ตอน... สุขภาพดีตามวิถีไทยไท


มีนาคม ๒๕๔๘
คณะแพทย์แผนไทย
๒ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก คณะแพทย์แผนไทยได้เข้ามานมัสการพ่อท่าน นำโดยคุณ เหมือนพร การสนทนา นอกไปจาก คำชมว่า ดูพ่อท่าน ยังสดใสแข็งแรง สุขภาพดี เลือดลม เดินดี ดูจากใบหู ยังแดงมีเลือดฝาด มีประเด็นที่น่าสนใจ ที่หมอประสาน ได้เตือนเรื่อง การทำดีท็อกซ์ เนื่องจากในหมู่ ชาวอโศกมีผู้นิยมทำกันมาก ที่เห็นว่าเป็นผลเสียชัดๆก็คือ การติดแบบเดียวกับ พวกเกย์ ที่ติดการเสพ ทางทวารหนัก โดยอ้างถึงรายงาน การวิจัย ในอเมริกา จากบางส่วนของการสนทนาดังนี้

"ตรงนี้มันเป็นศาสตร์ของฝรั่ง ซึ่งเอามาจากอินเดียอีกที คนเยอรมันที่มาเอาปัญจกรรมของอินเดีย เอาไปเผยแพร่ ที่เยอรมัน คนเยอรมันกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่นิยมนาซี เพราะตอนนั้นฮิตเล่อร์ ต้องการแนว ความคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อมา ปรับปรุง ประเทศเขาใหม่ ก็เลยยกเอาคัมภีร์ มหาภารตยุทธ์ ก็คือคัมภีร์ พระเวช เอาไป ทั้งดุ้นเลย แล้วมาแปลใหม่ คนที่แปลคัมภีร์นี้ก็คือ ฮิมเล่อร์ ซึ่งเป็นมือขวา ของฮิตเล่อร์ คนหนึ่ง แล้วก็มาแปลใช้กับอาณาจักรที่สามของเขา แล้วก็ดึงเอาตัว process การบำบัดโรค แบบอินเดีย โบราณ ไปใช้ด้วย แล้วบังเอิญตอนนั้นก็หลุดออกมา คือถ้าเผื่อเอามาทั้ง ๕ ตัว ไม่น่าจะเป็นอะไร แต่เผอิญ ฝรั่งดึงเอามาตัวเดียว คือ ตัวสวนทวาร คือถ้าเผื่อเอามา ๕ ตัว ซึ่งเกี่ยวกับการล้างพิษทั้งหมด แต่ฝรั่ง ดึงเอามาตัวเดียว ก็เลยกลายเป็นการสวนทวาร มันก็เป็นการเคลื่อนตัว ในยุโรป จนไปถึงอเมริกา เมื่อสัก ประมาณ ๘๐-๙๐ ปีมานี่เอง ในช่วงที่พรรคนาซี เรืองอำนาจนั้นเอง โลกก็นิยม เยอรมัน หมดเลย พอคน นิยมเยอรมัน อะไรก็ตามที่เยอรมันเสนอไปตอนนั้น มันก็เลยเผยแพร่ได้เร็ว การสวนทวาร การดีท็อกซ์ ก็มาจากตรงนั้น เหมือนกัน ในประเทศไทยนี่ เรารับมาจากฝรั่งอีกที ฝรั่งนี่ก็ทดลองอย่างอื่น เข้าไป process ในการสวนทวาร อาจจะเอาหลายตัว มาสวนทวาร ล่าสุดมีน้ำส้ม น้ำมะนาว ต่างๆด้วย สุดท้ายก็กลายเป็น กาแฟนะครับ ส่วนฝรั่งจริงๆ พวกนี้ไม่คิดอะไรมากหรอก กินอะไร ก็เอาตัวนั้นมาทดลองดู กาแฟก็มีฤทธิ์ เป็นกรดอ่อนๆ มันก็มีความสอดคล้องกันพอดี ของการเคลื่อนตัว ของลำไส้ แต่ว่าระยะยาวแล้ว การสวนทวาร มันมีข้อที่น่าติงหลายข้อ เหมือนกันนะครับ อันแรกเลย ถ้าคนที่เป็น หนักๆ เป็นมะเร็งนะครับ สวนทวารนี่ดี มันจะล้าง ระบบต่างๆทำให้ดีขึ้น ถ้าสวนประจำ มันจะมีปัญหา บางอย่าง เกิดขึ้น ปัญหาตรงนั้น คือ การติด

ข้อมูลอันนั้นผมไม่กล้าพูดออกมา เพราะถ้าพูดแล้วมันจะเกิดปัญหา ข้อมูลสองอันนี้ เป็นข้อมูล ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ถ้าเผื่อ เอามาด้วยกัน จะเป็นปัญหาทันที ข้อมูลอันแรกก็คือ ผลการวิจัยเกี่ยวกับ เรื่องของชาวเกย์ ในสหรัฐอเมริกา เมื่อสิบกว่าปี ที่แล้ว เขามีการวิจัยว่า ทำไมชาวเกย์นี่ เอาแบบผู้ชายแมนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ ถ้าเกิดเจอชาวเกย์ ไปครั้งเดียว นะครับ ๘๐ % นี่จะมีความติดใจ ในลักษณะนั้น ซึ่งตรงนี้มันจะเหมือน การสวนทวาร ตรงนี้ อย่างหนึ่งก็คือว่า ระบบมันใกล้กันมาก ระบบของ การขับถ่าย กับการสวนทวาร มันติดกันเลย อันนี้มันเป็นข้อมูลการวิจัยของอเมริกาเขา ซึ่งการสวนทวาร เป็นประจำ มันจะเกิด การติดขึ้นมา มันไม่ใช่ติดคาเฟอีนอย่างเดียว มันจะติดอย่างอื่นด้วย เพราะฉะนั้น คนที่สวน ทวาร นี่ จะกลายเป็นคนที่ติด เรื่องนี้ไปเลย เป็นโดยธรรมชาติไปเลย ที่เกิดขึ้นนะครับ อันนี้เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ พระเถระ ชั้นผู้ใหญ่ ที่เดินทางมาเมืองไทย สมัยราชวงศ์ เมารียะ พระเจ้าอโศกมหาราชฯเมื่อ ปี ๒๐๐๐ ปี ที่แล้ว อย่างพระอุตระ ที่เดินทางมาที่ นครปฐม แล้วก็ไปที่สุพรรณบุรี ไปเผยแพร่ศาสนา ในช่วงนั้น มีหลักฐาน ชัดเจนว่าในปัญจกรรม ๕ ตัวนี่ สิ่งที่ตัดออกไป สองอย่างก็คือ การล้างจมูก กับการสวนทวาร ตั้งแต่สมัย พระเจ้า อโศกมหาราชฯ ราชวงศ์เมารียะคือใช้ภาษาของมคธ ภาษามคธ ก็เป็นภาษาบาลี ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น มีสองตัวเท่านั้น ที่โดนตัด ออกไป คือการเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ในช่วงนั้น ก็มาพร้อมกับการเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์ เพราะว่า การแพทย์มาก่อน แล้วก็ค่อยสั่งสอน ให้ประชาชน อีกทีหนึ่ง มันมีหลักฐานชัดเจน ถึงร่องรอย ของประวัติศาสตร์นั้น ซึ่งอันนี้ค่อนข้างจะชัดเจนว่า มันมีการตัด ออกไป ๒ ตัว และ แพทย์แผนไทย อันนี้มันก็เป็นมรดกอันหนึ่ง ของพระพุทธศาสนา ที่ทิ้งเอาไว้นะครับ คือคนไทย ไม่ใช่คนแรก ที่มาอยู่ดินแดนแถบนี้ อย่างที่พ่อท่าน ทราบอยู่แล้ว แต่ว่ามันมีมรดกชัดเจน เกี่ยวกับ การสวนทวารนี่ มันมีหลักฐานชัดเจน ระดับหนึ่งว่า มรดกตรงนี้ศาสนาพุทธ ค่อนข้าง จะเอาออกนะครับ เท่าที่ผมดูไปแล้วนะครับ ซึ่งก็จะมีน้อยมาก ในร่องรอย ประวัติศาสตร์ ตรงนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่ไม่มีนะครับ แต่ว่าร่องรอยตรงนี้มันก็มีการยกออกไป ผมเชื่อว่า การยก ออกไป ของพระเถระ ชั้นผู้ใหญ่ ในสมัยโบราณ เมื่อสองพันปี ที่แล้วนี่ น่าจะมาจากเหตุผล อันหนึ่ง ก็คือว่า เกิดการติดการสวนทวารขึ้นมาได้ มันติดได้ นะครับ หลวงพ่อ

ทางการแพทย์ของอเมริกาชัดเจนมากเลย แล้วถ้าเกิดสวนไปเรื่อยๆมันติด ติดแน่นอน มันจะโอ้โฮ ซาบซ่า (คุณเหมือนพรเสริมว่า มันจะเกิดลมในลำไส้) ครับ ตัวนั้นก็เป็นผล ข้างเคียง Side effect เล็กๆน้อยๆครับ เปล่าถ้าเกิดคนเป็นโรคจริงๆมันใช้ได้ดี แต่ถ้าเกิดใช้ ต่อเนื่อง ทุกวันรับรองติด อันนี้ผมไม่กล้าพูดไป เท่านั้นเอง เกรงว่ามันจะเกิดปัญหามาก

พ่อท่าน "เอ้ อาตมานึกไม่ออกว่ามันจะติดได้อย่างไร"
ประสาน "ติดครับ"
พ่อท่าน "มันค่อนข้างจะขี้เกียจทำด้วยซ้ำไป"
เหมือนพร "ระดับพ่อท่านแล้วไม่ติดแล้ว"

ประสาน "สำหรับท่านคงไม่ติดหรอกครับ แต่ว่าโอกาสในการติดสูงมาก หลักฐานอีกอันหนึ่ง ก็คือ สมัยโบราณ พุทธศาสนา เผยแพร่มาแถบนี้ แล้วก็ปัญจกรรมนี่รับมาเต็มๆเลย ของพระพุทธศาสนา รับมาจากอินเดียมา เกี่ยวกับ การรักษาโรค แบบอายุรเวช แต่มีบางตัว หลายตัว ที่เราตัดออกไป อย่างมีนัยะชัดเจนนะครับ ถ้าเราสืบประวัติศาสตร์ไปดีๆนะครับ เราจะพบในส่วนนี้ได้ อันที่สองก็คือว่า หลักฐานของอเมริกา มันมีความชัดเจนในระดับหนึ่งว่า ถ้าเกิดมีการสวนทวารในลักษณะนั้น แบบที่ ชาวเกย์ เขาทำกัน แม้แต่ผู้ชาย ทั้งแท่งนะครับ ก็อาจจะติดได้ เพราะว่าอวัยวะสองส่วนนี่มันติดกัน ประสาทรับสัมผัสนี่ ก็เป็นตัวเดียว กันเลยนะครับ มันใกล้กันมาก ในลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น โอกาส ในการติดนี่สูงมากๆ แต่ถ้าเกิดว่า เป็นการรักษาโรค ก็ไม่เป็นไร ติดนิดหน่อย ก็ไม่เป็นไร เพื่อให้โรคหาย"

คุณเหมือนพร ถาม "พ่อท่านยังสวนอยู่อาทิตย์ละกี่วัน"

พ่อท่าน "อาทิตย์ละสองวัน อาตมาเคยหยุดแล้วกลับมาทำ คือถ้าทำแล้วก็รู้สึกว่าท้องไส้มันดี ลำไส้มันดี อย่างน้อย ก็อุจจาระ ไม่ค่อยเหม็น แต่ถ้าไม่ทำนี่ มันก็จะมีกลิ่นเหม็นกว่าที่ ไม่ได้ทำ เท่านั้นเอง"

ประสาน "อย่างสมัยโบราณเท่าที่สืบทางประวัติศาสตร์ดูนะครับ ในแง่ของพระ ในพระพุทธศาสนา การสวนทวาร ในอินเดียโบราณ มีมาตลอด ปัญจกรรม ๕ คือการล้างพิษ ทั้ง ๕ หนึ่งคือการสวนทวาร การล้างพิษ การล้างจมูก การกินยาสมุนไพร เพื่อเป็นการ ขับพิษ ออกมา พระพุทธศาสนาเอามาเผยแพร่ ในแถบนี้ พร้อมๆกับยาระบาย ถ้าเราดูจากมรดกของ พระพุทธศาสนา คือ แพทย์แผนไทยนี่ ก็จะมี ยาระบาย เกือบทุกตำรับเลย ยาระบาย ของไทยนี่ เยอะมาก ผมว่าจะเกือบทุกตัวเป็นยาระบาย ผมว่าเกิน ๘๐ % ของยา แผนไทย ที่เป็นยาระบายแทรก ถ้าเผื่อเราใช้ยาแผนไทยเป็นยาระบายประจำ อุจจาระ ก็จะไม่เหม็น นะครับ โดยธรรมชาติ

คือประเทศแถบนี้ก็จะมีการคิดตัวยาเพิ่มเติมเข้าไปด้วย หลังจากที่พระพุทธศาสนา ได้เผยแพร่ มาแล้ว ก็จะมียาอื่น แทรกเข้าไปอีก ก็จะเป็นการบำบัด และล้างพิษไปในตัว

ผมไม่ได้ปฏิเสธนะในเรื่องของการดีท็อกซ์ เพราะดีท็อกซ์เป็นส่วนที่ดีมาก ในหลายๆอย่าง แต่ว่ามันจะทำ ให้เกิด Side effect บางตัว ได้เช่นเดียวกัน"

พ่อท่าน "อะไรบ้าง"

ประสาน "การติด มันจะเกิดขึ้นแน่นอนพ่อท่าน อันนี้มันเป็นงานวิจัยของอเมริกา ผมไม่ได้ คิดเองนะครับ และก็เป็นการวิจัย ของอีกแนวหนึ่งด้วย เป็นการวิจัยชาวเกย์ในแคลิฟอร์เนีย ของอเมริกา ซึ่งมีการสอนมาสัก ๑๐ กว่าปีที่แล้ว คนที่มาพูดก็คือ นักจิตวิทยา ดร.วัลลภ ซึ่งมันก็เป็นข้อมูลทางวิชาการ ที่มีอยู่แล้วนะครับ การสวนทวารก็เป็น process เดียวกัน ไม่แตกต่างกันเลย แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น กระบวนการนี้ มันจะทำ ให้เกิดการติดขึ้นมาได้ เท่านั้นเองนะครับ ถ้าเผื่อไม่ทำให้เกิดการติดนี้ ผมว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ติดนิดหน่อย ก็คงไม่เป็นไรหรอกพ่อท่าน แต่ต้องเกิดแน่นอน คือมีวิธีการหลีกเลี่ยงได้ ในการที่จะไม่ให้ ติดตัวนี้ก็คือ อย่างที่สมัยโบราณ พระอุตระ เดินทางมาแถวนี้ สมัยราชวงศ์เมารียะ ก็ตัด ตัวนี้ออก ใช้ยาระบาย เข้าไปแทน ในการขับล้างพิษ ออกมานะครับ ซึ่งยาล้างพิษ มันก็มี เยอะนะครับ"

เหมือนพร "พระมหาเถระนี่เป็นสายเถรวาทหรือมหายาน ที่ปฏิเสธอันนี้"
ประสาน "ตอนนั้นมหายาน ยังไม่เกิดเลย ยังไม่มีการแยกนิกายในยุคนั้น"
เหมือนพร "มันเป็นเรื่องอุจาดหรือเปล่าที่ต้องตัดออก"

ประสาน "ผมไม่ทราบ ต้องไปถามประวัติศาสตร์ ที่จริงประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนานี่ เขียนไว้ ค่อนข้าง ชัดมาก แต่ละบันทึก แต่ละช่วง ถ้าเอามาตีความจะรู้เลยว่าวิธีคิดของ พระแต่ละรุ่นนั้น เป็นอย่างไร แล้วก็จะมี การสืบเนื่องกันออกมา มรดกของไทย ก็มาจาก มรดกของ พระพุทธศาสนานะครับ เป็นหลักของแพทย์ แผนไทย นะครับ เราจะดูจาก การแพทย์ แผนดั้งเดิม หรือ Alternative medicine ของแต่ละประเทศ ที่มีพระพุทธศาสนา แทรกเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นประเทศแถว ศรีลังกา พม่า ธิเบต มองโกเลีย และก็ย่านอื่นๆ จะไม่มี การสวนทวารเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ของอินเดียมี ของอินเดีย จะมาจาก ปัญจกรรม ซึ่งมาจากคัมภีร์ พระเวช และคัมภีร์พระเวช ก็จะมาจากอายุรเวชอีกที จะมีปัญจกรรม และ มีการ สวนทวารเข้ามาเกี่ยวข้อง และประเทศ ที่มีอิทธิพลของ พระพุทธศาสนา เข้าไปแทรก นะครับ จะไม่มี ในพม่านี่ก็ไม่มี

ผมก็อ่านมาเล็กน้อยนะครับ แล้วก็มาตีความ อาจจะผิดๆถูกๆนะครับ แล้วแต่พ่อท่าน จะพิจารณา โอกาสติด มีสูงมาก แน่นอน ผมก็เชื่อว่า ติดแน่นอน ถ้าไม่ได้ทำแล้วจะหงุดหงิด แน่นอนครับ โอกาส หงุดหงิดสูงมาก แต่ถ้าจะเป็น ยารักษาโรค คงไม่เป็นไร"

หลังจากคณะแพทย์แผนไทยได้ลาจากไปแล้ว พ่อท่านได้เปลี่ยนการทำดีท็อกซ์ จากอาทิตย์ละ สามวัน มาเป็น เดือนละ สองครั้ง และในช่วงแรก ได้ฉันสมุนไพรไทยๆ เป็นยาระบายแทน ตามที่คุณเหมือนพร และคณะ ได้จัดให้ แต่ทำอยู่ได้ประมาณ ไม่ถึงสัปดาห์ พ่อท่านรู้สึกว่า มันระบายมากไป ท้องไม่ดี จึงได้ของด การฉันสมุนไพร เป็นยาระบายอีก แต่การลดการทำดีท็อกซ์ ยังคงเปลี่ยนเป็น เดือนละสองครั้ง ทั้งๆที่ ก่อนหน้านี้ พ่อท่านเพิ่งบอกเล่าถึงผลดีของการทำดีท็อกซ์ ให้ใครต่อใครในหลายที่ หลายแห่งได้รู้ ถึงคำ บอกเล่าของ คุณปฏิพล ที่มีคนในวงการบันเทิง เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย แต่ได้ฟื้นตัวดีขึ้นจาก การทำดีท็อกซ์ และควบคุม เรื่องอาหารเท่านั้น

พ่อท่านไม่ได้ยึดติดกับการรักษาในแผนไหนๆ จึงพร้อมจะเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับข้อมูล และ เหตุปัจจัย ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้พ่อท่าน จะเห็นผลดี ของการทำดีท็อกซ์ว่า อย่างน้อยๆ ท้องไส้ดี อุจจาระไม่มีกลิ่น เหม็นมาก แถมพ่อท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่า จะติด อย่างที่หมอประสาน ได้ยกอ้างการวิจัยของชาวเกย์ หมอประสานเอง ก็ไม่ได้บอกว่า จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ซ้ำมิหนำ ก็รับว่าเป็นผลดี ต่อสุขภาพด้วยซ้ำ ต่างไปจากคุณเหมือนพรที่บอกมานานแล้ว ว่าผลเสียของการทำดีท็อกซ์ ด้วยวิธีใช้กาแฟสวนทวาร ก็คือ โรคลม ซึ่งทั้งสอง ก็เป็น แพทย์แผนไทย เหมือนกัน แต่เห็นต่างกันได้

นี่เป็นคำเตือนจากผู้ที่หวังดีคนหนึ่ง ที่ผู้ทำดีท็อกซ์ประจำก็คงต้องตรวจสอบตนเองจริงๆ ว่าตนมีภาวะ ดังกล่าวนั้น หรือไม่

สำหรับข้าพเจ้าไม่ได้มีภาวะติดหรือหงุดหงิด เช่นที่หมอประสานยืนยันอย่างหนักแน่น แม้น้อย ก็ไม่มี ไม่ว่า จะเป็นเรื่อง การติดสัมผัส เสียดสี แบบเดียวกับที่ชาวเกย์ติด หรืออาการหงุดหงิด ถ้าไม่ได้ทำการสวนทวาร เข้าใจว่า หมอประสาน คงจะตรรกะ คิดด้นเดาไปเอง เอาวัตถุ สองสิ่ง ที่ต่างกัน ทั้งขนาด และวิธี ดำเนินการ มาสรุปว่าเป็นแบบเดียวกันได้อย่างไร วัตถุ อย่างหนึ่ง มีขนาดเล็ก เพียงหลอด กาแฟ เล็กกว่ากัน เป็น ๒๐-๓๐ เท่า และใช้การเสียบคา ไม่ได้เคลื่อนไหว ที่เหมือนกันมีเพียงทวารหนัก แต่องค์ประกอบอื่นๆ นั้นต่างกัน อย่างชัดเจน แล้วไปสรุปเหมาว่า เป็นความติดแบบเดียวกันไปได้ ถ้าจะให้น่าเชื่อถือกว่านี้ ก็น่าจะเป็น การทำวิจัย ผู้ทำดีท็อกซ์โดยตรง ว่าเป็นผลเช่นนั้นเป็นส่วนมากหรือไม่ ไม่ใช่ไปอ้างอิง การวิจัย ของชาวเกย์ มาผสม แล้วสรุปว่า เป็นอย่างเดียวกัน

การติดสัมผัสเสียดสี กับ การติดการทำดีท็อกซ์เพราะเห็นผลว่าทำให้สุขภาพดี มันเป็น คนละเรื่องกัน คนที่ ออกกำลังกายประจำ แล้วเห็นผลดี ทำให้สุขภาพดี หัวใจเต้นดี ลมหายใจ โล่งโปร่ง เลือดลมเดินดี จึงออก กำลังกาย ประจำทุกวัน ถ้าไม่ได้ออก ก็เหมือนกับ ขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง เมื่อได้ออกกำลังกาย เหงื่อออกได้ ก็รู้สึกโล่งสบาย จะบอกว่า ติดการออกกำลังกายก็ใช่ ฉันใด การติด การทำดีท็อกซ์ ก็เป็นไปได้ ฉันนั้น แต่ข้าพเจ้า ไม่เคยรู้สึกว่า หงุดหงิด เมื่อไม่ได้ทำ ช่วงงานประจำปีของชาวอโศก ทุกงาน เว้นได้ สบายมาก วันไหน มีประชุม หรือต้องเดินทาง หรือไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง ไม่ทำก็ไม่รู้สึกว่า หงุดหงิด อย่างที่ หมอประสาน วิจารณ์เลย

หมอการแพทย์ทางเลือกอีกท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ใช้การสวนล้างพิษในลำไส้ใหญ่ ด้วยกาแฟ เป็นหนึ่ง ในการบำบัด รักษาผู้ป่วย ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับการทำ ประจำ ทุกวัน โดยเหตุผลก็คือ จะทำให้ ร่างกายเสพคุ้น ต้องการกาแฟ เพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ อาจเป็น การคาดคะเน เดาเอาของคุณหมอ เพราะหลายท่าน ที่ทำประจำ ไม่ได้รู้สึกว่า ต้องเพิ่มกาแฟ ขึ้นเรื่อยๆเลย

ส่วนด็อกเตอร์ที่มีชื่อเสียงทางด้านการแพทย์ทางเลือกเช่นกัน และใช้การสวนล้างพิษ ในลำไส้ใหญ่ ด้วยกาแฟ เป็นหนึ่งในการบำบัด รักษาผู้ป่วย ท่านก็ไม่เห็นด้วยกับการทำ เป็นประจำทุกวัน ได้กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ผิด ไปจาก นายแพทย์แม็คเกอร์สัน ผู้ริเริ่ม นำวิธีการนี้ มาใช้ ในการสวนล้างพิษ ในลำไส้ใหญ่ ที่เขาทำกัน ซึ่งก็ไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า ผลเสีย จะเป็นอย่างไร

โดยส่วนตัวข้าพเจ้า เห็นผลดีของการทำดีท็อกซ์ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกส่วนตัว ดังที่หลายท่าน รู้สึก ภายหลัง การทำดีท็อกซ์ เป็นต้นว่า ลมหายใจ โล่งโปร่ง อารมณ์เบิกบานแจ่มใส เบากาย เบาใจ วิดพื้นได้มากขึ้น ฯลฯ แต่เป็นการเห็นผล ทางวิทยาศาสตร์ ผลจากค่าเลือดที่ อัลคาไลน์ ฟอสฟาเตส Alkaline Phosphatase ที่เคยสูงมาตลอด เป็นสิบปีที่ผ่านมา หลังการทำ ดีท็อกซ์ ๖ เดือน ผลค่าเลือด Alkaline Phosphatase กลับมาอยู่ในค่าที่ปกติ หลังจากนั้น ก็ได้ตรวจค่าเลือดอีกสองครั้ง ก็กลับมาเป็นปกติ เช่นเดียวกัน จนถึง ปัจจุบัน

แต่หลายท่านทำดีท็อกซ์แล้ว แม้น้อยครั้งก็รู้สึกว่าเป็นผลเสียต่อร่างกายจริงๆ ก็เป็นเรื่อง ที่เป็นไปได้ ข้าพเจ้า ไม่มีความรู้ถึงขั้น ยืนยันว่า เป็นผลดี โดยส่วนเดียว สรุปเรื่องนี้อาจเป็น เรื่องของลางเนื้อชอบลางยา หรือ เป็นเรื่องของธาตุ จริต ทิฐิ รวมไปถึง วาสนาบารมี และ วิบากของใคร ก็ของใคร ถ้าจะให้แน่ๆ แต่ละคน คงต้องนำเอาหลักกาลามสูตร มาใช้กับเรื่อง การดูแลสุขภาพ ของตนด้วย ไม่ใช่แค่ทำ หรือไม่ทำดีท็อกซ์ เท่านั้น เรื่องการแพทย์ทางเลือก อื่นๆ ก็เช่นกัน กาลามสูตร น่าจะเป็นคำตอบ ที่ดีที่สุดว่า วิธีการอย่างโน้น วิธีการอย่างนี้ ดีจริงหรือเปล่า เหมาะกับเราหรือไม่



ร่วมต้านน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์
๔ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่สถานีโทรทัศน์ไททีวี พ่อท่านได้เดินทางมาร่วมรายการทุกข์ปัญหาชีวิต ที่สมณะ เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ จัดทำ รายการอยู่ สำหรับวันนี้ได้นิมนต์พ่อท่าน เชิญ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง และ ทนายจำนง ชัยมงคล มาร่วมแสดง ความคิดเห็น กรณีที่บริษัทน้ำเมา จะเอาเข้า ตลาดหลักทรัพย์ ผู้สนใจ รายละเอียด ติดต่อได้ที่ฝ่ายเผยแพร่


จะทำชุมชนสันติอโศกให้เข้มแข็งได้อย่างไร
๕ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก มีการประชุมวิสามัญของชุมชนสันติอโศก โดยมีประเด็น การประชุม ในครั้งนี้ว่า จะทำชุมชนสันติอโศก ให้เข้มแข็ง ได้อย่างไร เมื่อคุณแซมดิน ในนามของ สถาบันบุญนิยม รายงานถึง การติดต่อ กับศูนย์ส่งเสริม และพัฒนาพลังแผ่นดิน เชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) งานวิสาขบูชา ที่จะถึงนี้ ภาครัฐ ต้องการจะให้จัดแล้วมีผล ถึงจิตใจคน ไม่ใช่แค่เพียง นำเอาโต๊ะหมู่บูชา มาประกวดกัน โดยมีเป้า ให้เกิดความสำคัญ ถึงขั้น เป็นวันวิสาขบูชาของโลก ที่ต่างชาติก็สนใจ เข้ามาร่วม จึงอยากจะให้ทาง ศูนย์คุณธรรม เป็นหลักในการคิดหารูปแบบและวิธีการจัดงาน พ่อท่านแนะ "อย่าไปรับหน้า หรือ รับงาน มาเป็นใหญ่ เราจะทำ เท่าที่เราทำได้" ในช่วงท้ายของการประชุม เมื่อมีการ ฝากประเด็น ให้แต่ละหน่วยงาน ไปคิดหาคำตอบ เรื่องที่สันติโศก จะเริ่มการ ปฏิสันถารก่อน จะทำอย่างไร แล้วการประชุมครั้งต่อไป ก็นำมาบอกกัน พ่อท่านเสริมว่า "อยากจะให้ดูหนัง เรื่องขงจื้อ เพราะมัน ค่อนข้าง จะสื่อเรื่องความอ่อนน้อม มากเลย เพียงแต่มันค่อนข้าง จะช้าเอามากๆ เด็กๆคงทนดูกันไม่ไหว เราก็คง ต้องบอก ให้แกพยายามดู แล้วจะได้อะไร มากเลย"



การรักษาตาด้วยศาสตร์โบราณ
๗ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่บ้านคุณไฟงานข้างตึกฟ้าอภัยเก่า คุณเหมือนพร ได้มาทำการรักษาตา ให้พ่อท่าน ด้วยศาสตร์ ของกระเหรี่ยง ไม่มีตำรา เป็นการถ่ายทอดกันมาด้วยการปฏิบัติ คือ รักษาให้ดู หลักการ ก็คือ อาการผิดปกติของตา หรือโรคตา ทุกชนิด เกิดจากไขมัน หรือ เมือกมันที่ปนอยู่ในเส้นเลือด ที่หล่อเลี้ยง ไปยังลูกตา ไขมันหรือเมือกมัน จะทำให้ การไหลเวียน เลือด ไปเลี้ยงลูกตา ได้ไม่ดี ไขมันหรือเมือกมัน เกิดจาก อาหาร และมลพิษ ในอากาศ การเอาไขมันหรือเมือกมันออกมา คือการรักษาอาการผิดปกติของตา หรือ โรคตาทุกชนิด

เริ่มจากการรมตาด้วยสมุนไพรกว่า ๔๐ ชนิด สองหม้อหม้อละ ๒๕ นาที แล้วก็เป็นการเขี่ย ล้างตา ด้วยกระชาย โดยมีน้ำเกลือ ทำความสะอาด น้ำอึ้งเน้ย และน้ำสมุนไพร ที่เป็น ส่วนประกอบ ในการเขี่ย ล้างตา ใช้สำลี ชุบน้ำเกลือ เช็ด ทำความสะอาด รอบขอบตา แล้วใช้กระชาย เขี่ยทำความสะอาด ด้านในของ หนังตา ชั้นล่าง คุณเหมือนพรอธิบายว่า เป็นริดสีดวงตา มีเป็นเม็ดๆหลายเม็ด ริดสีดวงตานี้ เกิดจากอาหาร รสหวาน และเห็ด เนื่องจาก เห็ดเกิดได้ เพราะอาศัยเชื้อรา ศาสตร์นี้จึงให้งดเว้น การกินเห็ด

เสร็จจากทำความสะอาดรอบตาขวาก็ย้ายมาเป็นตาข้างซ้าย ว่ามีหนองเล็กๆฝังอยู่ข้างใน ขณะเขี่ย ให้ดูว่า นี่คือ ริดสีดวงตา และพ่อท่านเป็นเยอะด้วย การรักษาจึงต้องขูดออก ให้สะอาด คุณเหมือนพรยังได้บอกถึง เส้นไขมัน ที่เขี่ยออกมา ว่าจะทำให้ตา เป็นฝ้าขาว ไม่มีประกาย เป็นตาน้ำข้าว แล้วก็บอกถึงต่อมน้ำตา น้ำตา จะเข้ามาเลี้ยงตาทำให้ตาชุ่ม จึงต้อง ทำความสะอาด เพื่อกระตุ้น ให้ต่อมน้ำตา ได้ทำงาน ที่ตาแห้ง ก็เพราะต่อมน้ำตา ตรงที่ว่านี้ ไม่ได้ทำความสะอาดเลย ถ้าต่อมน้ำตาสะอาด จะทำให้น้ำตา ออกมามากขึ้น จะช่วยให้ดวงตาไม่แห้ง

การเขี่ยทำความสะอาดหนังตาต้องทำถึง ๓ ครั้ง ก่อนที่จะเข้าไปทำความสะอาดที่เลนส์ตา

นอกจากนี้คุณเหมือนพรยังอธิบายถึงประโยชน์ของการเขี่ยล้างตาว่า จะทำให้เส้นเลือดฝอย ที่แตกออก มีสีแดง ที่ตาขาวนั้น กลับมาเป็นสีชมพู ดังเดิม เมื่อได้ทำความสะอาดแล้ว จะทำให้การแตกของ เส้นเลือดฝอย ลดลง

ขณะกำลังเขี่ยล้างเลนส์ตาขอบๆตาดำ คุณเหมือนพรอธิบายว่า เมือกมันจะเข้าสู่เรตินา ก็บริเวณนี้ ใกล้จุด ตาดำ ซึ่งมันจะเคลือบ ไปเรื่อยๆ แล้วทำให้ตาเป็นสีขาว เลนส์ตาจะขุ่น แต่วิธีการรมอย่างนี้ ใช้กระชาย เป็นสื่อ แล้วดึงไขมัน หรือเมือกมันออก และถ้าปล่อย ไว้นาน ต้อเนื้อก็จะเกาะตรงนี้อีก (บริเวณมุม หรือหางตาซ้าย) ซึ่งจะทำ ให้ตาดำ เริ่มเบี้ยว และ ไม่กลม เพราะมีเนื้อ พวกนี้มาแปะ ขณะนี้ตาข้างซ้าย ก็เริ่มมีต้อกระจกอ่อนๆ

คุณเหมือนพรได้ชี้ให้ดูเส้นเลือดตาที่บริเวณหัวคิ้ว เส้นเลือดตาของพ่อท่านตรงนี้จะบวมมาก แล้วก็จะแตก แล้วก็จะช้ำ เพราะพ่อท่าน จะเพ่งตลอด เป็นผนังตานอก โดยเราต้องกดเบาๆ เป็นการบริหาร ทำให้ตรงนี้ ไม่คล้ำมาก จึงอยากจะให้พ่อท่าน ทำทุกเช้า หลังจาก ตื่นนอน แล้วสัก ๒ นาที ไม่เช่นนั้น ตาของพ่อท่าน จะใช้งานหนักแล้วจะมีปัญหา เพราะเหลืออยู่ ข้างเดียว ซึ่งบวมมาก มันไม่ใช่การบวม แบบปกติ ถ้าตาปกติ จะไม่บวมอย่างนี้



การขูดพิษด้วยศาสตร์ล้านนา
๘ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่บ้านคุณไฟงาน คุณเหมือนพรได้พาหมอสุจิตรา ซึ่งร่ำเรียนการขูดพิษ ด้วยเขาควาย ที่ฟ้าผ่าตาย เป็นศาสตร์ ของล้านนา มาช่วยทำการรักษาให้พ่อท่าน ที่ต้องใช้ เขาควายที่ถูกฟ้าผ่าตาย หมอสุจิตรา อธิบายว่า เขาควายจะดูดพลังไว้ที่เขามาก ที่จีน ใช้ชาม กาไก่ ที่เวียดนามใช้เหรียญ อินโดนีเซีย จะใช้หิน จะใช้อะไรเป็นอุปกรณ์ในการขูด ก็ขึ้นอยู่กับ ท้องถิ่นนั้นๆ มีอะไร ก็เอามาใช้ขูดพิษ ได้ทั้งนั้น แม้แต่ จะใช้ช้อน ก็ยังได้เลย การขูดพิษนี้ มีทำกัน ในหลายๆประเทศแถบเอเชียนี้

หลักการก็คือ การขูดไปตามส่วนของร่างกาย ส่วนไหนที่มีพิษหรือสารเคมี หรือมีปัญหา พิษก็จะถูกขับ ออกมา ให้เห็นเป็นสีแดง ขึ้นมา คล้ายเลือดซึมออกมา ซึ่งไม่ใช่เส้นเลือดแตก ไม่ใช่การอักเสบ ไม่ใช่ การระบมใดๆ แต่เป็นพิษของโรค ที่ออกมาจากรูขุมขน ไม่ว่าพิษ จะอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกาย ปอด ตับ ไต การขูดจะเอาพิษ ออกมาได้หมด การขูด ครั้งต่อๆไปผู้ป่วยจะรู้สึกสะดุดน้อยลงๆๆ จนไม่รู้สึก สะดุดอีกเลย อาการสะดุด คือผู้ป่วย จะรู้สึกได้เองว่า เหมือนมีอะไรเป็นก้อนๆ บริเวณที่ถูกขูดนั้นๆ ถ้าตรงส่วนไหน ที่ไม่มีปัญหา หรือ ไม่มีพิษ ก็จะไม่รู้สึกว่าสะดุดอะไร และขูดครั้งต่อๆไปสีของพิษที่ถูกขับออก จะจางลง เรื่อยๆ กรณีผู้ป่วย ที่มีอาการหนักๆ เช่น เป็นมะเร็งสีของพิษ ที่ถูกขับออกมาบนผิวหนัง จะเป็นสีม่วง ถ้าไปใช้คีโมมาแล้ว พิษจะออกมา เป็นสีน้ำตาล ซึ่งก็ยังพอจะรักษาได้ แต่ถ้าเป็นถึงขั้นสีเหลือง แล้วก็รักษา ไม่ได้แล้ว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษา นอกจากเขาควายก็ยังมีน้ำมันมะพร้าว ผสมน้ำมันงา และ มีสมุนไพรอีก ๔๐ กว่า ชนิด เคี่ยวประมาณ ๖ ชม. ใช้ทา ประกอบการขูดผิว เพื่อช่วยใน การหล่อลื่น และรักษาผิว

การรักษาพ่อท่านวันนั้นเริ่มจากด้านหลัง ต้นคอไล่ลงมาที่ไหล่ทั้งสอง แล้วลงมาตามแนว กระดูกสันหลัง หมอสุจิตราอธิบายว่า ตอนขูดมาถึง แนวขั้วปอด พ่อท่านรู้สึกสะดุด ซึ่งหมายถึงว่า การหายใจไม่เต็มร้อย ที่จุด L ๕ มีรอยบุ๋มลงไป ซึ่งมีประวัติการตกต้นไม้ ตอนเด็ก แต่ไม่เป็นไร เพราะพิษได้ถูกขูดออกมาแล้ว ส่วนบริเวณไตสองข้าง มีสะดุดบ้าง เล็กน้อย เนื่องมาจากดื่มน้ำน้อย ทำให้ไต ทำงานหนัก ฉะนั้น เมื่อขูด ที่แนวไต พ่อท่าน จะสะดุด สองสามช่วง สำหรับด้านหน้าลำตัว อาการพิษ ที่หมอสุจิตรา ตรวจพบ ก็คือ บริเวณปอด มีนิดหน่อย แต่ที่ตับพ่อท่านมีอาการเจ็บมาก จึงยังไม่กล้าลงน้ำหนัก ในการขูดมาก ซึ่งได้รับ คำอธิบายว่า พิษที่ถูกขับมาจากสารเคมี ทั้งยาและวิตามิน ที่พ่อท่าน ฉันมานาน ศาสตร์ล้านนา แนะให้ตรวจ ดูพิษที่ตับ จากข้อนิ้วมือของผู้ป่วยเอง ถ้าปกติไม่มีพิษ ตกค้างที่ตับ ข้อนิ้วมือจะเป็นสีแดง แต่ถ้ามีพิษตกค้าง ข้อนิ้วมือ จะไม่มี สีเลือดแดง (ข้าพเจ้า ยังสงสัยว่า อาการแดงที่ข้อนิ้ว บางทีมันอาจเป็น ปกติธรรมดา หมอสุจิตราได้ใช้นิ้วและมือ จับกุมเขาควาย และ เคลื่อนไหวไปมา ในการขูด ก็ย่อมมี เลือดลมเดิน สีเลือดที่ข้อนิ้ว ก็ย่อมจะแดงกว่า ของพ่อท่านซึ่งวางอยู่ข้างลำตัวเฉยๆก็ได้ หรือ อาจเป็นเพราะ การยืด แอ่นนิ้วมือ มากกว่า ก็ทำให้มีสีเลือดมากกว่าการวางมือปกติธรรมดา ไม่ได้แอ่นหรือยืดนิ้ว อันนี้ เป็นเพียง ความสงสัย เท่านั้น เพราะขณะนั้นไม่ทันได้คิดอะไร ผ่านมาแล้ว เกิดสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถาม หมอสุจิตรา แล้วถ้าถาม เดี๋ยวจะดูว่า เป็นการจับผิดหรือเปล่า)

อาการผิดปกติที่ตรวจพบอีกจุดหนึ่งก็คือ บริเวณไหล่ซ้ายของพ่อท่านมีอาการเจ็บ หมอสุจิตรา บอกว่า เป็นพังผืด ซึ่งพ่อท่าน ก็รับว่า มีอาการเจ็บที่ไหล่ มานานแล้ว หมอสุจิตราบอก ถึงสาเหตุ ที่เกิดพังผืดว่า เกิดจาก การทำงานที่ผิดปกติ อาจจะนั่งท่าเดียว นานๆ ใช้แขนนานๆ



สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาเก็บข้อมูล

๙ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่โบสถ์สันติอโศก ก่อนการทบทวนพระปาติโมกข์ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ได้บอกเล่า ที่มีเจ้าหน้าที่ จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มาสอบถาม สนทนาด้วย มีมากัน ๔ คน เขาถาม ผมว่า ผมมาจากไหน ผมก็บอกว่าผมมาจากอ่างทอง เคยเป็นเด็กวัดอยู่วัดธรรมยุต ๑ วัด อยู่มหานิกาย ๑ วัด แล้วก็มาอยู่ สันติอโศก เขาถาม ประวัติผม ผมก็แนะนำให้เขาไปดูในเว็บไซต์ เขาก็ถาม ความรู้สึก ของผม ที่มีต่อสันติอโศก กับข้างนอก ผมก็บอกเขาว่าผมเลือกข้างแล้ว จะให้ไปที่อื่น ก็ยังไม่เห็นว่า ที่อื่นดีกว่าที่นี่ ผมก็บอกเขาไปตรงๆ เขาไม่ได้มาพูดอะไร เขาเพียงแต่มาขอประวัติ ขอพูดคุย ผมเดาว่า เขาคงต้องการ เก็บรายละเอียด ผู้ที่มีชื่อเสียง หรือมีอะไรตามประสาเขา ดูเขามาหยั่ง ท่าทีอะไร บางสิ่ง บางอย่าง



หมอจากอินเดียสนใจดูแลสุขภาพชุมชนชาวอโศก

๑๑ มี.ค. ๔๘ ที่สันติอโศก หมอแสนดิน(แก้ง)ได้พาคณะสาธารณสุขจากอินเดีย ซึ่งมี ความรู้ทาง โฮมีโอพาที้ สนใจ จะดูแลสุขภาพของชุมชนชาวอโศก มากราบนมัสการพ่อท่าน ซึ่งหมอแก้ง ได้ให้ทดลอง กับ ชาวปฐมอโศก บางส่วนก่อน ผู้สนใจรายละเอียด ซักถามได้ที่ หมอแสนดิน


สุขภาพดีตามวิถีไทยไท ในเครือแหชุมชนอโศก
๑๓ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พ่อท่านได้นำหลักลักษณะคนมีสุขภาพดี ในชุมชนอโศก ๗ ข้อ จากหนังสือสรรค่าสร้างคน ฉบับปรับปรุงใหม่ หน้าที่ ๕๑ เพิ่งจะพิมพ์ ออกมาต้นเดือนนี้ จากหัวข้อนั้น ดังนี้

๑. รูปร่างสันทัด ไม่อ้วน ไม่ผอม แลดูแข็งแกร่ง กระปรี้กระเปร่า
๒. เบากาย พร้อมทำกิจกรรมต่างๆได้ทันที แม้เข้าวัยสูงอายุ
๓. มีลักษณะที่เห็นหรือยามอยู่ใกล้ชิดแล้วเย็นอกเย็นใจ คือ เข้ากับคนง่าย ประสานงานดี คิดริเริ่มดี รับคำสั่งเป็น คนอื่นสั่งงานก็รับได้ ไม่ถือตัว ไม่โกรธง่าย ทำให้คนรอบข้างมีความสุข

๔. ใฝ่ในการศึกษาเรียนรู้อยู่เสมอ
๕. กินง่าย เลี้ยงง่าย นอนหลับ ขับถ่ายสะดวก เบิกบานง่าย ขยันมาก ใจดี แบ่งปันง่าย เป็นพี่ เป็นน้อง อบอุ่น
๖. จะแก่ จะป่วย จะตาย ก็เย็นอกเย็นใจ มีสติสัมปชัญญะ ไม่โวยวาย ไม่ทุกข์ร้อน ไม่เรียกร้อง
๗. มีอิสรเสรีภาพในหัวใจ เคลื่อนตัวว่องไว ไป-มาง่าย รวดเร็ว เรียบง่าย สัมภาระน้อย ช่วยตนเองได้มาก
รายละเอียด ของการแสดงธรรม ติดตามได้ที่ฝ่ายเผยแพร่


แจกกลด-แจกธรรม
๑๕ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่ปฐมอโศก นักเรียนสัมมาสิกขาที่จบ ม.๖ ได้เข้าร่วมรับกลด โดยพ่อท่าน เป็นผู้แจกให้ เสร็จจากพิธีรับกลด พ่อท่านได้ให้โอวาทจากบางส่วนดังนี้ "อาตมาเสียเวลา เป็นลิงลม อมข้าวพอง ทำงาน อยู่ทางโลกถึง ๓๕-๓๖ ปี แล้วก็ออกมาทำหน้าที่ มารู้ตัวอย่าง ชัดเจนว่า อ๋อ เราคือโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ที่พากเพียร บำเพ็ญอยู่ ปางนี้จะต้องมารับผิดชอบอันนี้ จึงได้รู้ตัวแล้วตั้งใจทำงาน ตั้งแต่บัดนั้นที่รู้ตัว มาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยได้ท้อแท้ ไม่เคยท้อถอย แม้จะเหน็ดเหนื่อยสาหัส

ถ้าอาตมาไปหาเงิน ไปทำมาหากินอย่างทางโลกเขา อาตมาไม่เหน็ดเหนื่อย อย่างทุกวันนี้ หรอก ไม่ต้องอดทน ขนาดนี้หรอก ไม่ลำบากลำบนขนาดนี้ นี่ลำบาก ต้องใช้ความสามารถ เพื่อที่จะประคับประคอง พวกเรา และยังจะต้องพยายามเอาตัวรอดพ้นจากพวกที่ต่อต้าน พวกที่เขา ไม่เห็นด้วย พวกโลกีย์หนะ พวกปุถุชน คนโลกย์ๆ ซึ่งมีจำนวนมาก มันสวน กระแสกัน แต่ว่าโลกุตระนี่ ไม่ได้ไปทำร้ายพวกโลกียะเขาหรอก โลกียะเขาเอา เขาแย่งกัน แต่โลกุตระนี่ไม่เอา ไม่ได้สะสม มีแต่ให้ จึงไม่เป็นศัตรูกับโลกียะ แต่แนวคิด มันต่างกัน เราพูดไปว่าจะต้องมาลดละ มาจนเขาก็ไม่เอา เขาจะต้องโลภ เขาจะต้องเอา สิ่งเหล่านี้ มันเป็นภาวะต้าน หนัก ไอ้หนักต้านธรรมดา ไม่เท่าไหร่ หนักต้านผู้ที่มีความคิด ทางศาสนา เหมือนกัน แต่เพี้ยนไปแล้ว และเขาก็คุมความรู้ว่านี่แหละถูกต้อง แต่แท้จริงมันไม่ถูก อาตมาว่าอันนี้แหละถูก พออาตมา เอาอันนี้มาประกาศ เขาก็หาว่าอาตมาผิด อาตมา จะมาทำลายศาสนา อันนี้แหละหนักยิ่งกว่า นี้แหละ หนักมาก จนทุกวันนี้ก็ยังอยู่อย่างอีแร้ง ไม่ได้ผงาด ไม่ได้มีคนเอามาเลี้ยงดูชูช่อ เหมือนกับหงส์ ไม่เลย อีแร้ง ไม่มีคนเอามาเลี้ยง เจอที่ไหน ก็เอาก้อนหินขว้าง"

"วันนี้แจกกลด อาตมาไม่แจกเหรียญหรือจี้ใบโพธิ์ จะแจกที่งานคืนสู่เหย้า การแจกกลด เป็นธรรมเนียม มาถึงวันนี้แล้วอาตมายิ่งเห็นว่ามันเป็นความขลัง เป็นความประเสริฐ อันหนึ่ง ของมนุษย์ เป็นยิฏฐัง มันเป็น ความลึกซึ้งอันหนึ่ง กลดหมายถึงบ้านเคลื่อนที่ของพระอาริยะ moving house สะพายไปไหนก็ได้ ไปถึงที่ไหน ก็ปักปึ้ก เข้าอยู่ในนั้นเสร็จ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของทั้งรูปแบบ ทั้งจิตวิญญาณ อยู่ในนั้นเสร็จ เพราะฉะนั้น อาตมาก็มองไกล ไปถึงอนาคตข้างหน้า การมอบกลดแก่นักเรียนที่จบ ม.๖ จะเป็นจารีต ประเพณีที่จะสืบทอด ต่อไปอีกนาน ของชาวอโศก ในวงการสัมมาสิกขา จะต้องดำเนินต่อไป เป็นแบบของเรา ซึ่งจะซาบซึ้ง กินลึกไปถึง จิตวิญญาณ"



ขัดแย้งเมื่อใด แก้ที่อัตตาตนเอง

๑๖ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่ปฐมอโศก เช้านี้เป็นวันพุธ ปกติจะไม่มีทำวัตรเช้า เนื่องด้วยมีข้อมูลถึง ความขัดแย้งกัน และกัน ถึงขั้นมีผู้คิดจะถอยออกจากหน่วยงานนั้น เมื่อวานมีการประชุม ชุมชนปฐมอโศก ได้มีผู้นิมนต์ ให้พ่อท่านแสดงธรรมเหมือนกัน แต่พ่อท่านเห็นว่าเป็นเรื่อง ภายใน ไม่เหมาะที่จะพูดให้คนทั่วไปฟัง จึงเลือก ที่จะพูดในการทำวัตรเช้านี้ จากตัวอย่าง บางส่วนดังนี้

"เมื่อเกิดเหตุการณ์ขัดแย้ง เข้ากันไม่ได้ ถ้าเราจะไปชี้คนนั้นคนนี้ต้องแก้ไข ไม่ได้ ผิดหมด ทุกคนต้องมอง ตนเอง ไม่ใช่ไปมองคนอื่นผิด เราต้องแก้ไข การแก้ไขนั้นคือ ลดอัตตา ไม่ใช่ ไปแก้ไขสมมุติสัจจะ งานต้องเปลี่ยน อย่างนี้ ไอ้นั่นต้องเปลี่ยนอย่างนั้น ไม่ใช่ ต้องลดตัวกู ของกู เราต้องแก้ไขตัวเรา ไม่ใช่ ให้คนอื่น แก้ไข แม้เราจะถูกต้อง ฟังให้ดี แก้ที่ไหน แก้ที่อัตตา ลดอัตตาตนเองทันที ไม่ต้องเถียง เช่นเมื่อมีมติ ความเห็นหมู่ เป็นอย่างนี้แล้ว เราจบ ไม่ใช่ ไม่เอาแล้วหมู่ ข้าถอนตัว เฮ้อ! ลองคิดต่อตรงนี้ซิ เมื่อใครก็คิด อย่างนี้ๆๆ มีภาวะสักครั้งหนึ่ง ทุกครั้ง ทุกๆคนแหละ ว่าฉันจะต้องถูก แล้วฉันจะต้องถอนตัว แล้วเหลือ ไหมล่ะ เห็นไหมว่า มันเจริญไม่ได้ เพราะอัตตามานะ

อาตมาก็จะขอยกตัวอย่าง มีสมณะไปร่วมประชุม พอสุดท้ายแล้วตัดสินตกลงเอาอย่างนี้นะ ใครเห็นด้วย ยกมือขึ้น มีการยกมือ เอ้าตกลงเห็นด้วย แล้วคนหนึ่งก็บอกว่า ผมยกมือ ให้ท่านนะ แต่ท่านไม่ได้ใจผมหรอก แล้วถามว่า มีอัตตาไหมนั่นนะ แล้วมันจะสำเร็จอะไร ยอมทำงานด้วย แต่ไม่ถอดตัวตน มันก็ไม่เต็ม พูดอย่างนี้ ก็เห็นชัดๆอยู่แล้ว มันอัตตาตัวนั้น ยังอยู่โต้งๆ ต้องถอดตัวตนออกทันที หยุดเลย เลิกเลย ไม่มีอะไร ต้านเลย ต่อให้เราถูกต้อง นี่คือ วิถีโลกุตระ

อาตมาพูดซ้ำพูดซาก ฟังตรงนี้อีกที เมื่อหมู่สงฆ์เห็นเช่นนี้จะเอาอย่างนี้แล้ว ทั้งๆที่อาตมา ใช้ญาณปัญญา ตัวเองนี่แหละ ว่าเอ้ออันนี้เราถูกนะ มันดีกว่านะ แต่หมู่จะเอาอย่างนี้ เยภุยยสิกา หมู่ส่วนรวมส่วนใหญ่ ตัดสินจะเอาอย่างนี้ อาตมาก็ต้องถอดตัวถอดตน ต้องยอม แล้วก็ไม่มีอะไรต้าน มีอะไรก็สนับสนุนเต็มๆ ทำเต็มที่ ต้องหมดความไม่เห็นด้วย ไม่มีเหลือ ความเห็นของเรา ต้องเห็นด้วยอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ คำว่า ไม่เห็นด้วย คำว่าอันนี้ดีกว่า ตัด ไม่มี อันนี้ถูก อันนั้นที่เขาทำกันอยู่นั้นผิด ไม่ใช่ ต้องอันนั้นแหละคือถูก นั่นคือ สมมุติสัจจะ แต่ถ้า เราบอก เรายังถูก อันนั้นผิด แล้วเราก็ไม่ยอม นั่นคือ ความล้มเหลวของ ปรมัตถสัจจะ เราไม่ได้ปรมัตถสัจจะ สัจจะที่จะปฏิบัติตนลดละ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ล้มเหลว เป็นไปไม่ได้ เรื่องสมมุติสัจจะนั้นมันผิด มันถูก มันสมมุติกันไปตลอดกาลนาน ผิดก็ตาม ถูกก็ตาม ทุกอย่าง มันเกิดจาก เหตุปัจจัย องค์ประกอบ ทั้งกาละ โอกาส เวลา บุคคล จิตวิญญาณคน ฐานของบุคคล เราจะอยู่กัน อย่างเป็นเอกภาพ และเป็นสุข อย่าหลงยึด สังขารทั้งหลายเข้า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เอาเป็นเอาตาย เป็นอันขาด ต้องเอาประโยชน์ตน ที่เป็นปรมัตถสัจจะ ให้ชัด อย่าเผลอทีเดียว งานก็ดี บุคคลก็ดี ผิด-ถูกก็ดี เป็นโจทย์ ให้แก่การปฏิบัติธรรม"

รายละเอียดที่มากไปกว่านี้ติดตามได้จากฝ่ายเผยแพร่



สุขภาพฟันจากอดีตถึงปัจจุบัน
๑๘ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่คลินิกทันตกรรมสันติอโศก อาจารย์ ทันตแพทย์หาญณรงค์ พิทยะ ได้มาทำการตรวจ สุขภาพฟัน ของพ่อท่านประจำปี โดยมี ทันตแพทย์สุรชัย พานิชย์วิสัย และ ทันตแพทย์หญิงฟ้ารัก ทิพยธรรม ร่วมทำการ ดูแลรักษาด้วย จากบันทึกรายงานผล ที่หมอฟ้ารัก ได้เขียนส่งมาให้ดังนี้

รายงานผลการรักษาสุขภาพฟันประจำปี ๒๕๔๘ ของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ มีดังนี้ เมื่อปีที่แล้ว ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ พ่อท่านได้รับการตรวจรักษาสุขภาพฟันเช่นเคย โดยที่ปรึกษาคือ อาจารย์ ท.พ. หาญณรงค์ พิทยะ (นามสกุลพระราชทาน) และดิฉัน ท.ญ. ฟ้ารัก ทิพยธรรม ได้เป็นผู้ช่วยดูแล รักษาฟัน พ่อท่าน ร่วมกับ ท่านอาจารย์ด้วยเสมอมา ตั้งแต่ต้น ครั้งที่ดิฉัน ยังเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ ชั้นปีที่ ๕ ที่คณะ ทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

ครั้งนั้น ท่านอาจารย์หาญณรงค์ (ลำใย) พิทยะ เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งในคณะทันตฯ จุฬาฯ ที่ให้ความเมตตา ช่วยดูแลรักษาฟันพ่อท่าน ขณะนั้นประมาณปี ๒๕๑๙ ฟันกรามล่างขวา # ๓๖ เป็นโรค ปริทันต์ มีถุงหนองลึก และมีการทำลายกระดูกมาก จนต้องทำการผ่าตัด ขจัดเอา สาเหตุของโรค ได้แก่ หินปูน และแผ่นคราบ จุลินทรีย์ และถุงหนองที่ติดเชื้อ รอบรากฟัน ซี่นี้ออกให้หมด แล้วทำการ ปลูกกระดูก ขึ้นให้เต็ม โอบอุ้มรากฟัน ไว้ให้แข็งแรง ใช้งานได้ต่อไป ฟันซี่นั้นยังแข็งแรง ใช้งานได้ดี จนถึงบัดนี้ เกือบ ๓๐ ปีแล้ว (ถ้า ๒๕๔๙ ก็ครบ พอดี) เป็นความภาคภูมิใจและยินดีปลาบปลื้มใจ ของท่าน อาจารย์ และเหล่า พวกเรา ทีมงาน ที่ดูแลฟัน ให้พ่อท่านมา ทั้ง ท.พ.ทุกคนที่เข้ามาช่วยงาน ในคลินิก ทันตกรรม สันติอโศก และผู้ช่วย ทันตแพทย์ ที่ได้ เข้ามาหมุนเวียน แบ่งเวลา กันมาทำงานพิเศษ สำคัญ ในแต่ละครั้ง เป็นอย่างยิ่ง

ในขณะที่กาลเวลาผ่านมา ซี่อื่นๆที่ดูเหมือนจะดีกว่ากลับต้องได้รับการบูรณะ ด้วยการทำ Crown คือ ครอบฟันไว้ ด้วยเหตุผลความจำเป็นทางการแพทย์ ซึ่งจะไม่ขอบอกรายละเอียด ให้มากเกินไป ในที่นี้ เพียงแต่แจ้งว่า ขณะนี้พ่อท่านได้รับการดูแลปกป้องสุขภาพปาก และฟันอย่างดีเยี่ยมมาตลอด โดยได้รับ การครอบฟันเป็น Gold crown (ทอง % มาตรฐาน ที่สุด + ผสมโลหะมีค่าอย่างอื่น ตามมาตรฐานสากล โดยผู้ทำมีความประณีต และงาน แต่ละชิ้น พิถีพิถันมาก) โดยมี ท.พ. อีกท่านหนึ่ง ได้มาเป็นผู้ครอบฟัน เตรียมงานครอบฟันนั้น ๒ ซี่แล้ว (คือ ซี่ # ๒๖ กับ # ๔๖ คือ กรามบนซ้าย ซี่ที่ ๑, กับ กรามล่างขวา ซี่ที่ ๑ ) คือ ท.พ. สุรชัย พานิชย์วิสัย ได้ทำ Gold crown # ๒๖ ถวายและครอบถาวร แล้วเสร็จสมบูรณ์ใน ๑๓ ก.ค. ๒๕๔๓ ส่วนอีกซี่หนึ่งคือ # ๔๖ ทำ Gold crown แล้วเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ ๓๑ ก.ค. ๒๕๔๖ ในปี ต่อมา ๒๕๔๗ พ่อท่านก็ยังใช้งานบดเคี้ยวอาหาร ได้ดีทุกอย่าง ไม่มีอาการ ผิดปกติ ใดๆเลย ท.พ.ทุกคน ล้วนยินดี ชื่นชม ซึ่งไม่ใช่เพราะฝีมือของ ท.พ.เท่านั้น แต่เป็นเพราะ พ่อท่าน มีศีลาจารวัตรที่เคร่งครัด ตามพระพุทธดำรัส ในเรื่องการฉัน เอกามังสวิรัติ สม่ำเสมอ ตลอดมา และงดเว้นน้ำตาล อาหารปรุงแต่ง อาหารขยะ และอาหาร รสจัดต่างๆ มาอย่างเป็นปกติ ไม่ฉันจุบจิบ ไม่ฉันแม้น้ำเปรี้ยวน้ำหวานนอกมื้อ หลังฉันแล้ว ก็แปรงฟันทันที หรือไม่ก็ไม่นานนัก ใช้อุปกรณ์ ช่วยทำความสะอาดฟันตามที่ ท.พ. แนะนำ สม่ำเสมอ ท่านอาจารย์ หาญณรงค์ จึงปลาบปลื้มใจ และ ยกให้พ่อท่าน เป็นผู้ป่วยโรคฟัน และเหงือก ที่มีสุขภาพดีมาก แต่ก็ได้ สั่งเอาไว้ หลังจากดูแล ขูดหินปูน รักษาเหงือก ทั้งปาก พร้อมขัดฟัน ให้ดีแล้วว่า ซี่ # ๑๖ มีการสึก ของฟันมาก และเกิดจุดสีดำขึ้นทางด้าน mesial (ติดกับซี่ # ๑๕) เกรงว่าจะลุกลาม แล้วอาจจะมีอาการ เช่นเดียวกับฟันซี่ตรงข้าม (# ๒๖ ที่เคยเป็น และได้ทำ Gold crown ไปแล้วดังกล่าว) ท่านอาจารย์ให้ดิฉัน พิจารณาช่วยวินิจฉัย และวางแผน การรักษา ฟันซี่นี้ โดยจะต้องติดตามดูแล ซักถาม หรือคอยเงี่ยโสต สดับรับฟัง คำบอกกล่าว หรือบ่นออกมา อย่างใด ที่พ่อท่าน จะมีอาการ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ให้เริ่ม ลงมือรักษา ป้องกันไว้ได้เลย ตั้งแต่ ๓๐ มิ.ย. ๒๕๔๗

จนกระทั่งมาถึงปีนี้ ๒๕๔๘ พ่อท่านมิได้มีอาการใดๆปรากฏ เวลาผ่านมา ๙ เดือนแล้ว จนกระทั่ง ๑๘ มี.ค. ๒๕๔๘ ดิฉันได้เรียนเชิญท่านอาจารย์มาดูแลรักษาสุขภาพ ต่อเนื่อง เช่นเคย โดยที่ในครั้งนี้เป็นการรักษา ชนิดป้องกัน เนื่องจากเป็นการพิจารณาวินิจฉัย ทำนายโรค จากการพิเคราะห์ดู เทียบเคียงประวัติ ที่เคยเป็น มาแล้ว จากฟันซี่ตรงข้าม และซี่อื่นๆ ที่เคยเป็นมา คล้ายๆกันตามลำดับ (#๒๖) ซึ่งสุดท้าย ก็จบด้วย Gold crown โดย ท.พ.สุรชัย

ดังนั้นในครั้งนี้ ดิฉันจึงได้เชิญ ท.พ.สุรชัย มาด้วยพร้อมกันรวมเป็น ๓ หมอ ช่วยกันพิจารณา ตรวจพิเคราะห์ และ ร่วมกันวินิจฉัยตัดสิน ว่าควรจะให้การรักษาอย่างใด วิธีใด จึงจะถูกต้อง เป็นประโยชน์ ต่อผู้ป่วยสูงสุด และ ประหยัดที่สุด

สรุปได้ว่า ท่านอาจารย์และดิฉันช่วยกันทำ F.M. prophylaxis (ขูดหินปูนขัดฟันทั้งปาก) ถวายพ่อท่าน เช่นเคย และ ท.พ.สุรชัยกับดิฉันช่วยกันอุดฟัน # ๑๖ OM. ด้วยการใช้ Light cured composite resin อุดโดยใช้วัสดุแข็งตัวโดยการฉายแสง เป็นการอุดแบบป้องกัน ไว้ก่อน ทั้งๆที่เกรงว่าจะเกิดอาการเสียวฟัน เหมือน # ๒๖ ที่เคยเป็นมากมาก่อนแล้ว สุดท้าย ก็ต้องทำ crown แต่ # ๑๖ OM. ที่ทำไปนี้ หลังจาก อุดไปแล้ว พ่อท่านไม่มีอาการใดๆเลย ใช้เคี้ยวได้เป็นปกติ (ในครั้งแรกคิดว่า ควรทำ Gold crown ไปเลย ความเห็น ๒ ใน ๓ ) งานนี้ ท.พ.สุรชัย ให้ความเห็นว่า งานทุกชิ้น ที่ท่านจะทำให้ผู้ป่วย หมอมีความรู้สึก เหมือนกับว่า กำลังรักษาฟันให้คุณพ่อคุณแม่ หรือญาติ ฟันซี่ # ๑๖ ของพ่อท่านก็เช่นเดียวกัน หมอรู้สึก เหมือนว่า รักษาฟันให้คุณพ่อของคุณหมอเอง การจะพิจารณา ทำ Crown นั้นจะเป็น ทางเลือก สุดท้าย เมื่อวิธีอื่นใดไม่ได้ผลดีต่อการรักษาฟันซี่นั้นๆแล้ว ที่สุดทุกคนก็ปลื้มใจ ที่หมอสุรชัย ทำได้ดีมาก ฟ้ารัก ก็ช่วยงานอย่างตั้งใจไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ ในกระบวน การรักษา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ พ่อท่าน ก็ไม่มีอาการใดๆ ใช้งานได้ตามปกติ เช่นเดิม

ในปีนี้พบว่าฟันหน้า # ๒๒ ของพ่อท่านมีแผ่นคราบจุลินทรีย์เกาะอยู่ แสดงว่าการแปรงฟัน โดยใช้แปรง สีฟันไฟฟ้า หรือใช้แบตเตอร์รี่ให้เกิดพลังงานหมุนไปเอง โดยไม่ต้องใช้มือนั้น มีผลด้อยกว่า การใช้แปรง สีฟัน ธรรมดา ด้วยมือของเราเอง (มือของพ่อท่านที่แปรงเอง ผู้อื่นบอกไม่ได้ คือสรุปเป็นสากลทั่วไปไม่ได้ อันนี้ เปรียบเฉพาะ ตัวพ่อท่านเท่านั้น) ซึ่งถ้ามี คราบจุลินทรีย์ เกาะนานๆไป จะเกิดเหงือกอักเสบ เป็นโรคเหงือก และโรคปริทันต์ ทำลาย กระดูก -ฟันโยก -หลุด ต้องถอนทิ้งในที่สุด ท่านอาจารย์เห็นด้วยว่า พ่อท่านควรใช้ ข้อมือ หมุนแปรง และถูไปมาด้วยกำลังของมือพ่อท่านเองจะดีกว่า และคราบจุลินทรีย์ ทุกแห่ง ในปาก ได้ถูกขจัดขัดเกลี้ยงเกลาไปแล้ว ในวันที่ ๑๘ มี.ค. ๒๕๔๘ และพ่อท่าน ก็ได้รับการ อุดฟัน # ๑๖ ๐M. ด้วย Light cured composite resin ไปเรียบร้อยแล้วด้วย หลังจากนั้น จนถึงบัดนี้ ๒๗ เม.ย. ๒๕๔๘ พ่อท่าน ก็ไม่ได้บ่นบ่งบอกถึงอาการปวดเสียวใดๆเลย มีก็เพียง ในงานปลุกเสกฯ ที่ศีรษะอโศก ที่มีการกัดลิ้น อยู่หลายตำแหน่ง แต่ก็ได้ติดตามอากา รและให้คำแนะนำ ไปบ้างแล้ว ในครั้งนั้น ท.ญ.ศิริมา เปี่ยมสมบูรณ์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งในทีมงาน ที่ได้ให้ ความอนุเคราะห์ เสมอมา ช่วยดูแลแนะนำพ่อท่านในครั้งนั้น ทั้งยังเสียสละ เวลา มาช่วยดูแลรักษาสุขภาพฟันที่คลินิกทันตกรรมสันติอโศก กับญาติธรรม คนวัด และ เด็กนักเรียน สัมมาสิกขาด้วย จนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อ ๒ วันก่อนก็ได้ถามอาการพ่อท่าน เรื่องกัดลิ้น พ่อท่านบอกว่า ขณะนี้ ไม่มีแล้ว ทุกอย่าง เข้าสู่สภาพปกติดีแล้ว ดิฉันและทุกคน ก็รู้สึกสบายใจ แต่ก็พร้อม จะให้การรักษา เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ท.ญ.ฟ้ารัก ทิพยธรรม



ประชุมสถาบันบุญนิยม
๑๙ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่ห้องประชุมอาคารฟ้าอภัยใหม่ มีประชุมกรรมการสถาบันบุญนิยม ประเด็นที่พูดกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดงานวิสาขบูชา ที่ท่านนายกฯดำริจะให้ยิ่งใหญ่ ถึงขั้นเป็นวันวิสาขบูชาของโลก โดยจะเชิญ กลุ่มองค์กรศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆ มาร่วมในการจัดงาน พ่อท่านได้พูดถึงความดำรินี้ว่า "การจัดงานวิสาขะ คราวนี้เป็นการ ร่วมไม้ ร่วมมือกัน อาจจะถือว่าเป็นวันศาสนาสากล เป็นวันแห่งคุณธรรม เราก็ไม่เกี่ยง จะเป็นคุณธรรม ที่ศาสนาอื่นๆจะพยายามให้มีคุณธรรมขึ้นมาของเขา ในกรอบของเขา มันก็เป็น คุณงามความดีเป็นกัลยาณธรรม สถาบันบุญนิยมก็เป็นองค์กรหนึ่ง ที่เข้าไป ร่วมกับเขา อาตมาจะเหน็ดเหนื่อย อย่างไร ก็ต้องจำยอม"

มีผู้เสนอว่าอยากจะให้จัดงานวิสาขะ ไปตามสถานที่ต่างๆในต่างจังหวัด แทนที่จะมา กระจุกตัว อยู่จุดเดียว ที่พุทธมณฑล โดยมีกิจกรรมของการปฏิบัติบูชา ให้เกิดผลต่อสังคม วงกว้างไปถึงคนรากหญ้า ซึ่งเป็นคน ส่วนใหญ่ ของประเทศ แทนที่จะจัดแต่ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะมีผลต่อเฉพาะคนกรุง ที่จะเปลี่ยนแปลงตน ค่อนข้างยาก

พ่อท่านตอบในประเด็นนี้ว่า "ตั้งข้อสังเกตมาแต่ไหนแต่ไร เราไม่จัดงานวิสาขะ ทำไมอโศกนี่ ไม่จัดงาน วิสาขบูชา สักที ถ้าใครสังเกตได้จะรู้สึกมาตลอดเวลาเลย และอาตมาก็ไม่มี คำตอบสักทีหรอก เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นอาตมาถึงได้ว่าเอาเถอะ ถึงอย่างไรๆ เราไม่ต้อง ไปอะไรมากมายหรอก ให้มันบีบๆๆๆ ให้มา พร้อมขึ้นมาว่า วันวิสาขบูชา ถ้าจะพูดไปแล้วแบบ magic แบบลิเกนิดหน่อยนะ ไม่ใช่เราไม่ได้จัด วิสาขบูชานะ เราก็จัดที่สวนลุมฯคราวนั้นแล้ว นั่นแหละจัดวิสาขบูชาที่อาตมาพาจัดแหละ แต่วิสาขบูชา ในอโศกเรานี่ พวกเราก็ว่า ทำไม ไม่จัด คนนั้นก็จะเอาวิสาขบูชา สีมาฯก็จะเอาวิสาขบูชาไปไว้ของเขานะ อาตมาก็ห้ามไว้ อย่าๆๆ อย่าเพิ่ง แล้วก็ไม่ทำอะไร วิสาขบูชาอาตมาก็พยายามให้ปล่อยให้วางดูซิ มันจะเป็น อย่างไร ไม่รู้สิ.... วิสาขบูชามันเหมือนกับว่า อาตมาสงวนไว้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ก็คิดว่า คงจะต้องเกิด แล้วกระมัง แต่มันจะเกิดอย่างไร อาตมาว่าอย่าเพิ่งเป็นตัวเราเลย แต่ก็ต้องทำ ถ้าเขา จะถามว่า เราจัดอะไร อาตมาก็ให้แต่เวียนธรรมเฮ้อะ แสดงธรรมแล้วก็จบ ไม่มีอะไรมาก ใครจะมาก็มา ไม่ประกาศ ถ้าจะประกาศ อาตมาต้องห้ามเลย ถ้าใครสังเกตว่า แต่ไหน แต่ไรมา ใครจะจัดงานวิสาขะ อาตมาก็....อย่า อย่าจัด อาตมาส่งเสริมให้ไปดู ไปช่วยงานวิสาขะที่คนอื่นเขาจัดด้วย ใครจะไปไหนก็ไป ไปเลยๆ มันก็แปลก สำหรับ ชาวอโศก ที่มันต้องเป็นอย่างนี้ เราไม่ต้อง แต่ให้ไปงานวิสาขะที่อื่นกัน สันติอโศกนี่ เราเคย ไล่ให้ไปดู ที่สนามหลวง ไปเลยไป ที่นี่ไม่ต้องเป็นห่วง วิสาขบูชานี่....ถ้าใครสังเกตได้ มันเป็น เช่นนั้น มายังไงไม่รู้ แต่ทีนี้มาถึงวันนี้แล้ว ก็ดูเอา"



ร่วมค้านน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์
๒๐ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก ช่วงบ่ายคณะที่ได้ไปร่วมสัมมนาค้านบริษัทน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ที่รัฐสภา เช้านี้ ได้กลับมารายงานให้พ่อท่านทราบ ว่าบรรยากาศดี เป็นการรวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ของกลุ่ม ที่มีแนวคิดที่ต้องการให้สังคมลดอบายมุข มี พล.ต.จำลอง ถือว่าเป็นหัวหอก ของการคัดค้านนี้ พลังคน ที่ออกมาร่วมกันคัดค้านขนาดนี้ รวมถึงสื่อต่างๆด้วย งานนี้ น่าจะค่อนไปข้างรัฐบาลสนับสนุน เนื่องจาก ถ้าไม่เห็นด้วย เขาก็คงไม่กล้าเอาเข้า ตลาด หลักทรัพย์แล้ว แต่นี่ผ่านมารัฐบาลนิ่งเฉยมาตลอด ผู้เป็นประธาน และกำกับ ตลาดหลักทรัพย์ก็คือ คนในคณะรัฐบาล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ผ่านรัฐบาลมานี่ ทางตลาด หลักทรัพย์ จะไม่กล้าเลย คือมันจะยุ่ง ถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้ มันจะเหมือนกับระเบิด จะตามเก็บกัน ลำบากแล้ว พออันนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ อันอื่นก็จะเข้าตาม ไม่ว่าจะอาบ อบ นวด รวมทั้งธุรกิจอบายมุข อื่นๆ ก็มีความชอบธรรม ที่จะเข้าด้วย สังคมก็จะวุ่นวาย คิดว่า ถ้าหยุดได้ตอนนี้ แม้หยุดได้ชั่วคราวก็ยังดี ให้เรามีเวลาตั้งหลัก แล้วคุยกับท่านนายกฯดีๆ มันก็ควรจะทำ ก็เลยชวน พล.ต.จำลองว่าวันที่ ๒๓ นี่ก็น่าจะไป แต่ท่านก็ไม่ไป ติดอยู่ เมืองกาญจน์ว่าอย่างนั้น เพราะว่าถ้าไป น้ำหนักมันจะเพิ่มขึ้นไปอีก ธรรมกายจะมาหมื่นหนึ่ง แล้วมา ชวนเราไป พันหนึ่งหรือสองพัน เราก็บอก ของเราไม่รับปากนะ



คณะวิจัยกองแพทย์ทางเลือก
๒๙ มี.ค. ๒๕๔๘ ที่สันติอโศก ดร.สาวิตรี เทียนชัย และคณะวิจัยจากกองแพทย์ทางเลือก ได้มากราบ นมัสการ และถวายหนังสือ รวบรวมองค์ความรู้ การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งกองแพทย์ทางเลือก ได้จัดทำขึ้น รวมถึงสนทนาถึงการจะมาเก็บข้อมูล เบื้องลึก จากชาวอโศก ที่ดื่มน้ำปัสสาวะเป็นประจำ



ตรวจสุขภาพตา
จากบันทึกรายงานที่คุณเพ็ญเพียรธรรมเขียนส่งให้ ๓๐ มี.ค. ๒๕๔๘ ได้กราบพ่อท่านนิมนต์ ให้มาตรวจ สุขภาพตา ที่คลินิกโฟเวีย โดยจักษุแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จอประสาทตา ของ ร.พ.รามาฯ ชื่อ พ.ญ.สุขุมา วรศักดิ์ ผู้ดูแลรักษาพ่อท่าน ที่คุณหมอพจน์ บุญศรี มอบความไว้วางใจ ให้ดูแลสุขภาพตา ของพ่อท่าน ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ทราบว่า จอประสาทตา ข้างขวาของพ่อท่านเริ่มเสื่อม จนกระทั่งปัจจุบัน หลังการรักษาแล้ว ก็ยังกราบนิมนต์พ่อท่าน มาตรวจ เพื่อเฝ้าระวังจอประสาทตาข้างซ้ายที่ยังดีอยู่ โดยขอให้ พ่อท่านมาตรวจทุก ๔-๖ เดือน ล่าสุดที่ผ่านมา พ.ญ.สุขุมา กราบเรียนพ่อท่านเชิงพ้อเล็กๆว่า พ่อท่าน มาตรวจ ครั้งนี้ ครบปีพอดี (ดูจากบันทึกการรักษาครั้งที่แล้ว)

สุขภาพตาโดยรวมของพ่อท่านไม่มีปัญหาใดๆ ต้อกระจกที่มีเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย ซึ่งยังไม่ถึง เวลา ที่ควรจะต้อง ทำอะไร ในขณะนี้

นอกจากนี้ได้มีการพูดคุยกัน ถึงภาวะความเสื่อมของตาข้างขวา บริเวณศูนย์กลาง จอประสาทตา (macular) ที่เป็นเพียง ๒๐ % ของลูกตา เสียไป เทียบกับอีก ๘๐ % ที่ยังอยู่ ในสภาพดีมาก มีผลทำให้การมองเห็น ของตาข้างขวา ทำได้แค่เพียงช่วยให้เห็นภาพสว่างขึ้น เท่านั้นเอง ไม่สามารถบอกรายละเอียดของภาพได้

ดังนั้น จึงต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้นกับตาข้างที่ยังดีอยู่ ซึ่งจากข้อมูลทาง สถิติ ที่มีผู้ศึกษาไว้ พบว่า ภาวะความเสื่อมของจอประสาทตา เนื่องจากวัยมักจะเกิดกับตา ทั้งสองข้าง จึงกราบ นิมนต์พ่อท่าน ใช้แผ่นตาราง ที่เป็นแบบทดสอบมาตรฐาน ใช้มองดูโดย ปิดตาทีละข้าง หากเห็น เส้นตาราง เบี้ยว หรือโค้งไปจาก ความเป็นจริง ที่เป็นตารางเส้นตรงๆ ตัดกัน หรือเกิดภาพดำ เป็นบริเวณกว้าง แสดงว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้น หรือขณะที่ลืมตา อาจมีแสงวาบ คล้ายฟ้าแลบเกิดขึ้น นี้เป็นสัญญาณ ฉุกเฉิน ที่ควรต้องมาพบ จักษุแพทย์ โดยด่วน

อีกทั้งได้มีการพูดกันถึงผลกระทบจากการอบตาด้วยความร้อนและสมุนไพร ที่พ่อท่าน ได้รับ การดูแลรักษา โดยสูตรหมอกระเหรี่ยง ตามที่ลงในข่าวอโศกรายปักษ์ คุณหมอ แสดงความเห็นว่า ไม่น่าจะมีผลดี ต่อการ รักษาจอประสาทตา แต่ในทางตรงข้าม ความร้อนจาก การอบ-รมตา จะทำให้หลอดเลือดตา ขยายมากขึ้น หรือสมุนไพร ที่ใช้จะมีฤทธิ์ เพิ่มความดันลูกตา หรือไม่ ซึ่งภาวะอย่างนี้ ไม่เป็นผลดีแน่ๆ

สุดท้ายคุณหมอได้ถวายยาวิตามินตัวใหม่ล่าสุด ที่จักษุแพทย์นิยมใช้ในผู้ป่วย ที่มีภาวะจอ ประสาทตา เสื่อมจากวัย โดยให้ฉันครั้งละ ๑ เม็ด หลังอาหารฉัน วันเว้นวัน ต่อเนื่องกัน อีกทั้ง นิมนต์พ่อท่าน มาตรวจ ในอีก ๖ เดือนข้างหน้า รวมถึงคุณหมอ ได้ถามถึง คุณหมอพจน์ บุญศรี เมื่อทราบว่าสุขภาพ ไม่ค่อย จะแข็งแรง จึงไม่ได้มาด้วย ก็มีคุณหมอแสนดิน มาทำ หน้าที่แทน คุณหมอได้ฝาก ความระลึกถึง มายังคุณหมอพจน์ ให้หายจากภาวะ เจ็บป่วยโดยเร็ว

ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ จากบางส่วนของโอวาทปิดประชุมชุมชนสันติอโศก ๒๖ มี.ค. ๒๕๔๘ ดังนี้

"หมู่นี้รู้สึก แข็งแรงดี เช้าๆก็กำลังจะปรับตารางเวลาให้ดีๆ สองทุ่มก็จะไปนอนแล้ว ตื่นตีสี่-ตีสี่ครึ่ง ออกกำลังกาย แล้วก็จะไป บิณฑบาตเวลาตีห้าครึ่ง กลับจากบิณฑบาตก็อาบน้ำ อาบท่า แล้วก็ทำงาน ออกกำลังกาย มาเดือนกว่า วันละประมาณ ๕๕ นาทีทุกวัน วันไหน ที่ทำไม่ได้ก็ไม่ได้ทำ นอกจากนี้ยังมีผู้ไปทำราวให้โหน ในห้องทำงานด้วย

อาตมาเห็นโทษภัยของการไม่ออกกำลังกายแล้ว มันขายหน้ามาก ตอนที่เจ็บนั้น แค่ก้าว เท้าขึ้นก็ไม่ได้ ต้องถอยหลัง ขึ้นแทน แม้แต่จะก้าวขาลงจากที่สูงลงที่ต่ำก็ไม่ได้ ต้องมีคน ช่วยพยุงประคอง

ตอนนี้กล้ามเนื้อเริ่มฟิตแล้ว พวกเราก็ต้องรักษาสุขภาพ อาหารเราดี อารมณ์ของเราก็ดี อาตมาว่าอารมณ์นี้ มันฆ่าคน เยอะนะ อาตมาคิดว่าอาตมาไม่มีอารมณ์ ที่จะทำให้เกิด อะดรีนาลีนอะไร อารมณ์ของอาตมา หลั่งเอนโดฟิน อย่างเดียว คือมันไม่อึดอัด ไม่ได้เคือง ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เศร้า ไม่ได้หมอง แม้เขาด่า ก็ยังไม่หมอง พวกเรา ก็ต้องฝึก เพราะธรรมะ ทำให้พวกเรา ไม่มีอารมณ์ที่เป็นโทษ อารมณ์ของพวกเรา น่าจะเป็นคุณ

ต้องพยายามออกกำลังกาย ต้องมีอิทธิบาทในการออกกำลังกาย ต้องพากเพียร ให้พอเหมาะ พอดี มีฉันทะ วิริยะ ถ้าไม่มีฉันทะ มันก็เกิดการต้าน เกิดปฏิกิริยาในตัวเองนะ มันไม่ดี อาตมารู้สึกว่าไม่มีอะไรมาต้าน ไม่ขี้เกียจ มันกลายเป็นเรื่องประมาทที่จะเอาเวลามาทำงาน อาหารของพวกเราไม่มีปัญหา ตอนนี้ชุมชนเรา ทุกที่ออกกำลังกายกันดี ที่ปฐมอโศก ก็ฟิตกัน น่าดู ทำวัตรเสร็จก็ออกกำลังกายกัน บ้านราชฯก็พยายามทำ เรื่องอากาศ เอนกาย ต้องพยายาม เพียรและพักให้สมดุล เอาพิษออก แล้วแต่ว่าใครจะเอาพิษออก ด้วยวิธีใด ตอนนี้ อาตมาทำดีท็อกซ์เดือนละสองครั้ง แล้วก็ไม่กินวิตามิน อาหารเสริมอะไรก็ไม่กิน ของจริง แท้ๆ ร่างกาย ก็ดูดี พอเป็นพอไป

อาตมาภาคภูมิใจในธรรมะของพระพุทธเจ้า มันพิสูจน์ด้วยรูปธรรม อย่างพวกเรานี่แหละ อยู่ท่ามกลาง ลาภ ยศ สรรเสริญ และโลกียสุข เราก็เห็นว่าเขาแย่งกัน เขามี เขาได้กันต่างๆ นานา พวกเราเห็น แต่ก็ไม่ได้ ริษยา ไม่ได้อยากแข่งอะไรกับพวกเขา เขาก็มีกันไปตามโลก ของเขา แย่งกันไปตามนั้น แต่พวกเรา ก็มามักน้อย สันโดษ เลี้ยงง่ายกันอย่างนี้แหละ ตามคุณธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ เราได้จริงๆแล้วนี่ พวกเรา ก็ยืนอยู่ อย่างสง่าผ่าเผย ซึ่งเขาก็มองว่าพวกเราไม่สง่าผ่าเผย เป็นคนกระจอก เป็นคนมอซอ ก็แล้วแต่ เขาจะมอง อาตมาก็ว่ามองไม่เห็น เขาเข้าใจไม่ได้ มันไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เราเป็นคนเสียสละ สร้างสรร เพื่อคนอื่นๆ มันไม่ดีอย่างไร ยิ่งกิเลสในตัวเรา เราก็ละลดอย่างตั้งใจ และเป็นไปได้จริงๆ ถึงขั้น เราไม่ต้อง ไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นบุญเป็นคุณ ไม่ต้องคิด เป็นโน่น เป็นนี่ กิเลสเรา ก็ยิ่งไม่มี ตัวตนเราก็ไม่มี สบายใจ ไม่มีเวรภัย เพราะไม่ได้ยึดถือ จองไว้เป็นบุญ เป็นคุณสำหรับตน แต่บุญคุณผู้อื่น ที่มีต่อเรา ต้องตอบแทน ต้องทดแทน เป็นคุณงามความดี ของมนุษย์ ผู้ยังไม่ปรินิพพาน ทุกคน ทุกศาสนา ต้องวนเวียน ในวัฏสงสาร ดังนั้น ถ้ามัน ตัดขาดเวรภัย ไม่ต้องมีเวรภัย มันก็ยิ่งดี ไม่เกิดเหตุการณ์ ที่ไม่ดีขึ้นแน่ๆ ยิ่งตัด ได้มาก ล้างได้มากก็ยิ่งปลอดภัยมาก แม้แต่ในปรมัตถ์ แม้แต่ในจิต เวรภัย มันหมดวิบากกัน ยิ่งไม่ติดยึด เป็นของเรานี่แหละ เรายิ่งมีบุญหรือกุศล เสริมขึ้น ที่แท้จริง เพราะโดยสัจจ ะมันคือสัจจะ ความรู้สึก ด้วยกรรม กิริยาของมโนกรรมก็ตาม ยิ่งมีพฤติกรรม ทางกาย ทางวาจา มันยิ่งชัดอยู่แล้ว บูรณาการ กรรมของตนๆ เถิด

คุณธรรมอย่างที่อาตมาพาทำนี่ อาตมาไม่ร้อนใจ ใครจะบอกว่ามันช้า มันได้แต่กลุ่มเล็กๆ น้อยๆ โตไม่ได้ อาตมาไม่เคยกลัว มันอาจจะช้า แต่อีก ๕๐๐ ปีมาดูกัน เพราะมันเร็ว ไม่ได้หรอก มันไม่ง่าย แม้มันไม่เร็ว ก็จะไม่แปลกอะไร ขอให้มันจริง คนที่ได้แล้วจริง คุณก็มีบุญจริง มีความสบายจริง ประเสริฐจริง เป็นประโยชน์ ต่อโลก ต่อมนุษย์เขาจริง เราจะต้อง แคร์อะไร เสียใจอะไร น้อยใจอะไร อีกอันหนึ่ง อาตมา มั่นใจ อยู่เลยนะ ว่าพวกเรา จะเป็นคนอายุยืน ถ้าอาตมาพิสูจน์ตัวอาตมาได้จริง อายุถึงร้อยจริงๆนะ อาตมา จะมีภาษา จะมีโวหาร ประกาศยืนยันทฤษฎีนี้ว่า นี่คือทฤษฎีของพระพุทธเจ้า คุณไม่ต้องไปหายา อายุวัฒนะ ที่ชาวโลกคนไหนพยายามปรุงมาหลอกเราเลย คุณไม่ต้องไปหาอะไร ต่างๆนานา มาหลอก มาล่อหรอก ถ้าจริง....อาตมาอายุถึงร้อย ไม่ต้องประกาศ เพราะมันประกาศ ตัวมันเองอยู่แล้ว อาตมาว่า จะพยายามจริงๆ จะใช้อิทธิบาทดูว่าจะอายุยืนได้จริงไหม"

- รักข์ราม. -
๒๖ เม.ย. ๒๕๔๘

-- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๒ เมษายน ๒๕๔๘ -