ตอน... พุทธปรัชญากับยุทธศาสตร์ทางเลือกในการพัฒนาสังคม

มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘

งานปีใหม่ พ่อท่านให้อะไร
๑ ม.ค. ๒๕๔๘ เช้าของวันปีใหม่ พ่อท่านกล่าวอธิษฐานธรรมไว้น่าสนใจ "กาละเวลาย่อมหมุนไป คนผู้ไม่ได้ฟังธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ในสัทธรรม อันวิเศษ ไม่รู้ในวัฏฏสงสาร ย่อมมีชาติสังสาร มีการเกิดในวัฏฏสงสารนั้นไปตลอด อย่างดีก็ขึ้นสวรรค์มีสุข แต่ไม่เที่ยง แล้วก็ตกนรก จนหมดในบาปเวร หมดในวิบาก ใช้หนี้เสร็จ จึงจะได้เกิด เป็นเดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ ขึ้นสวรรค์อีกไปตามลำดับ ความหมุนเวียนของสังสารวัฏแห่งสัตวโลก จะหมุนเวียนไปตราบนานเท่านาน จนกว่า จะได้พบ สัจธรรม ที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสัทธรรมที่รู้จักสังสารวัฏ รู้จักการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป และรู้จักเหตุแห่งการเกิด รู้จักวิธีดับเหตุแห่งการเกิดได้ จึงจะเป็น ผู้ที่สามารถ ดับสังสารวัฏ หรือดับความหมุนเวียนที่เราเกิด เราตายอยู่ ตราบนิรันดร์นั้นได้ เป็นผู้ที่สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ ทุกคนที่ได้ฟังสัทธรรม ของพระพุทธเจ้าแล้ว อย่าประมาท จงพยายามเรียนรู้ปรมัตถธรรม ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิด อันเป็นเหตุในจิตคืออาริยสัจ ผู้ใดศึกษาสามารถดับเหตุ แห่งการเกิด ที่เป็นอาริยสัจได้แล้ว ผู้นั้นจะเป็น อมตบุคคล เกิดก็ได้ ตายก็ได้ และสูญสิ้นหมดสิ้น ไม่เกิดอีกเป็นนิรันดร์ก็ได้ แต่ถ้ายังเกิดอยู่ ก็เป็นผู้มีหลักประกัน ที่ไม่เป็นพิษ ต่อตน ไม่เป็นพิษต่อมนุษยชาติในโลก จึงเป็นผู้ประเสริฐ ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบคนชนิดใหม่นี้ ด้วยประการฉะนี้แล"

และในส่วนท้ายของการแสดงธรรมในเช้าวันปีใหม่นั้นดังนี้ "เราได้ฟังธรรมต้อนรับปีใหม่ที่เป็นกรรม เป็นปรมัตถ์ที่ชัดเจน อาตมาหวังว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้จะช่วยโลกได้ ช่วยสังคมได้ เรามีรูปร่าง เรามีองค์ประกอบของสังคม มีวัฒนธรรม แม้วัฒนธรรมนี้ยังไม่แข็งแรง เราต้องทำให้วัฒนธรรมนี้แข็งแรง ให้มีวิถีการดำเนินชีวิตอย่างที่เราเป็นนี้ ทำสาธารณโภคี ทำแก่นของบุญนิยมนี้ให้รอด เราทำอย่างนี้ไป เราก็จะพัฒนาบุญนิยมทุกด้าน ไม่ว่าจะเศรษฐศาสตร์ การเมือง การศึกษาก็ให้เป็นบุญนิยม ให้มันเป็นประโยชน์ ต่อสังคมและมนุษย์โลก เท่ากับเราได้ช่วยโลก ๑. เราต้องพัฒนาตัวเราเอง เราได้ประโยชน์ เราได้สิ่งที่เป็นทรัพย์ที่แท้ เป็นทรัพย์ประเสริฐด้วย ๒. เราก็จะได้ช่วย สังคมจริงๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ เป็นประโยชน์สองส่วน เป็นประโยชน์ตนและท่านในตัว และจะเป็นประโยชน์ที่จะติดตัวไปชาติหน้า แม้โลกียธรรม ก็เป็นกุศลโลกีย์ ยิ่งถ้าได้โลกุตรธรรม ก็จะได้ทั้งกุศลโลกีย์ด้วย ทั้งกุศลโลกุตระด้วย ซึ่งโลกุตรธรรมที่แท้นั้นจะช่วยทั้งตัวเราเองและสังคมได้อย่างแท้จริง

ปี'๔๘ นี้โลกมันก็แก่เฒ่าเหมือนกัน มันก็ย่อมมีการแปรปรวนเป็นธรรมดา อาตมาว่า เรื่องตายไม่ใช่เรื่องใหญ่ การเกิด-ตายมันเป็นเรื่องการหมุนเวียน ในสังสารวัฏ ถ้าเราทำ โอปปาติกะ ของเราให้ดี สร้างกรรม สร้างวิบาก ให้เป็นสัมภาระวิบากที่ดี อันนั้นเท่านั้นเป็นที่พึ่ง เป็นกรรมปฏิสรโณ เพชรนิลจินดา ทรัพย์ศฤงคารไม่ใช่ที่พึ่ง เป็นเพียง สิ่งสังเคราะห์ ชั่วแว่บชั่ววับที่ได้อาศัยมันเท่านั้น แต่สิ่งที่เราจะได้พึ่งจริงๆเป็นทรัพย์ติดตัวเราข้ามพบข้ามชาติไปนานเท่านานนั้นคือ "กรรม" ที่เราทำ อันนี้เป็นสำคัญ

ฟังธรรมวันนี้แล้ว ตั้งอกตั้งใจให้ดีๆ เราต้องการการผนึกพลังพุทธ ผนึกพลังสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โดยแต่ละคนมาผนึกกัน เราเป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เราจะรวมพลังสร้าง โลกทุกวันนี้เขาก็ต้องการรวมกัน พยายามช่วยกันในสิ่งที่ดี ซึ่งก็ดี เป็นเจตนาที่ดี ถ้าไม่มีสิ่งนี้เลยคงลำบาก แต่ที่เราจะทำนี้มันจะซ้อน มันจะดียิ่งกว่า เพราะว่า เราทำเพื่อสละออก ทำเพื่อผนึกพลังสร้างสรรที่จะยิ่งใหญ่มากขึ้นๆๆ มันจึงจะไปช่วยโลกได้มากขึ้น ถ้าทำกะปริดกะปรอย เล็กๆ น้อยๆ มันไปไม่รอด หลายคนอย่าลังเล หลายคนที่ยังไม่เอาจริง ก็ขอให้มีกำลังกายกำลังใจที่เอาจริง พยายามตัดสินให้ได้อย่าลังเลอยู่เลย พ้นวิจิกิจฉาให้ได้ แล้วพยายาม ลงมือ หรือทำตนเองให้เข้ามาสู่ทางพุทธให้ได้ ขอให้ทุกคนประสบผลในการที่จะพยายามมาผนึกพลังพุทธกันให้ได้ เพื่อจะช่วยตน-ช่วยท่านให้ได้ยิ่งๆๆกว่านี้ ในปี'๔๘"

จากสถิติที่ฝ่ายบัญชีรวบรวมไว้ สรุปกำไรอาริยะงานปีใหม่ ๒๕๔๘ มีรายรับ(ขาย) ๑๔,๘๙๓,๓๙๔.๐๐ บาท รายจ่าย ๑๘,๙๔๘,๒๔๒.๐๐ บาท รวมเป็น กำไรอาริยะ(บุญนิยม) หรือ ขาดทุนนั่นเอง จ่ายไปให้สังคมทั้งสิ้น ๔,๐๕๔,๘๔๘.๐๐ บาท (สี่ล้านห้าหมื่นสี่พันแปดร้อยสี่สิบแปดบาทถ้วน) นี่คือ ตัวเงินสดที่ได้สละ ยังไม่ได้คิดค่าแรงงาน ค่าใช้จ่าย ที่ลงทุน ในการจัดงาน ค่าใช้จ่ายของแต่ละรายแต่ละคนที่จ่ายส่วนตัวไป ค่าใช้จ่ายโสหุ้ยปลีกย่อยสารพัดต่างๆ ซึ่งถ้าคิดรวมอีก ก็อีกไม่น้อย กว่าเงินสดที่จ่ายไปแน่ มีร้านค้า ที่มาร่วมออกร้าน ๗๑ ร้าน ใช้กำลังคนในการดูแล ๙๖๔ คน

ข้อมูลส่วนอื่น ของงานปีใหม่ ในที่นี้ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ผู้สนใจรายละเอียด ติดตามได้จากสารอโศก และข่าวอโศกรายปักษ์ ที่ผ่านมา



พุทธปรัชญา กับ ยุทธศาสตร์ทางเลือกในการพัฒนาสังคมไทย
๒ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่ราชธานีอโศก คุณสุวิดา แสงสีหนาท นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มาขอสัมภาษณ์เพื่อประกอบการทำวิทยานิพนธ์ ในหัวข้อ "ภูมิปัญญา บูรณาการบนฐานคิดพุทธปรัชญา กับยุทธศาสตร์แนวทางเลือกในการพัฒนาสังคมไทย" โดยได้ไปทำวิจัยภาคสนามที่ชุมชนพุทธฉือจี้ที่ไต้หวัน แล้วก็ชุมชน พุทธสรรโวทัย ที่ศรีลังกามาแล้ว ส่วนชุมชนอโศกจะไปเก็บข้อมูลที่สันติอโศก ราชธานีอโศก ปฐมอโศก และศีรษะอโศก จากคำถามคำตอบบางส่วนดังนี้

ถาม : เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตอนนี้เหมือนกับว่าชุมชนของอโศกจะอยู่ด้วยตัวเอง คล้ายๆชุมชนปิด

พ่อท่าน : อ๋อ! ไม่ปิด ไม่นะ ชุมชนชาวอโศกไม่ได้ปิดนะ ชุมชนอโศกนี้เคลื่อนตัวตามเหตุปัจจัย เคลื่อนตัวตามความเหมาะสม มัชฌิมาปฏิปทา คือตามสัดส่วน ที่พอเหมาะ พอดี แต่ก่อนนี้ใช่ เหมือนเราปิดมากกว่านี้ เพราะเราเองยังมีกลุ่มที่เป็นแกนไม่มาก เพราะฉะนั้น เราก็สัมพันธ์กับข้างนอกเพียงพอเหมาะ ก็ยังน้อยอยู่ละ เพราะโลกีย์ข้างนอก เป็นมวลหมู่ ที่ใหญ่มาก โลกีย์กับ โลกุตระ อุดมคติคนละกระแสเดินคนละทาง เมื่อเรายังไม่โตพอ พลังยังแข็งไม่พอ ถ้าผลีผลาม จะถูกกลบกลืน ด้วยกระแส โลกีย์ได้ ก็ต้องระวังตัว ตอนนี้โตขึ้นจะเห็นได้ว่า อโศกนี่สัมพันธ์กับคนข้างนอกกว้างมากเพิ่มขึ้น

ถาม : ปีสองปีนี้เห็นเพิ่มขึ้นมาก
พ่อท่าน : ใช่....เพิ่มขึ้นมาก เพราะฉะนั้นในรอบของการขยายตัว มันจะมีรอบของมันโตเรื่อยๆๆ อาตมาดูแล หรือว่าควบคุม สัดส่วนนี้อยู่ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ในอีกระดับหนึ่ง มันจะขยายตัวโตขึ้นไปอีกๆๆ ขณะนี้กลุ่มอโศกของเราเพิ่งจะ ๒ ทศวรรษ เอง ทศวรรษที่ ๓ ยังไม่เต็ม ดังนั้นมันจะคลี่คลาย มันก็จะมีรูปธรรม-นามธรรม มีพฤติกรรม ของคนที่มีคุณธรรม เพราะปฏิบัติ พุทธศาสตร์ มีวัฒนธรรม มีองค์ประกอบอะไรต่างๆปรากฏขึ้นมาตามลำดับ

ถาม : แล้วตอนนี้มีความสัมพันธ์กับต่างประเทศบ้างมั้ย
พ่อท่าน : อ๋อ! ต่างประเทศเนี่ยะอาตมาเองเป็นคนปิดกั้น พยายามดันไว้ตลอดเวลา เรายังพูดไทยกับคนไทย วัฒนธรรม เดียวกัน ศาสนาเดียวกันด้วยนี่นะยังยากเลย เพราะฉะนั้น อาตมาจะไม่ทำในสิ่งที่ยังไม่แน่ใจว่าควร ใครจะบอกว่า ควรแล้ว ไม่เห็น หรือคนอื่น เขานิยมกันแล้ว อาตมาก็มีความเข้าใจในสิ่งที่ลึกซึ้งอีกนัยหนึ่ง คนที่นี่บารมี ไม่เป็นชาวต่างชาติ ถึงจะมี อยู่บ้าง ก็น้อย แต่อย่างไรก็ต้องเอาคนไทยก่อน อาตมาเป็นไทย พูดภาษาต่างชาติไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะได้คนไทย เป็นแกนหลัก ไปก่อน แล้วต่อไปในอนาคต จะมีคนที่มีความรู้ภาษา ที่ลึกซึ้ง รู้อะไรที่ดีขึ้นจะสัมพันธ์กับคนต่างชาติเพิ่มไปเอง เมื่อถึงรอบ ที่จะสัมพันธ์กับต่างประเทศเขาอีกที อาตมากลัว ความกรูเกรียว จากข้างนอก ที่จะเข้ามารุม ถ้าเข้ามามากเกินแรง ตอบรับนี่ไม่ไหว พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง วัฒนธรรมก็คนละอย่าง แกนของค่านิยมก็คนละทิศ เสียเวลา มากเลย เราจะยากลำบาก แล้วจะทำงานไม่ได้ แล้วมันจะตายด้วย เพราะฉะนั้นจะว่าเราขยายออกไปมั้ย มันต้องขยาย ในอนาคตมันต้องขยาย เพราะว่า สิ่งนี้ มันเป็นสิ่งที่เป็นตัวเลือก ที่อาตมามั่นใจว่า มันเป็นความสงบสุข เป็นความสามัคคี เป็นความสันติที่วิเศษ มันเป็นสัจจะ มันเป็นสัจธรรมที่แท้จริง เพราะงั้นไม่กังวลหรอก อาตมาไม่กังวล คนอื่นเขาจะกังวล แหม! คิดใหญ่คิดโต คิดจะยังโง้น ยังงี้ อาตมาไม่คิดหรอก อาตมารู้อย่างหนึ่งว่าชาติไหนก็คน เพราะฉะนั้น....จิตวิญญาณ หรือความรู้สึก ของคน คนก็ต้องการ สิ่งที่ดีที่สุด ที่ประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้าเป็นคนที่ตรัสรู้แล้วท่านเป็นชาวอินเดีย แล้วท่านก็ตรัสรู้ สิ่งที่เป็นเรื่องของ "คน" ไม่ใช่เรื่องของชาติ ชาติใดชาติหนึ่ง เรื่องของคน จิตวิญญาณของคน เพราะฉะนั้น ท่านตรัสรู้สิ่งที่เป็นสากลที่สุด ที่มนุษยชาติ ต้องการ ไม่เลือกเผ่าพันธุ์ชาติหรอก แต่มาพอดีที่ว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าอาตมา เป็นคนอินเดีย อาตมาก็ทำกับ ชาวอินเดีย ก็จะได้ คนอินเดียก่อน แต่อาตมาเป็นคนไทยก็ทำกับคนไทยก่อน ถ้าอาตมาเป็นคนจีน อาตมาก็ไปทำประเทศจีน ก็จะได้คนจีนก่อน ก็เท่านั้นเอง แล้วมันจะขยายต่อไปอีกเอง

ถาม : คำสอนของพระพุทธศาสนาที่ถือว่าเป็นแก่นสำคัญในการพัฒนาชุมชน พัฒนาสังคมนี่คืออะไรคะ
พ่อท่าน : โลกุตรธรรม หรือ อเทวนิยม

ถาม : ช่วยขยายความหน่อยได้มั้ยคะ ทำไมถึงมาโยงกันล่ะคะ อเทวนิยมกับโลกุตรธรรม
พ่อท่าน : คือธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะที่ไม่นับถือพระเจ้า แต่นับถือกรรม กรรมนี่แหละเรียนรู้กรรม เกิดอย่างไรเป็นอย่างไร เกิดจากจิตวิญญาณ เป็นตัวประธาน ทีนี้ในจิตวิญญาณที่มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน จิตวิญญาณคนนั้น ก็สั่งสมเป็นโลกียะ ที่หยาบคาย เมื่อลดกิเลสลงไป มันก็ลด ความหยาบคาย ลงไปเรื่อยๆ เป็นโลกุตระ ไม่ใช่โลกียะ จึงรู้จักกรรม รู้จักการล้างกิเลส ไม่ใช่ว่าพระเจ้ามาสั่ง พระเจ้ามาบันดาล ไม่ใช่ แต่กรรมเป็นเรื่องสัจจะที่จะมีอำนาจ หรือ มีฤทธิ์แรง มีพลังงาน ควบคุม เหตุผล ต่อตัวเราเอง ที่เรียกว่า Atheism (อเทวนิยม) ไม่ใช่ไปพึ่งพระเจ้าแต่พึ่งกรรมตนเอง เพราะงั้น พึ่งกรรมตนเอง แล้วก็ปฏิบัติกรรม ประพฤติกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ล้างกิเลสออกไปเรื่อยๆๆๆ เป็นโลกุตระ เรื่อยๆๆๆ จนเจริญ บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นโลกุตรธรรม จนกระทั่ง ถึงนิพพาน ให้มีอรหัตตผล จนถึงนิพพานให้ได้


ถาม : แล้วความสัมพันธ์กับภาครัฐล่ะคะ
พ่อท่าน : ภาครัฐเราก็ทำงานกับสังคมอยู่แล้ว รัฐก็ดูเอาเองสิ ท่านอยากจะให้เราร่วมอะไร ถ้าร่วมได้ เราก็ทำ อะไร ที่เราร่วม ไม่ได้ เราก็ไม่เอา เมื่อเราเปิดเราขยายขึ้นมา ไม่กี่ปีหลังเนี่ยะ เราก็สัมพันธ์ต่อรัฐมากขึ้น รัฐก็เห็นความจำเป็น เห็นความสำคัญ ก็อุดหนุนจุนเจือ ช่วยเหลือกันมา อะไรไปขอร้องให้เราทำ อุดหนุนด้านเงินทอง ความช่วยเหลือ ด้านโน้น ด้านนี้ ก็ช่วยเหลือมา เราก็ทำ เราถือว่าทำประโยชน์กับประชาชนช่วยรัฐอยู่แล้ว เพราะเราทำงานกันถึงขั้น ไม่ได้เอาเงินดาวน์เงินเดือน หรือว่าเราเอง เราไม่ล่าเงิน ไม่ล่าลาภ-ยศ-สรรเสริญ-โลกียสุขแล้ว แม้แต่เงินของรัฐเราก็ไม่ล่า เพราะฉะนั้น ทางรัฐอยากจะช่วย ก็ช่วยมา ซึ่งก็มีมาเรื่อยๆ


ถาม : เงินที่รัฐให้มา เงินที่ไม่ถูกต้องเราก็ไม่เอา? เงินหวยเงินอะไรนี่เราก็ไม่เอา?
พ่อท่าน : คือเราเองก็ไม่ถึงขนาดนั้นทีเดียว อะไรที่ไม่เหมาะสมเราก็พิจารณา อะไรที่เหมาะสม เราก็ส่งเสริม แต่ถ้าส่งเสริม อันนี้ไปแล้ว ท่านก็ยิ่งย่ามใจ แล้วก็มาอ้าง เอาเราไปแก้ตัว ก็เสียเรา อย่างนี้เราก็ไม่เอาด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราหยิ่งผยองอะไร เราก็ติดต่อด้วย ร่วมกันได้มั้ย ถ้าได้เราก็เอา ทางด้านโน้นติดต่อมาก็มี ทางเรา ติดต่อไปก็ด้วย อะไรอย่างนี้ แล้วก็ไม่ได้ขยาย มากมายนักหรอก บางทีบางอย่างให้มามาก เราก็บอกไม่ไหวเอาไว้ก่อน ไม่เอา รับเอามาแล้ว ทำไม่ได้ ก็สูญเสียเปล่าๆ เราก็เสีย เศรษฐกิจ ก็เสีย งานก็เสีย เรารับเท่าที่เราทำได้

ถาม : ยังงี้จะถูกมองว่าสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้หรือเปล่าคะ
พ่อท่าน : เราสนับสนุนสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหนก็ตาม รัฐบาลมีหน้าที่บริหารสังคม บริหารประเทศชาติ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ดู ก็เราอยู่ในประเทศนี้ รัฐบาล เป็นผู้บริหาร แล้วเราจะบอกว่าไม่เอากับรัฐบาล อ้าว! เราจะออกไปยังไง จะเอาหรือไม่เอา รัฐบาลเขาก็บริหารอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ดูสิว่า อันไหนเห็นด้วย เราก็ว่าไป อันไหน เราไม่เห็นด้วย เราก็ไม่เอา รัฐบาลทำยังงี้เราไม่เห็นด้วยเราก็ไม่เอา เหมือนฝ่ายค้านแต่เราก็ไม่ใช่ฝ่ายค้าน เราเป็นฝ่ายสนับสนุน แต่เราก็ ไม่สนับสนุน ทุกเรื่อง เราก็ใช้ ปัญญาของเราใช้อิสรเสรีภาพของเรา สิทธิในความคิด สิทธิในความเห็น เราเห็นด้วย เราก็เอา เราไม่เห็นด้วย เราก็ไม่เอา บางเรื่องถึงขั้นต้องค้านเราก็ค้านจริงๆ บางอย่าง ออกกฎหมาย มาบังคับเราด้วยซ้ำไป


 

ถาม : อย่างเช่นอะไรคะ กฎหมายช่วงก่อนหรือเปล่าคะ หรือว่าช่วงนี้
พ่อท่าน : ช่วงก่อนๆ เช่น กฎหมายสงฆ์นี่ออกมาจะมาทำอะไรเรา มาแก้กฎหมายสงฆ์เพิ่มเติมอะไรขึ้นมาอย่างนี้เป็นต้น กฎหมาย เป็นกลางๆ เราไม่ค่อยมีปัญหา อะไรหรอก แต่เราก็ยาก อยู่เหมือนกัน เช่น กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายสรรพากร อย่างนี้ เรายาก เพราะชีวิตเราเดินไปในทิศทางจน แต่เขานี่เดินไปในทิศทางรวย เราบอกเราตั้ง บริษัท เพื่อที่จะขาดทุน เขาบอก ไม่มีในโลก บังคับให้เราทำกำไร เราก็ยืนยันว่าเราต้องขาดทุน เป็นความก้าวหน้าของพาณิชย์บุญนิยม เขาก็ว่าไม่ได้ จะต้องกำไร ต้องมี Vat จะต้อง มีโน่น มีนี่ อู้ฮู! ไม่ไหว อย่างร้านจตุจักรเราเนี่ยะ มีร้านย่อยๆ ต่างก็แบ่งกันทำอยู่ตั้งสามสิบสี่สิบร้าน เสร็จแล้ว รายได้ เราทำงานเป็นส่วนกลาง เราได้ก้อนกลางมา มันก็ก้อนโต ก็ไปเจอระบบ Vat ต้องไปเสียโน่นเสียนี่ เสียอัตราภาษีเพิ่ม อย่างนี้ เราก็บอกว่า เอ๊ะ! ที่เราทำนี่ไม่ใช่ของคนเดียวได้ก้อนโตนั้นนะ พวกนี้ไม่ได้กำไรนะ เงินส่วนเกิน ที่เกิด ก็เป็นค่าแรง ที่มีมาบ้าง เท่านั้น แต่เงินก็มารวมกันเป็นก้อนกลาง เงินมันก็ก้อนโต เราขายให้ประชาชนเขาถูก คิดตามหลักการค้าจริงๆ บวกค่า แรงงาน ค่าจัดการอะไร ก็ขาดทุน แน่อยู่แล้ว เราลดให้ประชาชนไปแล้ว แล้วคุณก็มาหักเอา Vat เราไปอีก เราก็ไปไม่รอด ทำให้ต้อง ไปขึ้นราคา กับประชาชน เราก็ทำไม่ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่คือความซับซ้อน ที่กฎหมายของทุนนิยม เราทำบุญนิยมเนี่ยะ มันจะขัดแย้งอยู่เหมือนกัน


ถาม : แล้วปัญหาตัวนี้มันจะแก้ไขไปอย่างไรคะ
พ่อท่าน : มันผะอืดผะอมอยู่ มันคลุมๆเครือๆอยู่ มันยังแก้อะไรไม่ได้ เพราะเขายังไม่เข้าใจ แต่ผู้ที่เขาจะเข้าใจ ก็เจ้าหน้าที่ ระดับเล็ก เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรกับเรา อยู่แล้ว เช่น ร้านค้าเราก็ขายให้ประชาชนถูก แต่ถูกคิดภาษีแบบทุนนิยมเต็มที่เลย เราทำบัญชี ก็ตามความจริง ซื่อตรง ทางทุนนิยมเขาเขาไม่ทำอย่างเรา เขาเลี่ยงได้ ของเราตรงๆ ไม่เลี่ยง มันก็แย่ สรรพากร ที่เข้าใจ เขาว่าอย่างนี้เอาคิดเหมาก็แล้วกัน คิดเหมาที่ควรจะคิดเท่านั้นเอง อย่างนี้พอเป็นได้ แล้วไม่ต้องมานั่งคิด ประเมิน เขาก็ประเมิน ถูกๆไว้ เท่านั้นเอง แต่ถ้าให้ไปคิดรวมรายได้นี่มันหลายๆคนมารวมกัน ถ้าไม่แบ่งย่อยเสีย เราก็หนัก ถ้าแกล้งคิด แบ่งกันไป แต่ละคน แจกไปทุกคนก็ไม่เข้าอัตราก้าวหน้า จะไม่เข้าอัตรา Advance แต่มันไม่จริงเลย เราไม่ได้เป็น อย่างนั้น แถมต้องมานั่งแยกบัญชีมาคิดแบ่งตัวเลขอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่จริง แต่นี่รวมกันแล้ว มันเหมือนรายได้มาก มันก็เลยไปเข้า อัตรา Advance เขา ก็เลยหนักเรา อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันต้องไปเสีย Vat ด้วย ต้องเสียอัตราก้าวหน้าอะไรด้วย โอย! ยิ่งหนัก ใหญ่เลย

เศรษฐศาสตร์ของเรามันจะไม่เหมือนเศรษฐศาสตร์ของเขา คือเราไม่โลภ-เสียสละ ไม่ได้กักตุน ไม่ได้สะสมไว้ จะสะพัดออกไป ตลอดเวลา ทันที เพราะเราไม่กักตุน ไม่เอาไป กอบกองไว้ หรือว่าไปออกดอกออกผลเพิ่ม อย่างนี้จะไม่เลย เศรษฐศาสตร์ บุญนิยม กับเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมมันคนละเรื่องกัน


 

ถาม : เรื่องการพัฒนาสังคมไทยส่วนใหญ่ โดยรวมเนี่ยะเราควรจะทำยังไงกันต่อไปคะ
พ่อท่าน : ก็ทำให้คนมีคุณธรรมที่แท้จริง สังคมมันเดือดร้อนเพราะคนไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่เดือดร้อนเพราะไม่มีความรู้ ไม่ใช่เลย เขาคิดว่า สังคมมันเดือดร้อน หนึ่งเพราะจน สอง เพราะไม่มีความรู้ ซึ่งมันไม่ใช่ เราพากันมาจน พิสูจน์กันอยู่นี่ ไม่ใช่จนอย่าง ขี้เกียจ ขี้คร้าน ไม่ใช่จนอย่างงอมืองอเท้า ไม่ใช่จนอย่างไร้สมรรถนะ เรายังมีสมรรถนะ เต็มใจ ไม่เอา นี่คือคนมีคุณธรรม เราไม่ได้ดูถูก ดูแคลนความรู้ เราก็ศึกษามีความรู้ ความรู้แบบโลกๆเราก็ศึกษาให้เห็นได้ว่าเราก็มีความรู้ ศึกษาแบบโลกๆก็ได้ พวกเราก็ศึกษา ปริญญาเอกมั่ง ตรีมั่ง ใครอยากจะเรียนก็เรียน ที่เห็นเหมาะสมให้เรียนก็เรียน ทุนของส่วนกลาง ก็มีให้เรียนอยู่ ทุกวันนี้ ใครอยากเรียนปริญญาตรี-โท-เอกก็เรียน ถ้าใครมี ความเหมาะสม ตอนนี้ ก็มีจบ ไปเรื่อยๆ ปริญญาเอก ก็เพิ่งจบไป คนหนึ่ง ตอนนี้อีกคนหนึ่ง ก็อยากจะเรียนปริญญาเอกต่อ ก็เอา ก็ทำไปตามเหมาะสม จบปริญญาโท หลายคน ตอนนี้


ถาม : พ่อท่านคะ การที่ทำให้คนส่วนใหญ่มีคุณธรรมเนี่ยะ ทำยังไงคะ มันยากมาก
พ่อท่าน : มันยาก แต่อาตมาก็ทำไปเรื่อยๆ ต้องขยายขึ้นไปตาม step มันมีระดับของมัน ทุกวันนี้เราก็ไม่ผลีผลาม ถ้ามักมาก อยากได้เร็วๆ แล้วมันจะฟ่าม แล้วมันก็จะไม่เป็นจริง เพราะงั้นต้องขยายไปตามจริง มันจะค่อยๆขยายตัว ต้องระมัดระวังตรงนี้ ความอยากได้มากๆ ความอยากได้เร็วๆ มันเป็นกิเลสสามัญของคนทุกคนแหละ แม้แต่ทางเราก็รู้ว่าดี ถ้าสิ่งที่ดี จะได้มากได้เร็ว แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ได้ตามความถูกต้องสมสัดส่วนของมัน มันจะก้าวหน้าไปขยายพร้อมทั้งทางด้านปริมาณ และทั้งด้าน คุณภาพ ต้องระวัง เรื่องสัดส่วน อย่างว่านี้ สัดส่วนถูกต้องจะมีประสิทธิภาพดียิ่ง


ถาม : นโยบายของภาครัฐล่ะคะ จะทำยังไงที่จะให้คนมีคุณธรรมขึ้นมาได้
พ่อท่าน : ก็ต้องส่งเสริมทางด้านที่ควรสร้าง ส่งเสริมสร้างด้านคุณธรรมอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ทางด้านการศึกษา ไม่ส่งเสริม คุณธรรม ศึกษาไปเพื่อที่จะให้รู้ ให้ฉลาด ให้รู้มากๆ ความรู้สร้างสรร เราไม่เกี่ยงหรอก แต่ความรู้ในเรื่องของการลดกิเลส เขาไม่ส่งเสริม ทำกันเลย เพราะฉะนั้นคนที่มีความรู้มากๆ มีความสามารถเหนือกว่าเขา เขาก็เอา ความสามารถนั้น ไปเอาเปรียบ คนสามารถน้อย จึงเท่ากับส่งเสริมคนขึ้นไปแก่งแย่งกัน ไปเอารัดเอาเปรียบคนระดับล่างตลอดเวลาเลย เพราะงั้น ไปส่งเสริม คนให้เรียนรู้เท่าไหร่ๆ มันก็มีระดับ คนที่เก่งกว่า กับคนที่เก่งไม่เท่าอยู่นั่นเอง ถ้าจะให้เรียนไปจบด็อกเตอร์กันหมด ทั้งประเทศนี่ ต่อให้เรียนจบ ด็อกเตอร์ทั้งหมด ทั้งประเทศเหมือนกัน มันก็มีสมรรถนะ ต่างกัน มีความรู้ที่ต่างกัน มีปัญญาที่ต่างกัน คนมีปัญญา มากกว่า จบด็อกเตอร์เกรดเดียวกันนี่แหละ ก็เอาเปรียบ คนที่ด็อกเตอร์ที่รู้ไม่เท่า สู้ไม่ได้ เก่งไม่เท่า เป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้น สังคมจะสงบเรียบร้อย เพราะความรู้นั้น ไม่ใช่เลย ต่อให้มีความรู้มากมายเท่าไหร่ ถ้ากิเลสมันแรงๆ มันก็ทำชั่ว ได้ทุกอย่าง ชั่วหยาบชั่วแรงเท่าไหร่ก็ได้ ถ้ากิเลส ยิ่งมากก็ยิ่งทำชั่วแรง เพราะฉะนั้น กิเลสลดลงนี่แหละ สามารถที่จะทำความรู้ ให้สูงๆเท่าไหร่ ก็ได้ด้วย แล้วจะเป็นคุณค่าด้วย เพราะกิเลสลดๆๆ มันชี้บ่งว่าไม่ทำชั่ว ยิ่งมีความรู้เท่าไหร่ ก็ยิ่งดี ยิ่งกิเลสน้อย ก็ยิ่งมีความรู้มากๆ ก็ช่วยสังคมได้มาก แต่ถ้ากิเลสมาก....คอยดูสิ มากเท่าไหร่มันยิ่งเลวร้าย มันยิ่งซับซ้อน มันยิ่งลึกซึ้ง มันยิ่ง โอ้โฮ! สังคม ยิ่งลำบาก ลำบน ระดับล่างยิ่งเสียเปรียบ เหมือนสังคมปัจจุบันนี้ของประเทศเหมือนกัน ระดับล่างยิ่งแย่ลงๆๆ ระดับสูง ได้เปรียบมากขึ้นๆ รวยขึ้นๆ อำนาจมากขึ้นๆ แต่ระดับล่าง ก็ยิ่งแย่ลงๆนะทุกวันนี้


ถาม : พ่อท่านเคยคิดที่จะขยายวงในการช่วยเหลือสังคม ไปสู่พวกคนรวยที่เป็นเหยื่อของสังคม อย่างนั้นบ้างไหม
พ่อท่าน : พูดก็พูดเถอะนะ เราไปทำงานกับคนที่ไม่มีบารมี ไม่มีภูมิ เราไม่อยู่ในฐานะที่จะไปช่วย เราจะช่วยคนที่มีบารมี หรือมีภูมิที่มีธรรมะ พอสมควร เพราะฉะนั้น คนจน ที่มีธรรมะ ก็มาได้ คนรวยที่มีธรรมะก็มาได้ แต่จริงๆแล้ว ทุกวันนี้ เราช่วยคนจน ได้มากกว่าคนรวย เพราะคนรวยจะไม่ค่อยเข้ามาหาเรา เราช่วยคนจน กับระดับล่าง มากกว่า คนรวยไม่กล้า มาหาเราหรอก เพราะเราพาจน เขาไม่กล้าจริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่น พามาจนจริงๆ เพราะฉะนั้นคนรวยที่ไม่มีบารมีนี่ ไม่กล้า เข้าใกล้เรา แต่คนรวยที่มีบารมี มาบ้างก็มี แต่น้อยมาก ในชาวอโศก เพราะฉะนั้น จะบอกว่าสังคมอโศก ช่วยคนจนหรือเปล่า มีคนจนกับคนชั้นกลาง คนรวยมาน้อยมาก คนรวยไม่กล้า กลัวจน เพราะเราพูดตรง เราไม่หลอก ไม่มีเล่ห์ คุณมาที่เรานี่ แล้วคุณยิ่งจะไปรวยต่อๆ ไม่หลอก หลอกให้คุณไปรวยมามากๆ แล้วยิ่งหลอกให้คุณทำทาน แก่เรา ให้หาเงิน มาให้ที่นี่อีก ไม่ใช่ มาที่เรานี่ คุณต้องมาหัดจนลงๆ ให้มาจนแล้วก็มาช่วยสังคม ไปให้ยิ่งๆขึ้น คุณก็จะยิ่งจนลงๆ เราสร้างสรร มากๆ แต่เอาไว้เอง ให้น้อยลงๆ ช่วยคนอื่น ให้มาก แต่เอาไว้ให้น้อย ไม่มีวัน รวยหรอก มีแต่ให้เขาๆ แล้วก็ไม่สะสมด้วย มันจะไปรวย ได้ตรงไหน แต่คนรวยนี่เขาไม่ให้ใคร ถ้าเขาให้แล้วเขากลัวจะจน คนที่รวยเนี่ยะ คือ"คนจนไม่เสร็จ" รวยเท่าไหร่ๆ เขาก็ไม่กล้าให้ เพราะเขา กลัวจะจน เขาให้แล้ว เขาจะจน โอ้โฮ! เขามี ๑๐,๐๐๐ ล้าน ถ้าให้ไป เดี๋ยวจะจน โอ๊ยไม่ได้ เขาต้องเอา ไปเรื่อยๆ เพราะเขา กลัวจะจน ส่วนคนที่เจตนา มาจน มุ่งมาจนทั้งนั้นแหละ จะไม่รวยหรอก เพราะว่าถ้าคุณสะสม อ้าว! เดี๋ยวคุณไม่จนนะ! ต้องรีบเอาออกๆๆ คุณจะได้จน เพราะฉะนั้น คนพวกนี้ต้องรีบเอาออก คนพวกนี้ ต้องการจะจน ส่วนคนรวย เอาออกไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมันจะไม่รวย จึงไม่พยายามเอาออก เพราะฉะนั้นคนจึงมีสองประเภท รวยกับจน แต่ไม่ทะเลาะกันนะ คนอยากจนนี่ จะไม่ทะเลาะ กับคนอยากรวย เพราะคนอยากรวยเขา"เอา" คนอยากจนเขา"ให้" ต่างกัน คนละขั้วแท้ๆ เหมือนศัตรูคนละฝ่าย แต่อยู่ด้วยกันได้ คนอยากรวย ด้วยกันสิ แย่งกันฆ่ากัน


ถาม : พ่อท่านคะ อโศกนี่จะเน้นในเรื่องศีล ปฏิบัติศีล แล้วการปฏิบัติศีลอย่างเข้มงวดทำให้คนยิ่งเครียดหรือเปล่าคะ
พ่อท่าน : เปล่าๆ ปฏิบัติศีลเคร่งเครียด มันก็เคร่งเครียดโดยที่ไม่รู้ มันเป็นการกดดันมันเป็นการบังคับอะไรต่ออะไรเกินไป ไม่เข้าใจในวิธีการปฏิบัติ ที่จริงการปฏิบัติศีลนี่นะ จะต้องรู้ว่าศีลนี้คืออะไร หมายความว่าอะไร ลดอะไร แล้วก็อ่านจิตอ่านใจ ถ้าทางด้านโน้นนี่ เขาจะปฏิบัติศีลนี่คือการลดละทางกายกับวาจา เขาไม่เรียนรู้ทางจิต เขาจะไม่มีอะไร ที่จะปล่อยคลาย ทางจิตเลย เขาจะกดดันๆๆ อย่างที่คุณว่า มันก็เลยกลายเป็นเรื่องเครียด กลายเป็นเรื่องลำบาก....จริง เขาอาจจะลดละได้ เขาไม่ฆ่าสัตว์ เขาไม่ลักทรัพย์ เขาไม่อะไรต่ออะไร แต่เขาไม่ลดกิเลสเลยจริงๆ เพราะศีลของเขา สอนกันว่า ขัดเกลากาย วาจา เท่านั้น แต่ความจริง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแค่นั้น มันจะขัดเกลาถึงจิตเลย ที่นี่เราเรียน ตรงตามพระพุทธเจ้า ขัดเกลากาย วาจา และใจ เมื่อใจมันถูกขัดเกลา มันก็จะไม่กดดันอะไร ก็ปล่อยคลาย ทางโน้นไม่ปล่อยคลาย เขาบอกศีลก็ขัดเกลา กาย วาจา สมาธิ ไปนั่งสะกดจิตเข้าไปอีก แล้วกดทั้ง ๒ กดเลย ศีลมันก็กด มันก็เลยไปกันใหญ่ ดีไม่ดี พวกนั่งสมาธินี่ เป็นบ้ากันเยอะ เหมือนกัน มันไปไม่รอดหรอก แต่ของพระพุทธเจ้านี่ ท่านลดกิเลส ถูกตัวเหตุมันเลย แล้วดับเหตุสนิท ด้วยศีล -สมาธิ -ปัญญา อย่างเป็นองค์รวม ปฏิบัติศีลลืมตา ปฏิบัติสมาธิลืมตาขัดเกลากิเลสออก อ่านใจรู้ของแท้ แล้วล้าง กิเลสลงๆ กายกรรมก็ดี มโนกรรม ก็ลดกิเลส มันไม่กดดันอะไร แล้วศีลสมาธิปัญญาก็ร่วมกันช่วยกัน ไม่ใช่แยกกัน ทำงานปฏิสัมพัทธ์ กันไปตลอด อโศกปฏิบัติ ศีล-สมาธิ-ปัญญา -วิมุติแบบพุทธ ปฏิบัติในชีวิตสามัญ ทำให้ได้ทุกขณะ แต่เขาไม่เข้าใจ อย่างนี้ เขาไม่รู้



นักเขียน หยก บูรพา

๔ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก ดร.ขวัญดี อัตตวาวุฒิชัย ได้นำนักเขียนมีชื่อ หยก บูรพา และดร.กีรติ ยศยิ่งยง รวมทั้งครอบครัว ที่เป็นคน ตะกั่วป่า ให้ข้อมูล เกี่ยวกับชาวใต้ ก่อนที่ พ่อท่าน และชาวอโศกจะลงไปช่วยซับขวัญชาวใต้ คุณหยกได้กล่าวชมว่า พ่อท่านเป็นผู้นำ ในการ anti (ต่อต้าน) เรื่องการสูบบุหรี่และสิ่งเสพติด ในหมู่เยาวชนมา ตั้งแต่ ๒๐-๓๐ ปีที่แล้วมา เนื่องจาก ได้ไปฟังด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ สวนลุมฯ หรืองานแสดงหนังสือ ที่ได้ไปพบ รายละเอียดของการสนทนา ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน


ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์และภรรยา
๘ ม.ค.๒๕๔๘ ที่สันติอโศก ค่ำวันนี้คุณวิชาญ จิรเวชบวรกิจ ได้พาท่านอังคารและภรรยามากราบนมัสการปีใหม่ และถวาย ภาพวาด รวมถึงบทกวี ของท่านอังคาร ให้พ่อท่าน ภรรยาของ ท่านอังคาร ได้กล่าวขอบคุณพ่อท่าน และชาวอโศก ที่ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล รายละเอียดของการสนทนา ขอข้ามผ่านเช่นกัน


นักการเมืองนมัสการปีใหม่
๙ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก รมว.สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ และคณะ ได้เข้ากราบนมัสการ ในโอกาสปีใหม่ ในที่นี้ ขอข้ามผ่าน ในรายละเอียด เช่นกัน


ณรงค์ โชควัฒนา
๙ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก มีการประชุมของสถาบันบุญนิยม ทางกรรมการได้เชิญคุณณรงค์ โชควัฒนา ได้มาให้ความรู้ เรื่องของสังคม และการเมืองในทัศนะ ของคุณณรงค์ ที่ได้ไปรู้เห็นมา โดยมีพ่อท่านร่วมนั่งฟังตลอด



ซับขวัญชาวใต้
จากเหตุการณ์คลื่นสึนามิทำลายชีวิตและทรัพย์สินของชายฝั่งทะเลภาคใต้ เมื่อ ๒๖ ธ.ค.๒๕๔๗ ทำให้ชาวอโศก มีการประชุมกัน เพื่อหาวิธีไปช่วย ทางด้านจิตใจ กันหลายครั้ง เริ่มจากวันปีใหม่(๑ ม.ค.๒๕๔๘) ช่วงบ่าย ซึ่งมีผู้สนใจ เข้าร่วมประชุม กว่า ๕๐๐ คน เสียงแทบจะเป็นเอกฉันท์เห็นควรไปช่วยเป็นคณะใหญ่ พล.ต.จำลอง ได้โทรศัพท์ มาจากพื้นที่ ตะกั่วป่า ให้ข้อมูลเรื่องต่างๆด้วย ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าให้แต่ละกลุ่ม ส่งรายชื่อและจำนวนคน ที่จะไปร่วม ให้พุทธสถาน ที่กลุ่มนั้นๆ สังกัด ภายใน ๗ ม.ค. และจะออกเดินทาง จากปฐมอโศกในวันที่ ๑๑ ม.ค. โดยการประชุมครั้งนั้น ได้ตั้งกรรมการ ประสานงานขึ้นมา สำหรับชื่อที่จะใช้เรียก เพื่อการนี้ พ่อท่านเห็นว่า เราจะไม่ใช้ว่า ซับน้ำตาชาวใต้ และเสนอให้ใช้ ซับขวัญชาวใต้ ไม่อยากจะให้ใช้ว่าซับน้ำตา เพราะมันเหมือนตอกย้ำความทุกข์มากไป โดยอธิบายคำว่า ซับขวัญ ภาษา มันสื่อรวม ซับน้ำตาไว้แล้ว และเป็นการเรียกขวัญ ก่อนปิดการประชุม พ่อท่านให้โอวาท จากบางส่วนว่า ปี '๔๘ มีอะไร ที่แปลก จนเราตั้งตัว แทบไม่ทัน ขอกำชับว่า เราจะต้องเป็นผู้ที่ สงบสำรวม ให้มากเลยนะ

หลังเสร็จงานปีใหม่ มีสมณะและฆราวาสส่วนหนึ่ง เดินทางไปในพื้นที่ล่วงหน้าก่อน เพื่อหาข้อมูล และเตรียมความพร้อม ไว้ต้อนรับ คณะใหญ่ ที่จะเดินทางตามไป

๕ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก มีการประชุมเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆก่อนเดินทางไป มีผู้สนใจเข้าร่วมประชุม ประมาณ ๑๐๐ คน พล.ต.จำลอง ได้มาร่วมประชุมด้วย งบประมาณ ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์คุณธรรม อีกส่วนหนึ่ง ทางสถาบันบุญนิยม ต้องออกเอง

พ่อท่านย้ำถึงการไปในครั้งนี้ว่า เราจะเป็นอยู่อย่างวัฒนธรรมของเรา จะมีทำวัตร และวิถีชีวิตอย่างของเรา เอาพฤติกรรม ในการดำเนินชีวิตสามัญ ของชาวบุญนิยม นี่แหละ เป็นเครื่องช่วยซับขวัญ

๖ ม.ค. ๒๕๔๘ ได้รับโทรศัพท์แจ้งเรื่องความขัดแย้งกันเล็กๆจากคณะที่เดินทางไปล่วงหน้าก่อน ซึ่งต่อมาคณะดังกล่าว ได้แจ้งกิจกรรม ที่คิดจะทำกับ ชาวบ้าน เช่น ทำน้ำยา สระผม ทำน้ำยาซักผ้า ทำอาหาร ตัดผม กดนวด อบสมุนไพร ลูกประคบ รวมถึงเรื่อง ที่ได้รับการขอร้อง ให้ไปช่วยสร้างที่พักให้เขา เรื่องอื่นๆ พ่อท่านเพียงฟัง เป็นข้อมูลผ่านๆไป แต่เรื่องการ จะรับ ไปสร้างบ้านให้เขา พ่อท่านไม่เห็นด้วย "ก็ขนาดบ้านในชุมชนของเรา เรายังต้องไปจ้างช่างเขามาทำเลย มันเป็นงานกว้าง ที่เราไม่ถนัด ไม่ชำนาญ อย่าไป หลงใหญ่ หลงกว้างเลย บอกตรงๆว่าอาตมาตั้งใจว่าจะไปเหมือนอย่างที่ไปกระทูนคราวนั้น ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ไปปักกลด บิณฑบาต แสดงธรรม อย่างอื่น มันจะมีอะไร เดี๋ยวมันจะเป็นไปเอง จะคิดอะไร กันไปก่อนก็เอา เอาไว้ลงไปแล้ว ค่อยคุยกันว่า จะทำอะไรบ้าง"

แต่เมื่อทราบว่ากิจกรรมบางอย่างต้องเตรียมอุปกรณ์ไปด้วย จะไปหาเอาข้างหน้านั้นเป็นเรื่องลำบาก เช่น อุปกรณ์ การอบ สมุนไพร ลูกประคบ ตัดผม หรือทำอาหาร ซึ่งพ่อท่าน ก็เปลี่ยนความคิดได้ทันที เดิมที่ตั้งใจว่าเอาไว้ลงไปดูพื้นที่ก่อน ค่อยตัดสินว่า จะทำหรือไม่ทำอะไร ก็คงไม่ได้แล้ว เพราะปัญหาในรายละเอียดของการทำงานมี จึงได้อนุมัติ ให้เตรียม อุปกรณ์ ไปได้เลย

๑๐ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่ปฐมอโศก ช่วงบ่ายมีการปฐมนิเทศ พล.ต.จำลอง ได้ให้ข้อมูลที่น่ารู้ก่อนเดินทาง ต่อด้วยพ่อท่าน เริ่ม ๑๔.๔๐ น. "ทุกคนจะต้องระวัง เมื่อคนเยอะๆ และมีจริตที่ต่างกัน ถือเป็นการสอบไล่ เป็นภาคสนามที่สำคัญ ถือเป็นการเอาไก่ ใส่เข่ง อย่าจิกกันนะ ปฏิบัติธรรมในส่วนของเราให้ได้ อ่านจิตอ่านใจ อย่าไปแสดงความระแหง ทะเลาะ วิวาท เป็นอันขาด อยากจะให้ ประสาน ให้เกิดวิญญาณ ที่อบอุ่น คนเหล่านั้นเขาไม่ได้ศึกษาอย่างที่เราศึกษา ถ้าพวกเรามีวิญญาณที่สงบ เป็นร้อยๆคน มันจะเกิดพลัง จิตสงบนี่ ยิ่งกว่ากายสงบ จิตไม่เดือดร้อน มันสบาย เราจะต้องเรียนรู้ อาตมามั่นใจ คราวนี้ ผลงานของเรา ที่ผ่านมา มันจะเป็นตัวพิสูจน์ มันจะเป็นประสิทธิภาพแก่มนุษย์อย่างไร

ก็ขอร้องพวกเรา ทุกคนจะต้องเตรียมตัวเตรียมพร้อม ว่าทุกคนจะไปลำบาก อย่าอ่อนแอ อย่าขี้อ้อน ไม่ลำบาก ก็ต้องหา ความลำบาก ให้กับตัวเรา คือ หางาน เราจ่ายเงิน ไปตั้งเท่าไร เป็นล้านขึ้น ถ้าไปแล้วประโยชน์ที่เกิดไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป ถือว่า ใช้ไม่ได้

ทางโน้นอยากจะให้เราไปเป็นคนงานก่อสร้าง อาตมาเห็นว่าแม้ชุมชนของเราเองยังต้องจ้างเขาเลย แล้วเราก็ไม่ชำนาญด้วย อาตมาเอง ตอกตะปู ก็ยังงอมาเยอะแล้ว จึงไม่ควรแอ็ค รับงานที่เราไม่ถนัด แล้วที่เราไม่เห็นในทีวี มันอย่างกับมหาขยะ แล้วเรา ก็ไม่เก่ง ในเรื่องเก็บขยะใหญ่ๆ หนักๆ ต้องใช้เครื่องกลหนัก แต่ขยะเล็กๆนี่ ต้องอโศก เราทำงานนี้ให้ดี

อันนี้มันเป็นอจินไตย อาตมาไม่ได้มาทำงานหยาบๆ จะให้เราไปอบรมพวกติดยา จะให้เราไปอบรมพวกคนคุก เราไม่มี ความสามารถ พวกเราจะต้องมาทำงาน ในส่วนที่ เป็นงาน อีกอย่างหนึ่ง เราไม่อยู่ในฐานะที่จะต้องไปทำงานกับ คนหยาบ คนรุนแรง แบบนั้น ไม่ใช่เรารังเกียจ แต่พวกเราก็ต้องทำงานลำบาก หรือต่ำๆหยาบๆ แบบของเรา ซึ่งก็ลำบากจริงๆ อย่างที่ คุณจำลอง และคุณแซมดิน พูดมา

ทุกคนจะต้องอดเอาทนเอา ชาวอโศกคล้ำๆ หมองๆ ปะๆ ชุนๆ ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มีกลิ่นเหม็น เราจะต้องคลุกดินตีนติดพื้น ยืนข้าง คนจนคนยาก

เรื่องยากแก่การดูแล ให้ทุกคนสำเหนียก มีมติอะไรก็ฟังให้ออก แล้วทำตามมติอย่างเคร่งครัด แม้เราจะเห็นขัดแย้ง ก็เอาไว้ก่อน อย่าเอาอย่างที่พวกเรา เคยอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไร เราก็ใช้ ความฉลาดแล้ว เราต้องให้เกียรติกัน เราได้คุยกันในหมู่ในกลุ่มบ้างแล้ว มันเป็นเหตุการณ์ เฉพาะหน้ามาก จึงต้องใช้วิธีการอย่างนี้

เราจะต้องลำบาก อย่าเหม็น สำเหนียกสังวร เหน็ดเหนื่อยแน่ๆ ต้องหางานให้กับตัวเรา คืออย่าดูดาย การเก็บขยะนี่ ได้เก็บ แน่นอน ชาวอโศกเคยทำเรื่องนี้มาได้ผล"

มีผู้ถามว่า ไปอย่างนี้แล้วต้องพบชาวบ้าน เราจะพูดจามากน้อยแค่ไหน

พ่อท่าน "สิ่งที่ไม่ควรพูดก็คือเรื่องซ้ำเติม เรื่องกรรมวิบากของอาชีพประมง ในเรื่องวิบากนี่ยาก ถ้าใครไม่มีปฏิภาณเพียงพอ อย่าพูดดีกว่า ดีไม่ดีจะพาเสีย อีกเรื่องก็คือ เรื่องกรวดน้ำ อย่าไปใส่เขาว่าเขานอกรีต อย่าไปตีทิ้งเขา อาตมาอาจจะต้อง พูดบ้าง สมณะ ต้องระวังให้ดีๆ"

พ่อท่านฝากทิ้งท้าย "การไปครั้งนี้เป็นคณะใหญ่ การให้ ให้อย่างผู้อ่อนน้อมถ่อมตน อย่างอหิงสา อโหสิ แล้วก็เตือนกัน อย่าถือสา กันล่ะ ถือเป็นการสอบไล่ สำคัญ ยิ่งกว่าสอบ บาลีสนามหลวง ขอให้ทุกคนมีสติ"

รถบัสคันแรกเริ่มเคลื่อนขบวนออกประมาณ ๑๘.๐๕ น. นักข่าวทีวีช่อง ๑๑ คนเดียว เพิ่งถือกล้องเดินผ่านหน้าพ่อท่านมุ่งไปหา พล.ต.จำลอง เพื่อสัมภาษณ์

๑๑ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก ฉันอาหารกันตั้งแต่ตี ๔ เพื่อเตรียมเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง เนื่องด้วย จนท.สนามบินเกรงว่าจะมีปัญหาเรื่อง เอกสาร จึงนัดหมาย ให้คณะของเรามาล่วงหน้า ก่อนเครื่องบินออกสองชั่วโมง เสร็จจาก การตรวจเอกสาร (ใบสุทธิให้มีชื่อตรงกับที่แจ้งไว้) พล.ต.จำลอง อาสานำตั๋วถวาย ให้กับมือเอง ทีละรูป จนครบทุกรูป

ขึ้นเครื่องบินการบินไทย เจ้าหน้าที่จัดให้อยู่ทางด้านท้ายเครื่อง เพื่อผู้โดยสารคนอื่นรวมถึงแอร์โฮสเตสที่เป็นผู้หญิง จะผ่าน ด้านหน้า ได้อย่างสะดวก เป็นครั้งแรก ที่สมณะ และสิกขมาตุ ขึ้นเครื่องบินโดยสาร เป็นจำนวนใกล้ร้อยอย่างนี้

ถึงสนามบินภูเก็ต มีนักข่าวสัมภาษณ์ พล.ต.จำลอง สมณะและสิกขมาตุขึ้นรถบัสต่อไปที่บ้านบางมรวน จ.พังงา ด้วยคณะ ที่มาสำรวจล่วงหน้า ได้ตัดสินใจ เลือกเป็นที่พัก ของพวกเราทั้งหมด ก่อนประชุมแยกกันไปตามศูนย์ของ ผู้ประสบภัยต่างๆ

ถึงที่วัดบางมรวนก่อนบ่ายสองโมง ผ่านจุดฝังศพของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์คลื่นสึนามินี้ ต่อมาจึงทราบว่า ชาวบ้าน บางมรวน ที่ต้องผ่านเข้าออก เกิดความหวาดกลัวผี เมื่อทราบว่า คณะของเราซึ่งมีนักบวชด้วย จะมาพักที่วัดบางมรวนนี้ ชาวบ้าน เขาดีใจมาก กุลีกุจอต้อนรับตัดหญ้า จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้

พวกเราทั้งหมดที่มากันแล้วประมาณกว่า ๖๐๐ คนได้มารวมกัน ที่ศาลาเก่าของวัด เริ่มการประชุมสรุปงาน และกิจกรรม ที่คณะเตรียมงาน ได้ทำมา และสิ่งที่หมู่คณะ จะทำ ต่อไป โดยมีภาพประกอบ สภาพบ้านและเต็นท์ ขยะ ภาพชีวิตของ ชาวบ้าน หลังประสบภัย ของศูนย์ผู้ประสบภัย แต่ละแห่ง ปัญหาและกิจกรรม ที่คณะอื่น ได้ทำกันอยู่

ขณะนั้นมี นักข่าวรอยเตอร์ ขอสัมภาษณ์พ่อท่านนอกที่ประชุม จากบางส่วนที่พ่อท่านได้ตอบนักข่าวดังนี้ "พวกเราได้ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ๓๐ ปีแล้ว ก็เกิดผลทางปฏิบัติธรรมเป็นคนอีกชนิดหนึ่ง เป็นคนที่ ไม่เหมือนกับชาวโลกเขา เป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนที่เสียสละ เป็นคนที่มาจน ไม่ไปมุ่งหมายที่จะรวย และทุกคน จะมากิน อยู่ร่วมกัน เป็นสังคมเป็นชุมชน เป็นหมู่บ้านที่อยู่กันอย่างมีทรัพย์ร่วมกัน ที่มาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาซับขวัญ ทางเราเรียกว่า "ซับขวัญชาวใต้" ที่เกิดภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ พวกเราไม่ได้ช่วยในเรื่องวัตถุทรัพย์สินเงินทองข้าวของ เราจะช่วยได้ แต่ทางด้าน น้ำใจ ทางด้านจิตวิญญาณ จะแบ่งความรู้สึกกัน ให้เห็นว่าเราก็มีน้อย ไม่ได้ร่ำรวย เราสูญเสีย เราไม่ต้องมีมาก เราจนๆ เราไม่ต้อง ไปแย่งชิง ไม่ต้องไปโลภมา เราขาดแคลนหรือว่ามีน้อยๆ เราก็เป็นสุข แล้วก็อยู่กันได้ เราแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ เกื้อกูลกัน อันนี้เป็นชีวิต ของเราจริงๆเลย"

เมื่อกลับมาร่วมประชุม มีประเด็นเรื่องการแบ่งกระจายกำลัง ไปอยู่ร่วมกับผู้ประสบภัยตามศูนย์ต่างๆ แต่ประเด็นที่ต้อง รีบตัดสินใจ เร่งด่วน ก็คือวันนี้ จะพักกันที่ไหนดี เนื่องจาก พล.ต.จำลองเห็นว่า ที่วัดบางมรวนยังไม่เหมาะ จึงเสนอที่ อุทยานพระนารายณ์ ซึ่งเหมาะในการทำงาน ทั้งเชื่อมโยงสื่อสาร สะดวกรวดเร็วมากกว่า มีเสียงสนับสนุน กันหลายเสียง รวมถึงพ่อท่านเอง ก็เห็นสอดคล้อง อาจเป็นเพราะเวลา ใกล้จะเย็นแล้ว จึงต้องรีบตัดสินใจ เคลื่อนย้ายทันที

ถ้าพวกเราไม่ได้ฝึกการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายกันมาก่อนคงจะยากแน่ เพราะหลายคนลงหลักปักเสา กางกลด กางเต็นท์กัน เรียบร้อยแล้ว รวมถึงบรรดาแม่ครัว ก็กำลังจัดเตรียม อาหาร สำหรับ ผู้ยังรับประทานมื้อเย็น แม้หลายคนยังไม่อยากจะเคลื่อนย้าย แต่เมื่อส่วนใหญ่เห็นควรก็ต้องทำใจ ย้ายก็ย้าย คณะรถบัสที่ได้ว่าจ้างมา ทำใจลำบากมาก เพราะเขา ไม่เคยฝึก ไม่ได้ปฏิบัติ อย่างพวกเรามาก่อน จึงออกอาการไม่พอใจมากกว่าพวกเรากันเอง ส่วนชาวบ้านบางมรวนก็เสียใจ เสียความรู้สึก กับพวกเรา ที่อุตส่าห์จัด สถานที่ เตรียมการมา สองครั้งแล้ว ก็เปลี่ยน ซึ่งเขาหวังพวกเราเป็นที่พึ่งให้กับเขา เนื่องจากหมู่บ้านเขาตกฐานะ "กรรมหล่นทับ" เพราะคนหมู่บ้านเขา ไม่ตาย แต่ศพคนตาย จากหมู่บ้าน ต่างๆ ทั้งหลาย เอามาฝังในพื้นที่บางมรวน ทำให้ชาวบ้าน เขาก็กลัวกันมาก หลายคนไม่กล้าผ่าน และมีบางคนว่า เห็นผีออกมาเดิน

ตกลงเราย้ายไปตั้งศูนย์กันที่อุทยานพระนารายณ์ เรานัดเอาโรงเรียนเสนานุกูลเป็นจุดรวมตัว เพื่อเคลื่อนขบวน เดินธรรมยาตรา ไปยังอุทยาน พระนารายณ์ รถบัสที่จะนำ ญาติธรรม เคลื่อนย้ายมามีปัญหา เขากำลังจะพักไม่ทันได้พัก ทำให้ต้องใช้เวลา ในการรอ อยู่พักใหญ่

เกือบห้าโมงเย็นเริ่มเคลื่อนขบวน แถวยาวร่วม ๕๐๐ เมตร เพราะเป็นการเดินเรียงสอง จะเดินเรียงสามสี่ ก็เกรงจะขวาง ถนนเขา รถที่ผ่านไปมา จะลำบาก การเดินผ่าน ร้านค้า บ้านช่อง ของชาวตะกั่วป่า ได้รับความสนใจ มีนักข่าวญี่ปุ่น และสวีเดน มาทำข่าว เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน เป็นภาพที่ไม่ได้เห็นง่ายๆจริงๆ แต่คนทั่วไปเขาจะรู้สึก และคิดกัน อย่างไร เราไม่รู้

ถึงที่อุทยานพระนารายณ์ พวกเราก็เร็วไว กางกลด กางเต็นท์ทันที ประเดี๋ยวเดียวก็พรึ่บพร้อม พ่อท่านอยู่ที่ ศาลามุงจาก เก่าๆ ประชาชนในพื้นที่ แวะมาดูด้วยความสนใจ มีนักข่าว บางกอกโพสต์ มาขอสัมภาษณ์ ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ในประเด็นที่ซ้ำกับ นักข่าวรอยเตอร์ ที่เพิ่มเติมก็คือ พ่อท่านได้บอกถึง สถานะของการมา และแกนหลัก ที่คิดจะทำ "เรามาในนามของ สถาบันบุญนิยม โดยการสนับสนุนของ "ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดิน เชิงคุณธรรม'" หรือเรียกสั้นๆว่า ศูนย์คุณธรรม ส่วนเรื่อง กิจกรรมต่างๆ เราก็กำลังพิจารณากันอยู่ว่าจะทำอะไรดี คือเราจะอยู่ที่นี่ถ้าผู้ที่ทุกข์ร้อน ผู้ที่ต้องการจะปรึกษาหารือ จะปรับทุกข์ ปรับร้อนอะไรกัน เราก็ยินดีเพราะว่าเรามีมวลทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนแก่ซึ่งได้ปฏิบัติธรรมกันมาแล้ว เราก็รู้จัก จิตวิญญาณ ดีพอสมควร โดยจะแบ่งกันออกไปว่าจะไปช่วยอะไรๆได้บ้าง จะไปสังสรรค์ ไปทำความสัมพันธ์ ไปปรับทุกข์ ปรับร้อน กันอย่างที่ว่า นี่แหละเป็นแนวหลัก ซึ่งเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องนามธรรม"

ครู่ต่อมาคณะของเทศบาลตะกั่วป่าได้มากราบ มีรองนายกเทศมนตรีตะกั่วป่ามาด้วย และถามถึงสิ่งที่คณะเราต้องการ เพื่อประสาน แล้วจัดสรรให้ เช่น เรื่องไฟฟ้า ก็นำรถเข้ามา ต่อทำให้ทันที หรือเรื่องห้องน้ำของสำนักงานทางราชการ ที่อยู่ด้านข้าง ก็อนุญาต ให้พวกเราไปใช้ได้

พ่อท่านเดินทักทาย และสนทนากับพวกเราที่กำลังจัดเตรียมที่พัก บางส่วนก็กำลังอาบน้ำ บางส่วนก็รอขึ้นรถไปที่บ้าน บางมรวน เพื่อกินอาหารเย็น เนื่องจากการย้าย อาหารมา ลำบาก การนำคนไปกิน ง่ายกว่า เด็กศีรษะอโศกกลุ่มหนึ่ง ขอให้ พ่อท่าน ช่วยพูด เพื่อให้คลายจากความกลัวผี แม้เป็นประเด็นเดิมๆ ที่พูดมามากแล้ว แต่พ่อท่าน ก็ยังมีเพียร มีเมตตา ยืนพูด อยู่เป็นพักใหญ่

ค่ำ....เมื่อมีเจ้าหน้าที่นำเต็นท์มาให้ พ่อท่านช่วยไปดูและบอกให้เขาตั้งในจุดที่เหมาะสม ที่จริงกิจอย่างนี้ พวกเราหลายคน สามารถรับเรื่อง และทำแทนได้อยู่แล้ว แต่เหมือนกับ ขณะนั้น หลายคน ที่สามารถคิดและตัดสินใจ ได้ติดกิจอื่นๆ กัน ส่วนผู้ ไม่ติดกิจใดๆ ก็ไม่กล้า ที่จะตัดสินใจ ทำให้พ่อท่าน ก็ต้องไปช่วยดู และตัดสินใจให้ เป็นการเอาภาระ แม้ในเรื่อง เล็กๆ น้อยๆ ประมาณสองทุ่ม พ่อท่านก็พักนอน โดยไม่ได้อาบน้ำ ทั้งๆที่เดินวันนี้เหงื่อออก

ข้างต้นนี้เป็นเหตุการณ์โดยสรุปตั้งแต่เริ่มประชุม จนมาถึงบรรยากาศ การเดินทางมาวันแรก

กิจกรรมในวันต่อๆมานั้น พวกเราได้แบ่งกระจายกันไปตามศูนย์ผู้ประสบภัยต่างๆ ๘ ศูนย์ โดยแบ่งสัดส่วนของพวกเรา ให้สมดุล กับขนาดของ แต่ละศูนย์ เช่นที่ศูนย์บางม่วง มีผู้ประสบภัย มากที่สุด ก็จัดกำลังของพวกเรา มากกว่าศูนย์อื่นๆ สำหรับ พ่อท่านนั้น อยู่ประจำที่ศูนย์ อุทยานพระนารายณ์ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลาง ในการประสานงาน ของพวกเรา

เวลาค่ำก็มารวมกันสรุปงานของแต่ละแห่ง มีปัญหาอะไรที่ต้องร่วมกันรับรู้และช่วยกันแก้ไข

พ่อท่านเทศน์ทำวัตรเช้าทุกวันที่ศูนย์อุทยานพระนารายณ์ แล้วส่งสัญญาณโทรศัพท์ไปยังที่ต่างๆ ที่ต้องการ และ รับสัญญาณได้ แต่บางศูนย์ ก็ทำวัตรกันเอง ซึ่งการทำวัตรเช้า เหล่านี้ พวกเราหลายคน ชมว่าดีมากๆ แม้พ่อท่าน จะเอาธรรมะ ลึกๆ ที่เคยพูดมาแล้ว มาอธิบายอีกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายจิต เจตสิก รูป นิพพาน รูปฌาน อรูปฌาน การลดละ สักกายะ ปฏิจจสมุปปบาท ตถตา นิยาม ๕ คนวรรณะ ๙ ฯลฯ (ผู้สนใจติดตามได้จากฝ่ายเผยแพร่)

กิจกรรมของแต่ละศูนย์ฯจะคล้ายๆกัน มีปรับไปตามความเหมาะสมของแต่ละแห่ง ที่เหมือนกันก็คือกิจกรรม ๕ ส. ซึ่งเป็นสิ่งที่ ได้รับความชื่นชม ทั้งจากเจ้าหน้าที่ และชาวบ้าน ที่พบเห็น ถึงขั้นเขาทำตามก็มี บางแห่งก็สอนการทำอาหาร การทำขนม การทำ น้ำยาซักล้าง การทำน้ำยาสระผม มีบริการนวด-อบสมุนไพร บริการตัดผม บริการปฐมพยาบาล ที่กระจาย กันไป พูดคุยกับ ผู้ประสบภัย ในที่พักของเขาก็มี บางแห่งก็จัดให้มีการเดินจงกรม เพื่อสื่อรูปธรรม ของความสงบสำรวม

ผลที่เกิดจากการลงพื้นที่ทำกิจกรรมกับชาวบ้าน ได้รับความประทับใจจากชาวบ้าน มาแบ่งอาหารจากพวกเรา บางแห่ง เอาข้าว เอาน้ำ มาให้พวกเรา ด้วยรู้สึกคุ้นเคย สนิทสนม ชาวบ้าน ถามว่า จะมาอีกไหม พวกคุณทำให้พวกเรา มีความสุข

การที่สมณะแยกย้ายไปตามบ้าน ทำให้ชาวบ้านเขาบอกว่าทำให้เขากินข้าวได้ เขาเริ่มคดข้าวแบ่งให้เรากิน ถือว่าเป็นพี่ เป็นน้อง

มีหญิงคนหนึ่งลูกสาวหายไป เมื่อได้มาพูดคุยกับนักเรียนของเรา ทำให้เขาหายโศกเศร้า เพราะเขารู้สึกว่า เหมือนได้ ลูกสาวคืน ขนาดเด็ก ตัวน้อยๆ ๒ คน นักเรียนชั้น ม.๑ ปฐมอโศก ก็ยังสร้างผลงานทางจิตใจได้ เมื่อได้คุยกับชาวบ้านแล้ว ทำให้ชาวบ้าน เขายอมรับว่า ทำให้จิตใจเขาดีขึ้นมาก แม้เด็กก็ยังพูดให้กำลังใจผู้ใหญ่ได้

สำหรับกิจกรรมของพ่อท่านนั้น นอกจากการแสดงธรรมทำวัตรเช้าทุกวัน บิณฑบาตทุกวัน ส่วนอื่นๆไม่มีอะไรเป็นกิจ ประจำ พ่อท่าน ไม่ได้นำเอา เครื่องคอมพิวเตอร์ มาทำงานด้วย ทำให้พ่อท่าน มีเวลาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ต่างๆ ได้มาก มีเวลา ให้พวกเรา ช่วยกดนวด มีเวลาสนทนากับพวกเรามากขึ้น เดินทางไปตามศูนย์ต่างๆ ที่พวกเรา ไปลงพื้นที่อยู่กิน ทำกิจกรรม กับผู้ประสบภัย แวะดูตามหาดต่างๆ ที่ประสบภัย ดูเหมือนพ่อท่านวางตัว แบบสบายๆ ไม่ได้คร่ำเคร่ง เกรงว่าผลงาน จะได้ไม่ดี เหมือนผู้นำ หลายคน ที่แบกรับเรื่องต่างๆไว้มาก และพยายามที่จะให้ภาพลักษณ์ ของหมู่คณะตน ให้ดูดีตลอด ราวกับพ่อท่าน จะวางใจ ได้เท่าที่ได้ บกพร่องก็แก้ไข ยังทำไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่กังวลกับ ภาพลักษณ์ของตน และหมู่คณะ จนเกินไปนัก

นอกจากนี้ได้รับนิมนต์ไปเทศน์นอกสถานที่บ้าง เช่น ร่วมออกอากาศกับสมณะกลางดิน โสรัจโจ ทางสถานีวิทยุ กระจายเสียง แห่งประเทศไทย สวท.ตะกั่วป่า (๑๓ ม.ค.) เทศน์กับ ชาวบ้าน เกาะพะทอง (๑๕ ม.ค.) ร่วมรายการกับท่านจันทร์ สมณะ เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ เรื่อง "สึนามิกับพุทธที่ไปนิพพาน" (๑๖ ม.ค.) เทศน์ที่ศูนย์ ผู้ประสบภัย บางม่วง (๑๙ ม.ค.)

หลังรายการ "สึนามิกับพุทธที่ไปนิพพาน" ผู้ใหญ่บ้านของบางมรวนกล่าวเปิดใจว่า รู้สึกไม่พอใจ ที่พวกเราเปลี่ยนแปลง เรื่องที่พัก กลับไปกลับมา แต่เมื่อได้มาฟัง หลักธรรม ที่ได้นำมากล่าว ในวันนี้แล้ว ทำให้ศรัทธาขึ้น ความไม่พอใจ แต่แรกนั้น หายไป

การออกตรวจดูศูนย์ผู้ประสบภัยต่างๆ พบกับผู้มีชื่อเสียงในสังคม และพบนักข่าวที่เขาเห็นท่าทีของคณะเราแปลก จึงสนใจ มาขอสัมภาษณ์ เช่นการพบกับสมาชิกวุฒิสภา ครูประทีป ฮาตะ(อึ้งทรงธรรม) ที่ศูนย์บางม่วง (๑๓ ม.ค.) ครูประทีป กล่าวชม ความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ของชาวอโศก จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับชาวบ้าน และกิจกรรม ของชาวอโศก ล้วนเป็นประโยชน์ ต่อสังคมอย่างยิ่ง

รองปลัดกระทรวงแรงงาน จารุพงษ์ เรืองสุวรรณ และคุณนคร ศิลปอาชา ผู้ตรวจราชการฯ ได้แวะเยี่ยมราษฎร ขณะที่พ่อท่าน และ คณะเรา กำลังเดินดูสภาพ ของความเสียหาย ที่หมู่บ้าน หาดทรายขาว บ้านกำกวน (๑๖ ม.ค.) ทั้งสองท่าน ได้เข้ามา นมัสการพ่อท่าน คุณจารุพงษ์ได้มาแนะนำตัวเอง แล้วกล่าวชมการมาของชาวอโศกครั้งนี้ ให้ผลทางใจมาก การลงมาหา ชาวบ้านอย่างนี้ ยิ่งกว่านักจิตวิทยาอีก

ขณะเดินดูสภาพความเสียหายที่หาดทรายเขาหลัก (๑๔ ม.ค.) นักข่าวของนิตยสาร TIMES ได้เข้ามาขอสัมภาษณ์ มีประเด็น สั้นๆ แต่แปลกมาก ถามว่าการที่ คนต่างชาติ ไม่ได้นับถือ ศาสนาพุทธ แล้วเขามากินมาดื่มเหล้าอย่างนี้ ถือว่าไม่ผิดมาก ใช่ไหม พ่อท่าน ตอบว่า "คนเหมือนกัน ไม่ดีก็คือ ไม่ดีเหมือนกัน" จากนั้น เขาขอชื่อ และตำแหน่ง ของพ่อท่าน แล้วขอให้พ่อท่าน และ สมณะปัจฉาฯ เดินไปมา ที่หาดทรายนั้น เพื่อถ่ายภาพ

ที่หาดทับตะวัน (๑๘ ม.ค.) พ่อท่านแวะมาดูพวกเราที่ได้มาทำกิจกรรมกับชาวบ้าน มีนักข่าวเนชั่นมาขอสัมภาษณ์ มีคำถาม หนึ่ง ที่น่าสนใจ ท่านได้เรียนรู้อะไร ใหม่ๆ จากเหตุการณ์ สึนามินี้ไหม พ่อท่านตอบว่า "เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่มันจริง แต่เราได้ ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้ามาแล้ว เราจึงไม่ได้ประหลาดอะไรกับมัน เพราะเรามาอยู่ฐานนี้ ก่อนคน หมดเนื้อ หมดตัว เราเตรียม หมดเนื้อหมดตัว มาก่อนแล้ว และเราอยู่กับความหมดเนื้อหมดตัวได้แล้ว เราจึงคุยกับคนหมดเนื้อหมดตัว โดยไม่รู้ตัว ทั้งหลาย แล้วเราก็บอกเขาว่า เรารู้ และเราก็พัฒนาตนเองมา ปฏิบัติการหมดเนื้อหมดตัว ยอมหมดเนื้อหมดตัว ทิ้งทรัพย์ ศฤงคารมา ทิ้งบ้านช่องเรือนชาน แล้วเราก็ไม่ทุกข์ เพราะการหมดเนื้อหมดตัว เราปฏิบัติธรรม อย่างพระพุทธเจ้า มาอย่างนี้จริงๆ"

ที่หาดท้ายเหมือง (๑๖ ม.ค.) ผู้ประสบภัยคนหนึ่งบอกเล่าอย่างติดตลกว่า คลื่นมันมาสามลูก เขารอดชีวิตมาได้ เพราะจับ กิ่งมะพร้าวไว้ได้ คลื่นมา แต่ละลูก ก็พัดพาเอา สิ่งที่เขามีติดตัวมา ไปกับน้ำด้วย จนลูกที่สามแม้แต่กางเกงในก็ไม่เหลือ

จากการเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของพวกเรานี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ที่หลับที่นอน ที่ทำงาน รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ ไม่ได้สะดวกสบาย เหมือนอยู่ที่บ้านหรือพุทธสถานแน่ มีเกร็ดเล็กๆ อีกอย่างที่พวกเราใช้กันอย่างเป็นปกติ ไม่ได้มีอุปาทาน เหมือนคน ทั่วไปแล้ว คือโลงศพ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเราขาดโต๊ะวางอาหาร และใช้ทำงานอื่นๆ แม้แต่ใช้ ให้คนเจ็บไข้ นอนบำบัดรักษา จึงได้ไปขอยืมมาใช้เป็นอุปกรณ์ตามที่เราต้องการ ดูเหมือนว่าคณะอื่นๆ ที่มาช่วยทำกิจกรรมต่างๆ กับผู้ประสบภัย ก็ยังไม่มีคณะไหนๆ นำเอาโลงศพ เหล่านั้น มาใช้เป็นอุปกรณ์การทำงาน อย่างที่คณะของเราทำกัน

กิจกรรมพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่บรรดาตากล้องอยากจะได้มากก็คือ ภาพบิณฑบาตผ่านย่านที่เสียหายมากที่สุด บ้านน้ำเค็ม ที่มีเรือ ถูกน้ำซัด ขึ้นมาบนบ้าน โดยความมุ่งหมาย อยากจะให้ เป็นภาพประวัติศาสตร์ เหมือนอย่างการเดินบิณฑบาต หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ ๒๕๑๖ ที่ถนนราชดำเนินฯ ครั้งนี้ก็พอจะบันทึก เป็นประวัติศาสตร์ได้ เพียงแต่ไม่ขลัง เหมือนครั้งนั้น พอดีมีนักข่าวฝรั่ง กำลังอยู่ที่ตรงนั้นด้วย เขาได้ถ่ายไปหลายแช็ค กล้องที่เขาใช้ ดูเป็นมืออาชีพมากเลย

เนื่องจากพวกเรามากันจำนวนมาก และกระจายไปตามที่ต่างๆ เมื่อจะทำอะไรก็ต้องมีตัวแทนมาประชุมร่วมกัน ให้รู้ก่อน การจะเคลื่อนย้ายกลับ ก็เหมือนกัน ต้องประชุมกัน เพื่อจัดสรรรถ และเวลาให้ทันใช้งานได้ทั้งหมด นอกจากนี้ มีประเด็นเรื่อง จะสานงานต่อ มีหลายคนคิดว่าน่าจะมีจำนวนหนึ่งที่อยู่สานงานนี้ต่อ แต่เมื่อมีข้อมูลมาใหม่ ที่ประชุม ก็เห็นว่า ไม่น่าจะอยู่ต่อแล้ว

พ่อท่านให้ข้อคิดในวันสรุปประเมินผลวันสุดท้ายของทุกศูนย์ผู้ประสบภัย (๑๙ ม.ค.) จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้ "เราก็แข็งแกร่งขึ้น หรือว่าชำนาญขึ้น มีสมรรถนะ มีทักษะ ต่างๆขึ้น โดยเฉพาะถ้าใครสามารถที่จะมีผลในทางปฏิบัติธรรม มีมรรคผล ของการปฏิบัติ เพิ่มขึ้นได้ นั้นก็เป็นกำไรอย่างยิ่ง รู้อยู่แล้วว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติธรรม กับ กรรมกิริยา กับชีวิต ประจำวัน กับทุกอย่างแหละ ทั้งสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ทำการทำงานประกอบอาชีพ ทั้งพูดทั้งคิด ดำริ อะไรต่างๆ เป็นการปฏิบัติ มรรคผล ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น คิดว่าคราวนี้ ก็คงจะมีผู้ที่ได้มรรคผล อะไรเพิ่มเติม จากการมาทำงาน หรือการมาทำกิจกรรม คราวนี้"

ที่น่าตื่นเต้นอีกเรื่องหนึ่ง ก็ตอนขากลับ สมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรมบางส่วน ได้รับบริการขึ้นเครื่องบินทหาร ที่ได้มาส่ง สิ่งของ และจะเดินทางกลับ กทม. โดยการติดต่อ ประสานของ พล.ต.จำลอง ที่ตื่นเต้นก็คือ ขึ้นเครื่อง นั่งรออยู่เป็นนาน เครื่องก็ยัง ไม่ออกสักที จนพวกเราทยอยกันออกมายืดเส้นยืดสาย นอกตัวเครื่องบิน เพราะอากาศสบายกว่า อยู่ในเครื่องบิน ออกมาจึงทราบว่า ฝ่ายช่างยนต์กำลังซ่อม ใบพัดด้านขวา ที่ไม่หมุน ทำเอาหลายคนที่รู้ ชักคิดเป็นกังวล มาทราบภายหลังว่า พวกเราที่ขึ้นเครื่องบินโดยสาร ของสายการบิน พาณิชย์ มองเห็นเหตุการณ์ตลอด ก็เป็นกังวลว่า มันจะเสี่ยงไหม ถ้าจะปล่อย ให้พ่อท่าน และคณะเดินทาง โดยเครื่องบินทหาร นี่ถ้ามีแค่คนสองคน เขาก็คงได้มา นิมนต์ ให้ไปขึ้น เครื่องบินพาณิชย์แล้ว ซื้อตั๋วให้แล้ว แต่นี่มีกันเกือบร้อย ขืนจ่ายมีหวังหัวโตแน่ พอดีช่างเครื่องบินซ่อมใบพัดเสร็จ ใช้งานได้พอดี



คำแนะนำผู้ป่วยอาการหนัก
๒๑ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่โรงพยาบาลนครปฐม พ่อท่านได้มาเยี่ยม คุณฟ้าดาว นาวาบุญนิยม ซึ่งทราบว่าอาการหนัก ร่างกาย ซูบผอม มีเวทนากล้า จะกินจะนอนก็ยากลำบากแล้ว พ่อท่านให้คำแนะนำในการทำใจที่น่าสนใจดังนี้ "เพ่งกสิณ กับลมหายใจ เข้าออก ให้มันดิ่ง เข้าไปเกาะ คือเราจะทิ้งจะลืมไปเลย กับอีกอย่างหนึ่งก็คือปลงหรือวาง คือต้อง พยายาม โอ้....มันก็อย่างนั้น แหละเนาะ มันก็ต้องเป็นไป คือใช้ปัญญา กับใช้การปล่อย มันเป็นธรรมดา ไม่ใช่ไปดึงจิตไปไว้ที่ใดที่หนึ่ง แต่นี่ทำให้เกิด ความเข้าใจ ทำให้เกิด ปัญญา ทำให้เกิดการปล่อยวางอย่างวางจริงๆ เอ้อ....มันก็เป็นอย่างนั้น มันจะต้อง เป็นของมันไป ถึงเวลา มันก็จะต้องเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้ มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ แม้ที่สุดจะตาย....ก็ตาย ตายก็คือ อย่างนี้ เจ็บก็คืออย่างนี้ ปวดก็คืออย่างนี้นะ มันก็เป็นลักษณะของมันไป คือลักษณะพิจารณา ใช้ปัญญา ทำความเข้าใจ เป็นวิปัสสนา ปลงไปได้เรื่อยๆๆ สองทางใหญ่เท่านั้น วิปัสสนากับสมถะ ส่วนสมถะก็คือคุมจิตเราเองให้มันเป็นหนึ่งเดียว แล้วทิ้งอะไรหมด อยู่ในภพ อยู่ในจุดที่ไม่มีอะไร เป็นอากาสา เป็นอุเบกขา แล้วก็ไปอยู่ตรงนั้น ส่วนวิปัสสนานั่น รู้ตาม ความเป็นจริง ไปหมด ปลงๆๆ อ้อ....มันเป็นอย่างนี้นะ นี่แหละหนอ....เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็เป็นอย่างนี้ เจ็บก็เป็น อย่างนี้ ป่วยก็เป็นอย่างนี้ มันไม่สมดุล ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนกับสำนักอะไรล่ะ สำนักเจ้าคุณวัดมหาธาตุสอน เจ็บหนอ ป่วยหนอ เข้าใจแล้ว ก็ปลง เกิดหนอ ย่างหนอ ก็เป็นลักษณะ ปลงวาง ยิ่งเกิดปัญญาเข้าใจชัด อ๋อ....อย่างนี้หนอ ยิ่งเข้าใจ ในความจริง นั้นๆ ลึกซึ้งขึ้น เป็นญาณทัสสนะจริงๆ แล้ววางได้นั้นแหละ ยิ่งเป็นตัววิปัสสนา ก็มีสองด้าน อย่างนี้"



ดร.ทิวา เงินยวง ขอนมัสการ
๒๓ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก ดร.ทิวา เงินยวง ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอมานมัสการแนะนำตัวเอง และบอกถึงอุดมการณ์ และความคิดของเขา กับสังคม และการทำงาน พ่อท่านให้ความรู้เรื่องของบุญนิยมเล็กน้อย ดู ดร.ทิวา เป็นคนสมถะคนหนึ่ง ก่อนจากท่านได้จดชื่อที่อยู่ส่งให้ เนื่องจากท่านไม่ใช้นามบัตร บอกว่าเผื่อมีอะไร จะเรียกใช้ได้



ฉลองหนาว
๒๘-๓๐ ม.ค. ๒๕๔๘ ที่ภูผาฟ้าน้ำ งานฉลองหนาวครั้งนี้พ่อท่านมีอาการเจ็บเอว ทำให้การเดินเคลื่อนไหวมีปัญหา ไม่คล่องแคล่ว อย่างเดิม มีพวกเราที่มีความรู้ ในศาสตร์ การดูแลรักษา หลายๆแบบได้มาช่วยดูแลรักษาให้ แม้แต่สมณะดินดี สันตจิตโต ก็ยังอาสาเอามัดไม้มาช่วยตีหลังและเอวให้ ตามความรู้ ความเชื่อ ที่ได้รู้มาจาก ศาสตร์ของจีน พ่อท่านก็ยอมให้ตี

อาการเจ็บในครั้งนี้แสดงออกมาเป็นรูปธรรม ถึงขั้นจะเคลื่อนย้ายกายก็ต้องมีผู้ช่วยหิ้วปีกประคองตัว พวกเราไม่เคยเห็นพ่อท่าน มีอาการ เช่นนี้มาก่อน หลายคนเป็นห่วง และหวังดี อยากจะให้หายจากอาการเจ็บนี้ แต่ต่างก็มีความรู้ความเชื่อ ในการดูแล รักษา ต่างกันไป ซึ่งล้วนต้องการนำสิ่งที่ตนได้ประโยชน์มาเสนอ ปัจฉาฯ ต้องปฏิเสธ กันไปหลายราย ด้วยไม่อยาก ให้พ่อท่าน ต้องกลายมาเป็น หนูลองยา ลองฝีมือของใครต่อใครมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นปัญหาใหม่ ที่ผู้หวังดีทั้งหลาย นั่นแหละ จะทะเลาะกันเอง

อาการเจ็บเอวของพ่อท่าน ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงไม่ไปเชียงรายตามที่ได้รับนิมนต์ไว้ สมณะเดินดิน ติกขวีโร อาสาไปแทน

มีเสียงวิจารณ์ว่าอากาศหนาวเย็นจะทำให้อาการเจ็บเอวหายยากขึ้น หรือเจ็บมากขึ้นกว่าอากาศปกติ จึงนิมนต์พ่อท่าน รีบเดินทาง กลับสันติอโศกโดยเร็ว แต่ตั๋วเครื่องบิน เต็มหมด ทำให้ต้องพักที่ตัวเมืองเชียงใหม่ก่อน เจ้าของสถานที่ ก็ปรารถนาดี ได้นำหมอธิเบต มาช่วยดูแลรักษา สภาพการณ์ขณะนั้นปฏิเสธยาก เพราะหมอก็มาอยู่ ตรงหน้าแล้ว อีกทั้ง เป็นการรักษา น้ำใจ ของเจ้าของสถานที่ เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน คืนนั้นพ่อท่านจำต้องยอมให้รักษา แต่เมื่อผลการรักษา ทำให้มีอาการ เจ็บมากขึ้น กว่าเดิม รุ่งขึ้น (๓๑ ม.ค.) พ่อท่านจึงปฏิเสธอย่างเต็มคำได้ว่าไม่ขอให้รักษาต่อ แม้จะได้รับคำอธิบายว่า พิษกำลัง ถูกขับออก จึงทำให้รู้สึกว่า เจ็บมากขึ้นก็ตาม พ่อท่านก็ยืนคำปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า จะต้องเดินทางกลับ ในวันนี้พอดี ถ้าเจ็บมากขึ้น เดี๋ยวจะเดินทางไม่ได้

ขณะนั้นพวกเราที่ได้ไปร่ำเรียนการแพทย์แผนไทย วินิจฉัยทันทีจากอาการที่พ่อท่านเจ็บว่าเป็นโรคลม ไม่ใช่เส้นหรือกล้ามเนื้อ อย่างที่หลายคน เข้าใจแน่ และอาสาตัว เข้ามาดูแลรักษาด้วยท่าทีเชื่อมั่นมาก สามารถจะทำให้พ่อท่านหายได้แน่ ยืนยัน หนักแน่นว่า ไม่มีผลข้างเคียง ที่จะเป็นอันตรายใดๆ ดูเหมือนพ่อท่านเอง ก็อยากจะส่งเสริม ให้แพทย์ แผนไทย เข้ามามีบทบาท ในสังคมชาวอโศก ด้วยเหมือนกัน จึงยอมให้ทำตามวิธีการรักษาของแพทย์แผนไทย ซึ่งมีทั้งการอบ ประคบ พอกทายา กดไล่ลมออก รวมถึง ยาฉัน และควบคุมอาหาร ที่จะแสลงอาการของโรคลม จนหายเป็นปกติได้ ในที่สุด

ในรายการเอื้อไออุ่น (๒๘ ม.ค.) มีประเด็นคำถามหนึ่ง ที่ผู้ถามด้วยความเป็นห่วงที่เห็นพ่อท่าน มีอาการเจ็บขนาดนี้ จะทำใจอย่างไร ไม่ให้ห่วงพ่อท่าน มากไป และจะส่ง พลังจิต มาช่วยพ่อท่านได้ไหม

พ่อท่านให้คำแนะนำว่า "ต้องเข้าใจสัจจะให้ได้ว่า เมื่อเราเห็นคนที่เราเคารพนับถือทุกข์ จะทุกข์เพราะเจ็บป่วย หรือได้รับ ภัยอะไร ก็ตาม เราก็ต้องเข้าใจให้ได้ว่า ความเจ็บ ที่เป็นทุกข์นั้น มันก็เกิดได้เป็นธรรมดา เราจะต้องรู้ความจริง ให้เห็นความจริงว่า อ๊อ..มันเป็นอย่างนั้นหนอ มันก็ย่อมเป็นได้ แม้แต่ผู้ที่มีบารมี มีกุศลก็ยังทุกข์ ยังเจ็บ ยังป่วย ยังได้รับภัย อย่างนั้น อย่างนี้ ขนาดพระพุทธเจ้า ก็ยังได้รับภัย อย่างที่ท่านได้เล่าให้ฟัง ก็เป็นได้ เป็นธรรมดา เราก็ต้องรู้ความจริงว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าเราประมาท สร้างกรรมวิบากเป็นเหตุปัจจัยที่ไม่ดีมากขึ้น ทุกข์ภัยก็มีมากตามวิบากไม่ดีนั้นๆ การเกิดแก่เจ็บตาย เป็นได้ที่เราเมื่อไรก็ได้ อย่าไปประมาท ว่าเรายังแข็งแรง เราต้องสร้างกุศลหรือความดีให้มันสูง มันก็จะ บรรเทา ตามสัจจะของเหตุ ดังนั้น แม้เราเห็นผู้ได้รับทุกข์ เราก็หัดทำใจ อย่าไปยึด เอาอันนั้น มาเป็นเรา อยากให้ท่านไม่เป็น มันอยาก ไม่ได้หรอก ใครเป็นก็ต้องรู้ความจริงให้ได้ว่า แม้ท่านจะใหญ่ ท่านจะสูง หรือคนไม่ใหญ่ ไม่สูงเขาก็เป็น คนที่มีบารมี มากกว่าเรา น้อยกว่าเรา เขาก็เป็นได้ทั้งนั้น เราก็เอาความเป็นจริงที่เราเห็นได้นั้นมาหัดวางใจ เราอย่าไป ต่อเนื่อง ผูกพัน จนกระทั่ง เอามาเป็นเรา อย่างที่ได้พูดไปแล้ว เขาเศร้า เราก็เลยต้องเศร้ากับเขา เอ้า..ก็เขาเศร้าอยู่ที่เขา แล้วก็เอาเศร้า มาอยู่ที่เรา ก็เลยเศร้าสองคนเลย ลูกบาดเจ็บ พ่อแม่ก็พลอยเจ็บไปด้วย อุปาทานพวกนี้ มันเป็นไปได้ มันเป็นเรื่อง การสร้าง อุปาทาน มาใส่ตนเอง อย่าคิดอย่างนั้น เราก็ต้องปลง และพิจารณาเห็นความจริงอย่างที่กล่าวแล้ว ให้รู้สัจจธรรม ที่เป็น ไตรลักษณ์ อย่างชัดเจน

ส่วนเรื่องส่งพลังจิตมาช่วยอาตมานั้น ก็เป็นกุศลเจตนา แนวลึกของพลังจิต จริงแล้วพลังจิตมีฤทธิ์มีเดชจริงๆ แล้วการใช้พลังจิต ไปช่วยคนนั้นคนน ี้มันได้ไหม ก็ได้ แต่ยากมาก นอกจากยากแล้วก็ยังต้องมีเหตุปัจจัยที่ตรงกัน เหมือนคลื่นวิทยุ ที่จะต้องตรงกัน คลื่นวิทยุจึงจะไปถึงกันได้ แล้วแรงส่งก็ต้องมากพอ นี่เปรียบเทียบเป็นรูปธรรมให้ฟัง มีได้ เป็นได้ แต่ยากมาก ถ้าเราจะทำก็ต้องฝึก ถ้าจะทำบ้างก็ทำ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าจะหวังได้อย่างจริงจัง มันไม่ง่าย อย่างที่ชัดเจน ก็คือ มันเป็น "กุศลเจตนา-กุศลเจตสิก" ที่เราไม่อยาก ให้ผู้อื่น เป็นทุกข์ ซึ่งเป็น "สิ่งดี" ที่ทุกคนต้องรู้ในกุศลนี้ และ ต้องมีกุศล เจตสิกนี้ ใครไม่มีก็เป็นคนใจดำ หรือเป็นคนใจด้าน หรือเป็นคนโง่ จนไม่มีอัปปมัญญา ต้องสร้าง อาการทางจิต ชนิดนี้ใส่จิต ให้เกิดเป็นกุศลวิบาก เกิดเป็นคุณธรรมในใจเราก็ดีแน่นอน มันก็ได้อันนั้นแหละเป็นสำคัญ แต่ส่วนที่จะเกิด เป็นผลที่จิต อันนี้มันจะไปช่วยได้ไหม มันก็ยาก อย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว อย่าอยากได้พลังวิเศษ พลังวิเศษย่อมมีตามบารมีเอง แต่จงทำ ให้ถูกตรง ในส่วนสิ่งที่เป็นกุศล อันควรกระทำให้ดีเท่านั้น ของแถมคือ พลังวิเศษจะเกิดเอ งตามความเป็นจริง ของบารมี"


 


ค้านการนำเครื่องดื่มมึนเมาเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
๒ ก.พ. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก มีผู้ส่งโทรสาร ที่ พล.ต.จำลอง ได้ทำหนังสือส่งไปถึงกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ๑๑ ท่าน รวมถึง ฯพณฯ รมว.กระทรวงการคลัง ค้านเรื่อง การนำเครื่องดื่มมึนเมาเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ จากบางส่วนของหนังสือดังกล่าวดังนี้

ผมได้เข้าร่วมประชุมผู้แทนองค์กรของศาสนาต่างๆ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตามรายชื่อองค์กร ท้ายหนังสือ ฉบับนี้ เป็นการประชุม อย่างเงียบๆ เพื่อป้องกัน มิให้พรรค การเมือง บางพรรค นำไปเป็นประเด็น ในการหาเสียง ชิงความได้เปรียบ ในการเลือกตั้ง ที่ประชุมมีความห่วงใยเรื่องการขยายตัวของธุรกิจเหล้าและเบียร์ แม้จะก่อให้เกิด ความเติบโต ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นพิษภัย อย่างร้ายแรง ต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน

ประชาชนมั่นใจพรรครัฐบาลว่า ตระหนักเรื่องนี้ดี เพราะมีหลักฐานปรากฏในหลายที่หลายแห่ง เช่น ป้ายหาเสียง ที่ติด ทั่วประเทศว่า
สร้างโอกาส ให้เยาวชนปลอดภัย
ปลอดยาเสพติด ไม่มีสิ่งยั่วยุคุกคาม

ขณะนี้มีการเสนอระดมทุนโดยการนำกิจการเหล้าเบียร์เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าทำสำเร็จ จะก่อให้เกิดความเสียหาย อย่างร้ายแรง ต่อสังคม ขณะยังไม่ได้ระดมทุน ก็มีทุน มหาศาล และทำให้ประชาชน ติดเหล้าและเบียร์ กันอย่างมโหฬาร อยู่แล้ว องค์การอนามัยโลก ระบุว่า เมื่อปี ๒๕๔๓ คนไทยดื่มเหล้าเป็นลำดับที่ ๕ ของโลก การดื่มเบียร์ในช่วง ๑๒ ปี (พ.ศ.๒๕๓๒-๒๕๔๔) เพิ่มขึ้นกว่า ๕ เท่าตัว สำนักงานสถิติแห่งชาติแจ้งว่า ในปี ๒๕๔๖ คนไทยดื่มเหล้าและเบียร์ มีจำนวนถึง ๑๘.๖ ล้านคน (๓๐% ของประชาชน ทั้งประเทศ) โดยดื่มเป็นปริมาณมากถึง ๓,๗๐๐ ล้านลิตร

เป็นที่ทราบดีแล้วว่า เหล้าและเบียร์ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท ก่อคดีร้ายแรงต่างๆ และทำให้ เสียสุขภาพ ภาษีอากรที่รัฐ ได้รับจาก ธุรกิจดังกล่าว น้อยกว่าเงินที่ต้องสูญเสีย ในการรักษาพยาบาล ประชาชน ในชาติ มากมายนัก ที่สำคัญคือ ประเทศไทยมีผู้นับถือศาสนาใหญ่ๆ ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ซึ่งทุกศาสนา คัดค้าน การเสพย์ สิ่งมึนเมาทั้งสิ้น

คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ น่าจะมีจุดยืนทางศีลธรรมในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ว่าไม่สนับสนุนให้ธุรกิจ เหล้าเบียร์ ระดมทุน ในตลาด หลักทรัพย์ไทย หากไปเข้า ตลาดหลักทรัพย์ ในประเทศอื่น คนไทยจะซื้อขายหุ้นลำบากกว่า และเป็นการทำลาย สังคมไทย โดยฝีมือของชนชาติอื่น ดีกว่าไทยทำลายคนไทยด้วยกันเอง

ในฐานะที่ท่านมีบทบาทในการชี้ชะตาเรื่องนี้ ผมจึงเรียนมาให้ทราบ หากอนุมัติให้ระดมทุนเข้าตลาด หลักทรัพย์ ย่อมเกิด ความขัดแย้ง อย่างรุนแรงในสังคม และอาจ บานปลายได้

ขอแสดงความนับถือ
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

แผ่นต่อมาเป็นรายชื่อองค์กรศาสนา ที่เข้าร่วมประชุม เดือนมกราคม ๒๕๔๘ ทั้งหมดมี ๒๔ องค์กรดังนี้
๑. วัดสุทัศเทพวราราม
๒. วัดปัญญานันทาราม
๓. สวนปฏิบัติธรรมวัดทุ่งไผ่ จ.ชุมพร
๔. สภาประมุขบาทหลวงแห่งโรมันคาทอลิก
๕. ศูนย์สังคมพัฒนา กรุงเทพฯ
๖. วิทยาลัยแสงธรรม
๗. มูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย
๘. สภายุวมุสลิมโลก สำนักงานประเทศไทย
๙. สมัชชายุวมุสลิมไทย อัชซะบ๊าบ ๑๐. สถาบันบุญนิยม
๑๑. สถาบันการเรียนรู้ และพัฒนา ประชาสังคม จังหวัดนราธิวาส
๑๒. สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม จังหวัดอุทัยธานี
๑๓. สถาบันการเรียนรู้ และพัฒนาประชาสังคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๑๔. สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม จังหวัดภูเก็ต
๑๕. สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม จังหวัดกาญจนบุรี
๑๖. โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
๑๗. โรงเรียนทอสี
๑๘. มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน
๑๙. มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ
๒๐. มูลนิธิสวนแก้ว
๒๑. กองทัพธรรมมูลนิธิ
๒๒. มูลนิธิธรรมกาย
๒๓. สวนโมกข์ตะวันออก
๒๔. เครือข่ายภูมิปัญญาไทย

ต่อมาพ่อท่านก็ได้รับการรายงานมาเป็นระยะๆ ถึงความพยายามที่จะกระตุ้นปลุกสังคม ให้เห็นถึงโทษภัยที่จะเกิดขึ้นกับสังคม หากสังคมยังปล่อย ให้เครื่องดื่มมึนเมา เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งพ่อท่านก็มักจะบอกพวกเรา ที่ให้ข้อมูลมาว่า เราก็คงทำ เท่าที่เราทำได้ แล้วก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเราจะต้อง ค้านเขาได้ อย่างเอาเป็นเอาตาย จะเกิดความรุนแรง แต่ก็ทำให้เต็ม ความสามารถ ตามที่เหมาะสม ก็รู้อยู่แล้วว่าคนส่วนใหญ่ เขาเห็นแต่เรื่อง ที่จะหาเงิน เขาไม่ได้ ให้ความสำคัญ กับจิตวิญญาณ ที่จะเกิดขึ้น อันเนื่องมาจาก วิธีการหาเงินของชาวโลกีย์ สังคมจะเสียหายมากขึ้น กว่าเงินที่เขาจะได้รับ

๒๑ ก.พ. ๒๕๔๘ ในงานพุทธาฯ พวกเราได้รับการประสานให้ไปร่วมเป็นมวล ในการยื่นหนังสือค้านการเอาธุรกิจ เครื่องดื่ม มึนเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ พวกเราก็เร็วไว มีอาสาสมัคร จะไปร่วมมากกว่าจำนวนที่ต้องการ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ประมาณ ๑๐๐ คน ฝ่ายประสานไม่อยากให้เป็นภาพว่ามีแต่กลุ่มของชาวอโศก เพราะคณะอื่น ที่เป็นแนวร่วม ในกิจนี้ด้วย ก็มีหลายกลุ่ม แต่เขาอาจจะประสาน รวมตัวกันได้ยาก

ต่อมาก็ได้มีการประสานกันในองค์กรศาสนา เพื่อร่วมมือกันในการเคลื่อนไหว กลุ่มที่มีมวล มากและประสาน เข้ากันได้ดี ในกิจนี้ก็คือ กลุ่มของธรรมกาย และกำลังประสาน ร่วมกัน จัดงานวิสาขบูชา



ตรีลักษณ์ของมนุษย์ประเสริฐ
๖ ก.พ. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ญาติโยมมาทำบุญฟังธรรมกันมากกว่าวันธรรมดา พ่อท่านเทศน์ มีประเด็น ที่ใช้ว่า ตรีลักษณ์ของมนุษย์ประเสริฐหรืออาริยะ ได้แก่ ๑. มีเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ๒. มีสมรรถนะ สร้างสิ่งที่ควรสร้างได้ ๓. มีสัปปุริสธรรม ๗ นอกจากนี้มีประเด็นถึงเรื่องความหลงใหลงมงายไปกับโลกียสุข อันเนื่องมาจาก มิจฉาทิฐิ ในการนับถือ พระ เครื่องรางของขลัง กิจการนี้พ่อท่านเทียบจัดเป็นโรคเอดส์ ของศาสนาพุทธ ผู้สนใจติดตามรายละเอียดได้ จากฝ่าย เผยแพร่



สอน นศ.การแพทย์แผนไทย มร.
๑๐ ก.พ. ๒๕๔๘ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ่อท่านได้รับนิมนต์จากคุณขวัญดิน กับคุณแก่นฟ้าที่เป็นอาจารย์พิเศษ ในวิชา การศึกษาทางเลือก หรือชุมชน ทางเลือก ซึ่งเป็นวิชาหนึ่ง ที่นักศึกษาที่ลงทะเบียน เรียนการแพทย์แผนไทย มร.จะต้องเรียน โดยมีนักศึกษา ลงทะเบียนเรียน ประมาณ ๙๐ คน ส่วนใหญ่จะเป็นวัยของผู้ทำงานแล้ว มีทั้งนายทหาร ยศชั้นระดับนายพล มีทั้งนายแพทย์ และวิศวกร มีทั้งอาจารย์ มีทั้งนักธุรกิจ และข้าราชการ คุณแก่นฟ้าเล่าว่า ต่อมาได้นำเอา สิ่งที่พ่อท่าน ได้มาสอนนั้น ไปออกข้อสอบ ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน ในรายละเอียด ของการสอนวันนั้น



วิจารณ์การเลือกตั้งที่ผ่านมา
๑๓ ก.พ. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก วันอาทิตย์นี้พ่อท่านเริ่มการแสดงธรรมด้วยการวิจารณ์ การเลือกตั้ง ที่เพิ่งจะผ่านมา (๖ ก.พ.) จากบางส่วนดังนี้

"ปรากฏการณ์ทางการเมืองของไทยนั้น ได้เปลี่ยนไปมาก มันเป็นความเจริญทางเทคนิคของการเมือง อย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ หมายความว่า การเมืองเจริญ การเมืองคราวนี้ หลายๆ คนมองว่า พรรครัฐบาลเดิมเป็นฝ่ายที่ชนะขาดลอย แต่มองทางด้าน ลึกแล้ว มันไม่ใช่ เป็นเพียงการชนะทางเทคนิคและเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยของพรรคการเมือง ไทยรักไทย มันได้เปรียบ ไม่รู้กี่ประตู

หนึ่งได้เปรียบเพราะว่าพรรคไทยรักไทยนั้น มีพรรรคที่ไปร่วมพรรค แต่ก่อนนี้แยกพรรคกันเยอะแยะเลย ใช่มั้ย แต่คราวนี้ มีพรรคใหญ่ๆ ๔ พรรค เข้าไปร่วม ในพรรค ไทยรักไทย ผนึก หนึ่ง ไทยรักไทย ชาติพัฒนา ความหวังใหม่ กิจสังคม แล้วมีเสรีธรรม แถมอีก เป็นพลังรวมอันเดียวกันเลย แล้วในแต่ละพรรคเหล่านี้ เขามีฐานเสียง มี ส.ส.จัดตั้ง ของเขา อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ๔-๕ พรรค ไปรวมกัน เป็นหนึ่งพรรค ได้เปรียบหรือยัง ส่วนฝ่ายค้านนั้น ดันแย่งกันอีกแน่ะ ประชาธิปัตย์แยกมาเป็น มหาชน แยกกันเป็น กองใหญ่ด้วยนะ ชาติไทยเอง ก็แตกออกมาอีก ดึงออกไปอีก เคยร่วมหัวร่วมหางกัน กับประชาธิปัตย์บ้าง มหาชน ก็คนกลุ่มเก่า เสร็จแล้ว ก็ไปคานกัน หมดเลย แล้วมันจะไม่แพ้ได้อย่างไร แพ้อย่างนี้ ไม่ได้แพ้อย่างสิทธิ์ขาด ด้วยอำนาจ ของประชาชน มันเป็นการแพ้เพราะเหตุปัจจัย ผนวกกับ ฝีมือทางเทคนิค อันเก่งกาจ ของพรรคใหญ่ๆ ทั้ง ๔ ที่ร่วมกันอยู่ เป็นหนึ่ง ในไทยรักไทย มันทั้งก้อนทุน ทั้งอำนาจที่แฝงอยู่ในภาวะรักษาการณ์ มันหลายประเด็น มันมีความซับซ้อน เยอะแยะ อาตมา ไม่พูดแล้ว มันไม่ใช่การชนะ ที่เด็ดขาด ด้วยเสียงประชาชน มันไม่ใช่การชนะ ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ แต่เป็นเทคนิคแท้ๆ ทางการเมือง เป็นการชนะด้วยเทคนิค และเหตุปัจจัย ที่ได้เปรียบ

โดยเฉพาะรัฐบาลคุมรักษาการณ์ ข้าราชการอยู่ในอวย แล้วยิ่งกระแสกระหน่ำอยู่ด้วยว่า โพลออกมา รัฐบาลจะเป็นไทยรักไทย อีกครั้งหนึ่ง ก็เรียบร้อย ข้าราชการทุกคน ก็จะทำ ยังไงล่ะ หมดท่าแล้ว ข้าราชการคือ ปุถุชน ยังมีกิเลสกันทั้งนั้น กิเลสมีอำนาจ ในตัวคนจริงๆนะ น้อยนักที่จะสามารถไม่ให้เกิดอคติ ไม่ลำเอียงก็ลำโอน ตามอำนาจของ อคติ ๔ แน่ยิ่งกว่าแน่ อย่างน้อย ก็เพราะ ภยาคติ อย่างนี้เป็นต้น แล้วจะเอาอะไรไปชนะ จะเอาอะไรไปเป็นความซื่อสัตย์สุจริต มันเป็นไปไม่ได้ เหตุมันมีอีก หลายเหตุ ความซับซ้อน ในวิธีการ เชิงกล ในทางเทคนิคของการเมือง มีอีกมากมาย

อาตมาทุกวันนี้เป็นสมณะที่พูดเรื่องการเมืองมากขึ้น ที่หยิบเอาเรื่องการเมืองมาพูดนำนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าในโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะ ในประเทศไทย คำว่าการเมือง เป็นความรู้ เป็นความสนใจ ของมนุษยชาติมากขึ้น แม้แต่ชาวต่างจังหวัด ก็ตื่นตัวกันเยอะ รับรู้ข่าวสาร อ่านไม่ออกก็ฟังวิทยุ-ดูโทรทัศน์เอา แต่ก่อนนี้สมัยโบราณ เขาเรียก หนังสือพิมพ์ การเมือง ที่ขายกัน เขาเรียกว่า หนังสือพิมพ์บ่าย ฉบับบ่ายบางจ๋อย แต่พวกรักการเมือง เขาก็ซื้ออ่าน มีแฟนมีกลุ่มเป้าหมายเขาก็ว่ากันไป แต่หนังสือพิมพ์ ที่ออกกัน ในแนว โอ้โฮ...กล้วยออกลูกเป็นพญานาคอะไรอย่างนี้พิมพ์ขายกันดะเดะเลย ควายคลอดออกมาสองหัว โอ้โฮ.... ตีพิมพ์หัวไม้เลย หนังสือพิมพ์แบบนี้ขายกันระเนระนาด แต่เดี๋ยวนี้ ถือว่า เป็นการพัฒนาของสังคม คือมีความสนใจ ในเรื่องของ การบริหาร การทำงานเพื่อมนุษยชาติเพื่อสังคม เอาเถอะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นระบบที่มันยังไม่ดี มันยังมีความคดโกง มันยังไม่มีฝีมือ ในการบริหารอย่างเก่ง ก็แล้วแต่ ก็ถือว่าเป็นการก้าวหน้าของสังคม ข่าวสารการเมืองอะไรต่ออะไรก็ดี พอเป็นไป"

จากนี้ไปเป็นการตอบประเด็นเรื่องเทวนิยมอเทวนิยม ผู้สนใจรายละเอียดติดตามได้จากฝ่ายเผยแพร่



มหกรรมกู้ดินฟ้า ครั้งที่ ๒ ที่สวนส่างฝัน
๑๔ ก.พ. ๒๕๔๘ ตรงกับวันวาเลนไทน์ ที่สวนส่างฝันถือเป็นวันเกิดของกลุ่ม และได้นิมนต์พ่อท่านมาเทศน์สองปีแล้ว ปีนี้ ก็จัดงาน มหกรรมกู้ดินฟ้า ครั้งที่ ๒ มีรอง ผู้ว่าราชการจังหวัด อำนาจเจริญ มาเป็นประธานเปิดงาน มีการถ่ายทอดเสียง ออกอากาศ ทางวิทยุ สวท. อำนาจเจริญ ตั้งแต่พ่อท่านแสดงธรรมและรองผู้ว่าฯ กล่าวเปิดงาน ข้าพเจ้า ขอข้ามผ่าน ในรายละเอียด



วิจัยประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติธรรม

๑๗ ก.พ. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก อ.วิชัย รูปขำดี จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้นำแบบ สอบถาม เพื่อทำวิจัย กลุ่มต่างๆ ที่ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เป็นอย่างไร มาถวายให้พ่อท่านได้ตรวจดู อ.วิชัย ได้บอกเล่า ถึงการ จะทำวิจัย สำรวจการปฏิบัติธรรม จากวัดต่างๆ ว่าการสอนพระใช้อะไร สอนญาติโยม สอนอย่างไร แล้วตัว เจ้าสำนักเอง ได้ใช้หลักธรรม ในการเผยแพร่อะไรบ้าง แล้วก็จะเอาแบบสอบถาม จากสำนักต่างๆเหล่านี้ มารวบรวม ไปเปรียบเทียบกับ พระไตรปิฎกต่างๆ เพื่อจะได้ทราบว่า มีความเหมือน หรือความต่างกัน และทั้งหมดนี้ จะไปอ้างอิงพระไตรปิฎก เป็นหลัก สำนักอารามหลวงต่างๆ รวมไปถึงวัดไทย ในต่างประเทศ อย่างอเมริกา อังกฤษ ก็อาจจะตามไปสอบถามด้วย เพื่อจะได้ทราบว่า ท่านทั้งหลาย ที่ได้รับหลักธรรมมา ได้สอนอะไรไปบ้าง แล้วก็จะสรุป แต่จะไม่วิจารณ์ว่า ทำไมถึง มีความแตกต่างกัน หรือ มีความผิด ความถูกอย่างไร เป็นเพียงการนำมาสรุปให้สังคมได้รับทราบ



สัมมนาธรรมะเพื่อสันติสุข
๑๘ ก.พ. ๒๕๔๘ ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ อาคารวิทยบริการ ชั้น ๗ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติ ได้จัดสัมมนาธรรมะ เพื่อสันติสุข โดยมีตัวแทน จากกลุ่มองค์กรศาสนาต่างๆได้มาร่วมประชุมด้วย อ.วิชัย รูปขำดี เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยกล่าวถึง การจัดสัมมนาครั้งนี้ เพื่อสรุปเป็นปัญห าและวิธีแก้ไข ส่งให้รัฐบาล ต่อไป จากนั้น นิมนต์พ่อท่าน ได้กล่าวก่อน จากบางส่วนดังนี้ "สังคมไม่ได้ขาดความรู้ ไม่ได้ขาดความสามารถ แต่มันขาดคน ที่มีคุณธรรม ขาดคนที่ลดกิเลส ผู้ที่โกงหรือทุจริต ไม่ใช่เพราะขาดความรู้ แต่เป็นเพราะเขาสู้กิเลสตนเองไม่ได้ แนวทางที่จะลดกิเลสนั้น ศาสดาของแต่ละศาสนา ก็ได้สอนและปฏิบัติต่างกันไป ผู้บริหารทุกวันนี้ ก็ไม่ได้มีการศึกษา อย่างจริงจัง ว่าทำอย่างไร จึงจะลด กิเลส มองแต่ว่าทำอย่างไร จะให้คนมีเงินให้ได้ทั่วๆ ให้คนไม่มีความจน กันไปทั้งชาติ ทำอย่างไร จะให้คนฉลาด ทันโลก เด่นดัง กว่าใครในโลก ไม่มุ่งมั่นให้คนลดกิเลสกันจริงจังเลย จริงจังแต่จะให้คนมีเงิน-ร่ำรวย คนลดกิเลสได้นั้น แม้จะไม่มี ความรู้เท่าไร สังคมก็ไม่เดือดร้อน แต่คนที่มีความรู้ มากๆ ทว่ากิเลสไม่ลด แถมกิเลสยิ่งมากขึ้นๆ นั่นต่างหาก สังคมยิ่งเดือดร้อน ที่ทำให้โลกยิ่งแก่งแย่งรุนแรง แข่งขัน และเพิ่มความทุจริต สร้างเล่ห์เหลี่ยม ซับซ้อน จนหลงเลอะกัน อย่างไม่รู้ว่า อะไรดีแท้ อะไรผิดแท้ ดังนั้นเราจึงควรหาวิธี จะทำอย่างไร ให้คนได้ลดกิเลสได้ อย่างมีผลชะงัด ขออภัยที่จะต้อง กล่าวถึง ตนเอง อาตมา ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า จนเกิดผล แล้วมีคนปฏิบัติตาม จนเกิดหมู่ชน มีหมู่บ้าน ที่ลดละกิเลส ที่เป็นชุมชน พึ่งตนเอง เป็นหมู่บ้านที่ปฏิบัติธรรมทั้งหมู่บ้าน ตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ เป็นคน มีศีล มีจรณะ ๑๕ และเกิดสันติสุขกันจริงๆ"

ต่อด้วยท่านเจ้าคุณพระศรีปริยัติโมลี ได้กล่าวถึงปัญหาของศาสนา และได้พูดถึงสันติอโศก เรียกขานพ่อท่าน แบบให้เกียรติว่า ท่านอาจารย์ใหญ่ ต่อด้วยตัวแทน จากคริสต์ เป็นซิสเตอร์ ท่านหนึ่ง และตัวแทน จากอิสลาม

เนื่องจากทั้งพ่อท่านและท่านเจ้าคุณพระศรีปริยัติโมลี ติดกิจที่จะต้องออกนอกห้องประชุมก่อน คุณวิสุทธิ์ได้ขอเวลา ให้ท่านเจ้าคุณ พระศรีปริยัติโมลี ได้กล่าวอะไร ทิ้งท้าย เล็กน้อย ก่อนกลับ ท่านเจ้าคุณพระศรีปริยัติโมลี ได้โยนลูกมาให้พ่อท่าน กล่าวแทน ซึ่งพ่อท่านก็ย้ำว่าจะเกิดสันติสุขได้ต้องปฏิบัติธรรม ต้องลดกิเลส ของแต่ละคน ให้ได้ ท่านพระศรีปริยัติโมลี เย้าว่า แล้วต้องเปลี่ยนรัฐบาล ด้วยหรือเปล่า

คุณสมพร เทพสิทธา เพิ่งเข้ามาก่อนพ่อท่านจะพูดในช่วงท้ายนี้เล็กน้อย เมื่อพ่อท่านและพระศรีปริยัติโมลีขยับลุก จะออกนอกห้อง การสัมมนาต้องหยุดลง ชั่วคราว คุณสมพร ได้เดินเข้ามา นมัสการทักทายพ่อท่าน และท่านเจ้าคุณ พระศรีปริยัติโมลี แล้วพูดเป็นเชิง ชื่นชมพ่อท่านว่า แหม....ฟังท่านยังไม่ทัน เต็มอิ่มเลย ต้องเอาอย่าง ที่หลวงพ่อทำ นี่แหละครับ หลวงพ่อ ต้องทำต่อไปนะครับ แล้วยกมือ นมัสการลา อย่างคุ้นเคยกันดี

ออกจากห้องประชุมคุณบรรจง โซ๊ะมณี เสร็จจากการให้ข่าวกับทางโทรทัศน์ช่อง ๕ ได้เข้ามานมัสการทักทาย และบอกว่า ปัญหาภาคใต้นี้ แก้ปัญหาที่ห้องประชุม เมื่อสักครู่นี้ ได้เลย ไม่ต้องไปลงทุน เป็นหมื่นๆล้านเลย ให้หลวงพ่อเป็นผู้นำ ในการแก้ปัญหา รับรองว่า ปัญหาภาคใต้ยุติลงแน่

ระหว่างที่อยู่ในช่องลิฟต์ ตอนกลับ ท่านเจ้าคุณพระศรีปริยัติโมลี ได้กล่าวถึงการออกพระราชบัญญัติ เกี่ยวกับสิทธิ ในดินแดน ที่ให้ชาวต่างชาติ มีสิทธิครอบครอง ดินแดน ในไทยได้ ๑๐๐ ปีหรือเช่า ๑๐๐ ปี เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่หนักหนา กับประเทศไทย อย่างนี้ต้องให้ ท่านอาจารย์ใหญ่ ออกโรงนำ



พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๒๙ ที่ศาลีอโศก
๒๐-๒๖ ก.พ. ๒๕๔๘ พ่อท่านได้นำเอาหนังสือ "พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้" มาอ่านอธิบายในช่วงทำวัตรเช้าทุกวัน ซึ่งยังไม่จบ ต้องไปอ่านอธิบายต่อ ในงานปลุกเสกฯ ที่ศีรษะอโศก รายการ "จะสร้างชุมชนฉลอง ๗๒ ปีให้เข้มแข็งได้อย่างไร" อีกทั้งการ สัมมนากลุ่มย่อย ของแต่ละชุมชนและเครือแห (เป็นคำใหม่ที่พ่อท่านใช้แทนคำว่าเครือข่าย) จะทำชุมชน ให้เข้มแข็ง ได้อย่างไร มีผลทำให้ แต่ละชุมชนต้องไปเร่งรัดพัฒนาชุมชนของตน เป็นการบ้าน ที่จะต้อง นำไปรายงาน ในงานปลุกเสกฯ ถึงผล ความคืบหน้า ให้คณะใหญ่ ได้ทราบ การจัดระเบียบวินัยของแต่ละชุมชนจึงเกิดตามมา บางชุมชน เพิ่มการทำวัตร เพิ่มกิจกรรม ที่จะทำงาน ประสานกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงในกิจกรรม-กิจวัตรของ หลายที่หลายแห่ง

ในงานมีประเด็นการประชุมของวิทยุชุมชน ที่น่าถ่ายทอดสู่กัน เป็นการสกัดจุดเชื้อโรคทุนนิยมที่กำลังระบาดเข้ามา คือ ปัญหา เรื่องสถานีวิทยุชุมชน ของศาลีอโศก ที่มีคนนอก เข้ามาบริหาร จัดการมากไป และค่อนข้างจะเป็นทุนนิยม มีทั้งการ หาเงิน โฆษณา และการเรี่ยไรขอบริจาค ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการตั้งวิทยุชุมชน ทำให้พ่อท่าน เห็นว่า ถ้าอย่างนี้ จะไปไม่รอด จึงแนะ ให้ปิด วิทยุชุมชนนี้ทันที ยกให้คณะของเขาไปดำเนินการกันที่อื่น พวกเรางดไปก่อน ถ้ามีโอกาสตั้งขึ้นมาใหม่ ก็ต้องทำให้ดี ให้อยู่ในอุดมคติ ที่ควรจะเป็นได้ ก็ค่อยทำ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ ที่ต้องใช้ความเด็ดขาด

มีเรื่องตื่นเต้นเล็กๆ เมื่อเกิดมีไฟไหม้นาของชาวบ้าน แล้วมันลามเข้ามาจะถึงบ้านของชาวบ้านข้างๆ ศาลีอโศก ทำให้ต้อง ประกาศ ขอแรงพวกเรา มาช่วยกันดับไฟ พ่อท่าน ก็ออกมาจาก ห้องทำงาน เพื่อจะได้ช่วยด้วย แต่เนื่องจากกำลัง พวกเรา ก็มากพอ และไฟที่ลุกไหม้มาพอจะสกัดได้อยู่ ทำให้พ่อท่านไม่ถึงกับต้องลงมือดับไฟเอง แต่ก็เดินเข้าไป ในจุดใกล้กับ การลุกไหม้ เหมือนกัน จนต้องถอยออกมาเมื่อทำท่าจะแสบตาและสำลักควัน

สิ่งที่หลายคนที่มาร่วมงานไม่ได้คิดมาก่อน แต่ก็ได้มีโอกาสร่วมแถมด้วย ก็คือ การร่วมฌาปนกิจศพ หลวงพ่อแจ้งจริง อมโล ผู้มีอายุมากที่สุด ของสมณะชาวอโศก [๙๐ ปี] และ เป็นบิดาของ สมณะหม่อน มุทุกันโต เสียชีวิตที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา (๒๔ ก.พ.) ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว และน้ำท่วมปอด

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ขอนำเอาอธิษฐานธรรม ที่พ่อท่านได้กล่าวก่อนการแสดงธรรมทำวัตรเช้าทุกวันในงานพุทธาฯ ที่ผ่านมา โดยเรียง ตามลำดับวันที่ ดังนี้

"อธิษฐาน เป็นการมุ่งมั่นตั้งใจและเป็นการตั้งมั่นลงที่จิต ว่าเราจะตั้งจิตตั้งใจของเราอย่างไร ตั้งใจจะทำ เช่นนั้น ตั้งใจ จะทำเช่นนี้ ให้เกิดกายกรรม ให้เกิดวจีกรรม ให้เกิดมโนกรรม หรือจะทำให้เกิดการดำเนินชีวิต ไปสู่จุดมุ่งหมาย อย่างนั้น อย่างนี้ จิตของเราเอง เราจริงใจของเราเอง แล้วเราก็มีความดำริ มีความตั้งใจของเราเอง เป็นความจริง ที่เกิดจากจิต ที่เรามุ่งมั่น ที่เรากำหนด

การตั้งจิตให้แก่ตนเองแต่ละครั้งๆ เป็นการย้ำ เป็นการบอกตนเอง ว่าเราเองจะต้องกระทำตามนั้น จึงเป็นทิศทาง ที่จะนำพา ให้แก่ชีวิต ทุกชีวิต ตั้งจิตเสมอ อธิษฐาน เสมอ แต่อย่า อธิษฐานแบบผิดๆ คือ ขอ และคำว่า "อธิษฐาน" ก็ไม่ได้ แปลว่า "ขอ" แปลว่า ความตั้งใจ หรือการตั้งจิต การขอ ไม่ใช่แบบอย่างของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็น อเทวนิยม ไม่ใช่เทวนิยม ซึ่งไม่ต้อง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ บันดลบันดาล นอกจากกรรมวิบากของตนเองเท่านั้น ที่ได้สั่งสมเป็น พลวปัจจัย แล้วจะช่วย เราเอง ตามที่เรา มีพลังวิบากนั้นๆ จริง พลังนั้นจะช่วยตนของตนตามจริงเสมอ" (๒๑ ก.พ.๒๕๔๘)

"ชีวิตก็ดำเนินไป ถ้าเผื่อว่าคนเราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฝึกฝน คนก็จะวน หมุนเวียนไปตามโลกียะ ซึ่งโลกก็คือโลกียะ ที่หมุนเวียน อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อันได้แก่ กาม กับ อัตตา คนก็จะโต่งไปโต่งมา ระหว่างกามกับอัตตา ถ้าได้สมใจ ในกาม หรือ ได้สมใจในอัตตา ก็เป็นสุข นับว่าเป็นสวรรค์ ถ้าเสื่อมหรือไม่ได้สมใจ ในกาม ในอัตตา ก็เป็นทุกข์ เป็นนรก

ความซับซ้อนของพลังจิต หรือว่าจิตที่เป็นพลังงานอย่างหนึ่งนั้น ซับซ้อนและสั่งสมในการยึดถือ ในการโลภ โกรธ หลง ทำให้ คนทุกข์ ทำให้คนก่อร้าย ทำให้คนเดือดร้อน ตกต่ำ แม้จะสูงส่ง ก็เต็มไปด้วยความติดยึดที่มากยิ่งขึ้นๆ

โลกทุกวันนี้หลอกและมอมเมากัน เดือดร้อนกันทั่วทั้งโลก และไม่ได้หยุดหย่อนในการที่จะสร้างความหลอก มอมเมากัน ยิ่งขึ้นๆๆ หากไม่ได้ศึกษาสัจธรรม ที่เป็นโลกุตระ ของพระพุทธเจ้าแล้ว คนจะไม่มีทางออกจากโลกียะ จะหมุนวน เป็นวัฏสงสาร อยู่อย่างนั้น นานนับกัปกาล ทุกข์สุข-สุขทุกข์อยู่ดังนั้น ตลอดกาลนาน

มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย เมื่อพบศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว ศาสนาพุทธมีโลกุตรธรรมเป็นสำคัญ จงเร่งศึกษาเถิด ชีวิตจะได้ หลุดพ้น จากความวนเวียน ในวัฏสงสาร ระหว่าง สวรรค์-นรก ระหว่า งทุกข์- ระหว่างสุขนี้ ได้เด็ดขาด ดับสิ้น ซึ่งการมีภพ มีชาติ ที่ต้องวนเวียนอยู่ในโลกนี้อีกนานเท่านาน

ผู้ที่ประสบผล ผู้ที่ได้พิสูจน์ด้วยตน ปฏิบัติประพฤติธรรมเป็นสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อมีมรรคมีผล จะเป็นผู้ยืนยัน และ เป็นผู้ประสบความพ้นทุกข์ พ้นสุข หลุดพ้น จากโลกียะ ได้ถึงที่สุดคือ นิพพานแล" (๒๒ ก.พ. ๒๕๔๘)


"โลกร้อนแรงเลวร้ายลงทุกวันๆ คนผู้ตื่นแล้ว รู้ความเป็นโลกที่เสื่อมลง ที่มอมเมากันยิ่งขึ้นๆ ก็เป็นผู้ที่รู้ตัวแล้ว ว่าเราคงไม่ควร จะต้องจม อยู่กับโลก อันเลวร้ายลงทุกวันนั้น

เราควรจะต้องมาช่วยโลกบ้าง ด้วยการผนึกกัน รวมตัวกัน เพื่อที่จะได้พัฒนาตนเองด้วย ทำให้สังคมกลุ่ม เกิดเป็นชุมชน กลุ่มชน ที่จะมีพลัง ในการที่จะแสดงความจริง ให้แก่ มนุษยโลก ได้รู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่มีทิศทางเดียว คือโลกีย์เท่านั้น ที่เขาจะไปกัน ยังมีอีกทางหนึ่ง คือ โลกุตระ ซึ่งเป็นทิศทางที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ค้นพบ และได้เอามา ประกาศ แก่มนุษยโลก ในโลกนี้ ตั้ง ๒๕๙๓ ปีมาแล้ว และยังดำเนินอยู่ ยังสามารถที่จะนำตน เข้ามาพิสูจน์ ความจริงของโลก โลกุตระได้อยู่

เมื่อเห็นว่าโลกนี้ทั้งเลวลง และเดือดร้อนยิ่งขึ้น เราเองผู้ที่เห็นทางออกแล้ว ควรจะต้องช่วยทั้งตนเอง และ ช่วยทั้งโลก ด้วยการมา ผนึกกัน รวมตัวกัน เพื่อที่จะสร้าง ความเป็นจริง ให้เป็นรูปเป็นร่าง ให้เป็นตัวเป็นตนของมนุษย์อาริยะ หรือ มนุษย์ที่เป็น ชาวโลกุตระ ให้แก่ชาวโลกเขารู้แจ้ง เห็นทางด้วย เราจะได้ช่วยชาวโลกเขาด้วย เราเองก็พลอยเป็น ผู้ที่ดำเนิน ไปสู่ทางที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงชี้ทางให้แก่เราไว้แล้วด้วย ทั้งสองฝ่าย เป็นอุภยัตถะ แก่โลกแก่ตน แก่สังคม" (๒๓ ก.พ. ๒๕๔๘)


"คนที่รู้จักจิตใจ อ่านจิตใจตนเองเป็น มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอที่จะอ่านจิตใจของตน และยิ่งผู้ใดสามารถ ที่จะพิจารณา องค์ประชุมนอก องค์ประชุมในที่เรียกว่ากาย จะเป็น องค์ประชุม ของทางรูปธรรม หรือเป็นนามธรรม ก็ตาม สามารถรู้รูป รู้นาม และ วิจัย ลึกเข้าไปถึง นามธรรมขั้นเวทนา ขั้นจิต ขั้นธรรมในธรรม ผู้นั้นคือผู้ได้ศึกษา ผู้ได้รู้ทฤษฎี ของพระพุทธเจ้า

เมื่อชีวิตเราได้สังวรตน มีสัมมัปปธาน ๔ สังวร สำรวมอายตนะต่างๆ เมื่อผัสสะแล้วก็รู้ตัวอ่านเข้าไปในเวทนา อ่านเข้าไปในจิต อ่านเข้าไป ในธรรม มีการวิจัยธรรม สามารถ ประหาร สามารถกำจัดสิ่งที่ควรกำจัด สามารถทำให้สิ่งที่ควรเจริญ ให้เจริญได้ ด้วยอิทธิบาท ด้วยความมีจิตยินดีที่จะทำ ถ้ามันไม่มีจิตยินดีที่จะทำก็ต้องพากเพียร เพื่อให้เกิด ความยินดี ที่จะทำ เอาใจใส่ ในการศึกษานี้ พิจารณาตัดสินตรวจสอบ เกิดมรรค เกิดผล ก็รู้ มีญาณ มีวิชชา ตนเองได้เจริญขึ้น มีอินทรีย์ มีพละ ทั้งศรัทธา ทั้งวิริยะ ทั้งสติ ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ผู้ที่ได้พากเพียรจริงเกิดกำลังของศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาจริง จนกระทั่ง ถึงขั้น มีกำลังสุด มีกำลังเต็มพละเป็นผล

ผู้ที่ได้ปฏิบัติตามทางนี้ มีโพชฌงค์ ๗ มีมรรค ๘ อย่างแท้จริง โดยรู้ตัวเองดีว่า แต่ละวันๆ สังกัปปะก็ดี วาจาก็ดี กัมมันตะ ก็ดี อาชีวะก็ดี เราอยู่ในธรรม เรามีสัมโพชฌงค์ เรามีสติ มีธัมมวิจัย มีความพากเพียรตนเอง ที่จะให้เกิดมรรคเกิดผล ให้แก่ตนเอง จนสามารถ ทำได้ เกิดปีติ เกิดปัสสัทธิ เกิดสมาธิ เกิดอุเบกขา ที่ชื่อว่า "สัมโพชฌงค์ ๗" เป็นสิ่งที่เกิดจริง เป็นจริง ในตนได้

ผู้ที่รู้ทั้งภาษา ปฏิบัติเป็นจริงตามภาษา มีมรรคมีผล มีญาณ มีวิชชา สามารถอ่านความจริงตามความเป็นจริง ได้ผลก็คือได้ผล ยังไม่ได้ผล ยังพากเพียรอยู่ก็คือ พากเพียรอยู่ ผู้ที่มีภาคปฏิบัติของตน ถึงปานฉะนี้แลคือ ผู้ใกล้นิพพาน" (๒๔ ก.พ. ๒๕๔๘)


"คนเกิดขึ้นมาแล้วไม่ควรประมาท ชีวิตควรจะต้องมีพฤติกรรม ที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ตน ซึ่งมีทั้ง กัลยาณธรรม มีทั้ง อาริยธรรม ประโยชน์ท่าน ก็จะเกิดซ้อนอยู่ ในกุศล ทั้งหลายแหล่ กุศลของโลกีย์ก็ยังเป็นประโยชน์ท่าน กุศลของโลกุตระ ยิ่งเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน อย่างบริสุทธิ์ที่สุด

ถ้าชีวิตเกิดมา ไม่ได้เรียนรู้โลกุตระ เกิดมาก็จะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารของโลกีย์ มีกุศล มีอกุศล มีสวรรค์ มีนรก หมุนเวียน เป็นวัฏสงสาร อยู่อย่างนั้น สูง-ต่ำ ต่ำ-สูง ดี-ชั่ว ชั่ว-ดี ไม่มีการจบสิ้นได้ง่าย จนกว่าจะได้เรียนรู้โลกุตระ และทำตน ให้ตัด วัฏสงสารนั้น ลงไปได้เรื่อยๆ เมื่อผู้ที่ได้ดับวัฏสงสาร ที่ต่ำ ที่หยาบ ดับได้ เป็นชั้นๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนสูงสุด จนสิ้น วัฏสงสาร รู้จักรู้แจ้ง รู้จริง ในวัฏสงสาร

แม้ที่สุดเราก็จะเป็นผู้ที่หลุดพ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ในการวนเวียน ในการเกิดการดับ เรามีทางที่จะหยุดหมุนเวียนในทุก วัฏสงสารได้ ผู้ที่บรรลุโลกุตระสูงสุด จะรู้จักความวน ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างเป็นสิ่งที่ชัดเจนสูงสุดว่า เกิดจากเหตุ อะไร ทำอย่างไรในใจ จึงจะสามารถหยุดเหตุนั้น ดับวัฏสงสารนั้น อย่างสิ้นซากเป็นปรินิพพาน ผู้ถึงที่สุด แห่งที่สุด รู้จักที่จบ ของการดับสิ้น หมดวัฏสงสาร ฉะนี้แล เรียกว่า อรหันต์" (๒๕ ก.พ. ๒๕๔๘)


"ปีนี้อาตมาก็จะมีชีวิตที่จะย่างขึ้นสู่ปีที่ ๗๒ อีกไม่กี่เดือนนี่แล้ว พวกเราทั้งหลายที่ได้พากเพียร เมื่อได้รู้และก็ได้พากเพียร ปฏิบัติตน ด้วยเหน็ดด้วยเหนื่อย ด้วยอุตสาหะ เพื่อที่จะได้ความประเสริฐ อันเป็นอาริยะ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ค้นพบ ในความเป็นคน

เราได้พากเพียรมาจนถึงบัดนี้ หลายคนก็หลายสิบปีมาแล้ว ส่วนที่พึงได้คือมรรค คือผลในการลดละ ในการปลดปล่อย สิ่งที่เรา ได้ติดได้ยึด สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาอุปทาน เราต่างก็ได้พิสูจน์สิ่งที่จริง อันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่ใช่ จะรู้ได้ง่ายๆ พ้นวิสัยโลกีย์ เมื่อเราได้ผล ได้สิ่งที่ประเสริฐนั้นจริง ควรจะต้องทำให้ยิ่งกว่านั้น กระทำให้จบ กระทำให้สัมบูรณ์ให้ได้ ความเพียร เท่านั้น ที่จะทำให้การประสบผลสำเร็จนั้น เกิดได้

ผู้ที่ได้รับผล จะเสียท่าอยู่ตรงที่ ติดผล เสวยผลแล้วก็ขี้เกียจ ไม่พยายามพากเพียรอุตสาหะให้ยิ่งขึ้นๆ แน่นอนที่สุด ความสูงขึ้น ความเจริญขึ้น ย่อมยากขึ้นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนได้พากเพียร ตั้งใจศึกษา ตั้งใจเรียนรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อุตสาหะ ยิ่งขึ้น อย่าติดในผล อันเป็นสิ่งล่อ เป็นอุปกิเลส อันเป็นสิ่งที่ทำให้คนประมาท จงพากเพียรเถิด อุตสาหะเถิด ทำให้ถึงที่สุด

มนุษย์นั้นไม่มีอะไรประเสริฐเท่า สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค้นพบ และชี้ให้แก่เรา นำทางเรามาก่อน ขอให้ทุกคน ตั้งใจ และ ประสบ ผลสำเร็จนั้น ถ้วนทุกคนเทอญ." (๒๖ ก.พ. ๒๕๔๘)

- รักข์ราม. -
๒๗ มี.ค. ๒๕๔๘

- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๑ มีนาคม ๒๕๔๘ -