม่ใช่รึ?

คุณอดุลย์ ญาติธรรมกับภรรยา มาจากอำเภอกะปง ชวนไปดูเหตุการณ์ที่บ้านบางเนียง-เขาหลัก ผมอยาก ไปดูอยู่แล้ว และคิดว่า การไปด้วยรถกระบะ มันรู้สึกปลอดภัยกว่าควบเจ้าสามล้อคู่ชีพเป็นแน่ บางทีอาจจะได้ช่วยคน ที่รอดชีวิต หรือช่วยเก็บศพ กันบ้าง และเมื่อไปถึงตลาดสดและ ทาวน์เฮาน์ ที่บางเนียง ซึ่งเป็นโครงการของพี่ชายเขา

เราตรงไปที่ออฟฟิต เพราะคนงานมาบอกว่ามีศพอยู่หลายจุด และก็เป็นความจริง ผมเจอศพผู้หญิง คนหนึ่ง ถูกฝาบ้านทับ อยู่หลังออฟฟิต เราช่วยกันหามออกมาวางข้างถนน เพื่อรอรถเก็บศพผ่านมา พอวางศพที่หนึ่งลง คนงานมาบอกว่า มีอีกศพหนึ่ง เลยไปช่วยกันหามอีก แม่บ้านคุณอดุลย์บ่นว่าหนักจัง

เราสี่คนหิ้วแขนขาคนละข้าง แต่มันก็หนักกว่าคนเป็น ไม่แปลกเลย ใครที่เคยมีประสบการณ์หามศพ ก็จะรู้ว่า คนตายแล้ว จะมีน้ำหนัก เพิ่มขึ้น มากกว่า คนที่มีลมหายใจอยู่จริงๆ

ช่างเข้าจังหวะที่เมื่อหามอีกศพมา รถปอเต็กตึ๊งก็วิ่งมาถึงพอดี เลยฝากไปด้วย คนตายเยอะ ดูๆแล้ว ไม่ต่างกับ ซากศพของสัตว์ สักเท่าใดนัก เพราะถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ใส่ใจ ในเมื่อไม่ได้เป็นญาติของใคร ในที่นั้นๆ

คงเป็นเรื่องธรรมดาอีก ที่คนไม่ตายจะฉกฉวยโอกาสยักยอกของมีค่าต่างๆ เช่น เงินทองของใช้หรือ เหล้าฝรั่ง ที่แต่ละยี่ห้อ ขวดสวยๆทั้งนั้นมีทั้งบรั่นดีและวิสกี้ รวมทั้งไวน์ยี่ห้อต่างๆอีกทั้งเครื่องดื่ม ชูกำลัง ที่หลากหลาย กองอยู่เป็นภูเขา ส่วนคนตาย ก็ไม่ยอมขโมย และไม่หวงแหนอะไร อีกแล้วจริงๆ

รีบตรวจตัวเองทันที เพราะก่อนปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่คนขี้เหล้าหรอก แต่ผมมันเนื้อๆทีเดียวเชียวล่ะ ปรากฏว่า ผ่านแฮะ ไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะหรูหราราคาแพงปานใด หรือรสชาติ กลมกล่อม หอมหวน ชวนดื่ม ขนาดไหน มองเห็นคนงานพม่าและไทย แบกถุงปุ๋ยที่บรรจุขวดน้ำ เปลี่ยนนิสัย ไปหน้าตาเฉย คงคิดว่า... กูดื่มเหล้าขาว มานาน ไม่ดื่มเหล้าฝรั่งแพงๆตอนนี้ ก็โง่ ! สุนัข ไม่รับประทานนะซี เขาคิดผิดตรงไหน? อ๋อ....คิดผิดตรงที่ คิดไม่เหมือนเรา เท่านั้น "คนชั่วทำความชั่ว ก็ถูกแล้วไง"

วันรุ่งขึ้น คุณผ่านฟ้าแวะมาที่บ้านผมและชวนไปดูสถานที่เกิดเหตุอีก โดยเฉพาะที่หมู่บ้านน้ำเค็ม ซึ่งมีเรือประมง ใหญ่ๆ โดนหอบขึ้นบกบนถนนอยู่หลายลำ มันเป็นจุดที่ผู้คนและทรัพย์สินเสียหาย มากมายอีกแห่งหนึ่ง เพราะเป็นหมู่บ้าน ที่อยู่ติดกับปากน้ำ ไม่มีอะไรเป็นบังเกอร์ต้านทานไว้ จึงโดน ไปเต็มๆ เหมือนกับที่อื่นๆ ซึ่งอยู่ติด ชายทะเลเช่นกัน

ผมเองก็พึ่งจะได้เข้ามาดู พร้อมๆกับคุณผ่านฟ้านี่แหละ เพราะ ๒-๓ วันหลังเกิดเหตุนั้น ไม่สามารถ เข้ามาได้เลย มีแต่รถ ของหน่วยกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเข้ามาได้ เพื่อช่วยกันขน คนบาดเจ็บ ส่งไปที่โรงพยาบาล ฉะนั้น ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง ถูกกันไม่ให้เข้าไป ก็ดีแล้ว เพราะจะกีดขวาง การปฏิบัติงาน ทำให้ไม่สะดวก และล่าช้าไปเปล่าๆ ดีไม่ดี อาจมีอีกา แปลกปลอม ลงทึ้งซากศพ และของใช้ในบ้าน เพิ่มอีกก็เป็นได้

ความเสียหายเริ่มปรากฏต่อสายตาของเรา อย่างน่าตะลึงพรึงเพริด นั่นเพราะภาพของเรืออวนดำ ขนาดใหญ่ เหินระเห็จ ขึ้นมาชนหลังคาบ้านที่อยู่เกือบติดถนน เป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ ห่างจากฝั่ง ไม่น้อยกว่า ๕๐๐ เมตร และเมื่อมองไปที่พื้น ซึ่งเรือตั้งอยู่อย่างสง่านั้น อ้าว ! ....นั่น ก็มันพื้นบ้านนี่ แสดงว่าตรงนั้น บ้านมันก็หายไปได้ อย่างหมดจด ไม่เหลือแม้แต่เสา โอ้...พระเจ้า

"โน้นๆอีกลำหนึ่ง" น้องคุณผ่านฟ้า ชี้ไปข้างหน้า หลายคนมองตาม "ใช่" มันขึ้นมาอยู่ติดถนน แบบเรียบร้อย ตั้งตรง ทรงสวย เหมือนกับเรือลำแรก แต่ดูจากจุดนี้ขนาดของมันคงไม่เล็กกว่าแน่นอน เมื่อเราเข้าไปดูใกล้ๆ มันใหญ่กว่า และสวยกว่าจริงๆ

ผมคิดถึงบ้านของญาติธรรมที่รอดตาย ซึ่งเจอกับเจ้าของแล้วเมื่อสองวันก่อน เขาบอกว่าเสียหาย ไม่มาก ก็อยากไปดู ปรากฏว่า มันน่าแปลกที่โชคดีอะไรขนาดนั้น บ้านที่อยู่ติดกันหลายหลังนั้นพังเรียบ แต่บ้านของเขาแค่ประตูเหล็ก บิดโย้เย้เท่านั้น และรถยนต์โตโยต้าวีโก้ป้ายแดง ซึ่งจอดอยู่ในบ้าน ไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วน และที่สำคัญ คือโดน น้ำทะเล แค่ค่อนล้อเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆที่ ความสูงของคลื่นดูจากร่องรอย ไม่น่าน้อยกว่า ๘ เมตร และในเมื่อตรงนี้ ห่างจากทะเล แค่ไม่เกิน ๑๐๐ เมตรเท่านั้น

แต่เมื่อใคร่ครวญดูอีกครั้ง มันเป็นเรื่องของทางน้ำ ที่ถูกบ้านหลังอื่นๆเป็นบังเกอร์บังไว้ก่อน และเกิด การลู่ไป เป็นช่องอากาศ ค่อมไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ มันเป็นเรื่องของบารมี โชคหนุนบุญช่วย ของแต่ละคนแท้ๆ

ญาติธรรมท่านนี้สามีเป็นนักวิ่งมาราธอนสมัครเล่น เขาก็เลยเป็นไปด้วย เมื่อเกิดเหตุสึนามิ สองคน จึงได้ ใช้ฝีเท้า วิ่งเพื่อชีวิตจริงๆ ก็คราวนี้แหละ เห็นเล่าว่าอาศัยประสบการณ์วิ่งที่รู้ว่า การวิ่งข้างทาง โอกาสรอด ปลอดภัย จากล้มแล้วโดนเหยียบ มากกว่าวิ่งอยู่กลางถนน เพราะตอนนี้ทุกคน ต่างวิ่ง แข่งกัน เพื่อชีวิตรอด คงไม่มีโอกาส หลีกหลบ ด้วยความปรานีผู้ใดแน่ๆ

ผมมองสำรวจไปรอบๆอย่างระลึกถึงภาพเดิมๆก่อนเกิดเหตุ ที่นี่เป็นย่านชุมชนแออัดก็ว่าได้ เพราะ แต่เดิมมา เมื่อปี ๒๕๑๘ เป็นต้นมา ประชาชนหลายจังหวัดร้อยพ่อพันแม่ โยกย้ายกันมาเสี่ยงโชค สร้างเรือ สร้างแพ ดูดดำแร่ดีบุก ในทะเลอันดามัน ร่ำรวยกันไปก็เยอะ หมดเนื้อหมดตัวกันไม่น้อย

ซึ่งในสมัยนั้นพูดได้ว่า ที่นี่เงินหมุนเวียนแต่ละวันนับเป"นร้อยล้านทีเดียว ผู้คนที่เข้ามาอยู่กัน นับหมื่น ชีวิต มันเป็นหมู่บ้าน ที่ผลิตเงินเข้ากระเป๋ารัฐบาลได้มากที่สุดของประเทศในสมัยนั้น ต่อมาเมื่อทรัพย์ ในดินหมดไป ชาวบ้าน จึงหันมาประกอบอาชีพเป็นชาวประมงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพราะหมด ทรัพย์ในดินไป แต่สินในน้ำ ยังหาได้ไม่ยาก ปู ปลา กุ้ง หอยในทะเลอันดามัน ยังคงเยอะแยะ

หมู่บ้านน้ำเค็มขณะนี้นั้น ตามสายตาของผมซึ่งเป็นคนเกิดที่นี่นั้น ไม่อยากคิดเลยว่า ประเทศชาติต้อง สูญเสีย ทรัพย์สิน และชีวิตผู้คนไปเท่าไหร่ บ้านเรือนที่เคยแน่นขนัดราบเรียบเป็นหน้ากลอง เรือใหญ่-เล็ก นับเป็นร้อยๆลำ เสียหายยับเยิน รถส่วนตัวยี่ห้อต่างๆถูกซัดซะหมดสวย บ้างจมในขุมเหมืองเก่า บ้างไปอัดอยู่กับ กำแพงบ้าน ไม่มีเสียงร้องไห้ ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่เสียงรถแบคโฮล ขุดตักรื้อหา ช่วยชีวิต คนที่ยังไม่ตาย อย่างเร่งร้อน ส่วนคนตายเอาไว้ก่อน เก็บช้าไปหน่อยไม่เป็นไร ยังไง มันก็เหม็นอยู่แล้ว ทั้งหมู่บ้าน ก็ไม่มีใครด่าแน่นอน ควรช้าในสิ่งที่ควรช้า ควรเร็วในสิ่งที่ควรเร็ว ไม่เช่นนั้น จะเสียประโยชน์ไปเปล่า ทุกคนรู้

ที่ริมทะเลนั้นมีท่าเทียบเรือ และแพปลานับสิบแพ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ตอนนี้ไม่หลงเหลือสภาพอะไรอีกแล้ว แต่ตรงท่าเรือ ขนานยนต์ ที่ก่อสร้างแบบราบอยู่บนพื้น จึงไม่กีดขวางทางสึนามิ แต่เสาไฟฟ้า ที่ยืน อย่างแข็งแรง เพื่อโยงสายเคเบิ้ล ใต้น้ำ จ่ายไฟฟ้าไปให้ตำบลเกาะคอเขานั้น มันคงถูกเรือใหญ่ พุ่งเข้าชน จึงหักโค่น ๒-๓ ท่อนกองอยู่ อย่างสงบ

ผมเหลือบไปเห็นปลากะพงขาวตัวโตประมาณ ๑๐ กก. มันติดซากอวนตายอยู่บนพื้นขึ้นอืด ไม่ต่างกับ สุนัขอีกตัวหนึ่ง ที่นอนตายอยู่ใกล้ๆ และศพมนุษย์อีกเกือบ ๓๐ ศพ ที่ถูกขนมากองไว้ เพื่อรอการห่อ ด้วยผ้ายาง แล้วนำไปส่งวัดต่างๆ คิดต่อในใจว่า....นี่ถ้าไม่ใช่เกิดสึนามิแล้ว ปลากะพง ตัวขนาดนี้ ไม่มีโอกาสมานอนขึ้นอืดอยู่แน่นอน มันคงถูกเอาไปกินหรือขายแล้ว เพราะค่าตัวของมัน นับพันบาททีเดียว

คน ปลา สุนัข ตรงนี้ ตายเน่าอย่างไร้ค่าเหมือนกัน ความเหม็นก็ไม่รู้สึกว่าแตกต่างกันเลย

มองข้ามฝั่งไปทางตำบลเกาะคอเขา ซึ่งเป็นบ้านเก่าผม สมัยที่ยังมีอาชีพเป็นชาวประมงอยู่ เจ้าสึนามิ คงขวางหู ขวางตา เลยจัดระเบียบให้เสียใหม่ จนผมเกือบจำไม่ได้แน่ะ ปลายแหลมของเกาะ ที่เคยยื่น ออกมา ขวางทาง ปากแม่น้ำตะกั่วป่า ยาวประมาณ ๓๐๐ เมตรหายไปทั้งแถบ ทั้งเนินทรายและต้นสน ใหญ่น้อย ตรงนี้จำได้ว่า มีคนเคยแย่งจับจองที่ดิน เอาเป็นของตัวเอง จนมีเรื่องมีราว ในที่สุดมันก็ไม่ใช่ของใครจริงๆ

หมู่บ้านปากเกาะ(หมู่ที่ ๓) โดยเฉพาะที่เรียกว่าบ้านใต้นั้น หายไปไม่เหลือแม้เงา แต่ก็ยังมีคนโชคดี รอดตาย หลายคน เหมือนกัน ในกลุ่มที่รอดตายเคยเป็นเด็กที่ไปเรียนรามคำแหง เช่าแฟลตอยู่ใกล้ๆ สันติอโศก และก็ไปช่วยงาน อยู่ที่ชมรมมังสวิรัติ หน้าวัดบ่อยๆ คงพระหนุนบุญช่วยมั้ง รอดตายมา ราวปาฏิหาริย์

เขาเป็นเด็กดีทั้งสองคนที่รอดตาย ขณะที่ญาติๆตายไปหลายคน ผมไปเยี่ยมเขาและถามว่า ตอนมันมา น่ากลัวมากมั้ย เขาตอบว่า.....ไม่ทันได้กลัวเพราะไม่ทันได้เห็น ความน่ากลัว อยู่ๆมันก็มา ถึงตัวแล้ว มันมาเงียบ ไม่โครมครามหรอก หลังจากนั้นก็เกิดความรู้สึกเสีย จึงเสียดายและเสียใจ มากกว่า ความกลัว

สำหรับบ้านกลางและบ้านเหนือ มีส่วนที่เหลืออยู่บ้าง พอที่จะให้จำแนกออกว่า โรงแรมระดับ ๕ ดาว เตรียมที่จะเปิด ในต้นเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ถูกถล่มเสียหายยับเยิน ไม่ทราบว่า จะมีโอกาสได้เปิด อีกเมื่อไหร่ และอีกหลาย โรงแรม หลายรีสอร์ท บนเกาะคอเขาแห่งนี้ ก็มีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก

บนเกาะนี้ยังมีเมืองโบราณ ซึ่งสภาพเมืองถูกฝังดินมาเป็นร้อยปีพันปีแล้วกระมัง ผมเดาเอานะ เมื่อ ประมาณ ๒๐ ปี หรือปี พ.ศ.๒๕๒๗ มีชาวสุพรรณบุรี อำเภออู่ทองมานำร่อง การขุดค้นลูกกะปัดไปขาย ซึ่งมันเป็น เครื่องประดับ ของคนโบราณ ที่ทำด้วยหยกและหินสีต่างๆสวยงามมาก ราคาแพง ตามค่าสมมุตินิยม

มหกรรมขุดค้นสมบัติใต้ดินไปขายจึงเกิดขึ้นทันที นอกจากของประดับแล้วยังมีของใช้ เศษถ้วยโถ โอชาม ซึ่งเป็นกระเบื้อง เคลือบสี รวมทั้งทองคำรูปพรรณต่างๆที่ฝังดินอยู่ บางจุดลึกถึง ๔-๕ เมตร และในบริเวณ ใกล้เคียง จุดที่เคยทำ เหมืองแร่ดีบุกนั้น ผมเคยใช้เลียง(ภาชนะทำด้วยไม้กลมแบนๆ คล้ายกระด้ง) ร่อนหาแร่ดีบุก จากทรายเหมืองเก่านั้น จะเจอฝุ่นทอง แพรวพรายปะปนกับแร่ดีบุก เห็นได้อยู่ชัดเจนด้วย ชาวบ้านเรียกที่นี่ ติดปากกันมาแต่โบราณว่า "เหมืองทอง"

เมื่อเกิดเหตุสึนามิขึ้น ทำให้ผมนึกออกได้ทันทีว่า ทำไมสิ่งของเหล่านั้นหรือเมืองโบราณที่นี่ จึงถูกฝังดิน ลึกอยู่ มันคงเกิด แผ่นดินไหวในทะเลนี่เอง จึงสามารถจมทุกสิ่งทุกอย่าง ได้อย่างหมดจด และน่า จะรุนแรง กว่านี้อีกมากแน่ ตอนนั้น ไม่ทราบว่า คนโบราณตั้งชื่อมันว่าอะไร แต่จะเรียกว่าอะไร ก็ช่างเถอะ ถ้าขอได้ ขอให้นานๆ เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง จนไม่มีตำนาน หรือประวัติศาสตร์ให้สืบทราบ นั่นแหละ ดีแล้ว ไม่เกิดเลยยิ่งวิเศษมาก

เสียดายแต่...ใกล้ๆเกาะคอเขานั้น ยังมีเกาะเล็กๆอยู่เกาะหนึ่งชื่อว่า "เกาะผ้า" มันเป็นเกาะที่เนื้อที่ ประมาณ ๑ ไร่ เมื่อน้ำทะเล ขึ้นเต็มที่ แต่เมื่อน้ำทะเลลดลงเกาะจะมีอาณาเขตกว้างใหญ่เป็นกิโลเมตร ทีเดียว รอบๆเต็มไปด้วย ปะการังสวยงาม จนเป็นที่ดำน้ำดูหินปะการังยอดฮิตของชาวต่างขาติไปแล้ว

ที่ได้ชื่อว่าเกาะผ้า เพราะว่ามองไกลๆจากฝั่งจะเห็นเกาะนี้เหมือนผ้าขาว พาดอยู่กับเส้นตัดขอบฟ้า ธรรมชาติ ยังสะอาด หาดยังสวยงาม ไม่มีคนอยู่ แต่เต็มไปด้วยปูลมตัวโตๆ ปูเสฉวนและหอยต่างๆ รวมทั้ง นกนางนวล ตรงกลางเกาะจะมีผักบุ้งทะเลเขียวขจีเป็นพรมนุ่ม มีต้นทองหลาง และต้น สนทะเล อยู่ประมาณ ๗-๘ ต้น เป็นที่หลบแดด ได้อย่างดีสำหรับคนไปเยือน ฤดูฝนจะมีเพิงมุงจาก เล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง เป็นที่หลบฝนของชาวเล (มอร์แกน) แต่มาบัดนี้เกาะผ้า ซึ่งเคยเป็นที่หลบพายุ หลบมรสุมในฤดูฝน ของชาวประมง รวมทั้งเป็นที่ท่องเที่ยว อาบแดด หรือสังสรรค์ของนักท่องเที่ยว ในปัจจุบันนั้น เหลือแต่ชื่อและคำเล่าขานเสียแล้ว มันหายสาบสูญ ไปแล้ว อย่างราบเรียบ น่าเสียดาย จริงๆ แต่คิดว่าไม่นานนักหรอกธรรมชาติคงจะสร้างเกาะทรายแห่งนี้ ขึ้นมาอีกแน่นอน

ก่อนคลื่นยักษ์มา น้ำทะเลตรงหน้าเกาะผ้านี้แห้งไปก่อน จนเรือประมงหางยาวที่กำลังวิ่งอยู่ กลายเป็น ไปตั้ง บนพื้นดินทันที เจ้าของเรือตกใจวิ่งขึ้นบนเกาะ แต่อนิจจามันไม่ใช่ลมมรสุม ที่เคยหลบภัยได้ เขาจึงโดน สึนามิ ซัดตูมเดียว ถึงฝั่งเกาะคอเขา โดยไม่ต้องใช้เรือ ยังโชคดีที่มีชีวิต รอดกลับมาเล่า ให้เพื่อนได้ฟัง แต่เรือคู่ชีพ หายไปอย่างไร้ร่องรอย จนบัดนี้ยังหาไม่พบ อาจจะแหลกไปแล้วก็ได้

แผ่นดินเขย่าจนมหาสมุทรอินเดียกระฉอกคราวนี้ คร่าชีวิตผู้คนไปหลายประเทศ ซึ่งไม่ต่ำกว่า สองแสนคน เป็นแน่ ญาติทางฝ่าย แม่บ้านของผม ที่อยู่บนเกาะคอเขานั้น มาตรวจสอบรู้ภายหลังว่า เสียชีวิตไป ๕ คน พี่สาว ๑ หลานอีก ๔ ไม่พบแม้แต่ศพ ด้วยซ้ำ และหลายๆครอบครัว ที่ตายไป และไม่พบศพเช่นกัน สึนามิ คงจัดการฝัง ให้เรียบร้อย หรือไม่ก็คงดูด ลงทะเลลึก ไปเลยก็ได้

ส่วนหลานของผมที่เป็นชาวประมง หากินด้วยเรือหางยาวเล็กๆนั้น ดวงไม่ถึงฆาต เขาเล่าว่า ตอน สึนามิ มานั้น เขาอยู่บริเวณน้ำลึก เลยเกาะผ้าออกไปไกล เห็นคลื่นใหญ่ตกใจวิ่งเรือสวนออกไป จึงรอดพ้นได้ราวกับปาฏิหาริย์ ส่วนเรือใหญ่ หรือเล็กอื่นๆ ที่อยู่น้ำตื้นใกล้ๆฝั่งราว ๔-๕ กิโลเมตรนั้น ไม่เหลือรอดกลับมาเลย

ปู่ย่าตาทวด บรรพบุรุษของชาวเลหรือชาวมอร์แกรน (พวกเขาเรียกตัวเองว่า ไทยใหม่ ไม่ชอบคำว่า ชาวเล) เล่าต่อๆกันว่า หากน้ำแห้งผิดปรกติให้ออกเรือไปทะเลลึกๆ จะรอดจากคลื่นยักษ์ได้ ก็เป็นเรื่องจริง

สิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามาทำร้ายทำลายชีวิต และทรัพย์สินของมนุษย์ มากมายมหาศาล อย่างประเมินค่า มิได้ ก็จริง แต่ก็เปิดโอกาส ให้สิ่งดีๆหลายแง่หลายมุม ให้เกิดขึ้นนับไม่ถ้วนเช่นกัน โดยเฉพาะ คลื่นน้ำใจ จากการบริจาค ข้าวของเงินทอง และเครื่องใช้ต่างๆของชาวไทยทั่วทุกภาค และจาก หลายประเทศ ที่หลั่งไหลเข้ามา อย่างต่อเนื่อง มีพลังมหาศาล ไม่แพ้เจ้าสึนามิเช่นกัน

เสื้อผ้าทั้งใหม่และมือ ๒ นั้น เท่าที่ไปสังเกตการณ์มา ทุกๆศูนย์ผู้ประสบภัยทั้ง ๘-๙ แห่ง คาดตาม สายตา ว่า ให้แจกคนละ ๑,๐๐๐ ชิ้นต่อหนึ่งคน ก็คงไม่หมดแน่นอน ส่วนของบริโภคนั้น ตอนนี้ ก็มีกินกัน อย่างเหลือเฟือ

สำหรับที่อยู่อาศัยนั้น ทางทหารหาญกองทัพบกเป็นพระเอกในเรื่องนี้ เป็นภาพทหารที่น่ารักมากๆ ต่างก็ขยัน ขันแข็ง เร่งสร้างที่พัก กันทั้งกลางวันกลางคืนทีเดียว ซึ่งเป็นบ้านชั่วคราว ลักษณะ ห้องติดกัน เป็นแถวๆ และแบ่ง เป็นโซนๆ อยู่รวมกัน เป็นชุมชนใหม่ ที่สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกจัดสรรมาให้ฟรีหมด

การรักษาพยาบาลนั้น ก็คิดว่าทุ่มเทกัน เต็มกำลังของประเทศแล้ว แถมพลตรีจำลอง ศรีเมือง นำแพทย์ มาจาก ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับนายแพทย์วิชัย เอกทักษิณ มาช่วยประจำอยู่ รพ.ตะกั่วป่า จังหวัดพังงา นับสิบท่าน ซึ่งเป็นมหากุศล อันใหญ่หลวง แถมศรีภรรยาคุณศิริลักษณ์ ศรีเมือง ก็มาปักหลักเป็น ชาวตะกั่วป่า อยู่ยาวนาน ร่วมครึ่งเดือนทีเดียว เห็นบอกว่า งานนี้แจกลูกเดียว ช่างน่าชื่นชมแท้ๆ

การฟื้นฟู สภาพแวดล้อมและสิ่งก่อสร้าง นับว่าทำได้รวดเร็ว เพราะหลายหน่วยงานร่วมมือร่วมใจกัน ปรับ-ปลูกให้ทัน กับความจำเป็น ที่ต้องใช้ของประชาชน ยังคิดเลยว่า ดีที่เกิดเหตุการณ์ ในฤดูแล้ง ถ้าเป็นฤดูฝน จะแย่ยิ่งกว่านี้ นับร้อยเท่า เพราะฝนตกรถติด พื้นดินเฉอะแฉะ จะทำอะไร ก็ไม่สะดวก ไปหมดทุกอย่างแน่นอน

การฟื้นฟูจิตใจนั้น นับว่า สถาบันบุญนิยม ของชาวอโศกได้ทุ่มเทลงมาสุดๆ ทั่วประเทศ โดยแบ่ง กระจาย ออกไป ตามศูนย์ ผู้ประสบภัยทั่วทุก ๘ ศูนย์ มีส่วนกลางอยู่ที่อุทยานพระนารายณ์ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ กับสมณะและสิกขมาตุ ร่วม ๙๐ รูป และญาติธรรมร่วมพันชีวิต มาประกอบ กุศลกันครั้งนี้ อย่างพร้อมหน้า พร้อมตาจริงๆ

ทุกวันจะมีการทำวัตรเช้าที่อุทยานพระนารายณ์ พร้อมกับ on line ไปทุกศูนย์ ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ และเกือบทุก พุทธสถาน ทั่วประเทศด้วย ช่างเป็นบุญแท้ๆของชาวพังงา เพราะที่ผ่านมา ไม่มีโอกาส ได้พบ และฟังธรรม จากพ่อท่าน โดยตรงอย่างนี้มาก่อน ในอนาคตก็อย่าหวังอะไรให้มากนัก อยู่ที่ว่า พวกเราชาวพังงา เหนียวแน่นหรือไม่

การเปิดตัวของสถาบันบุญนิยม ซึ่งมาขอแบ่งปันความทุกข์คราวนี้ที่ตะกั่วป่า มีคนพูดว่า หากจังหวัด พังงา ไม่เกิดกลุ่ม ผู้ปฏิบัติธรรม ที่แข็งแรง และเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น คงยากที่จะมีโอกาส อย่างนี้ อีกแล้ว มันเป็นโอกาสที่ชาวพังงา จะต้องขวนขวาย ลดละมานะอัตตา ของแต่ละคน ประสานกันให้มั่นคง

ทุกศูนย์ผู้ประสบภัยที่ไปสัมผัสมา พอจะพูดได้ว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็ได้ฟัง ด้วยหู ตัวเองว่า สถาบันบุญนิยม เป็นกลุ่มที่น่ารักที่สุด เพราะเขาทำในสิ่งที่กลุ่มอื่นไม่ทำ เช่น เก็บปัดกวาด ขยะต่างๆ จนสะอาด เห็นชัดเจน โดยไม่นิยมใส่รองเท้า ไปสร้างวีรกรรม จนได้รับ การชื่นชม และมีรางวัลให้ด้วย เช่น ที่ศูนย์บ้านปากวีป อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา อันนี้ ญาติห่างๆ ของแม่บ้านที่ประสบภัยที่นี่ เขาเล่าให้ฟัง ด้วยความภาคภูมิใจ ที่ศูนย์แห่งนี้ เป็นสุดยอดของ ความสะอาด จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลศูนย์ผู้ประสบภัยทั้งหมด

นอกจากนี้ชาวตะกั่วป่ายังได้สัมผัสกับสมณะโดยตรง ได้เห็นภาพบิณฑบาตที่น่าเลื่อมใส ไม่รับเงิน รับทอง และการให้ สัมมาทิฏฐิ ในหลายๆเรื่องที่พวกเขาไม่เคยรู้หรือเคยได้ยินมาก่อน เคยสังเกตเห็น ตอนช่วง ทำวัตรเช้า ที่อุทยาน พระนารายณ์ มีคนปั่นจักรยานมานั่งทนถูกยุงกัด เพื่อฟังพ่อท่าน แสดงธรรม ก่อนไปออกกำลังกายทุกเช้า ซึ่งคิดว่า ถ้าเขาไม่เข้าใจธรรม ที่พ่อท่านพูด ก็คงไม่มานั่งฟัง ให้เสียเวลาแน่นอน ผงธุลีในดวงตา ของเขาอาจปลิวไปได้แล้ว ระดับหนึ่งก็ได้

คลื่นยักษ์สึนามิ ผ่านมากวาดล้างสิ่งก่อสร้างและชีวิตมนุษย์ไปมากมาย มันช่างติดตรึง ความน่า สะพรึงกลัว ไว้ในความรู้สึก ของทุกคนอย่างเหนียวแน่น จนเวลาผ่านไปนับเดือนกว่าแล้ว หลายคน ยังตื่นกลัว วิ่งหนีทุกครั้ง ที่มีข่าวลือว่า อาฟเตอร์ช็อคอีก กลัวว่าจะช็อค กันเสียก่อนเท่านั้น

คลื่นธรรมะ จากสมณะผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ และเหล่าผู้ปฏิบัติธรรมจากสถาบันบุญนิยม ที่มาขอ แบ่งปัน ความทุกข์ และให้โอกาสเรียนรู้ในสิ่งต่างๆของกิเลส ที่ติดจิตวิญญาณมาเนิ่นนาน จะหลุด ล่อนไปบ้างหรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่ที่ กรรมของแต่ละคนว่า ฟังธรรมเข้าใจแล้วเอาไปทำเอาไปปฏิบัติ เพื่อพ้นทุกข์ ของแต่ละเรื่อง ได้จริงหรือเปล่า

ความชั่วร้ายกับความดีมักอยู่ใกล้กันเสมอ ในภาวะวิกฤติ ย่อมมีช่องทางของโอกาส สำหรับผู้มี สายตาดี และ ขวนขวาย เพื่อพลิกสถานการณ์ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง กับทุกคน

พระเจ้า(บุญ)ไม่เคยทิ้งท่าน
ซาตาน(บาป)ก็ไม่เคยลืมใคร

- คนตะกั่วป่า -
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘

- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๐ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ -