กรรมตามสนอง
ตอน ตอบแทนคุณท่าน

เมื่อข้าพเจ้าอายุราว ๓ ขวบ อยู่บ้านหลังเล็กๆ มี ๓ ชีวิต คือ พ่อ แม่ และข้าพเจ้า

เช้าวันหนึ่งพ่อพูดกับแม่ว่า "แม่(หมายถึงแม่ของข้าพเจ้า) เรามีเงินเหลืออยู่เท่าไร"

"มีแค่ ๕ บาท"

"เราน่าจะซื้อผ้าห่มนอนให้พ่อสักผืน(หมายถึงพ่อตา) เห็นผ้าห่มของพ่อแล้วน่าสงสาร ปะทับกัน หนามากเลย จะซักก็ไม่ได้ เพราะเย็บทับกันหลายชั้น"

"เอ้า ไปซื้อให้พ่อห่มซิ" พลางก็ส่งธนบัตรใบละ ๕ บาทให้

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๗๗ ปีมาแล้ว พ่อชวนข้าพเจ้าลงเรือมาดลำเล็กไปร้านค้า ซื้อผ้า ห่มนอนผืนหนึ่ง ราคา สองบาทห้าสิบสตางค์

ข้าพเจ้าเป็นคนอุ้มผ้าห่มมา พ่อพายเรือจนถึงบ้านของพ่อแก่(ตา) แล้วให้ข้าพเจ้าเอาขึ้นไป บนบ้านส่งให้ พ่อเฒ่าก็รับแล้วถามว่า "เอามาให้ใคร"

ข้าพเจ้าบอกว่า "พ่อผมซื้อมาให้พ่อแก่"

ท่านดีอกดีใจมาก นี่คือครั้งแรกที่เห็นพ่อแม่ของข้าพเจ้ามีความกตัญญูต่อพ่อแก่ ข้าพเจ้า จดจำไว้ในใจเสมอ จนบัดนี้

ต่อมาทุกวันพระที่แม่ทำกับข้าว และขนมเสร็จ ก่อนจะไปวัดแม่จะลงเรือลำเล็ก เอากับข้าว ขนม ที่ทำด้วยมือเอง นำไปส่งให้พ่อแก่ทุกวันพระ ซึ่งสมัยก่อนถ้าจะได้กินขนมสักครั้ง ต้องรอถึงวันพระ เพราะความยากจนนั่นเอง อย่างนี้แม่ทำประจำ ทำให้ข้าพเจ้าจดจำไว้

จนข้าพเจ้าอายุย่างเข้า ๘ ขวบ แม่ป่วยหนัก พ่อบอกให้ไปขอยามาจากวัดหนึ่ง ซึ่งไกล จากบ้าน ประมาณ ๔ กิโลเมตร ข้าพเจ้าไม่เคยไปเลย แต่จำใจต้องเดินไปเพราะรักแม่ และพ่อบอกว่าให้ถามหาหลวงพ่อโรย พอเข้าไปในวัด ก็ตามหาหลวงพ่อโรย มีเด็กวัด ช่วยแนะนำทางให้ ข้าพเจ้าจึงไปกราบท่าน แล้วบอกว่า "แม่เจ็บในท้องมาก พ่อใช้ให้ มาหาหลวงพ่อ"

ท่านนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง แล้วถามว่า "มึงลูกใคร"

"พ่อผมชื่อตำ"

ท่านจึงพยักหน้า แล้วเรียกสามเณรรูปหนึ่ง บอกชื่อยาให้สามเณรจัดให้ ครู่เดียวก็เสร็จ แต่ยังขาดเถา มะระ ท่านบอกว่า "มึงไปขอที่บ้านนายนวน นางริ่น"

ข้าพเจ้าต้องเดินไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร จึงได้ยามาครบ ต้มให้แม่กิน

วันนั้นเลยไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ก็ช่วยให้แม่หายป่วยได

ครั้นต่อมาข้าพเจ้าอายุประมาณ ๑๘ ปี ก็เข้าไปนอนในวัดบ่อยๆ เขาพูดกันว่า "ต้องบวช โปรดพ่อแม่"

แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จึงมานั่งคิดว่า "ถ้าไม่บวช จะโปรดพ่อแม่ได้หรือไม่ คำว่าโปรด ต้องช่วยพ่อแม่ ให้พ้นทุกข์สิ"

มาคิดได้อีกว่า "๑. ต้องช่วยงานบ้านทุกอย่าง ๒. พ่อแม่เจ็บไข้ต้องรักษาให้ดีที่สุด ๓. หาเงิน นอกบ้าน มาเลี้ยง ครอบครัว ๔. เมื่อมีครอบครัวแล้วต้องไม่ทิ้งพ่อแม่ ๕. มีอาหาร ผลไม้ แปลกๆ จะต้องหาซื้อ ให้พ่อแม่กิน ๖. ถ้ามีเมียแล้ว ถ้าเมียไม่รักพ่อแม่ ต้องทิ้งเมีย ๗. จะไม่ทำให้ พ่อแม่เป็นทุกข์ ในทางที่ผิด ศีลธรรม"

ในที่สุดข้าพเจ้าก็ทำได้ เมียที่ได้นั้นเขามีแรงกตัญญูสูงมาก จึงหมดปัญหาเรื่องนี้ เมื่อมีลูก ก็สอนลูกให้รัก บรรพบุรุษให้มาก

ข้าพเจ้ามีลูก ๖ คน แต่อยู่ในครอบครัวของพ่อตา แม่ยาย ฐานะกินอยู่ลำบากมาก ลูก ๔ คนแรก ไม่ได้เรียน หนังสือ เพราะยากจน ๒ คนปลายแถวได้เรียนเล็กน้อย แต่ย้ำสอนลูกเรื่องแรงกตัญญูเป็นหลัก ต้องส่งลูก ให้ไปทำงาน ช่างทำทองรูปพรรณ ช่างฝังเพชร ช่างเสื้อนอก

พอลูกแวะมาบ้าน ให้กินข้าวเสร็จก็บอกลูกว่า "จงไปเยี่ยมปู่ย่า เอาของที่ฝากพ่อแม่ ไปให้ท่านนะ และ เงินบ้าง ตามมีตามได้"

เรื่องนี้ทำประจำทุกครั้งที่ลูกกลับบ้าน อยู่ที่บ้านพ่อตา แม่ยาย ก็เลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี จนกระทั่ง ท่านตาย จากไปหมด ไม่เคยมีปากเสียงกันเลย พ่อตาและแม่ยายรักข้าพเจ้ามาก

อยู่ต่อมาข้าพเจ้าอายุ ๖๕ ปี ลูกชายคนที่สอง ได้ไปปลูกบ้านให้หลังหนึ่ง กว้าง ๖ เมตรยาว ๑๑ เมตรครึ่ง สองชั้น กั้นมุ้งลวดทั้งชั้นล่าง ชั้นบนมีโซฟา ๒ ชุด เครื่องใช้ครบครัน แล้วลูกสะใภ้ ได้เขียนจดหมายไปว่า "บ้านหลังนี้ ลูกปลูกให้พ่อแม่ ให้พ่อแม่มารับโอน กรรมสิทธิ์ได้แล้ว" แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อ

พอถึงปีใหม่ข้าพเจ้ามากรุงเทพ ลูกสะใภ้เรียกเข้าไปในห้อง เขาบอกว่า "บ้านหลังนี้ ลูกยกให้พ่อ"

ข้าพเจ้างงอึ้งไปหมด ข้าพเจ้าถามว่า "สิ้นเงินเท่าไร"

ลูกชายตอบว่า "๑ ล้านกว่าๆ ค่าแรงนั้น ๑ แสน ๒ หมื่น" ลูกชายปลูกไว้คู่กับบ้านของพวกเขา ระหว่างบ้าน ทำบ่อเก็บน้ำฝน จุประมาณ ๒๐ ลูกบาศก์เมตร

ตั้งแต่นั้นมา ลูกทุกคนส่งเงินไปให้ใช้จ่ายไม่ขาดเลย จนเหลือใช้จ่าย ได้ทำบุญให้ทาน แม้ใครตกทุกข์ ได้ยาก ก็ช่วยเหลือตามฐานะที่จะช่วยได้ มีความสุขกายสบายใจตลอด แล้วลูกๆทุกคนก็รักใคร่กันดี ช่วยเหลือ เจือจานกันดี

พอถึงธันวาคมปี พ.ศ.๒๕๔๖ ลูกที่อยู่กรุงเทพ ๓ คน เอารถไปรับมาอยู่ที่กรุงเทพ พออายุมาก ก็ต้องเข้า โรงพยาบาลบ่อย เพราะผู้เขียนเองอายุ ๗๙ ปีแล้ว แม่บ้านอายุ ๗๖ ปี ถึงเวลา จะต้องซ่อมแซม กันเรื่อยๆ แล้ว แต่ลูกที่อยู่กรุงเทพ ๓ คน ที่ชลบุรี ๑ คน ช่วยดูแลเป็นอย่างดี เงินทองสมบูรณ์ กินอยู่หลับนอนสบาย

ข้าพเจ้าเองลดละเลิกอบายมุขตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ เริ่มกินมังสวิรัติตั้งแต่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ จนถึงบัดนี้

บ้านที่ลูกสร้างให้ และความกตัญญูของพวกเขา นี้คือ "ผลกรรมดี" ซึ่งคนสมัยนี้ ไม่ค่อยสนใจ ต่อพ่อแม่ เพราะ พ่อแม่ไม่ทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่างที่ดี และเหินห่างต่อศีลธรรม

ส่วนอุดมคติของข้าพเจ้านั้น จะพยายามปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด แม้อยู่ในคราบของฆราวาส

- นายเจิม ศรีสุวรรณ -

- สารอโศก อันดับ ๒๘๓ พฤษภาคม ๒๕๔๘ -