ใจยังติดสุข จึงหลุดจากวังวนชีวิตไม่ได้
กระผมอายุ ๖๗ ปี ถือพรหมจรรย์ รับประทานอาหารมังสวิรัติ วันละ ๓ มื้อ อาบน้ำวันละ
๑ ครั้ง ขอรายงานการใช้ชีวิตประจำวันดังนี้
๐๔.๐๐-๐๖.๓๐ น. ทำกิจธุระส่วนตัว หุงข้าว กราบพระสวดมนต์ ฝึกเจโตสมถะ เปิดเท็ป ฟังเทศน์พ่อท่าน หรือ สมณะรูปอื่นๆ เก็บที่นอนเข้าที่ เสร็จแล้วออกกำลังกาย จะเป็นวิ่งหรือกายบริหาร เข้าสวน เพื่อดูแลต้นไม้ หรือ เก็บผัก ตัดกล้วย
๐๖.๓๐-๐๘.๐๐ น. นำอาหารมังสวิรัติไปวัดข้างบ้าน โดยการถีบจักรยาน ระยะทางประมาณ ๑ กม. จัดอาหาร ถวายอาหารพระสงฆ์ เสร็จแล้วกราบพระสวดมนต์ที่วัด แล้วเดินทางกลับบ้าน
๐๘.๓๐-๑๐.๐๐ น. ใช้เวลาในการรับประทานอาหารมังสวิรัติ ๑ มื้อ ทำความสะอาดฟันหลังรับประทานอาหาร
๑๐.๐๐ น. ถึงเที่ยง ทำการซื้อ-ขายสินค้าในบ้าน
๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น. เอนกาย ๑ ชม.
๑๓.๐๐-๑๗.๓๐ น. ซื้อขายสินค้าภายในร้าน อ่านหนังสือธรรมะ เขียนบันทึกประจำวัน เขียนจดหมายรายงานการปฏิบัติธรรม ส่ง บ.ก.
๑๖.๓๐ น. อาบน้ำ
๑๗.๓๐ น. เลิกงาน
๑๗.๓๐-๒๐.๐๐ น. ดูโทรทัศน์ ดูข่าวดูหนัง พักตามสบาย
๒๐.๐๐-๒๑.๐๐ น. เตรียมตัวนอน ก่อนนอนก็กราบพระสวดมนต์ ฝึกเจโตสมถะ
๒๑.๐๐ น. นอน
ถ้าวันไหนมีเหตุจำเป็น นอนประมาณ ๒๑.๓๐ น. ลุกประมาณ ๐๔.๐๐-๐๔.๓๐ น. เพราะจิตยังไม่แข็งเเรงพอ
และกำหนดการตื่นไม่ตรงเวลาเท่าใดนัก ความตั้งใจตื่น ๐๔.๐๐ น. บางวันตื่นแล้ว จิตอ่อนแอก็เลยเวลาไปบ้าง
จนถึงตี ๕ ก็มี หรือบางวันลุก ๐๓.๔๕ น. ก็มี ขณะนี้ชีวิตยังติดวังวนอยู่ยังหาทางออกได้ยาก
เพราะจิตใจเรา ยังไม่เเข็งเเรงพอ ที่จะออกจากโลกียสุขได้
* สมาชิกเลขที่ ๒๔๒๕๒๓ จ.ชัยภูมิ
- การฝึกเจโตสมถะ เป็นการฝึกจิตใจให้เเข็งเเรง เทียบได้กับการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายเเข็งเเรงเช่นกัน ก่อนนอนหลังจากนั่งเจโตสมถะแล้ว ตั้งใจกำหนดหมาย ให้กับตัวเองว่า จะลุกตื่นในเวลาเท่านี้นะ จากนั้น ก็ผ่อนคลาย ความรู้สึกให้พัก เพื่อจะได้ตื่นเต็มในวันรุ่งขึ้น ตั้งใจฝึกอย่างนี้ ตั้งใจทำจริงอย่างนี้ทุกวันๆ ลองทำดู ให้ต่อเนื่อง ทุกๆวัน จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หากได้อ่านหนังสือหรือฟังเท็ป ที่พ่อท่านเล่าถึง ประสบการณ ์การฝึกตื่นนอน เมื่อครั้งท่าน ยังเป็นฆราวาส จะทำให้มีใจฝึกตน มากขึ้น - บ.ก.
อานิสงส์ของการรู้ธรรม แล้วเอาไปทำจริง
"สารอโศก" ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ถึงปัจจุบัน ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผมทุกอย่าง
จากเดิมที่ยังไม่อ่านสารอโศกนั้น ผมก็เป็นเหมือนชาวบ้านทั่วไป คือเมื่อมีพิธีสมาทานศีล
ก็สมาทาน กับเขาไป เมื่อชอบอะไรก็ทำไปโดยไม่คำนึงถึงศีล เรียกว่ารับไปแต่ไม่ถือปฏิบัติ
บางครั้งก็รู้สึกละอายใจว่า ทำไมเราจึงทำอย่างนี้ ก็ตอบตัวเองว่า เราไม่กล้าทำตามศีล
เพราะไม่มีใคร ทำเป็นเพื่อนเลย ขืนทำคนเดียวก็จะถูกสังคมตำหนิว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว
ไม่หลิ่วตาตาม" ในที่สุด ก็ไหลตามสังคม
แต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือของชาวอโศกแล้ว ผมมีกำลังใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยไม่แคร์สังคม คือ เลิกอบายมุข ทุกอย่าง ถือศีลห้าประจำ กินมังสวิรัติบริสุทธิ์วันละ ๒ เวลา เริ่มปฏิบัติ ตั้งเเต่ พ.ศ.๒๕๒๗ จนถึงปัจจุบัน ๒๕๔๘ เป็นเวลา ๒๑ ปี ทำในตอนต้นก็ถูกสังคมเขาแซวว่า จะได้สักกี่น้ำหนอ เมื่อผมทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เขาไม่เเซวครับ คงเห็นว่าผมเอาจริงๆ
เดี๋ยวนี้ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านศีลธรรมจริยธรรมระดับอำเภอ หลายที่หลายแห่งครับ
นอกจากนั้น ก็ได้รับเชิญ ไปจัดรายการ "ธรรมะ" ทางสถานีวิทยุ อีกทั้งยังได้รับเลือกเป็นประธานสภาวัฒนธรรมตำบล
และ ได้รับเลือก เป็นประธานชมรมชาวพุทธของอำเภอ รวมถึงเป็นประธานชมรมคนรักษ์สุขภาพของอำเภอด้วย
สิ่งเหล่านี้ ผมคิดว่า เกิดจากการอ่านหนังสือนั่นเอง
* สมบูรณ์ กาญบุตร จ.สกลนคร
- สังคมยังขาดเเคลนตัวอย่างที่ดี ที่จะยืนยันให้ผู้อื่นดำเนินตาม ดังนั้นผู้จะเริ่มต้นเปลี่ยนเแปลงตัวเอง ต้องสร้าง กำลังใจอย่างมาก เพื่อทำตนให้เเข็งเเรงก่อน ผู้ที่สามารถเริ่มต้น ทำสิ่งดีงาม เพื่อตนเองได้ นับเป็นผู้มีจิตใจเข้มเเข็ง ระดับหนึ่งแล้ว จากนั้นหากรู้จักสร้างและเก็บเกี่ยวกำลังใจ ให้เห็นประโยชน์ ในคุณงามความดี ที่ตนทำได้ ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ก็จะไม่รู้สึกยาก ลำบากอะไร กลับยิ่งจะมีกำลังใจมากขึ้นๆ..... - บ.ก.
"พ่อ" คือ พระพรหมของบ้าน
เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้ไปช่วยงานศพญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ต่างอำเภอ โดยไปพักที่บ้านน้องสาวคนเล็ก
ที่ห้องรับแขก มีตู้เลี้ยงปลา ตั้งโชว์อยู่ ๑ ตู้ ถ้ามองอย่างโลกๆอาจจะเห็นว่า
๑. เอาปลามาเลี้ยง ๒. ประดับห้องดูสวยงามดี ๓. เป็นคนมี รสนิยมสูง แต่ถ้ามองถึงสัจจธรรม
นี่คือการกักขังทรมารสัตว์ ย่อมเป็นบาป เมื่อมีโอกาส ร่วมรับประทาน อาหารเย็นกับน้องสาว
ได้ค่อยๆเลียบเคียงถามว่าเลี้ยงปลาไว้ทำไม เธอตอบว่า ชอบ มันสวยดี ข้าพเจ้าบอกว่า
ปลามันคง ไม่ชอบหรอก มันต้องรู้สึกว่าถูกกักขัง และเป็นทุกข์ นี่เป็นการทำบาปอย่างหนึ่งที่เราคิดไม่ถึงนะ
จากนั้นมา อีกประมาณเดือนเศษ ได้มีธุระไปที่บ้านน้องสาวคนนี้อีก ปรากฏว่าตู้ปลานั้นได้หายไป
กระผมรู้สึกอนุโมทนา การกระทำ ของน้องสาว และยินดีในความเป็นอิสระของปลา
ต่อมาได้ไปงานเปิดร้านขายอาหารทะเลของลูกสาว ที่หุ้นกับเพื่อนแถวนนทบุรี มีโอกาสเดินชมร้านแบบสวนอาหาร แรกๆก็รู้สึกยินดีกับลูกที่รู้จักหารายได้พิเศษเพิ่มเติมนอกเหนือจากงานบริษัท แต่พอเดินเข้าไปบริเวณโรงครัว ประกอบอาหาร เห็นมีตู้ปลา ตู้กุ้ง ขนาดใหญ่ มีปลามีกุ้งตัวโตๆว่ายไปมา ถามพนักงานเขาว่าเอามาขังไว้ทำไม ได้รับคำตอบว่า ตั้งไว้ให้ลูกค้าเลือกสั่งปรุงอาหารสดๆเลย รู้สึกสลดและสังเวชใจมาก จึงเดินผละหนีไป กลับไปเจอ กระจาด ปูทะเลสดๆ (ยังไม่ตาย) ถูกมัดขาและก้ามไม่ให้ดิ้นและเดินได้ พอเดินไปดูใกล้ๆ มันยกลูกตาของมัน ขึ้นทุกตัว พรึ่บ ! เหมือนขอความช่วยเหลือ กระผมแทบน้ำตาตก และคงไม่ต้องอธิบายความรู้สึก
กลับถึงบ้านพักของลูกสาว ก่อนนอนได้ระบายความรู้สึกในใจให้แม่บ้านทราบว่า ลูกเราไม่น่าประกอบอาชีพ อย่างนี้เลย ไม่น่าจะดิ้นรนสร้างบาปกรรมถึงขนาดนี้ ทำงานบริษัท สองผัวเมีย ก็พอกินแล้ว ต่อไปนี้จะไม่ไป ที่ร้าน อาหารลูกอีกเลย ไม่ว่าจะจัดงานใด สองเดือนต่อมาลูกสาวโทรมาบอกว่า ได้เลิกกิจการร้านอาหาร โดยขายหุ้น ให้เพื่อนแล้ว ก็รู้สึกอนุโมทนา ที่ลูกสาวไม่สร้างบาปมากกว่านี้
และเมื่อเย็นวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๘ นี้เองได้นั่งสนทนากันตามปกติกับแม่บ้านที่ยังชอบเล่นหวยอยู่
เธอเล่าว่า ได้ซื้อหวยบนดิน มาใบหนึ่ง แต่ผู้ขายเขียนตัวหนังสือ กับตัวเลข ไม่ตรงกัน
จะทำยังไงดี ถ้าถูกจะรับเงินได้ไหม ตอบเธอไปว่า คงรับเงินไม่ได้หรอก เพราะตัวอักษรกับตัวเลขไม่ตรงกัน
จะให้ดี เลิกเล่นเสียได้นั้นแหละดีที่สุด พร้อมกับ
ขยายต่อว่า เราเสียเงิน กับความหวังๆ ลมๆแล้งๆ มามากแล้ว
และก็นานมากแล้วด้วย ตอนนี้เรา อายุ มากแล้ว น่าจะคิดได้ จะเสี่ยงเอาเงินร้อยไปแลกเงินหมื่นเงินแสนเงินล้าน
มันมีประตูได้ง่ายๆ ที่ไหน ถึงแม้จะได้มา ก็เป็นเงินไม่บริสุทธิ์
เป็นเงินจากการพนัน เงินที่ผู้อื่นอีกหลายๆคนเขาแทงไม่ถูก เสียให้เรา โดยไม่อยากเสีย
แล้วก็ เป็นทุกข์ เหมือนเราที่แทง ไม่ถูกนั่นแหละ ถึงแม้ว่าเราจะแทงถูกได้เงินมา
คงไม่ทำให้เรารวย หรือ เจริญหรอก เพราะเป็นเงินไม่ดี เอาไปทำบุญทำทาน ก็ไม่ได้บุญได้กุศล....
* ประกาศิต จันทร์ศร จ.นครราชสีมา
- .....ครอบครัวดี เป็นฐานรากที่มั่นคงของสังคม คุณพ่อบอกเตือน-พูดคุยให้คำแนะนำภรรยา บุตรหลาน แม้แต่พี่-น้องที่เชื่อมโยงกันอยู่ด้วยเมตตาปรานีรับกันได้อย่างนี้ หาไม่ค่อยได้แล้ว ในยุคสมัยนี้ หากจะเชิญชวนคุณพ่อทุกท่าน ช่วยกันเป็นพรหมของบ้านกันดูดีไหมเอ่ย - บ.ก.
มีศรัทธาแล้วต้องมีศีล เพราะศีลเป็นเครื่องชำระอันวิเศษ
ข้อปฏิบัติที่ได้จากการอ่านของดิฉัน คือสามารถปรับตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก่อนอ่าน
ดิฉันจะเป็นคนใจร้อน หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆ มีปัญหากับลูก สามี และเพื่อนร่วมงานเสมอ
เพราะมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ต่อมามีเพื่อนครูท่านหนึ่งแนะนำให้อ่านสารอโศก
ดิฉันจึงเกิดความศรัทธา แล้วลองปรับเปลี่ยนตนเอง ตามคำ แนะนำ เเละข้อคิด
จากญาติธรรมหลายท่าน ในที่สุดจึงได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกขอรับนิตยสารชาวอโศก
ซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็นำความรู้ต่างๆ ล้วนเป็นข้อคิดดีๆ คำเเนะนำที่ดี เล่าสู่นักเรียน
-เพื่อนครู -ญาติพี่น้อง และผู้ที่สนใจ โดยจะเเจกหนังสือสารอโศก -ดอกหญ้า ให้ไปอ่าน
หรือค้นคว้าข้อมูล ก็เป็นที่ชื่นชอบ ของคนรอบข้าง
ณ ขณะนี้เป็นเวลายาวนานพอสมควร ดิฉันรู้สึกตัวว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมฯ โดยซึมซับด้วยความสมัครใจ ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ รู้จักให้อภัยลด-ละ-เลิก-ตัดกิเลสบ้าง บางโอกาส ซึ่งในไม่ช้านี้ ดิฉันตั้งใจว่า จะพยายามปรับตัวเองให้ดีขึ้นมากๆต่อไป เพราะสภาพครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ญาติพี่น้อง ยังวนเวียน อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของดิฉันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คงต้องเริ่มปรับตัวเองทีละขั้นตอนในแต่ละวัน ซึ่งพอจะยึด หลักธรรมะ ของพ่อท่าน และการปฏิบัติตน ของสมาชิก ญาติธรรม ที่รายงานในนิตยสารฯ
พอสรุปได้ว่าผลจากการอ่าน ทำให้ดิฉันสบายใจขึ้น อยากแนะนำข้อคิดดีๆแก่ผู้อื่น
และนำข้อความที่เเนะนำ มาปฏิบัติ แม้ว่าจะไม่สามารถทำได้ครบทุกข้อ ก็ภูมิใจที่ได้ปฏิบัติมาบ้างแล้ว
และพฤติกรรมก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
* จันทนา อาบวารี จ.พระนครศรีอยุธยา
- ศึกษาพุทธศาสนาต้องเรียนรู้ไป ทำไป เมื่อรู้แล้วลงมือทำ จะพบกับความเป็นจริงของชีวิต โดยเฉพาะเรียนรู้ ความเป็น "ตัวเรา" โดยมีศีลเป็นเเนวทางปฏิบัติ จะทำให้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เปลี่ยนเเปลงที่เราง่ายกว่า ตรงกว่า ไปเริ่มที่คนอื่น หากสามารถปฏิบัติพิสูจน์ ปรับปรุง เปลี่ยนเเปลงตัวเราเองให้ดีกว่าเดิมได้ คนอื่นๆ เขาก็จะมา ให้ความสนใจเอง เพราะใครๆก็อยากเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น ดังที่มีผู้รู้กล่าวว่า เมื่อเรามั่นคง คนอื่นก็มั่นใจไงล่ะ ! - บ.ก.
คืนชีวิตให้ผืนแผ่นดิน ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นของเรา
"ผู้ใดเผาฟาง ผู้นั้นกำลังเผาธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาท
ฉบับละ ๕๐๐ บาท จำนวนมากของตนเองทิ้ง....." ฟังท่านพูด ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลมากที่สุด
เพราะฟาง มีประโยชน์มากมาย นับอนันต์จริงๆ โดยเฉพาะ เป็นปัจจัยพื้นฐานในการบำรุงดินและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความอุดมสมบูรณ์
ประโยชน์ของฟางคือเป็นหัวปุ๋ยชั้นดี ฟางอุดมไปด้วย แร่ธาตุต่างๆ เป็นต้นว่า
ไนโตรเจน ถ้าหากเรานำฟางไปคลุมดินจะทำให้พืชผักเจริญเติบโต แข็งแรง ทนต่อแมลง ศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี
บางท่านไม่ชอบฟางที่อาจทำให้ระคายผิวบ้าง ก็หันไปใช้มูลวัวมูลควายแทน ท่านเคยสังเกตไหมล่ะว่า วัวควาย กินอะไร พวกมันกินหญ้า กินฟาง เป็นอาหาร บำรุงร่างกายของมัน จากนั้นก็ขับถ่ายออกมาเป็นกาก เหลือประโยชน์ น้อย จึงมีผู้เปรียบเทียบเอาไว้ว่า มูลวัวมูลควาย ๑๐ ส่วน จึงจะเท่ากับฟาง ๑ ส่วน หรือเปรียบเทียบให้ชัดเจน เข้าไปอีกว่า ฟางเปรียบเหมือนรถมือหนึ่งหรือรถใหม่ มูลวัวมูลควายเปรียบเสมือนรถมือสอง ท่านจะเลือกเอาอะไร ฟางเป็นส่วนหนึ่งของแม่โพสพ(ข้าว) นอกจากฟางแล้วยังมีแกลบ รำ ละอองข้าว คายข้าว ทั้งหมดคือ ผลผลิต ที่ออกมา จากข้าว ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อดินและมนุษย์อย่างมาก
ถ้าหากชาวไร่ชาวนาหันมาใช้วัตถุดิบเหล่านี้แทนปุ๋ยเคมีแล้ว จะทำให้ประเทศไทย ไม่ต้องสั่งซื้อ ปุ๋ยเคมี จากต่างประเทศ ซึ่งทำให้เราขาดดุลการค้าอย่างมากมายมหาศาล
ฟางช่วยปรับโครงสร้างของดิน (เป็นกรดหรือด่าง) ให้เกิดความสมดุลในตัวของมันเอง ถ้าหากท่านเอาฟาง ไปคลุม ดินไว้ จะช่วยให้ดินมีความสมดุลในความเป็นกรด-ด่าง อีกทั้งช่วยรักษาหน้าดินตามธรรมชาติ ถ้าหากไม่มีอะไร ปกคลุม หรือกันเอาไว้ หน้าของดินจะเสื่อมสลายไปกับสายลม น้ำ และแสงแดด จะทำให้ดิน เป็นดินด้าน อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากเรานำฟางไปคลุมดินเอาไว้ จะทำให้เกิดชั้นหน้าดินอีกทีหนึ่ง ช่วยคลุมหญ้า และวัชพืชต่างๆ เมื่อเรานำฟาง ไปคลุมหญ้าและวัชพืช ให้หนาพอสมควร โดยไม่ให้อากาศ หรือแสงส่อง ถึงพื้นดิน ก็จะทำให้หญ้า และวัชพืชเน่าเป็นปุ๋ยหมักตามธรรมชาติอย่างดี หลังจากนั้น เราก็จะสามารถ แหวกฟางออก ปลูกพืชผักต่างๆ ได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก
ฟางรักษาความชื้นให้แก่ดิน เป็นการสร้างดินให้มีชีวิต สร้างระบบนิเวศ ถ้าหากเราทำกสิกรรมที่ใช้ฟางเป็นหลัก
จะทำให้ ประหยัดน้ำมากขึ้น ช่วยให้เกิดวัฏจักรชีวิตของสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อดินตามธรรมดา
ดินที่ว่างเปล่า หรือดินโล้น จะเป็นดินป่วยดินดาน ดังนั้นถ้าหากเราปลูกพืชลงไป
พืชผักก็จะอ่อนแอ ไม่เจริญเติบโต ศัตรูของพืช ก็จะมาทำลาย แต่ดินที่คลุมด้วยฟางจะเป็นดินที่ร่วนซุยเพราะไส้เดือน
จุลินทรีย์และสัตว์ต่างๆ ช่วยกันพรวนดิน ดินที่คลุมด้วยฟาง ก็จะเป็นอาณาจักร ของสัตว์ต่างๆ
เพราะระบบนิเวศวิทยาอุดมสมบูรณ์ เช่น คางคก แย้ จิ้งเหลน แมงมุม การระบาดของแมลงศัตรูพืชก็จะค่อยๆหายไป
โดยที่เราไม่ต้องไปใช้สารขับไล่แมลง ดังนั้น การทำลายชีวิต ของสัตว์ต่างๆในไร่นา
นอกจากจะผิดศีลธรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นการทำลาย สิ่งแวดล้อม ที่เราอาศัยอยู่
ให้เสื่อมลงไปอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด ถ้าหากเรานำไปคลุมสวนผักของเราทุกๆปี จะเกิดความอุดม
สมบูรณ์ ตามธรรมชาติ
* บุญมา การะเกษ จ.อุบลราชธานี
- รู้-เข้าใจ แล้วลงมือทำ ทำแล้วมีอุปสรรค ก็ปรับก็แก้ไข ผลได้-ผลเสียเป็นอย่างไร ก็ส่งข่าวมาบอกกัน เพื่อกสิกร ชาวนาไทย จะสามารถพึ่งตนเองไ ด้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี หรือ ยาฆ่าแมลง ที่ทำให้ชีวิตเราสั้นลงๆ อีกทั้งยังได้ ฟื้นฟู บำรุงผืนแผ่นดิน ให้กลับอุดมสมบูรณ์ กันอีกครั้ง ผลผลิตไร้สารพิษ ก็คงจะตามมาในที่สุด - บ.ก.
ชีวิตเป็นสุข เพราะห่างไกลจากอบายมุข
ทุกวันนี้ประกอบอาชีพสุจริตครับ คือ ทำขนมออกเร่ขาย และยึดแนวทางของสารอโศกเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ชีวิตความเป็นอยู่ก็ยังค่อนข้างยากจน แต่ก็มีความสุขดีครับ เพราะเป็นชีวิตที่ห่างไกลจากอบายมุขคือ
ไม่ได้ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน ซื้อหวยเบอร์ ก็เป็นชีวิตที่ตัวผมเองคิดว่า
น่าจะพาครอบครัวไปรอดนะครับ หนังสือดอกหญ้า สารอโศก ทำให้ผมได้ความรู้เรื่องกสิกรรมขึ้นเยอะเลย
ทำให้ครอบครัวรู้จักรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม รู้จักการแยกขยะ รู้จักพอ จะทำให้ชีวิตมีความสุข
และทำงานเพิ่มให้มากขึ้น
ที่น่าหดหู่ใจก็คือไฟป่าปีนี้ที่แม่ตื่นค่อนข้างแรง ไหม้ลามภูดอยเสียหายอย่างใหญ่หลวง
นับว่าฝีมือมนุษย์นี่ ร้ายกาจ จริงๆ การตัดไม้ทำลายป่าก็ยังคงมีอยู่ทุกวี่ทุกวัน
น้ำในลำน้ำก็แห้งขอดลงมากทีเดียว ทางที่ดีก็คือเราๆ ท่านๆ ช่วยกันอนุรักษ์+รักษาสภาพสิ่งแวดล้อม
และมีธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เป็นสุข
* สุรศักดิ์ สุตะปัญญา จ.เชียงใหม่
- ชีวิตที่เรียบง่าย รู้จักพอ ไม่แสวงหาสิ่งบำรุงบำเรอฟุ้งเฟ้อ ขยัน ขวนขวาย ดูแลรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ทำให้ จิตวิญญาณสงบ ร่มเย็นได้ แม้กระนั้น ธรรมชาติ ก็ยังถูกรุกราน จากไฟป่า และมนุษย์ผู้บุกรุกเกินจะทดแทนได้ทัน สังคม -มนุษยชาติ คงจะมีกุศลอยู่คู่กับอกุศล ให้เราได้บำเพ็ญเพียรเรียนรู้กันไปนานเท่านาน นั่นแหละนะ - บ.ก.
อโศกคือ....บ้าน....ยา...แหล่งความดี.....แสงสว่าง และหนทางที่ปลอดภัย
ผมได้รับหนังสือสารอโศกเป็นฉบับที่สอง(ซับขวัญชาวใต้) อ่านแล้วเหมือนกับแบตเตอรี่ที่มีไฟเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ให้แสงสว่าง เห็นสัจธรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ชาวอโศก ทำออกมา เป็นหนังสือนั้น
มาจากการปฏิบัติ การฝึกทำจริง ชัดด้วยตนเอง รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงนำมาเป็นปริยัติอย่างสมบูรณ์
ผมอ่านไป ได้แนวคิดอะไรหลายอย่าง แต่ละมุมละเอียดมากขึ้น เกิดพลังในใจ เพียงอ่านดูปกก็ขยายความได้มาก เข้าใจและไม่สงสัย ก็เพราะเป็นการปฏิบัติจากใจจริง แต่ถึงผมไม่สงสัย ก็ต้องอ่านให้จบ เพราะเป็นการฝึก ให้ผม ไม่อยู่ในความประมาท ถ้าทุกคนได้ปฏิบัติเหมือนชาวอโศกด้วยความเพียรอันต่อเนื่อง คงมีแต่ความรู้แจ้ง เห็นจริง แน่นอน
ในการปฏิบัติธรรมบางครั้งผมเข้าใจว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะพูดและบรรยายมาก เพราะมันมีคำตอบ ที่เป็น นามธรรม ภายในใจ ผมไม่ได้หมายความว่าไม่สงสัยแล้วผมจะเก่ง แต่ผมรู้ และเข้าใจว่า นี่คือโลก นี่คือธรรม ถ้าไม่มีโลก ก็ไม่มีธรรม เพราะความรู้ที่แท้จริงคือการปล่อยวางด้วยสติปัญญา ถ้าทำใจให้ถึงความเป็นกลางได้ ก็จะพ้น ทุกข์ทั้งปวง ผมรู้เสมอว่า หนังสือสารอโศกดี ที่ดีก็เพราะมาจากการ"ฝึก"
ที่จริงแล้วก่อนผมจะได้รับหนังสือสารอโศก ผมได้ศึกษาพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติธรรมไปด้วย
และ ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า พอผมได้อ่านสารอโศก ผมก็ได้เห็นแนวทาง ที่จะช่วยเหลือ
ผู้ที่อ่อนแอมากขึ้น ปกติแล้ว ครอบครัว ชอบทำบุญปฏิบัติธรรม ผมก็เลยสะสมมาจนทุกวันนี้
* วิษณุ วงษ์เสนา จ.ขอนแก่น
- หากได้เขียนเล่า "บทฝึก" มาสู่กันฟังบ้างก็คงจะดีไม่น้อยเลย ลองรวบรวมดูแล้วเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างสิ......นะ ! - บ.ก.
สัจจะมีหนึ่งเดียว
เฝ้าติดตามสันติอโศกเรื่อยมา ขาดหายไปบ้างบางช่วง หนังสือได้รับบ้าง ไม่ได้รับบ้างเพราะนานๆตอบครั้ง
ในฐานะ ที่เคยมาสัมผัสอโศกยาวนานพอสมควร ก่อนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่
ก็คลุกคลีอยู่กับ ลานนาอโศก จนเรียนจบ ก็ไปต่อที่สหรัฐฯ ก็ติดต่ออยู่เสมอ
ชื่นชมและเฝ้าติดตามความก้าวหน้าของญาติธรรมชาวอโศก โดยเฉพาะเศรษฐกิจพอเพียง ยอมรับว่า ไม่มีที่ใดในโลก ทำได้เหมือน ชุมชนอโศกของเรา การปฏิบัติเคร่งครัดในศีล-จริยวัตรงดงาม มีวิสัยทัศน์กว้างไกล โดยเฉพาะ สร้างเยาวชน มีโรงเรียน และสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต เพื่อเป็นอโศกพันธุ์แท้ หรือ The future generation ไม่ให้ขาดหายไป ชื่นชมมากหลายอย่าง แต่ธรรมดามีดีก็มีไม่ดีควบคู่เป็นสัจธรรม ดังที่หลวงพ่อชาสอนว่า สองหน้า ของสัจจะ มีหัวก็มีก้อย
อโศกของเราจะเน้นมังสวิรัติและถือเอาว่านี่คือทางเข้าสู่อริยมรรค เคร่งเอาเป็นเอาตาย บางครั้งคนใส่บาตร หรือ แม้แต่ผม บิณฑบาตตามหลัง ก็ยังตกใจ ที่พระยื่น คืนอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์, ปลาให้กลับไป ต่อหน้า คนใส่บาตร คนอื่นมากมาย คนใส่บาตรก็ช็อค ผมเองทำใจได้ เพราะรู้มาก่อน บังเอิญคนใส่บาตร รู้จักกัน ก็เลยมาปรับทุกข์ให้ฟัง ผมเห็นว่า ถ้าหากเราจะรับ พอถึงที่ฉัน ก็แยกออก คงไม่เป็นไร กระมัง (ผมคิดเอง) พระสงฆ์เราเรียนปริยัติมาบ้าง ก็คงรู้ว่า ที่พระเทวทัตขออยู่ มีข้อ ๑ ที่ว่าให้พระฉัน เฉพาะ มังสวิรัติ แต่พระพุทธองค์ ไม่ทรงอนุญาต แม้ในครั้ง พุทธกาล แต่พวกเราชาวอโศก กลับนำมาเป็นแก่นแล้ว คนอื่นเขาก็คงรับไม่ได้ จนกลายเป็นอัตตาของพวกเรา ชาวอโศก ไปแล้ว (คนอื่นปรับทุกข์มา ส่วนผมเฉยๆอยู่แล้ว)
ที่ผมเขียนมานี้ก็ด้วยระลึกถึงคุณของอโศก ถึงคุณของญาติธรรมทั้งอโศกสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่
อโศกทุกๆแห่ง ที่ผม เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข มีอุดมการณ์ ร่วมมายาวนาน จนวันนี้ ยินดีที่ชาวอโศก
ก้าวหน้าไปอย่าง ไม่หยุดยั้ง ขอให้กำลังใจ ในแนวทาง ชุมชนเกษตรพอเพียง เกษตรอินทรีย์
โรงเรียนสัมมาสิกขา, สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต ฯลฯ ขอให้กำลังใจ ญาติธรรม ทุกท่าน
ผมขอร่วมอนุโมทนาบุญ ที่ท่านทำให้คนชั้นรากหญ้า แก้ปัญหาชีวิตได้ อย่างไม่มีที่ไหนในโลก
จะทำได้
* พระสังคม ธนปัญโญ วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี
- ธรรมดาของโลกนั้น สัจจะมีดี(ธรรม)และก็มีชั่ว(อธรรม)ควบคู่กันถูกต้องแล้ว เหมือนเหรียญมีด้านหัวกับด้านก้อย แยกกันอยู่คนละด้าน อย่าเข้าใจ สัจจะผิด ตรงที่ด้านหัว อยู่ฝั่งเดียว กับด้านก้อย หรือด้านก้อย ปนเปด้านเดียว กันกับด้านหัว เป็นอันขาด
ฉะนั้น ถ้าเปรียบการกินมังสวิรัติเป็นด้านไม่ดี การกินเนื้อสัตว์ก็คือด้านดี หรือถ้าให้การกินมังสวิรัติเป็นด้านดี การกิน เนื้อสัตว์ ก็เป็นด้านไม่ดี สัจธรรมของโลก มีหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสอง คือ เป็นธรรม หรือ อธรรม เสมือนเหรียญ จะออกหัว หรือออกก้อยเท่านั้น ไม่ออกกระเทย เด็ดขาด
ส่วนการคืนอาหารเนื้อสัตว์ของผู้ใส่บาตรสมณะนั้น ท่านรับบาตรให้แล้ว ของนั้นเป็นของสมณะแล้ว ท่านก็ให้โยมไป ช่วยทำบุญต่อ เพราะหากนำอาหารไป แต่ไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ ก็จะเสียของ เปล่าๆ สู้ให้โยมไปกินเป็นลูกศิษย์พระ จะดีกว่า สมณะของชาวอโศก ปฏิบัติอย่างนี้มาร่วม ๓๐ ปีแล้ว ทำให้ญาติโยม ที่เคยเข้าใจผิดๆ ได้หันมาเข้าใจ ถูกต้องขึ้น ในเรื่องของการนำอาหาร มาใส่บาตรพระ จะได้บุญมากขึ้น เข้าใจศีลข้อ ๑. ห้ามฆ่าสัตว์ได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น ทั้งไม่ฆ่าเอง และไม่ต้องมีใครฆ่าให้
เพราะที่ถูกต้องแล้ว พระในพระพุทธศาสนานั้น ส่วนใหญ่ไม่ฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้ว นับตั้งแต่โบราณกาลมา ทั้งพระพุทธเจ้า และภิกษุทั้งหลาย ล้วนไม่ฉัน เนื้อสัตว์ ทั้งสิ้น แม้จนกระทั่ง ถึงปัจจุบันนี้ ภิกษุสงฆ์ในประเทศอินเดีย ทั้งหมด ก็ไม่มีการฉันเนื้อสัตว์ ยังคงดำเนินตามรอยบาทพระศาสดา ได้อย่างเป็นปกติธรรมดา ของชีวิต จนตราบ เท่าทุกวันนี้
ส่วนข้อที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตคำขอของพระเทวทัตทั้ง ๕ ข้อ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ดีเคร่งครัดนั้น โดยเฉพาะข้อที่ ขอให้ภิกษุทั้งหลาย ไม่ฉันปลาและเนื้อ ตลอดชีวิต รูปใดฉัน รูปนั้นพึงต้องโทษ (พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๓๘๔) พระพุทธเจ้า ไม่ทรงอนุญาต เพราะทรงอนุโลมให้บ้าง สำหรับภิกษุส่วนน้อย ที่ยังเคร่งครัดไม่ได้ โดยทรงอนุญาต ปลา และเนื้อ ที่บริสุทธิ์ ด้วยเหตุ ๓ ประการนี้ คือ ๑. ไม่ได้เห็น(ว่าฆ่าเจาะจงมาให้) ๒. ไม่ได้ยิน (ว่าฆ่าเจาะจงมาให้) ๓. ไม่รังเกียจ (ว่าฆ่าเจาะจงมาให้) แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์ ด้วยเหตุ ๓ อย่างนี้ เนื้อสัตว์นั้น ไม่ควรบริโภคเลย คือ ๑. เนื้อที่ตนเห็น (ว่าฆ่าเจาะจงมาให้) ๒. เนื้อที่ตนได้ยิน (ว่าฆ่าเจาะจงมาให้) ๓. เนื้อที่ตนรังเกียจ (ว่าฆ่าเจาะจงมาให้) (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๓ ข้อ ๕๗) - บ.ก.
- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๑ มีนาคม ๒๕๔๘ -