กระผมเชื่อในกิจกรรมบุญนิยมของพ่อท่าน โดยเหตุผลที่ให้ทุกคนต่างตั้งอยู่ในความไม่ประมาท รู้จัก แบ่งปัน ผู้ที่ด้อยกว่าอย่างแท้จริง มิใช่มุ่งเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ซึ่งกระผมเชื่อว่า หากคนไทยเรา ส่วนใหญ่ สามารถเข้าใจในกิจกรรมบุญนิยมนี้แล้ว ประเทศไทยเรานี่แหละ จะเป็นแม่แบบ ให้แก่ประเทศ อื่นๆ ในการที่ จะดำเนิน นโยบายเศรษฐกิจที่พึ่งพาบุญนิยม มิใช่วัตถุนิยมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แล้วก็เป็น บ่อเกิดของ ปัญหาต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ ทุกวันนี้กระผมพยายามรักษาศีลข้อที่ ๑ ให้ถึงที่สุดและที่เหลืออีก ๔ ข้อ
ก็ถือปฏิบัติอยู่เป็นกิจวัตร อยู่แล้วครับ ต้องการลดกิเลสโดยเฉพาะความโกรธให้เหลือน้อยที่สุด - ศรัทธาในบุญนิยมแล้วลงมือทำจริงสิ ! เพราะหมู่มวลที่เป็นของจริงเท่านั้น ที่จะยืนยันถึงความเป็นได้จริง ของระบบบุญนิยมนี้ หากใครได้ยินได้ฟังก็มักจะเห็นด้วย ไม่โต้ต้านค้านเลย แต่ก็รู้สึกว่า....เป็นจริงได้ยาก เพราะต้อง แบ่งปัน-เกื้อกูล-ช่วยเหลือกัน ซึ่งไม่ง่ายเลย....เริ่มต้นทำจริงที่เราแต่ละคนตั้งแต่วันนี้ แม้ไม่ง่าย ก็คงไม่ยาก เกินไปกระมัง? - บ.ก.
- ผู้ตอบเองเห็นประโยชน์จากการสื่อประสบการณ์สู่กันฟัง ทำให้รู้แนวทางปฏิบัติและวิธีการเอาชนะกิเลส ของ ผู้ใฝ่ดี แต่ละท่านๆ ผู้ทำจริงย่อมได้ผลจริง เมื่อสื่อออกมาก็จะมีพลัง ช่วยจุดประกายชีวิตให้กับ อีกหลายๆชีวิต ทั้งนี้ ต้องยกความดีให้กับทุกๆท่าน ที่เขียนจดหมายมาเล่าประสบการณ์สู่ฟัง... ไม่ว่าจะสู้ แล้วแพ้ หรือสู้แล้วชนะ ล้วนแต่เป็น ประโยชน์ทั้งนั้น เพราะชีวิตจริงของเรามีทั้งแพ้และชนะ ตราบที่เรา ยังสู้อยู่ใช่ไหม? - บ.ก.
พบแล้ว!จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของชีวิต ศีลข้อ ๑ ข้าพเจ้าไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด แต่ยังรับประทานอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์อยู่ เพราะข้าพเจ้าป่วย และยังมี ความโกรธแบบหุนหันอยู่ ส่วนมากตามอารมณ์โกรธไม่ทัน ข้าพเจ้าจะพยายามให้ดีขึ้น ศีลข้อ ๒ ไม่ลักทรัพย์และคดโกงผู้อื่น รวมถึงไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น สามารถทำได้ค่อนข้างดี เช็คตนเอง หลายครั้ง แล้ว และจะพยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ศีลข้อ ๓ ไม่ประพฤติผิดในกาม ข้อนี้พฤติกรรมผ่าน แต่ความคิดยังมีแวบเข้ามาจะทำให้เราผิดศีล ข้าพเจ้า จะฝึกฝนให้ดีขึ้น ศีลข้อ ๔ ข้อนี้บางทีชอบพูดเล่นพูดหัว จะฝึกให้ดีขึ้น ศีลข้อ ๕ ไม่สูบบุหรี่-ดื่มเหล้า ไม่ดื่มน้ำชากาแฟ และสิ่งเสพติดขั้นหยาบทุกชนิด
จะฝึกต่อไป - ความตั้งใจจริงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสามารถเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้ และเราเองนี่แหละ ที่รู้จัก กิเลสของเราดีกว่าใครๆ ฉะนั้นแยกมิตรแท้กับเพื่อนแฝงเสพที่มีอยู่ในหัวใจเราให้ออก แล้วจะได้พบกับความจริง ของชีวิต...ทีนี้แหละ จะได้รู้กันว่าเรามีสัญชาติแห่งคนตรงแค่ไหน! - บ.ก.
ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพ่อท่านมาเกือบจะ ๓ ปีแล้ว รู้สึกได้เลยค่ะว่า ชีวิตสุขสบายขึ้น แม้จะไม่ได้ เคร่งครัด มากมายก็เห็นได้ถึงความแตกต่าง แต่ก่อนยังไม่รู้จักอโศก รับเงินเดือนทีไร คิดจนปวดหัวทุกทีว่า จะจัดสรร งบประมาณอันน้อยนิดอย่างไรให้ลงตัวกับความอยากที่มีมากมาย คิดๆๆจนฟุ้งซ่านเอาไปฝันก็เคยมี ด้วยความไม่รู้ เท่าทันกิเลส หลงในโลกธรรม ฉันต้องสวย-ต้องดูดี-มีรสนิยม(ประมาณว่ารสนิยมสูงรายได้ต่ำยังไงยังงั้นเลย) มีเงินและไม่รู้เท่าทันกิเลส ทุกข์ถนัดเลยค่ะ พอรู้จักชาวอโศกก็เข้าใจอะไรๆมากขึ้น อย่างไหนคือสาระ อย่างไร ไร้สาระ สามารถแยกแยะ ละลดมา ได้พอสมควร ตั้งแต่เลิกกินเนื้อสัตว์ ละเลิกอบายมุข ๖ (รวมทั้งเครื่องสำอาง ต่างๆด้วยค่ะ) ไม่ใช้จ่าย ฟุ่มเฟือย มีเงินเหลือแต่ไม่ใช่เหลือเก็บนะคะ เหลือพอที่จะสะพัดแจกจ่ายออกไป มากกว่า แต่ก่อน พอปฏิบัติธรรมแล้ว ดิฉันรู้สึกว่า ตัวเองจะคิดถึงตัวเองน้อยลง(ภาระน้อยไม่กังวล) ทำให้คิดถึงคนอื่น มากขึ้น และอีกอย่างคือพ่อท่านย้ำอยู่เสมอๆว่าการกอบโกยหอบหวงทำให้เราเป็นหนี้-เป็นบาป ดิฉันเกรงกลัว "หนี้" มากค่ะ ทำให้ลดการบำรุงบำเรอตัวเองลงมาก พยายามเสียสละสะพัดออกไป ให้มากที่สุด และดีที่สุด เพราะอย่างนี้ ดิฉันได้ข้อสรุปว่า ทำงานมีเงินและรู้เท่าทันกิเลส ทุกข์บ้างเพราะ กังวลว่าจะเป็นหนี้ ส่วนทำงานฟรี-ไม่มีเงิน -ไม่เป็นหนี้-มีแต่สุข ตั้งใจไว้ว่าถ้าฝึกฝนปฏิบัติ จนมั่นใจ ตัวเองแล้ว จะลาออกจากงาน แล้วจะไปอยู่กับ หมู่กลุ่มค่ะ (มั่นใจในคำสอนพ่อท่านนะคะ ว่าท่าน พามาถูกทางแล้ว แต่ไม่มั่นใจตัวเองว่า จะเคร่งครัด ปฏิบัติ เอาจริงเอาจัง จนได้มรรคผลมากน้อยเพียงใด) วันวิสาขบูชาที่ผ่านมาได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า จะปฏิบัติตามคำสอนของพ่อท่านให้ดีที่สุด
ไม่ให้ตัวเอง ตกต่ำ ไปตามกระแส อันเชี่ยวกรากของโลกีย์ แม้จะอยู่ห่างไกลพ่อ
ก็ขอให้ใกล้ด้วยการปฏิบัติ ตามคำสอน ของพ่อท่าน - อยู่ไกลพ่อและอยู่ในท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของโลกีย์...ควรต้องขวนขวายพึ่งตนนอกจากตั้งสัจจะ อธิษฐาน เชื่อฟังและทำตามพ่อท่านสอนให้ดีที่สุด แล้วอย่าลืมส่งข่าวถึงพี่ๆน้องๆกันบ้างนะ - บ.ก.
อย่าเข้าใจผิด ! นี่ท้องคนนะ - กินอิ่มมากเกินไปแล้วทำอะไรไม่ไหวจริงๆนะ รู้ทุกข์-เห็นทุกข์แล้วอย่าท้อ เมื่อเป็นจริงก็ต้องยอมรับ ความจริง จะได้แก้ไข ปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่เดิมไงล่ะ? - บ.ก.
เราทำได้แค่...อดทน เหลือบไปเห็นหนังสือดอกหญ้าแล้วหยิบมาอ่าน ก็ได้ใช้เวลาอ่านและทบทวนความคิดของตัวเอง จึงได้รู้ว่า เราไม่ควรท้อ เราต้องพยายามต่อไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ และสารอโศก (ฉบับซับขวัญชาวใต้) ทำให้ ข้าพเจ้า มีกำลังใจสู้ต่อ อย่างน้อยมีคนที่เขาลำบากกว่าเรามาก พวกเขาน่าสงสารยิ่งกว่าเรา ไม่มีแม้แต่ บ้าน... ตอนนี้ก็เลย ใช้จ่ายอย่างประหยัดค่ะ ทำอาหารกินเอง ห่อข้าวไปโรงเรียน ไม่ซื้อขนมไร้ประโยชน์ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และ ที่สำคัญ คือเดี๋ยวนี้กินข้าว-กับต้องกินให้หมดเลยค่ะ ไม่อยากทิ้งต้องกินให้หมด สงสารคนที่เขาอดมื้อ กินมื้อ ช่วงนี้ กำลังรณรงค์เรื่องถุงพลาสติกค่ะ พยายามให้เพื่อนๆใช้ปิ่นโต แทนโฟม และถุงพลาสติกอยู่ค่ะ พยายาม ชักแม่น้ำ ทั้งห้า เรื่องประหยัดและสิ่งแวดล้อมนะคะ เพื่อนหลายคน ล้มเลิกการกินมังสวิรัติ บอกตรงๆว่า เสียใจค่ะ แต่จะบังคับ ด่าว่าเขาก็ไม่ได้ ทำได้แค่เสนอแนะ ชี้แนะ แนวทาง และพูดถึงสิ่งดีๆของการไม่กินเนื้อ แต่มักจะถูกว่า ถูกล้ออยู่ทุกๆครั้งเลย เพราะว่าพูดอยู่คนเดียว ปาวๆ หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีใครเชื่อไม่มีใครฟัง น่าสงสาร พวกเขาจังค่ะที่เขาทำไม่สำเร็จ พวกเขา น่าจะอดทน กว่านี้อีกหน่อย เพื่อสิ่งที่ดีกว่า ข้าพเจ้าเอง ก็มีหลายครั้ง เหมือนกันค่ะ ที่อยากกินเนื้อ แต่ก็คิดถึง ความมุ่งมั่นและตั้งใจ ต้องชนะใจตัวเองให้ได้ ก็เลยรอดพ้นจากกิเลสนั้น ไปอย่างหวุดหวิด ทุกวันนี้ก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันค่ะ เหนื่อยกับสังคมที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
สังคมที่ต้องเสแสร้ง หลอกลวง แข่งขัน กัน และการทำสงครามกับตัวเอง คงต้องมีสักวันที่เราผ่านพ้นมันได้
ไม่ว่าจะยังไง ข้าพเจ้าก็ยัง จะคงยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่ตัวเอง เชื่อต่อไป
ไม่หวั่นและพัฒนาความเข้มแข็งของจิตใจ ให้โตและสามารถ รับปัญหาเรื่องราวใหญ่โตได้
โดยที่เราไม่ต้องทุกข์มาก - อดได้กับสิ่งที่เราถูกใจ ทนได้กับสิ่งที่เราไม่ถูกใจ ทุกบทฝึกทั้งสองเรื่องนี้จะทำให้เราแข็งแรงขึ้น ความเคยชิน เดิมๆ ที่ใฝ่หาแต่"ความสบายใจและคนที่รักเราจริง" ควรจะมีอิทธิพลกับชีวิตของเรา ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะในที่สุดแล้ว ...เราต้องพึ่งตนเอง โชคดีแล้วที่มีโอกาสฝึกตน ตั้งใจทำให้ดี อย่าใจร้อน อย่าลืมว่า "เพราะเรามั่นคง ผู้อื่นจึงมั่นใจ" - บ.ก.
อยู่ในโลกส่วนตัว ถูกกิเลสครอบงำง่ายกว่า ผมมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ให้ฟังด้วยครับ เมื่อวันที่ ๒๘ เม.ย.'๔๘ ผมทำงานตอนเช้าที่ร้านอาหาร พอตก ตอนสายก็มีโทรศัพท์มาหาผม น้าผมโทรมาบอกว่าแม่ผมเข้าโรงพยาบาล ผมทำงานอยู่จังหวัดตาก แม่ผม เข้าโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ผมก็ไม่ได้ตกใจมาก เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่ก็มีบ้างที่เป็นห่วงแม่ พอเสร็จจาก หน้าที่ก็บอกกับคนในร้านรวมถึงแม่บุญธรรม ก็ขอลากลับบ้านเพื่อไปหาแม่ จากนั้นเก็บ เสื้อผ้าเสร็จ ก็เดินทาง โดยรถมอเตอร์ไซค์ของตน ขับจากตากไปยังโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ระยะทาง ประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร ผมขับ ตามรถเก๋งคันหนึ่ง ซึ่งกำลังจะถึงทางเข้าตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ พอขับ ตามไป ก็ลดความเร็วลง พอสักพักรถเก๋ง คันดังกล่าว เปิดไฟเลี้ยวแล้วหยุดทันทีโดยที่ไม่เลี้ยว ผมขับ ตามหลัง เบรคไม่ทัน จึงหักเข้าซ้ายเพราะมีช่องอยู่ เพราะเขาไม่เลี้ยว เกือบชนท้ายรถ หากไม่หักเข้าซ้าย จะออกทางขวาก็ไม่ได้ เพราะมีรถสวนมา พอผมหลบเข้าซ้าย แฮนด์รถมอเตอร์ไซค์ผม ก็ชนกระแทก ใส่กระจกหูช้าง ของรถเก๋งหัก และรถของผมก็ล้มลง ไถลไปกับฟุตบาท ทำให้รถเสีย และเท้าเจ็บ มือกับหัวเข่า เจ็บนิดหน่อย ผมค่อยพยุงรถขึ้น เขาขับรถไปจอดข้างทาง ลงมาต่อว่าแ ละด่าผม ผมก็อธิบายว่า คุณจอดรถกะทันหันเปิดไฟเลี้ยวแต่ไม่เลี้ยว ผมก็โดนว่าขับรถไว และอีกต่างๆนานา ผมก็ได้แต่นิ่งฟัง ไม่โต้เถียงแต่ประการใด คนที่เห็นเหตุการณ์เขาเข้ามาพยุงผมตอนรถล้ม
และก็ปลอบว่า ไม่เป็นไร นะ ช่างเขาเถอะ นี่คงเป็นวิบากกรรมอีกอย่างหนึ่ง
แต่ผมก็ไม่ได้โกรธเขาเลย ต่อจากนั้นต่างคน ต่างแยกย้าย ผมก็ขับรถต่อเพื่อจะไปหาแม่ที่โรงพยาบาล
เพราะใจผมอยู่ที่แม่ว่าจะเป็นอะไรบ้าง ผมได้ ข้อคิด หลายอย่าง กับเหตุการณ์ครั้งนี้
แม่ผมปลอดภัยดีขึ้น และผมก็ไม่เป็นอะไรมาก เราได้รู้จักการให้อภัย ไม่โกรธ
และก็รู้ถึง วิบากกรรมของตนเอง คิดอยู่เสมอถ้าเกิดว่าเราไม่ได้ทำกรรมดีเพิ่มขึ้นทุกๆวัน
เราคง เจ็บหนัก หรืออาจ ตายไปเลย ก็ได้ ฉะนั้นจงอย่าประมาท จงมีสติและอย่าตำหนิคนอื่นก่อนตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูแลกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมของเราให้ดี ระมัดระวังอย่าให้ศีลขาด อย่าเผลอ ไปสะสมความเคยชิน ที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง-ขุ่นมัวเพิ่มเติมจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ก็จะทำให้เป้าหมาย การปฏิบัติธรรม ชัดเจนขึ้น - บ.ก. - สารอโศก อันดับ ๒๘๓ พฤษภาคม ๒๕๔๘ - |