ศีล...เครื่องชำระอันวิเศษ ศีลข้อ ๑ ไม่บริสุทธิ์ด้วยกาย ไม่ได้ฆ่าสัตว์ใหญ่ แต่ยังตบยุงอยู่บ้าง มันอดไม่ได้ จิตยัง ไม่เมตตา เต็มร้อย ยังเอาหนังสติ๊กยิงหมา แต่ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ศีลข้อ ๒ ไม่ลักขโมยของใคร การให้ทานมีบ้าง แต่ไม่ค่อยมีเงินจะให้ ยังเป็นหนี้อยู่บ้าง ๔,๐๐๐ บาท อาชีพ กรีดยางเล็กน้อยก็พอประทังชีวิตครอบครัว มีปาล์มด้วยก็ไม่มากนัก ก็พอประทังครอบครัว พออยู่พอกิน ศีลข้อ ๓ ไม่ผิดด้วยกาย วาจา แต่ใจยังแกว่งๆ ก็จะพยายามควบคุมอยู่ ธาตุเดิมของคน ต่างกัน บางคน ไปได้ดี แต่เราสะสมเรื่องนี้ไว้มาก ก็ต้องต่อสู้กับใจของตนมาก จิตมันชอบ ก็ต้องต่อสู้กับกิเลสชอบ บางครั้งก็ชนะ แต่ไม่เคยผิดด้วยกาย ยังมีมโนธรรมอยู่ ศีลข้อ ๔ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดลามก ไม่พูดคำหยาบ ศีลข้อ ๕ ไม่เสพสิ่งเสพติดใดๆ ไม่ดูหนังทีวี แต่เช่าซีดีมาดูแต่ก็ไม่บ่อย เลือกดู ผมเปลี่ยน มากินเจ เพราะคิดว่า ทดลองแล้วก็ต่างกันบ้าง เจไม่กินกระเทียม หอม ขึ้นฉ่าย หลักเกียว ใบยาสูบ ก็เป็นความคิด ของมหายาน (อนุตตรธรรม) เขามีความเชื่อว่าผักห้าอย่างนี้ มันอันตราย ต่อสุขภาพ แต่เขายังกินผัก มีสารเคมี แปลกไหม เขาไม่มีการทำเกษตรธรรมชาติ เขาซื้อผักมาทำอาหารขาย อโศกเอาแก่นแท้ตรงมาวิเคราะห์ตามเหตุผล เอาความจริงมาพูดกัน แม้แนวคิดต่างกัน
ผมไม่เชื่อ ในศาสนา เทวนิยม เพราะถึงที่สุดแล้วเราไม่รู้แจ้ง ในทุกสิ่ง เราไม่หมดในจักรวาล
ยอมรับในพุทธศาสนา เพราะมีเหตุผลและยอมรับในความจริงที่ว่า ตถาคตไม่รู้ต้น และ ปลายจักรวาล
มนุษย์มีขอบเขต ทางพุทธิปัญญา ยุคสมัยที่กำลังไม่มีทางออก สังคมกำลัง เลวร้ายลง แทบทุกอย่าง
มีทุกข์ทั้งกายภาพ และจิต มีภัยมารอบทางโดยเฉพาะภัยจากคน ความชั่วร้ายที่มาจากคน
ความเห็นแก่ตัว มันเป็นเหตุนำไปสู่ ความเสื่อม ทุกกรณี นำไปสู่ การล่มสลาย ของสังคมเกษตร
ไปสู่เกษตรเคมี เกษตรนำไปสู่ความตาย และความโง่เขลา ของสังคม ผู้เป็นโรคร้ายต่างๆมากมาย
โดยเฉพาะมะเร็ง หนังสือสารอโศก เคยคิด บ้างไหม เราจะจัดทำหนังสืออย่างไร
ให้คนอยากอ่าน เช่นเดียวกับหนังสือแฟชั่นทั่วๆไป ที่ยอมจ่าย เงินซื้อ ก็ยอมรับว่า
หนังสือของอโศก คงขายแข่งกับเขาลำบาก หนังสือธรรมแทบทุกสำนัก มักจะประสบปัญหา
คล้ายๆกัน คนชอบสิ่งบำเรอกิเลส ผมเริ่มเห็นลางร้ายของสังคม โลกเน่าๆ ใบนี้
สักวัน มันต้องพินาศ ด้วยสงครามโลกแน่ ผมค่อนข้างเชื่อ นับวันมนุษย์โหดร้าย มากขึ้น
คนดูถูกความดี เห็นเป็นสิ่งล้าสมัย ใช่ไหม หนังสือควรชี้ชัด ในวัตถุประสงค์
เราทำ เพื่ออะไร ผมเข้าใจ อโศกต้องการลดกิเลสคน เพื่อการ บรรลุธรรม อันเป็นการดีแล้ว
ถูกต้องแล้ว - ขอบคุณในข้อวิเคราะห์วิจารณ์หนังสือ และเขียนตรวจศีลทั้งห้าข้อมาให้ได้รับรู้กัน ขอฝากข้อคิดเตือนใจ ที่พ่อท่าน เตือนชาวพุทธทุกชีวิตว่า บาปแม้เล็กแม้น้อย อย่าทำเสียเลย ดีกว่า เพราะกรรมเป็นอันทำ เป็นอันสะสม ใส่ลงในจิตวิญญานอยู่ตลอดเวลา ขอเราทั้งหลาย อย่าได้ประมาทเลย.... - บ.ก.
เคราะห์ร้ายตกไปอยู่ที่สัตว์ เริ่มหาเสียงผู้ใหญ่บ้าน ต่อด้วยงานสงกรานต์ วัว ควาย หมู ตายไป สิบกว่าชีวิต นี่ไม่รวมพวกปู ปลา หมา ไก่ นก เห็นแล้วก็ได้แต่ทำใจ สังคมของสัตว์โลก พวกเขาสนุกกับการดื่ม กินเล่น เสพอบายมุข ส่วนข้าพเจ้ากับครอบครัวสนุกกับการเก็บผลผลิตในสวนออกมาขายให้ชาวบ้าน วันหนึ่ง รายได้อยู่
ประมาณ ๒-๓ ร้อยบาท เห็นจะได้ ยิ่งคนหนุ่มสาว กลับจากกรุงเทพฯ จะขายดี คนปลูกถั่วฝักยาว
ยังไม่กล้า กินถั่ว ตนเอง ซื้อถั่วไร้สารพิษกินแทน ความอุดมสมบูรณ์ กำลังกลับเข้ามา
ในครอบครัวของข้าพเจ้า เพราะคน ในครอบครัว ลดละอบายมุข ประหยัด ขยันในการทำการงาน
สุขภาพร่างกายจิตใจก็ดี ตอนนี้ แม่จะพาคน วิ่งออกกำลังกาย และ ทำโยคะ ทุกเช้าตอนตีสี่
ตีห้าก็กลับมาทำงานบ้าน แค่ครอบครัว ไม่มีอบายมุข ช่วยกันทำมา หากิน ได้กลับไปเยี่ยมบ้านแต่ละครั้งก็มีความสุขมากพอแล้วค่ะ - อนุโมทนาบุญด้วยที่เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบียดเบียนชีวิต -เลือดเนื้อเพื่อนร่วมโลกแล้ว และกำลัง ยืนหยัดยืนยันทำกสิกรรมไร้สารพิษ ให้คนได้บริโภค อย่างปลอดภัยอีกด้วย - บ.ก.
จะอย่างไรก็ตามกระผมก็คิดดี-ทำดีอย่างมีสติครับ ดื่มเหล้าเขาว่าไม่ดี แต่ไม่เสมอไป หรอกครับ
ถ้าพี่น้อง ชาวอโศก ที่กระผมมีความรู้สึกดีและซาบซึ้ง มีความเห็นประการใด
ก็ได้โปรดกรุณาชี้แนะด้วยนะครับ - ผู้ไม่ยอมลุกขึ้นยืน ได้แต่คุกเข่าอยู่ ทั้งที่ใจต้องการให้ตนยืนได้อย่างแข็งแรง ควรทำ อย่างไรดี... ก่อนอื่น ก็ต้องยอมรับว่า ตนยังอ่อนแอยังแพ้ง่าย จึงต้องไม่ประมาท หมั่นระลึกถึง ข้อศีลทั้ง ๕ ข้อและตรวจตน บ่อยๆ แต่ละวันทำได้แค่ไหนก็บันทึกไว้ เบื้องต้น ทำอย่างนี้ ทุกวันๆ เมื่อครบ ๗ วันก็ทบทวนดูความก้าวหน้า โดยรวมครั้งหนึ่ง หากลองทำดูแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ส่งข่าวมาด้วยนะ - บ.ก.
พอหลังเที่ยงเล็กน้อย มีผู้มาสั่งอย่างเฉียบขาดว่า "เก็บแต่ก้อนโตๆนะ ก้อนเล็กไม่ต้อง" ข้าพเจ้าชักงง จึงโพล่งออกไปว่า "เอ๊ะทำไมสั่งไม่เหมือนกันล่ะ จะทำตามถูกเหรอ" เขาก็ถามว่า "ใครสั่งว่ายังไง" ข้าพเจ้า ก็เล่าให้ฟัง ดูเขาไม่ค่อยพอใจ รีบเดินไปตามหมู่กลุ่ม ซึ่งส่วนมาก เข้าไปพักเหนื่อย ในร่มกันแล้ว สักครู่ ก็กลับมาบอก เสียงอ่อยๆว่า "ขนทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่ แหละลุง" ข้าพเจ้าเริ่มคิดได้ว่า น่าสงสาร คนที่ชอบสั่ง ชอบเป็นใหญ่ โดยไม่ปรึกษาหารือตกลง หรือวางแผนก่อนทำงาน ก็ดีเหมือนกัน ที่พบโจทย์วัดใจเรา จะมีใคร สั่งยังไงอีกไหมเนี่ย ...พอบ่ายแก่ๆ ก็เจอโจทย์ใหม่จากคนใหม่อีกจนได้ "ทำไมไม่แยกก้อนเล็กก้อนใหญ่
ออกจากกันล่ะลุง เอาไปรวม กองเดียวกันหมดเลย" ข้าพเจ้านึกขำ ในความโชคดีของตนเอง
ที่ได้รับ คำสั่งจาก ๓ คน ๓ คำสั่ง ยิ้มในใจ แต่ก็อดเปรยๆไปไม่ได้ว่า "มันสายไปแล้วครับ
ใครๆ ก็ทำอย่างนี้แหละ"ดูเขาไม่ค่อยพอใจ ถามข้าพเจ้าว่า "แล้วเขาไปไหนกันหมดล่ะ"
ข้าพเจ้า ไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่า ใครไปไหนกันบ้าง... - ทำงานร่วมกันในกระบวนการกลุ่มของชาวอโศกที่ยังไม่สมบูรณ์ จะได้ประโยชน์ตน อย่างมาก ขณะเกิด จิตใจเรา เป็นอย่างไร ถือสาเขาแล้วใช่ไหม ไม่ชอบใจอะไร ยอมรับ เขาได้ไหม เจตนาเขาดี แม้วิธีการ อาจจะเป็นกันเอง ไปหน่อย ให้อภัยได้มั้ย ความรู้สึก เป็นพี่ เป็นน้อง ความรู้สึกเอ็นดูในความเอาภาระ ของเขา มีไหม เป็นอย่างไร ฯลฯ คบคุ้นกันต่อมา แล้วจิตใจคลายลง ถือสาเขาน้อยลงมั้ย ทำอย่างไร ใจจึงคลี่คลาย.... นี้คือกรณีศึกษา เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่เราฝึกตนอยู่ทุกวันๆ ที่เราอยู่ร่วมกัน ในฐานะ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่มีเป้าหมาย สู่ความไม่โศก (ชาวอโศก)..... - บ.ก.
ส่วนการปฏิบัติธรรมของดิฉันก็อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ตอนนี้เริ่มเห็นกิเลสตัวอัตตามานะ
รู้นะ แต่พอผัสสะ มากระทบ เกิดอาการในจิตทุกที ยังไม่มีพลังเจโตฯ ที่จะดับได้แบบฉับพลัน
ต้องกินเวลา นานทีเดียว มืดมัว ไปหลายชั่วโมง ค่อนวันถึงจะเบาบาง เหนื่อยนะกับการเอา กิเลสออก
มันยากเย็นจริงหนอ - แม้รู้แล้วก็ยังยาก คงต้องเพิ่มพลังแห่งความเพียรกันอีก เจโตสมถะที่จะช่วยฝึกจิตให้มีกำลัง จะฝึกได้ ในช่วงใดบ้าง คงจะต้องจัดสรรเวลาดู เพราะเรารู้ว่าสำคัญสำหรับเรา จึงควรต้องฝึก อย่างจริงจังใช่ไหม? - บ.ก.
ดิฉันเลี้ยงหลานด้วย เพิ่งอายุ ๒ ขวบกว่าๆเป็นเด็กผู้หญิง ดิฉันหัดให้เธอกราบพระ และก็ไป ใส่บาตรด้วย มีหลายชาย ๑ คนอายุประมาณ ๙ ขวบกว่า พาไปใส่บาตรด้วย หลานสาวดิฉัน อยากจะใส่บาตรด้วย ก็ให้พี่ชาย อุ้มใส่บาตร เวลาดิฉันไม่ได้ใส่บาตร เธอได้ยินพระมา เธอจะเรียกดิฉัน ให้ไปใส่บาตร "แม่ใหญ่ พระมาแล้ว แมมจะใส่บาตร" หลานสาวเขาซนมาก ต้องคอยดูเขาตลอดเวลาเลย เขาเป็นเด็ก ชอบเที่ยว ชอบทำอะไรเอง เวลาทานข้าวก็จะทำเอง ไม่ให้ใครป้อน ตอนนี้ดิฉันไม่ได้ไปวัดเลย ตั้งแต่งานพุทธาฯ รู้สึกคิดถึงวัดมากๆเลย ไปวัดข้างนอก ก็ไม่ปีติ เท่าวัดของ อโศกเลยค่ะ มาก็สบายใจ อิ่มทั้งธรรมะอิ่มทั้งใจ ทั้งตา ดิฉันกินมังสวิรัติอร่อย เมื่อก่อนกินไม่ค่อยได้ ดิฉัน ทำอาหารเป็นแล้วนะคะ ทำน้ำยาก็ได้ น้ำพริกก็ได้ มะม่วงยำ ก็อร่อยดี เอามะม่วงมาปอกเปลือกออก ใช้ที่ขูด เป็นเส้น ใส่เกลือลงไปขยำเบาๆ บีบให้น้ำแห้ง พอดี ใส่ชาม ใส่พริกป่น หอมซอย มะพร้าวคั่ว ซีอิ๊วขาว ถั่วคั่ว น้ำตาล ชิมพอมีรส เค็ม หวาน เผ็ดหน่อย เปรี้ยวมะม่วง กินกับข้าวก็ได้ค่ะ กินเปล่าๆก็ได้ และดิฉัน ก็ผัดราดหน้าเจ ให้ลูกกิน ใส่เห็ด ใส่เต้าหู้ รู้สึกเขาชอบกินเหมือนกัน ดิฉันไม่ใส่หมู เขาก็ไม่เห็นว่าอะไร หลานชายก็ชอบ ดิฉันจะทำอาหารผัดผักใส่เห็ดบ้าง ต้มเห็ดใส่ผักบ้าง ที่บ้านดิฉัน เขายังไม่กินเจ หรือ มังฯค่ะ ดิฉันพยายามกินมังฯอยู่ค่ะ ตอนนี้ดิฉันไม่ได้ซื้อ ยาขัดห้องน้ำเลยนะคะ ดิฉันหมักน้ำมะกรูดเองค่ะ ใช้ขัดห้องน้ำ เป็นประจำ เลยค่ะ ดิฉันก็มีโรค ปวดแขนปวดขาบ้าง จะซื้องาดำมาคั่วและกินกับข้าว ชีวิตดิฉันอยู่อย่างติดดินค่ะ ชอบปลูก ต้นไม้ ปลูกตะไคร้ ๒ กระถาง เพราะว่าที่ตลาดวิเศษ ตึกแถว ไม่มีที่ปลูก แฟนดิฉันเอาดินมา ให้ใส่กระถาง ปลูก และเคยเอาต้นกุยช่าย มาจาก ศาลีฯ ปลูกในกระถาง ตอนก่อนงามดี ก็ตัดมาทำขนมกุยช่าย กวนแป้ง ข้าวเจ้า ๒ ส่วน แป้งมัน ๑ ส่วน ใส่น้ำพอดีขึ้นตั้งไฟกวนและเอาลงใส่ใบกุยช่ายที่ล้าง หั่นให้สะเด็ดน้ำ แล้วปั้น ใส่ซึ้งนึ่ง พอสุกก็เอาลงมาใส่ถาดให้เย็นก็ทอด น้ำจิ้มใช้ซีอิ๊ว เติมน้ำพอดี ตั้งไฟใส่น้ำตาลสีรำ ถ้าชอบเผ็ด ก็ใช้น้ำส้มใส่พริกโขลก ก็เป็นเสร็จ น้ำจิ้มทั้งสองอย่างมีทั้งหวาน เปรี้ยวเผ็ด ดิฉันได้วิชาทำอาหารขนมมาจากอโศกเยอะเหมือนกัน ไข่นกกระทาก็ทำได้อร่อยดี
กล้วยแขก ก็เคยทำ กินดูแล้วอร่อยดีค่ะ ขออภัยนะคะที่ติดอร่อยบาปไหมคะ ขออภัยค่ะ - สำหรับผู้ที่มีใจผลักอาหารมังสวิรัติอยู่ อ่านแล้วลองลงมือทำตามสูตรคุณมลิวัลย์ดูบ้าง อาจทำให้รู้สึกว่า กินอาหารมังสวิรัติได้ไม่ยาก แถมยังมีผู้ยืนยันว่าอร่อยอีกต่างหาก ส่วน จะบาป หรือไม่ก็ต้องดูว่า เราเสพ เราติด ในรูป-รส-กลิ่น-สัมผัสจริงมาก-น้อยเพิ่มขึ้น-ลดลง อย่างไร ค่อยจับในแต่ละเรื่องๆไป เมื่อรู้ชัด ก็กำจัด เป็นตัวๆไปไงล่ะ ! - บ.ก.
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะไปหาเพื่อนกินเหล้า ฟังเพลง พยายามหลอกตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้ กลับมอง เห็นโทษ
มากมาย ที่จะมีผลตามมา ก็เหมือนกับท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวไว้ว่า ความสุข ที่แท้จริงของชีวิต
ก็คือ ความสงบสุข แต่คนเรามักจะหลีกหนีความจริง ก็คือพยายาม จะหลอกตัวเอง ตลอดเวลา
ถ้าคนเราคิด ใคร่ครวญให้ดีจะมีความทุกข์มากมาย ที่รอคอย อยู่เบื้องหน้า ก็เหมือนกับอยากจะได้อยู่กันเป็นครอบครัว
กับแฟน เพราะคิดว่า เป็นความสุข คนเราจะคิดแต่ความสุขฝ่ายเดียว ส่วนความทุกข์จะไม่ค่อยคิด
โดยที่จริงแล้ว ความสุข จะน้อยนัก เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตตัวคนเดียว
คนเรามีแต่แสวงหา สิ่งอำนวยประโยชน์ เพื่อตนเองและครอบครัว ชีวิตที่มีแต่ดิ้นรนจนไม่มีเวลาเป็นตัวเองเลย
ความเป็นอยู่ ไหนจะอาหาร การกิน การหลับนอน ชีวิตจะไม่มีอิสระเลย ก็เหมือนกับที่ใครๆ
เขาพูดกันเล่น สนุกว่า "อยู่คนเดียวสบาย แต่ไม่สนุก อยู่สองคนสนุกแต่ไม่สบาย" - ผู้ปฏิบัติตนเป็น"คนโสด" ผู้รู้ท่านยกย่องให้เป็น "บัณฑิต" คือ นับเป็นผู้มีปัญญา กล่าวไปใย ถึง ผู้ที่ปฏิบัติตน เป็นคนโสด และฝึกตนเป็นคนมีศีล โดยเฉพาะศีล ๕ อันเป็นพื้นฐานของเรา ชาวพุทธ ทุกชีวิต จะเป็นผู้ฉลาด รู้จักใช้ศีล เป็นเครื่องชำระความไม่สะอาดออกไปจาก พฤติกรรม ชีวิตของตนทุกวันๆ การได้เรียนรู้ -ฝึกหัด -ขัดเกลาตนเองเช่นนี้ ผู้ทำจริง จะได้รับ ผลจริง จะเกิดศรัทธา จากผลของ การประพฤติ ปฏิบัติของตน ความละอาย-กลัวบาป จะเกิด จะมีในสำนึกของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ จิตใจที่ได้รับการปรับ มีพัฒนาการ อยู่ตลอดเวลา จะมีกำลังจะไม่กลัวอะไรง่ายๆ ที่สำคัญลงมือทำจริงและทำต่อเนื่อง โดยไม่เสียเวลา พะวง กับผล เพราะเมื่อเราทำเหตุ-ปัจจัยให้มากให้เต็ม ผลจะเกิดเอง อย่าปล่อยให้ข้ออ้าง ที่จะไม่เอา ภาระตัวเอง ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นในชีวิต ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าแต่งงานนั้น เป็นทุกข์ แสนทุกข์ อย่างที่ว่ามา... - บ.ก. -- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๒ เมษายน ๒๕๔๘ - |