สมณะเสียงศีล ชาตวโร ผู้นำเกษตรอินทรีย์ไทย


"อาตมาไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกู้หนี้ยืมสิน รัฐบาลส่งเสริมให้เกษตรกรกู้ อาตมาก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว ยังไม่รู้วิธีการใช้เงิน เวลากู้เงินมาแล้ว ก็มักจะไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ ของเงินที่ได้มา เอามาซื้อรถ ซื้อความสบาย แล้วตอนหลังลำบากกันไปหมด อาตมาอยากให้ส่งเสริม เรื่องความรู้เรื่องแนวคิด ให้การศึกษาอบรมแก่เกษตรกรเสียก่อน"

ประเทศไทยเราได้รัฐบาลภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีคนเดิม ซึ่งท่านเป็นผู้ที่ส่งเสริม และสนับสนุน เกษตรอินทรีย์ อย่างจริงจัง และเมื่อประชาชนได้ไว้วางใจ ให้บริหารประเทศ อีก ๔ ปี ข้างหน้า ก็เชื่อว่า การขับเคลื่อน เรื่องเกษตรอินทรีย์ จะต้องก้าวหน้า และเป็นรูปธรรม ต่อไป ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีว่า ประเทศไทยเรา ในวันข้างหน้า "เรื่องการเกษตร" ซึ่งเป็นภาคงานและภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ จะต้องได้รับการพัฒนา ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เมื่อรัฐบาลสนับสนุนจริงจัง ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ผู้ต่อสู้เรื่องนี้มาต่อเนื่อง ย่อมจะมีกำลังใจทำงานต่อไปอย่างยิ่งยวดทีเดียว

"ถ้าจะเอาชนะความยากจนให้ได้ เกษตรกรต้องหันมาสู่แนวทางเกษตรอินทรีย์" ผู้ที่กล่าวคำกล่าวนี้ อย่างเสมอ ทุกหนทุกแห่งที่มีโอกาส คือ "ท่านสมณะเสียงศีล ชาตวโร" ท่านเป็นประชาชนในสมณเพศ ที่ต่อสู้ เรื่องเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจังมาโดยตลอดไปเยี่ยมเยือนเกษตรกร ไปให้ความรู้ ไปเป็นวิทยากร จัดรายการวิทยุ เขียนหนังสือ ก็ล้วนแต่มุ่งประเด็นที่จะให้เกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจน โดยหันมาสู่ เกษตรอินทรีย์ชีวภาพ วันนี้เรามากราบคารวะขอความรู้ ความคิดเห็นจากท่าน ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ ต่อพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรเป็นอย่างสูงทีเดียว


# ขอกราบนมัสการท่านเสียงศีล อยากทราบความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ขณะนี้ สถานการณ์ เป็นอย่างไรบ้างครับ ?

- วันนี้ดีขึ้นมาก สื่อต่างๆมีส่วนอย่างมากแต่หนังสือ "เกษตรชีวภาพ" นี้เป็นผู้นำเลย อาตมาพูดได้เลยว่า เป็นหนังสือที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม ให้กับส่วนรวม ให้กับเกษตรกร และให้ประเทศชาติเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแต่ว่า เป็นสื่อที่ทำออกมาขาย อาตมาภูมิใจกับหนังสือ "เกษตรชีวภาพ"มาก แล้วก็ภูมิใจ ที่ได้มีโอกาส เป็นนักเขียนคนหนึ่ง อันนี้ขอชมเชยก่อนเลยแล้วก็เรื่องเกษตรอินทรีย์ในวันนี้ ก็มีความคิดเห็น ว่าดีขึ้นมาก คนตื่นตัวกันมาก รัฐบาลท่านก็ลงมาให้ความสนใจ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ วันที่นายก รัฐมนตรี ทักษิณมาเป็นประธานเปิดงานเรื่องนี้ เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ที่พิพิธภัณฑ์การเกษตร เฉลิมพระเกียรติ อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี อาตมาก็ไปร่วมงานด้วย ไปเป็นวิทยากรด้วย มีคนมางาน กันเยอะแยะผู้นำเกษตรกรในจังหวัดต่างๆก็มา ในงานนั้นมีการบรรยายบนเวที ผู้นำเกษตรกร จากจังหวัด ต่างๆ ก็มาพูดถึงเรื่องความสำเร็จของเขา ของเกษตรกรในพื้นที่เขา ซึ่งทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรกร เหล่านี้ จะประสบความสำเร็จ หลุดพ้นจากความยากจนไปได้


 

# ทำไมท่านจึงต้องมาต่อสู้ในเรื่องนี้ครับ?

- คล้ายๆกับว่าจะต้องช่วยเหลือคน โดยเฉพาะเกษตรกร ซึ่งมีความยากจนกันมาก อาตมาเห็นแล้ว รู้สึกทนดูไม่ได้ อยากจะสอน อยากชี้แนะแนวทาง อยากให้ความรู้เขา เพราะว่าเขาเดินทางมาผิด ไปหลงเคมี ไปหลงสิ่งซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติ ผิดธรรมชาติ แล้วทำให้เสียหายไปหมด พูดอย่างไรก็ยากเหลือเกิน ไม่เชื่อกันเลย บางคนก็ถามว่า กิจของสงฆ์หรือเปล่า ถ้าถามอย่างนี้ อาตมาก็ว่าเป็นกิจของสงฆ์นะ เป็นเรื่องที่จะต้องชี้แนะ แนวทางให้แก่ฆราวาส ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข สังคมก็จะเป็นสุข ประเทศชาติก็จะมีความก้าวหน้า แล้วครอบครัวจะเป็นสุขอย่างไร ถ้ามีความยากจนอยู่ ก็ไม่เป็นสุข จะเป็นสุขได้ก็ต้องมีความพร้อม มีความถูกต้อง ในการทำงาน ในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในภาคการเกษตรนี้ อาตมาก็เป็นลูกชาวนา มาก่อน รู้เรื่องนี้ดี เห็นว่าเป็นหน้าที่จะต้องชี้ทาง ให้ความรู้ อาตมาเขียนคอลัมน์ "ธรรมะกับการเกษตร" ซึ่งเกี่ยวข้องกันถ้าเอาธรรมะมาใช้ในการทำงานเกษตร โอกาสที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ ความยากจน มีแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าคนทั่วไปที่ไม่ใช่เป็นพระไปบอกกล่าว บางทีชาวบ้านเขาก็เชื่อยากนะ แต่อาตมา เป็นพระ พอพูดอะไรไปแล้ว ชาวบ้านเขาค่อนข้างจะเชื่อฟังและยอมรับได้


# อยากให้ท่านขยายความเรื่อง"ธรรมะกับการเกษตร" อีกสักหน่อยครับ?

| ธรรมะนี้ จะสอนให้คนสงบ มีความขยันหมั่นเพียร มีความเป็นอยู่อย่างเหมาะสม มีความเป็นอยู่อย่าง สมถะ สมกับฐานะของตนเอง ไม่ลุ่มหลงในอบายมุข ในการละเล่นต่างๆ คือ ไม่หลงแสง สี เสียง มากจน เกินไป ทำงานให้มาก มีความประหยัด มัธยัสถ์ในการเป็นอยู่ ในการใช้จ่าย ซึ่งสิ่งที่มีอยู่ในธรรมะ ถ้าเกษตรกร เอามาใช้ กับการงานของตัวเอง กับการดำเนินชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นคล้ายกับระบบ "เศรษฐกิฐ พอเพียง" ซึ่งในหลวงท่านก็ทรงแนะนำเกษตรกรตลอดมา แต่ว่าก็ไม่ค่อยเอามาใช้กัน ธรรมะก็ ไม่ค่อยจะนำ มาใช้กัน เกษตรทำงานไม่พอเหมาะพอเพียงกับตนเอง มีเงินก็เอาไปโหมซื้อยาเคมีมา ปุ๋ยเคมีมา แล้วก็เอามา ทำลายพื้นที่การเกษตร ของตนเอง เอามาทำลายตนเอง เอามาทำลายผู้บริโภค โดยที่ว่า ไม่รู้ตัว กันเลย ไม่รอบคอบ ไม่คิดให้ดีว่า สิ่งที่ทำไปนั้น เหมาะสมกับฐานะเราหรือไม่ ไม่หลีก ไม่เลี่ยง บางทีทำไปแล้ว ผลเป็นอย่างไร ก็ขาดทุน พอขาดทุนก็มีความทุกข์ เป็นเรื่องกลุ้มก็หาเหล้ามากินดีกว่า หรือบางที ขายผลผลิต ได้เงิน ดีใจ ก็กินเหล้าดีกว่า มีเงินเข้าหน่อยก็ซื้อรถราคาแพงๆมาขับดีกว่า เขาให้กู้เงิน ง่ายๆ ก็พากันไปกู้เงิน เอาเงินมาซื้อ ของใช้หรูหรา ราคาแพงสารพัด ซึ่งไม่เหมาะสมกับชีวิต และฐานะ ของตัวเอง แล้วก็เป็นหนี้เป็นสิน มีความยากจน เป็นปัญหาครอบครัว เป็นปัญหาสังคม เป็นปัญหาของ ประเทศชาติ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เพราะว่าเราไม่เอา "ธรรมะ" เข้ามา ถ้าเอาธรรมะเข้ามา พระพุทธเจ้า ท่านสอน ไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องธรรมนี้เกี่ยวข้องกับการเกษตรโดยตรง เพราะว่าประชาชน จำนวนมาก อยู่ในภาค การเกษตร และการเกษตรแบบธรรมะ คือความเหมาะสม ความพอเพียง ความปลอดภัย ต่อเกษตรกร ต่อผู้บริโภคต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือ "เกษตรอินทรีย์" นั่นเอง


# มีคนเถียงว่า ถ้าเป็นเกษตรอินทรีย์กันหมด เดี๋ยวก็จะมีความเดือดร้อนเรื่องอาหาร ได้ผลผลิตไม่พอ กับความต้องการบริโภค?

# ถ้าใครพูดอย่างนี้เท่ากับคนนั้นพูดไปโดยไม่รู้จริง และไม่เคยสัมผัสกับเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง พูดไป อาจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเท่านั้นเอง ถ้าอยากดูของจริงสัมผัสของจริง ให้ไปที่ "ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน" ที่อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ที่นั่นเป็นศูนย์อบรมเป็นศูนย์ฝึก ที่อาตมาได้ทำไว้ ให้ผู้ต้องการ ความรู้ ให้เกษตรกรได้ไปดูงานกัน ได้ไปศึกษาอบรมเรื่องเกษตรอินทรีย์ ไปดูว่าทำไมเราปลูก พืชผัก ผลไม้ ปลูกข้าว โดยไม่มีเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไมเราได้ผลผลิต มากกว่า ในขณะที่ต้นทุนเราน้อยกว่า แล้วเราอนุรักษ์สิ่งต่างๆได้ทั่วเลย อนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์คน ดูแลผู้บริโภค ไม่ต้องไปเอาปัจจัยการผลิตต่างๆ มาจากต่างประเทศ ให้เสียเงินทองเลย เอาของที่มีอยู่ในประเทศไทย ของเรานี้แหละ มาทำเป็นปุ๋ย ที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน เข้าไปอบรมแล้ว เราสอนให้หมดเลย การทำปุ๋ยน้ำ ชีวภาพ จากเศษสิ่งเหลือ เช่น จากผลไม้สุก จากพืชผัก เราทำได้ ทั้งปุ๋ยชีวภาพน้ำ ปุ๋ยชีวภาพชนิดเม็ด ฮอร์โมน อาหารเสริมพืชต่างๆ แล้วก็น้ำหมักสมุนไพร ที่จะต้องใช้ ขับไล่แมลง ไปดูซิ....เราทำเองหมด ไม่มีเคมีเลย แล้วไปดูผลผลิตที่ได้ แตกต่างกันเยอะเลย ผลผลิตเพิ่ม ต้นทุนลด แล้วอย่างนี้ อาหาร จะขาดแคลนได้อย่างไร มีแต่จะเพิ่ม ถ้าใครยังไม่เชื่อ ต้องเดินทาง ไปพิสูจน์ หรือว่าไม่มีเวลามา อาตมาก็มี VCD ที่ถ่ายเอาไว้เยอะแยะเลย เป็นหลักฐานให้เห็นว่า นี่คือ ความสำเร็จของเกษตรอินทรีย์


# ท่านยืนยันว่า การเกษตรไม่ต้องมีเคมีเข้ามาเกี่ยวข้อง?

- คนอื่นเขาจะว่าอย่างไรก็ไม่ทราบนะ แต่อาตมายืนยันว่า "ไม่ต้องมี" ในเครือข่ายปฐมอโศกนี้เราปลูกพืชผัก ไม่เคยมีเคมีมานานแล้ว แต่ว่าเราต้องใช้ปุ๋ยชีวภาพให้เป็นนะ มีความถูกต้อง น้ำหมักสมุนไพร ก็ต้องใช้ให้ถูกต้อง ทำให้เป็น ไม่ใช่ทำปุ๊บไปครั้งเดียว รอเวลาไม่กี่วันแล้วสรุปออกมาเลยว่า ไม่ประสบ ความสำเร็จ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง อย่างการทำนาแบบไม่ต้องพึ่งพาเคมีอาตมาให้น้องทดลองทำ รอบแรก ก็ได้ข้าว เท่ากับที่เคยได้จากปุ๋ยเคมี รอบที่สองใส่ปุ๋ยชีวภาพน้อยกว่าเดิม แต่ได้ข้าวเพิ่มขึ้นมา เพราะอะไร ....เพราะว่าปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ยิ่งนานก็ยิ่งสะสม ยิ่งใส่หลายหนดินก็จะยิ่งดี สภาพดิน เปลี่ยนแปลงไป ผิดกับปุ๋ยเคมี ใส่ลงไปยิ่งนานยิ่งแย่ ยิ่งต้องเพิ่มต้นทุน แล้วที่นาของน้องชาย อาตมา พอรอบที่สาม อาตมาบอกว่า ไม่ต้องทำอะไร ปุ๋ยก็ไม่ต้องใส่ ไม่ต้องไปไถ ไม่ต้องไปทำอะไร ไขน้ำเข้านา อย่างเดียวพอแล้ว เพราะอาตมาอยากทดลองดูตามแนวทางธรรมชาติ ผลก็คือรอบที่สามนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ข้าวขึ้นมา เติบโต สูง สวยงามจากเมล็ดข้าวเดิม ที่ตกหล่น อยู่นั่นแหละ ต้นข้าวแต่ละกอ นับรวงได้เป็นร้อยรวง ข้าวสูงท่วมหัว ต้นใหญ่มาก อาตมาถ่าย VDO และก็ทำเป็น VCD ไว้ ใครอยากเห็น อยากดู ก็ติดต่อมาได้ วันที่เกี่ยวข้าวแปลงนี้ เจ้าหน้าที่ราชการ ระดับสูงของจังหวัด มาเป็นพยานกันเยอะแยะเลย กล่าวกันไปทั่ว เรื่องอย่างนี้แหละที่เราจะแนะนำ เกษตรกร คือเขาไม่ต้อง ทำงานมาก ไม่ต้องลงทุนมาก ประหยัดแล้วได้เงิน ไม่ใช่แนะนำแต่จะให้เขาใช้ ปัจจัยการผลิต มากมายเยอะแยะแล้วก็ขาดทุน ยากจนไปทั่วประเทศอย่างนี้


# ข้าวแปลงที่ว่านี้ ไม่มีโรคแมลง หรือว่าหนอนรบกวนหรือครับ เห็นท่านบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย

- ไม่มี อันนี้เป็นเรื่องจริง ไม่รู้เป็นอย่างไร ไม่ต้องไปทำอะไรมันเลยโรคไม่มี หนอนไม่มา อาตมาเชื่อว่า ตรงนี้เราไม่ใช้เคมี แล้วมันเกิดมีความสมดุลทางธรรมชาติ แล้วธรรมชาติก็ควบคุมกันเอง ถ้าเรานึกย้อนไป ๔๐-๕๐ ปีก่อน บ้านนอกเราไม่มีหรอกยาเคมี สมุนไพรก็ไม่ได้ใช้กัน ก็ปลูกข้าวกันอย่างนั้นแหละ ใช้ปุ๋ยคอก ปรับปรุงดิน เอาขี้ค้างคาวมาบ้าง แล้วก็ดำนา จากนั้นก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ยาฉีดกันโรคหนอน อะไรต่างๆไม่มีหรอก ยังไม่มีใครรู้จักกันว่าเป็นไง คนตอนนั้นเขามีความอุดมสมบูรณ์ ในเรื่องข้าว เรื่องอาหาร มากกว่าเราในปัจจุบันเสียอีก เราปัจจุบันนี้ดูเถิด ฉีดยากันจนสภาพแวดล้อมในนาข้าวเสียหายหมด วิถีชีวิต พื้นบ้าน ของเกษตรกร สูญหายไปหมด สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งดี เป็นวัฒนธรรมประเพณี สร้างความสุข ความรื่นเริงบันเทิงใจ ในขณะทำงาน หรือหลังการทำงาน สร้างความรัก ความสามัคคี ในชุมชน เดี๋ยวนี้หมด หมดไปเพราะว่าเราไม่เอาแล้ว กลุ้ม มีแต่หนี้ ไม่มีอารมณ์สนุกสนาน เด็กรุ่นใหม่ พอโตมา ก็ไม่เอาแล้วทุ่งนา มีแต่ความกลุ้ม ไปทำงานหาเงินในเมืองดีกว่า หรือไม่ก็ไปทำงานอย่างอื่น เพื่อจะเอาเงินมาช่วยพ่อแม่ ไถ่ถอนที่นา แล้วมันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เป็นเพราะว่าเราไม่ยึดมั่น ในประเพณี วัฒนธรรม ที่เราเคยมี ในอดีต ไม่เอาวิธีทำงานที่เหมาะสมกับธรรมชาติ อย่างที่ปู่ย่าตายาย เคยทำมาใช้ เราไปหลงสิ่งที่ไม่ใช่ ธรรมชาติ ไปหลงว่าเป็นสิ่งดี เป็นของใหม่เป็นของเท่ แล้วเป็นไง มีแต่หนี้สิน เดี๋ยวนี้ เกษตรกรทำนา เขาทำเหมือนไม่ทำกันแล้ว เพราะให้เครื่องจักรทำหมด จ้างหมด กลายเป็นนายทุนน้อย เวลาทำนา ยืนเอามือ ไพล่หลัง อยู่บนหัวคันนา ตั้งแต่เริ่มไถจนเก็บเกี่ยว ไม่ได้ทำอะไรเลย เครื่องจักรทำหมด พอเสร็จแล้ว ไปนอนกลุ้มใจอยู่ที่บ้าน เพราะว่ารอบนี้ ขาดทุน เป็นเสียอย่างนี้


# ถ้าทำแบบธรรมชาติ แบบพื้นบ้านก็ไม่ขาดทุน

- ไม่ขาดทุน จะขาดทุนได้อย่างไร ปู่ย่าตายายเราเคยทำนาแล้วขาดทุนหรือ ไม่มีหรอก เขาก็เลี้ยงลูก เลี้ยงหลานมา มีข้าวให้กิน แล้วก็ยังมีที่นาเป็นมรดก ไม่มีหนี้สิน....นาเพิ่งจะติดธนาคาร เพิ่งจะมีหนี้ จนหน้าดำ ทำนาขาดทุน ไม่มีอาหารกิน ก็ในรุ่นนี้แหละ รุ่นที่มุ่งมั่นกันแต่เทคโนโลยีต่างๆ ทำงานแบบ นายทุนน้อยนี่แหละ วัว ควาย วิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านหายหมด อาตมาอยากจะบอกว่า บ้าเคมีกันจน ไม่รู้อะไรแล้ว สมองมึนงง วิธีทำนาแบบปู่ย่าตายายทำไม่เป็นแล้วทำแบบคนที่ขายเคมีเขาบอก อายุเท่านั้น ใส่เคมีตัวนี้ อายุเท่านี้ใส่เคมีตัวนั้น ใส่กันเยอะแยะเงินทั้งนั้น แล้วสภาพแวดล้อม เสียหายหมด น้ำในทุ่งนา เวลาเขาทำนา อย่าเอาเท้าเปล่าไปย่ำนะอันตราย มีแผลยิ่งอันตราย เท้าเน่าหมด เพราะอะไร เพราะว่าในน้ำนั้น ใส่ยาเคมีอะไรไม่รู้เยอะแยะเลย น้ำนิ่ง ไม่เหลืออะไรเลย ปลาสักตัวก็ไม่มีตายหมด เหลือแต่ยอดข้าวเขียว พุ่งขึ้นมาเพราะปุ๋ยเคมี แต่ว่าอ่อนแอ เปราะบาง หนอนแมลงชอบมาก มันอ่อน มันชอบกิน เดี๋ยวก็ต้องใช้ยากันอีกเยอะแยะ


 

# ฟังดูเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากเหลือเกินนะครับ?

- ปัญหาหนักคือ ปัญหาการใช้สารเคมี ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรมากเกินไป นี่แหละมันไม่เหมาะสม สำหรับเกษตรกรรายย่อย ไม่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรบ้านเรา จะไปเอาอย่างต่างประเทศ เขาไม่ได้ นั่นเกษตรกร เขาน้อย คนที่ทำการเกษตรเขาจะเป็นรายใหญ่ๆ ทำกันที่เป็น พันๆไร่ แรงงานมีน้อย เพราะบ้านเมือง เขาเจริญ เศรษฐกิจเขาดี เขาก็ต้องใช้เครื่องมือเข้าช่วย แต่บ้านเรามันเป็นอย่างนั้น หรือเปล่าล่ะ มันไม่ใช่ เราเป็นเกษตรกรรายย่อยทำกันแค่ ๕ ไร่ ๑๐ ไร่ ๒๐ ไร่ อย่างมากก็แค่นี้แหละ ถ้าจะมากกว่านี้ เขาทำลักษณะนายทุน นั่นเขาจะทำอย่างไรก็ปล่อยเขาไป แต่เกษตรกร รายย่อย ต้องพอเพียง ในตนเองเสียก่อน ทำงานแบบปู่ย่าตายายเคยทำกันมา มีความขยัน หมั่นเพียร ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ติดอบายมุข ก็จะหลุดพ้นจากความยากจนไปได้ไม่ยาก อย่าไปขี้ตามช้าง เพราะเรา ไม่ใช่ช้าง เราเป็นแค่ คนเล็กๆ ขณะนี้ปัญหาความยากจนในภาคการเกษตรไทยเรานั้น เป็นเรื่อง ใหญ่มาก เป็นปัญหาระดับชาติ ที่รัฐบาลจะต้องลงมาแก้ ความจริงแก้ง่ายๆ ไม่ต้องเอางบประมาณ ไม่ต้องเอาคนมา เยอะแยะหรอก อบรมให้ความรู้กับเกษตรกรในเรื่องที่อาตมากำลังพูดอยู่นี้แหละ ที่อาตมา ทำมา มีเกษตรกรเชื่อ แล้วนำไป ปรับวิถีชีวิต ประสบความสำเร็จหมดหนี้หมดสิน กลายเป็นคนใหม่ กันเยอะแยะ ไม่ต้องเอางบประมาณ เป็นหมื่นเป็นแสนล้านมาเลย เพราะอาตมา ทำงานก็ไม่เคยมีเงิน ถ้าเขามาอบรม เป็นหมู่คณะ เขาก็มีเงิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร มาช่วยเหลือ เกื้อกูลบ้าง นิดๆหน่อยๆเท่านี้เอง เพราะว่า อาตมาก็ไม่มีเงิน นี่แหละ ที่ต้องทำ ก็เพราะสำนึก ที่อาตมาคิดว่า อยากจะช่วยเหลือที่น้อง เกษตรกรไทย ให้หลุดพ้นจากความยากจน


 

# เมื่อสักครู่ท่านพูดถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวนา ฟังดูดีมากเหลือเกิน อยากให้ท่านขยายความสักนิดครับ ?

- เป็นเรื่องนานมาแล้ว อาตมาตอนเล็กๆยังพอเห็น แต่ว่าคนแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ก็บอกเล่าให้เราฟัง ถึงวิถีชีวิต และประเพณีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม เวลาเขาจะเกี่ยวข้าว เขาก็มีประเพณีทำขวัญ แม่โพสพ เวลาเกี่ยวข้าว ก็มีการลงแขก เกี่ยวข้าว มีหนุ่มสาวมาทำงานกันเยอะแยะ มีความสนุกสนาน เพราะระหว่างเกี่ยวข้าว เขาก็มีการร้องเพลง มีการละเล่น ภายหลังเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ในลานนวดข้าว เขาก็มีการละเล่นต่างๆ มีการขับร้อง มีเพลงพื้นบ้านขณะนั้น
บ้านเมืองคงสงบสุข คนก็ไม่เครียด เพราะว่าไม่ได้เป็นหนี้ธนาคาร ไม่มีความยากจน อยู่กันแบบพอมีพอกิน มีข้าวกิน ในธรรมชาติก็มีอาหารการกิน คือ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เป็นคำกล่าวถึงความอุดมสมบูรณ์ ดั้งเดิมของประเทศไทยเรา มันเคยมี แต่ว่าตอนหลัง เราก็ทำลายหมด สิ่งที่เอาเข้ามาทำลายก็คือ เคมีต่างๆ นั่นเอง ตอนที่อาตมาทำการเกี่ยวข้าว ในแปลงของน้องชาย ก็พยายามฟื้นประเพณี ส่วนหนึ่ง มีการทำขวัญ แม่โพสพ มีการลงแขกเกี่ยวข้าว คือมีการมาช่วยกัน ไม่ถึงกับว่าผลัดเปลี่ยนกันทำงาน ในแปลงโน้น แปลงนี้ ซึ่งเป็นการลงแขกแบบแท้จริงในอดีต อยากทำ อยากเห็นประเพณี วัฒนธรรม ที่ดีงามแบบเดิมอยู่บ้าง อยากรักษา เอาไว้บ้าง เพราะจะให้เหมือนเดิมนั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะว่า บ้านเมือง เปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่ว่าในเรื่องการทำงานส่วนตัวนั้นยังทำได้ ไม่ใช้สารเคมีทำได้ รักษาสภาพแวดล้อม ในผืนนาตัวเองยังทำได้ ทำงานเอง ไม่พึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีมากเกินไป ก็ยังทำได้ คือ เกษตรกร ยังฟื้นตัวเองให้หลุดพ้น จากความ ยากจน หลุดพ้นจากหนี้สินที่เป็นอยู่ ยังทำได้ ขอเพียงให้หันมา ในแนวทางเกษตรอินทรีย์ชีวภาพ ก็เท่านั้นเอง


# แล้วเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ.....

- เรื่องเดียวกันเลย เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ชีวภาพ เกษตรทฤษฎีใหม่เกษตรพอเพียง เป็นเรื่อง เดียวกัน ต่อเนื่องกัน ทำแล้วก็จะถึงกันหมด เป็นรูปแบบเดียวกันนี่แหละ นำมารณรงค์ ให้เกษตรกรเถิด ในหลวงท่านแนะนำเรื่องนี้มานานแล้ว คนที่ทำไปก่อนคนที่เชื่อท่าน ก็ประสบ ความสำเร็จ ไปหมดแล้ว เหลือแต่คนไม่เชื่อ คนดื้อคนชอบเคมี ที่เราจะต้องรณรงค์กันต่อไป แล้วก็อยาก จะให้นักวิชาการ ต่างๆ ที่ยังส่งเสริมเรื่องเคมี กลัวว่าแมลงจะระบาดบ้าง กลัวว่าจะไม่มีอาหาร กินบ้าง ขอให้คิดไปถึง ความเป็นจริง ในอดีต ๔๐-๕๐ ปีก่อน ประเทศไทยเราอยู่กันมา อย่างไร อย่าหลงประเด็น อย่าหลงวิชาการ ของเมืองนอก เพราะคนละเรื่อง กับเมืองไทยเรา แล้วให้มาเห็นของจริง อย่าเอาแต่พูดเฉยๆ เพราะพูดแล้ว ไม่เกิดการ พัฒนา ต้องลงมา ทำด้วย มาทำมาเห็นอย่างที่อาตมาทำอยู่ อย่างที่กลุ่มเกษตรกร หลายกลุ่ม มูลนิธิ บางแห่ง เขาทำอยู่ แบบนั้นเป็นของจริง แล้วเขามีหลักฐานการทำงาน ยืนยันหมดไม่ใช่พูดลอยๆ พูดคาดการณ์ เอาเฉยๆ


# สุดท้ายท่านอยากกล่าวหรือฝากฝังอะไรแก่เกษตรกรบ้างครับ?

- อาตมาไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกู้หนี้ยืมสิน รัฐบาลส่งเสริมให้เกษตรกรกู้ อาตมาก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะว่า ส่วนใหญ่แล้ว ยังไม่รู้วิธีการใช้เงิน เวลากู้เงินมาแล้วก็มักจะไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ ของเงินที่ได้มา เอามาซื้อรถซื้อความสบาย แล้วตอนหลัง ลำบากกันไปหมด อาตมาอยากให้ส่งเสริม เรื่องความรู้ เรื่องแนวคิด ให้การศึกษาอบรม แก่เกษตรกรเสียก่อน อย่างเช่นที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน เราให้การอบรม แก่เกษตรกรอยู่ ถ้าเขารับแนวคิดได้แล้ว เขาจะไม่ไปกู้เงินหรอก แต่เขาจะปรับปรุง ความเป็นอยู่ใหม่ มีความพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ติดอบายมุข แล้วก็พยายามเก็บเงิน ใช้หนี้ที่เคยมี ต่อจากนั้น ก็จะไม่มีการก่อ หนี้สินอีก ซึ่งหลายคนที่อบรมกันไปหลายรุ่น ทุกวันนี้ ปลอดหนี้สินแล้ว กลายเป็นคนใหม่ แต่ถ้าไม่มีแนวคิด อะไร คิดแต่ว่าจะให้ทุนมาทำ รับรองได้ว่า ทุนหาย กำไรหดหมด เหลือแต่หนี้ คราวนี้จะเป็นหนี้ กันทั่ว ประเทศ ปัญหาจะตามมามากมาย จากการที่ได้กู้หนี้กันมา อย่างง่ายๆนี่แหละ....

เป็นแนวคิด เป็นหลักทำงาน ที่ทุกๆฝ่ายควรจะรับทราบ รับฟัง นำไปคิด ไปปฏิบัติและไปขยายผล เรื่องการเกษตร และความยากจนของเกษตรกรไทยเรานี้ ไม่น่าจะแก้ไขยากเกินไป ถ้าได้แนวทาง ที่ถูกต้อง เหมาะสมมาดำเนินการ วันนี้ท่าน "สมณะเสียงศีล ชาตวโร" ได้ให้ข้อคิดไว้ อย่างสำคัญ เชื่อว่าจะเป็น ประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเอาไว้ ณ ที่นี้ พบกันใหม่ ฉบับหน้า สวัสดีครับ.........

(จากหนังสือ เกษตรชีวภาพ ฉบับที่ ๕๐ มีนาคม ๒๕๔๘)

- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๑ มีนาคม ๒๕๔๘ -