แค่หน้าตาหรือเนื้อตัว ยังไม่เพียงพอ....ต้องลงไปให้ลึกถึงยีน

ไฟธรรม ว.ชัยภัค


สันติอโศกเป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเงียบหายจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปนาน เรื่องก็คือว่านายกรัฐมนตรี มีดำริจะจัดงานวันวิสาขบูชา ให้เป็นงานระดับโลก ให้มีหลายองค์กรร่วมงาน หนึ่งในนั้นคือคณะสันติอโศก ซึ่งเมื่อเป็นข่าวคราวขึ้นมา ก็มีปัญหาต่างๆตามมา เมื่อท่านโพธิรักษ์แห่งสันติอโศกเห็นว่า มันจะเกิด ความวุ่นวาย สับสน ในวันมงคลเช่นนั้น สันติอโศกก็ขอถอนตัวออกไป

ขอเสริมในที่นี้ว่าเราไม่ได้ต้องการจะจัดงานแข่งขันชิงดีชิงเด่นอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อนายกรัฐมนตรี มอบหมาย ให้พลตรีจำลอง ศรีเมือง ในนามศูนย์คุณธรรม ร่วมกับสำนักพุทธศาสนาเป็นผู้ประสานการจัดงาน เห็นว่างาน ควรจะเป็นสากล มีองค์กรพุทธศาสนา ทั้งเถรวาทและมหายาน ทั้งในและต่างประเทศ มาร่วมงาน เราจึงเข้าร่วมด้วย

ความเห็นบนฐานของความรู้นั้น รู้ลึกแค่ไหน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
เมื่อถอนตัวออกมาแล้ว เรื่องน่าจะจบลงไป แต่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์หรือท่านประยุทธ์ ปยุตโต ได้นำเรื่องการจัดงาน และโยงมาถึงสันติอโศก นำมาเขียนบทความชื่อ ”จัดงานวิสาขบูชา อย่าอยู่แค่หน้าตา ต้องไปให้ถึงเนื้อตัว” เผยแพร่ทางสื่อมวลชน หลังจากนั้น ข้าพเจ้ามองว่า ท่านเอาเรื่องการจัดงาน วันวิสาขบูชา มาเป็นใบเบิกทางเท่านั้น เพราะฉะนั้น เรื่องหน้าตาหรือเนื้อตัว ของการจัดงานวันวิสาขบูชา ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ประเด็นหลักจริงๆในบทความของท่านคือเรื่องกรณีสันติอโศก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ที่จะนำกลับมาพูดกัน แต่จะต้องพูดกันให้ชัดและต้องให้ลึกด้วย ก็ขอบพระคุณท่านที่นำประเด็น มาพูดคุยกัน ทำให้เรามีโอกาส ขอใช้สิทธิ์ที่ถูกพาดพิงชี้แจง กรณีสันติอโศก เป็นประเด็นที่มี ความลึกซึ้ง ซับซ้อน เกินกว่าที่จะมองแค่ตรรกะง่ายๆพื้นๆ แต่ต้องมองลึกลงไปถึง ระดับยีนหรือต้นตอของมันเลยทีเดียว

สามัคคี เสรีภาพ พัฒนา ใยโยงมาสู่ลัทธิร้าย
ท่านประยุทธ์ ปยุตโตได้ยกตัวอย่างของกลุ่มต่างๆมากมาย มีกลุ่มที่จะกลืนพระพุทธศาสนา กลุ่มนักบวช ที่มีเมียได้ กระทั่งได้ยก ลัทธิต่างๆที่เป็นภัยต่อสังคมอย่างร้ายแรง เช่น โอม-ชินริเกียว ซึ่งบอกว่า นิยมความสงบ นั่งสมาธิ ทำจิตภาวนา แต่ตอนหลัง ปล่อยแก๊สพิษฆ่าคนตายเป็นจำนวนมาก, ลัทธิจิม โจนส์ ที่ฆ่าเจ้าหน้าของรัฐ พร้อมนักข่าว และต่อมาก็ล้างสมองสาวก ให้ฆ่าตัวตายหมู่เกือบพันศพ, ลัทธิดาวิเดียนที่เผาตัวเองตาย ๗๔ คน ซ้ำลูกน้องยังไประเบิดตึก ครั้งใหญ่ ในโอกลาโฮมา มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งเด็กๆ ตายเป็นจำนวนมาก, ลัทธิประตูสวรรค์ที่ฆ่าตัวตายหมู่ ๓๙ ศพ เพื่อจะไปสู่สวรรค์ กับดาวหาง ฯลฯ

ท่านกำลังเขียนประเด็นสันติอโศกอยู่ แล้วท่านยกตัวอย่างกลุ่มลัทธิต่างๆที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง ต่อสังคม และประเทศชาติ ขึ้นมา ๓ หน้ากระดาษ เพื่อประสงค์สิ่งใด?

เอาละ ก็ผ่านไป ท่านจะประสงค์สิ่งใดก็อยู่ในใจของท่านเอง

ประเด็นอื่นๆที่เห็นตรงกันก็จะไม่นำมากล่าว จะขอกล่าวถึงประเด็นที่เห็นแย้งกันเท่านั้น ซึ่งประเด็นที่สำคัญ และ ข้าพเจ้ามองว่า เป็นเหตุให้ท่านเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็คือ หัวข้อ ๒-๓ หัวข้อที่ท่านเขียนไว้คือ

“มองสันติอโศกในแง่เป็นความรู้” “ความรู้ที่ทำให้รู้ทัน” "ลาออกจากมหาเถรสมาคม - ลาออกจาก รัฐบาลไทย"

เหล่านี้เป็นประเด็นที่ข้าพเจ้าต้องตามมากล่าวแก้เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ก็จะขอแสดงความเห็น โดยใช้ พระไตรปิฎก เป็นหลักฐานอ้างอิงดังนี้

กรณีสันติอโศกอย่ามองแค่เป็นความรู้ ต้องมองในแง่ที่
เป็นความเป็นจริง ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร

ท่านประยุทธ์ เขียนอธิบายให้เห็นว่าต้องรู้ทันลักษณะวิธีของท่านโพธิรักษ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การลาออกจาก มหาเถรสมาคม เรื่องการ ทำให้สับสน ระหว่างธรรมกับวินัย หรือเรื่องการอวดอุตตริมนุสสธรรม ซึ่งท่าน ยกตัวอย่างเทียบเคียงมากมาย

ข้าพเจ้าจะขอแยกแยะทีละประเด็น

๑.ประเด็นเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก จะกล่าวพอสังเขป โดยมีข้อพิจารณา ดังนี้

๑.๑ อุตตริมนุสสธรรมประเภทอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ได้แก่การแสดงฤทธิ์ต่างๆ เช่น การเหาะ, หายตัว, ดักใจทายใจ ฯลฯ พระวินัยห้ามแสดง ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น ส่วนอุตตริมนุสสธรรม ประเภทอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ได้แก่การแสดงมรรค-ผล, ฌาณ, สมาธิ เป็นต้น พระวินัยให้แสดงได้ ในบางกรณี โดยกำหนดว่า กรณีไหนแสดงได้ กรณีไหนแสดงไม่ได้ แสดงแบบไหน ต้องอาบัติหนัก แบบไหน ต้องอาบัติเบา อย่างไหนแสดงไม่อาบัติ ถ้าแสดงไม่ได้เลย พระวินัยก็ไม่ต้องแยก อิทธิปาฏิหาริย์ -อาเทสนาปาฏิหาริย์ กับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ให้ยุ่งยาก รวมเป็นปาฏิหาริย์ ๓ ไปเลย

๑.๒ ความเข้าใจเรื่องอุตตริมนุสสธรรม พุทธกระแสหลักจะเห็นตรงกันว่า การอวดอุตตริมนุสสธรรม ทุกประเภท เป็นเรื่อง ไม่พึงกระทำ หรือจะกล่าวว่า ทำไม่ได้เลยก็ไม่ผิด ดังที่ท่านประยุทธ์ เขียนไว้ ในหนังสือ พุทธธรรม ฉบับขยายความหน้า ๔๔๒ ว่า “.....เป็นธรรมดา ของพระอริยะทั้งหลายเอง ที่ว่าท่านไม่อวด หรือ พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า ผู้ที่อวดว่าตนเป็นพระอริยะ ก็คืออวดว่า ไม่ได้เป็นพระอริยะ นั่นเอง...” กระแสหลัก จะเห็นเป็นแบบนี้ เกือบทั้งหมด ซึ่งเข้าใจเช่นนี้มาช้านานแล้ว

ในขณะที่ท่านโพธิรักษ์เห็นว่าอุตตริมนุสสธรรมประเภทอนุสาสนีปาฏิหาริย์นี้แหละ สามารถแสดงหรือ บอกให้ผู้อื่น ทราบได้ เพราะหลักของ พระพุทธศาสนาอันหนึ่งคือ การน้อมนำธรรมะมาปฏิบัติ ให้มี ให้เกิดขึ้น ในตน (โอปนยิโก สันทิฏฐิโก) และเชื้อเชิญ ให้มาพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก) เพื่อเป็นข้อยืนยันว่า มรรค-ผล นิพพานอันเป็นปฏิเวธธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ขึ้นกับกาล (อกาลิโก) ปฏิบัติถูกตรงเมื่อใด ก็ได้ผล เมื่อนั้น

๑.๓ มีหลักฐานหลายที่ในพระไตรปิฎก มีแม้กระทั่งว่า ถ้าไม่บอกให้ผู้อื่นรู้เป็นทิฏฐิที่ผิดด้วยซ้ำ ในโลหิจจสูตร พระไตรปิฎก เล่ม ๙ ข้อ ๓๕๘ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้ใดกล่าวว่าสมณะหรือพราหมณ์ ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น ฯลฯ ผู้ใดกล่าวอย่างนั้น ชื่อว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ มีคติสู่นรก หรือ กำเนิดเดรัจฉาน” นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานอ้างอิงอีกมาก ที่พระพุทธองค์ ให้ภิกษุ บันลือ สีหนาท แสดงแก่ผู้อื่นได้ (ม.มู.๑๒/๑๕๔),(ม.ม.๑๓/๒๒๐),(ม.อุ.๑๔/๓๘๔),(ขุ.เถร.๒๖/๓๘๕) ฯลฯ

(เรื่องอุตตริมนุสสธรรมนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนไว้อย่างละเอียดในหัวข้อ “อุตริมนุสธรรม แสดงไม่ได้จริงหรือ” ในหนังสือ "เพียงแผกแตกต่าง" หน้า ๘๐ – ๘๘ อีกที่ในหน้า ๔๕ - ๖๑ และอีกหลายที่ ในประเด็นที่ เกี่ยวเนื่องกัน ทั้งเรื่องอุปสัมบัน -อนุปสัมบัน สพรหมจารี อรหันต์-โพธิสัตว์ ทั้งหมดที่อยู่ในพระสูตร และ พระวินัย ในพระไตรปิฎก คาดว่ายังมีที่ร้านหนังสือ หรือห้องสมุดที่สันติอโศก)

ประเด็นเหล่านี้ เมื่อท่านเห็นต่างจากเรา ท่านก็โจทเรา โจทหนักเบาแค่ไหน กระบวนการโจท ถูกหลักการ ตามพระธรรมวินัยหรือไม่ จะกล่าวถึงต่อไป

๒. ประเด็นเรื่องการลาออกจากเถรสมาคม และประเด็น
การนำกฎหมายมาใช้ในคดีสันติอโศก

เรื่องการลาออก จากเถรสมาคม ก็เป็นความเห็นที่ต่างกันอีกเหมือนกัน เราเห็นว่าลาออกได้ ท่านเห็นว่า ลาออกไม่ได้ เมื่อมีความเห็น ที่ต่างกัน แล้วใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน จะไม่ใช้พระธรรมวินัยได้ไหม ก็คงไม่ได้ ประเด็น การนำกฎหมายมาใช้ ในคดีสันติอโศก ก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องใช้ธรรมวินัยเป็นหลักสูงสุด แต่มันมี ความซับซ้อน ตรงที่มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ มาบัญญัติซ้อน พระธรรมวินัยอีกที ซึ่งจริงๆแล้ว พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ ต้องมีไว้เพื่อรองรับพระธรรมวินัยให้ชัดเจนศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น มิใช่มีไว้เพื่อค้านแย้ง พระธรรมวินัย หรือทำเกินพระธรรมวินัย ในกฎมหาเถรสมาคม(ฉบับที่ ๑.ข้อ ๑๘) ให้ถือพระธรรมวินัย เป็นใหญ่ ให้ตีความตามพระธรรมวินัย โดยเคร่งครัด ประเด็นการนำกฎหมายมาใช้ จึงละเอียดอ่อน ซับซ้อน ลึกซึ้งมาก

ดังนั้น เราจะมองแค่ตรรกะพื้นๆหรือการยกตัวอย่างง่ายๆเช่นการปลอมปริญญาบัตร ใส่ครุย หรือ ฆราวาส มาใส่ชุดพระ แล้วเข้าร่วมพิธีบวช หรือเอาเรื่องลัทธิร้ายแรงมาใส่เข้าไปนั้น ไม่ได้ ต้องมองลึกลงไปถึง ต้นตอ ของคดีนี้

เมื่อพิเคราะห์คดีนี้ก็จะพบว่า คำสั่งให้สึกพระโพธิรักษ์นั้น เป็นคำสั่งที่สึกโดย ถูกโจทอาบัติปาจิตตีย์ ซึ่งเป็น อาบัติเบา ให้สละสมณเพศใน ๗ วัน ตามมาตรา ๒๗ ของพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ ท่านโพธิรักษ์ ไม่ได้ถูกโจท อาบัติปาราชิก เพราะถ้าถูกโจทปาราชิก จะต้องสละ สมณเพศใน ๒๔ ชั่วโมง ตามมาตรา ๒๖ เนื่องจาก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ แยกอาบัติหนักเบา ออกจากกันชัดเจน เป็นคนละมาตรากัน

และในคำฟ้องต่อศาลก็ไม่ระบุที่ใดเลยว่าท่านโพธิรักษ์ต้องอาบัติปาราชิก เพียงระบุว่า ประพฤติล่วงละเมิด พระธรรมวินัย เป็นอาจิณ แล้วสั่งให้สึก ตามอำนาจพิเศษ ตามกฎหมาย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๕๐๕

อีกประการที่สำคัญคือ ในการพิจารณาความผิดของพระโพธิรักษ์ โดยมหาเถรสมาคมนั้น ไม่ได้ผ่าน กระบวนการ อธิกรณสมถะ ตามพระธรรมวินัย (พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ มาตรา ๒๖) นั่นคือ ไม่เคยเรียก ผู้ถูกกล่าวหา มาชี้แจงกล่าวแก้เลย แม้แต่ครั้งเดียว พิจารณาความข้างเดียว แล้วใช้อำนาจพิเศษ สั่งประหารชีวิตทางธรรม พระภิกษุรูปหนึ่ง

เรื่องการรู้ทัน รู้ทันใคร?
ข้าพเจ้าเชื่อว่าปัญญาชนผู้ที่อ่านข้อเขียนของท่านประยุทธ์จำนวนไม่น้อย ที่เห็นคล้อยตาม ท่านประยุทธ์ ในข้อเขียน ของท่าน ก็เป็นความรู้ ความรู้ที่ทำให้รู้ทัน ก็ดี ไม่มีปัญหา

แต่ท่านจะทราบความจริงหรือไม่ว่า

๑. ท่านประยุทธ์ได้เขียนบทความเกี่ยวกับสันติอโศกหลายชิ้นหลายเล่ม บางเล่มเปรียบสันติอโศก เป็นผู้ จะมาทำลาย พุทธศาสนา ในประเทศไทย เสมือนหนอนกัดกินใบโพธิ์ เพราะฉะนั้น ผู้อ่านควรต้องใช้ วิจารณญาณ พิจารณาให้ดีว่า ความเห็นหรือข้อเขียน ของท่าน เป็นความเห็น ของนักวิชาการ ผู้เป็นกลาง หรือไม่

๒. ท่านโพธิรักษ์ไม่เคยถูกโจทอาบัติปาราชิกจากคณะสงฆ์ ไม่ว่าหมู่ใด ที่ใด เวลาใด ตราบจน ปัจจุบัน

๓. ในการพิจารณาคดีของท่านโพธิรักษ์ ไม่ได้ผ่านกระบวนการอธิกรณสมถะตามพระธรรมวินัย ไม่เคย พิจารณาคดี ต่อหน้าผู้ถูกโจท แต่ใช้การตีความ แล้วใช้อำนาจพิเศษ ตามกฎหมาย โดยมหาเถรสมาคม ในขณะนั้น (Majority Rule) สั่งให้พระโพธิรักษ์สึก ทั้งๆที่ ผู้ถูกคำสั่งให้สึก ไม่เคยถูกโจทอาบัติปาราชิก ยิ่งกว่านั้น ยังไม่เคยได้รับโอกาสใดๆ ในการเข้าไปใช้สิทธิ์ แก้ต่างให้ตนเอง (Minority Right) ได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว

อำนาจพิเศษดังกล่าวที่ไม่ปรากฏในพระธรรมวินัย คำสั่งสึกผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ที่ไม่ปรากฏใน พระธรรมวินัย การพิจารณาคดี โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการ อธิกรณสมถะ ตามพระธรรมวินัย ไม่ให้ผู้ถูกโจท เข้าไปชี้แจง แก้ต่างใดๆเลยนั้น

อำนาจเช่นนั้นเป็นธรรมหรือไม่? เป็นอำนาจที่ขัดต่อธรรมวินัยหรือไม่? วิปริตจากธรรมวินัย และทำ ธรรมวินัย ให้วิปริตหรือไม่? และขัดต่อ หลักกฎหมายทางโลก ของนานาอารยประเทศหรือไม่?

อนึ่ง ท่านประยุทธ์ได้ชี้แจงไว้ในหนังสือ"เพื่อความเข้าใจปัญหาพระโพธิรักษ์"ว่า "ได้สอบสวนต่อหน้า ท่านโพธิรักษ์แล้ว" ก็งงกันว่า สอบสวนตอนไหน ปรากฏว่าท่านว่า เคยสอบสวนแล้ว ก่อนเกิดเหตุการณ์ กรณีสันติอโศก ไม่นานหรอก ราวสิบกว่าปีมาแล้ว! ก็ไม่รู้ว่า สอบในเหตุการณ์อะไร ใครเป็นผู้สอบ บันทึก ผลการสอบไว้ว่าอย่างไร? ฯลฯ

ในเล่มเดียวกันนั้นอ้างอีกว่า "พระโพธิรักษ์ประกาศลาออกจากการปกครองของมหาเถรสมาคม เท่ากับ ไม่ยอมรับ อำนาจการปกครอง ของมหาเถรสมาคม ซึ่งก็มีความหมายรวมถึง ไม่ยอมรับการเรียกตัว ไปสอบสวน พิจารณาความด้วย จึงต้องตัดสินความไปข้างเดียว..." (ซึ่งเหตุผลแบบตรรกะ เช่นนี้ รวมถึง การยกตัวอย่าง เปรียบเทียบต่างๆ นานา ท่านมักจะใช้อยู่เสมอๆ ด้วยความเชี่ยวชาญ เป็นพิเศษ)

แล้วก็ยังอ้างอีกว่า การพิจารณาลงโทษแบบนี้ เคยมีตัวอย่างตอนสงฆ์ประกาศลงโทษ พระเทวทัต

ก็ขอเรียนถามท่านประยุทธ์ว่า ที่ว่าไม่ยอมรับการเรียกตัวไปสอบสวนพิจารณาความนั้น มีการเรียกตัว ไปสอบสวน เมื่อไหร่? โดยใคร? เลขหนังสือ ที่เท่าไหร่ทับเท่าไหร่? ส่งทางไหน???

ที่อ้างอีกว่าการพิจารณาลงโทษแบบนี้ เคยมีตัวอย่างตอนสงฆ์ประกาศลงโทษพระเทวทัต ตกลงแล้ว พระเทวทัต ต้องสึกภายในกี่วัน???

ก็ไม่ทราบว่าท่านจะยังจำได้หรือไม่ เพราะหนังสือ"เพื่อความเข้าใจปัญหาพระโพธิรักษ์" พอพิมพ์ครั้งใหม่ เรื่องที่ว่าได้สอบสวน ต่อหน้าท่านโพธิรักษ์แล้ว เรื่องว่าไม่ยอมรับ การเรียกตัวไปสอบสวน พิจารณาความ จึงต้อง ตัดสินความไปข้างเดียว หรือเรื่องพระเทวทัต ทั้งหมดนี้ ถูกตัดทิ้งไปดื้อๆ ในการพิมพ์ครั้งใหม่

มันเป็นเรื่องตลกที่เราผู้เป็นฝ่ายถูกกระทำขำไม่ออกจริงๆ กับบทความทางวิชาการแบบนี้

......นี่แหละที่ว่าแค่หน้าตาหรือเนื้อตัว ยังไม่เพียงพอ....ต้องลงไปให้ลึกถึงยีน

ที่กล่าวมานี้ยังไม่พูดถึงประเด็นเรื่องสพรหมจารี อรหันต์-โพธิสัตว์ ที่มีการเอาหลักฐานจากพระไตรปิฎก มาเปิดเผย พิสูจน์กัน อย่างเข้มข้น ณ เวลานั้น ซึ่งอาจต้องนำมากล่าวถึงกันอีก ในโอกาสต่อไป

ข่าวคราวเรื่องราวข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น ใครชี้นำมหาเถรสมาคมในขณะนั้น ในการดำเนินการใช้ อำนาจพิเศษ ต่อกลุ่มน้อย ด้อยอำนาจ ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ใครเขียนอะไรไว้อย่างไรแค่ไหน แม้มาแก้ โดยตัดทิ้ง ทีหลัง ของเดิมก็ยังมีอยู่ หลักฐานการอ้างอิง ทางวิชาการ ในประเด็นต่างๆ ที่บันทึกเผยแพร่กัน ก็ยังมีอยู่ มันไม่หายไปจากโลก แห่งความเป็นจริงไปได้ เวลาเพียง ๑๖ ปี นับจากการเกิด เหตุการณ์ เมื่อปี ๒๕๓๒ มันอาจจะนานพอ ที่ทำให้บางคน ลืมไปแล้วว่า ลิขิตสิ่งใดไว้ แต่มันไม่นานเลย สำหรับ ชั่วชีวิต ของคนหนึ่งคน มันได้ถูกจารึกไว้แล้ว

กราบขออภัย โดยเจตนาสัตย์จริงข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะให้กระทบกระเทือนผู้ใดเลย เราถูกกล่าวหาว่า ไปจาบจ้วง พระผู้ใหญ่ ก็กราบแทบเท้า ขออภัยท่านประยุทธ์จริงๆ ที่เขียนก็เพราะจำเป็นจริงๆ จำเป็น ต้องกล่าวแก้ เพราะท่านได้รับการยอมรับ ว่าเป็นปราชญ์สูงสุด แห่งพุทธสายเถรวาท ข้อเขียนของท่าน แทบจะถือ เป็นหลักฐานอ้างอิง ในที่ต่างๆได้ มีผู้เห็นคล้อยตาม ท่านมากมาย ก็จะเกิดความเข้าใจผิด กันไปใหญ่ เห็นเราเป็นลัทธิร้ายหรือเจตนาร้าย บรรทัดฐานการดำเนินอธิกรณ์ ตามพระธรรมวินัย ก็จะวิปริต ผิดเพี้ยนไปหมด ข้อเขียนของข้าพเจ้า จะเกิดผลกระทบอย่างมากที่สุด ก็เพียงการเสียหน้า หรือเสียเครดิต ทางวิชาการ ไปบ้างเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเทียบได้เลย กับผลกระทบจากการชี้นำของท่าน ที่เกิดขึ้นแล้ว คือ การได้สั่ง ประหารชีวิตทางธรรม โดยไม่เป็นธรรม ต่อภิกษุรูปหนึ่ง

ข้าพเจ้าขอจารึกไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งว่า..... ประวัติศาสตร์ของสังคมพุทธในเมืองไทย จักต้องจารึก คดี ตัวอย่างนี้ ไว้ชั่วลูกหลานเหลน จักต้องจารึก ถึงความไม่เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นจากอำนาจพิเศษ อย่างถูก กฎหมาย แต่ผิดพระธรรมวินัย อำนาจ"บาตรใหญ่" ที่ร่วมกันกระทำ อย่างถึงที่สุด ต่อผู้ไร้อำนาจ ซึ่งมีความเห็น แตกต่างออกไป แต่อยู่ร่วมกันบนผืนแผ่นดินไทย อันเป็นแผ่นดินพุทธ...ผืนนี้

๕ มิ.ย. ๒๕๔๘