ดิฉันเองเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ หนังสือเล่มใดถ้าไม่ชอบ หรือไม่สนใจจริงๆ
ยากที่จะซื้อ มาอ่าน หนังสือเรื่อง "ดื่มปัสสาวะรักษาโรค"
ของนายแพทย์ เรียวอิจิ นากาโอะ ซึ่งแปลโดย
นพ.นพรัตน์ วโนทยาพิทักษ์ ดิฉันซื้อมาอ่านแล้วประทับใจ
และเก็บไว้อย่างดี แต่ตอนนี้มีผู้ขอยืมไปหลายปีแล้ว ก็ยังไม่คืน ฉบับนี้จึงได้นำการสัมภาษณ์นายแพทย์นพรัตน์
วโนทยาพิทักษ์ จากหนังสือ "สิ่งมหัศจรรย์ แห่งยุคสมัย"
"ฉี่" มานำเสนอค่ะ
สัมภาษณ์ นายแพทย์ นพรัตน์ วโนทยาพิทักษ์
คุณหมอมาแปลหนังสือเล่มนี้ได้ยังไงคะ?
- คือเพื่อนผมที่เป็นชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเค้าเอามาให้แปล เพราะว่าเรื่องที่แปลนี่ จะมีคำศัพท์ ทางการแพทย์
มาก ซึ่งนักแปลคนอื่นทั่วๆไปเค้าจะไม่เข้าใจ เพื่อนคนนี้ก็เลยติดต่อมาทางผม
เค้ามาบอกว่า หมอช่วยแปล ให้หน่อยสิ หนังสือเล่มนี้มันเป็นตำราแพทย์ มันเป็นเรื่องของ วิทยาศาสตร์
พวกคนแปลคนอื่น เค้าจะแปลไม่ได้
ทำไมเค้าต้องการแปลหนังสือเล่มนี้ล่ะคะ?
- คือเพื่อนผมคนนี้นี่ เค้าเป็นชาวญี่ปุ่น แล้วพอดีเค้ารู้จักกับอาจารย์เรียวอิจิ
นากาโอะ เค้าก็เลยจะเชิญ อาจารย์มาพูดเรื่องฉี่นี่ที่เมืองไทย แล้วเค้าก็อยากให้มีคนได้รู้ข้อมูลก่อน
ก็เลยต้องแปลตำราของอาจารย์ เป็นภาษาไทย เพื่อให้คนไทยได้อ่าน ก่อนที่เค้าจะเข้ามา บรรยาย
คุณหมอเรียนจบจากที่ไหนคะ?
- ผมจบจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ผมจบทางด้านศัลยกรรม เกี่ยวกับกระเพาะ
ศัลยกรรมช่องท้อง จบแล้วก็ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ ๑๐ ปี ถึงกลับมาอยู่ เมืองไทย
กลับมาเมืองไทย แล้วยังเป็นหมอรักษาคนไข้อยู่หรือเปล่าคะ?
- ผมอยู่เมืองไทย ผมไม่ได้เป็นหมอ อาชีพที่เมืองไทย เป็นนักแปล เป็นล่าม
หลังจากที่ได้แปลเรื่องปัสสาวะนี่ไปแล้ว คุณหมอมีความคิดเห็นว่าอย่างไรคะ
คิดว่ามันมี ความเป็นไปได้แค่ไหน ที่ดื่มปัสสาวะรักษาโรคได้?
- คือในความเป็นจริงนะ วิทยาการปัจจุบันในหลายๆอย่าง เรามีวิธีการในการนำเอาชิ้นส่วน ของสัตว์ที่มีพิษ
มาฉีดเข้าไปในร่างกายคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคบางอย่างได้ และ อีกอย่าง ถ้าเกิดเรามีวิธีการ
ที่จะเอาตัว กระตุ้นบางอย่าง มาใส่ในสัตว์ซักตัวหนึ่งเนี่ย มันก็ทำได้ แล้วมันก็เป็นเรื่องของวิทยาการทางวิทยาศาสตร์
แล้วพวกภูมิคุ้มกันของสัตว์ มันก็ยังทำ ให้เกิดการป้องกันโรคบางอย่างได้
-
ถึงแม้เราจะเอาชิ้นส่วนของสัตว์ที่เป็นพิษอย่างเช่น พิษงู เราเอามาฉีดเข้าไปในสัตว์
แล้วได้เป็น วัคซีน เป็นเซรุ่ม มาฉีดเข้าร่างกายเรา มันจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายเรามีชีวิตขึ้นมา
มีชีวิตขึ้นมา คือรู้สึกตัว รู้สึกตัวแล้วสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองขึ้นมา ในลักษณะนี้การดื่มปัสสาวะ ยังจะปลอดภัยกว่า
การนำเอาพิษต่างๆ มาฉีดเข้าร่างกายเสียอีก เพราะผมมองว่าปัสสาวะ ก็จะทำหน้าที่ เหมือนเป็นตัวกระตุ้น
ให้ร่างกายเรา สร้างภูมิต้านทานโรคได้ มากกว่าที่จะ มองว่า ปัสสาวะมันคือยารักษาโรค
แต่ถ้าบอกว่า ในปัสสาวะ มีสารที่จะมากระตุ้น การทำงาน ของร่างกายจะถูกต้องกว่า
แล้วที่สำคัญวิทยาการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น เค้าก็เจริญรุดหน้ากว่าเราไปเป็นสิบๆปี
เพราะฉะนั้น ห้องทดลอง เค้าก็สามารถทดสอบได้แล้วว่า ในปัสสาวะ มีสารอะไร เป็นองค์ประกอบ ได้อย่างละเอียด
และ พวกยาสมัยนี้ก็ไม่ใช่ว่ากินแล้วจะหาย จากโรค ได้หมดซะเมื่อไหร่
คุณกินยาถ้ามันจะหายหรือไม่หาย คุณจะเป็น คนรู้เองก่อนใคร อย่างยา บางอย่าง กินเข้าไปปุ๊บ
ร่างกายคุณโทรมถนัดใจเลย แล้วหมอเค้า บอกว่า คุณอาการดีขึ้น แล้วนะ คุณจะเชื่อมั้ย
มันไม่ใช่ มันมีสิ่งที่เรารู้ตัวเองว่า ร่างกายเราแย่ลง อย่างผม เจอคน ที่เป็นโรคมะเร็งหลายคน
เพราะผมอยู่ในวงการแพทย์แผนปัจจุบัน ผมต้องเจออย่างนี้อยู่แล้ว
ที่เจอคือคนที่กินยาปุ๊บแล้วก็แย่ลงๆ ผมก็ร่วงจนเกือบจะหมดหัว แต่หมอจะบอกเค้าว่ามันดีขึ้น
ตอนหลัง ก็มีหลายคน ที่เค้าก็หันมาลองดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อรักษามะเร็ง
แล้วคุณหมอรู้จักใคร ที่ดื่มปัสสาวะโดยตรงเลยมีบ้างมั้ยคะ?
- มีฮะ มีก็พวกเพื่อนฝูงกันนี่ล่ะ ที่เค้าเป็นมะเร็งเป็นอะไรกัน ก็กิน ก็หายกัน
คุณหมอเองเคยลองดูบ้างไหมคะ?
- ผมไม่สนใจครับ ผมเป็นหน้าที่แค่ฑูตสื่อสารภาษาเท่านั้น ผมไม่ใช่พนักงานที่ต้องไปนั่ง ชิมของ
ที่ตัวเอง ทำออกมา
เคยเห็นคนอื่นที่เขากินกันแล้วหาย คุณหมอเชื่อแค่ไหนคะว่า
รักษาโรคได้?
- มันมีความเป็นไปได้ไง ที่จะรักษาได้ แต่ผมก็บอกไม่ได้ว่าผมจะเชื่อดี ผมเป็นแค่คน เหมือนกับ บริกรน่ะ
คอยส่งอาหาร เสิร์ฟให้คนนั้น ให้คนนี้ หน้าที่ผมไม่ใช่หน้าที่ชิม เพราะฉะนั้น
คนที่กินเท่านั้นถึงจะรู้ว่า มันอร่อย หรือไม่อร่อย ผมอยู่ตรงกลางเป็นบริกร เสิร์ฟเฉยๆ
มาถามบริกรว่าคุณคิดว่าอาหารนี้อร่อยไหม ผมบอกว่า ผมไม่รู้ เพราะผมยัง ไม่เคยลอง
แล้วที่เรื่องรักษาเอดส์ได้ด้วยนี้ เป็นไปได้แค่ไหนคะ?
- ก็เพิ่งเป็นข่าวออกมา ที่ทางอินเดียเค้าประกาศกันมาใช่มั้ย เค้าทดลองในอินเดียแล้ว
เค้าได้ผลทั้งใน อินเดีย และในอาฟริกาก็มีการนำมาทดลองรักษาโรคเอดส์ แต่ผลเป็นยังไงนี่ ยังไม่ทราบนะฮะ
มีหมอปัจจุบันหลายคนที่เค้าไม่เชื่อเรื่องที่ว่า
ดื่มปัสสาวะจะสามารถรักษาโรคได้ค่ะ คุณหมอคิดว่า ยังไงคะ?
- คนที่ไม่เชื่อนี่ผมว่า ผมแยกได้เป็นสองประเภทนะ
ประเภทที่หนึ่งก็คือ ไม่เชื่อเพราะว่า เค้าไม่รู้จริงๆ เค้าถึงได้
ไม่เชื่อ แบบนี้ก็ช่างเค้าเถอะ เพราะว่าเค้าไม่รู้ แต่พวกที่สองนี่
เป็นพวก ไม่รู้จริง หรือรู้ไม่จริง มากกว่า แล้วออกมาต่อต้านคัดค้าน โดยที่ยังไม่ได้ศึกษา ค้นคว้ามาก่อน
คนไทยยังตื่นเต้น เรื่องที่คนดื่มฉี่ แล้วหายจากโรคอยู่
เค้ายังติดกับความคิดที่ว่า ฉี่เป็นของเสีย แต่ที่ญี่ปุ่น ที่อินเดีย คนดื่มฉี่เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ถ้าคุณยังอยากจะต่อต้านจะคัดค้านอะไรกัน มันไม่มีใครเค้าว่าอะไร แต่คุณจะต้องหา หลักฐาน
มาโจมตี เค้าให้ได้ ต้องล้มตรงนี้ให้ได้ว่า มีคนดื่มแล้วตาย ดื่มฉี่แล้วเกิดช็อค
เกิดอาการช็อค เกิดอาการหมดสติ กระทันหันเลย หรือว่ากรณีที่คนดื่มฉี่ไปแล้ว
มีคนคนหนึ่ง เป็นมะเร็งขั้นที่สอง เค้าดื่มฉี่แล้ววันรุ่งขึ้น เค้ากลายเป็น
มะเร็งขั้นที่สาม หรือดื่มฉี่แล้ว เค้าตาย ไปในวันรุ่งขึ้นเลย
นี่เอาหลักฐานตรงนั้น มาอ้างอิงกัน มันไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ หรือ ความไม่เชื่อ
แต่มันเป็นเรื่องของหลักฐานการยืนยัน สรุปผลออกมาจาก ทางวิทยาศาสตร์ มากกว่า
คุณหมอคิดว่า เราควรมีการวิจัยทดลองกันอย่างจริงจังหรือยังคะ?
- ก็มีอยู่แล้วไง ที่อินเดีย มีที่ญี่ปุ่น มีอาฟริกา แต่ประเทศไทยไม่ทำ อันนี้ไม่รู้
ผมก็ไม่รู้
คิดว่าน่าจะมีหรือเปล่า?
- อันนี้ผมก็ไม่รู้ ผมมีหน้าที่เป็นบริกร ผมไม่ใช่หน้าที่จะไปขู่หรือบังคับให้ใครทำ
การดื่มปัสสาวะในญี่ปุ่นแพร่หลายมากแค่ไหนคะ?
- ก็เท่าที่อ่านจากสมาคม เค้ามีสมาคมของเค้านะ คนประมาณล้านกว่า
ถึงล้านคนนะ ที่เค้าดื่ม ก็ถือเป็น เรื่องปกติไป ที่เมืองไทยถือว่าฮือฮาใช่มั้ย
แต่ที่ญี่ปุ่นเค้าถือเป็นเรื่อง ธรรมดาๆ
มีบางคนที่มีโอกาสไปสัมภาษณ์มา เค้าเป็นหอบหืด
พอเค้าดื่มก็หายไปแล้ว แต่ตอนนี้ ก็เริ่มจะกลับมา เป็นอีก อันนี้จะมองว่าเป็นยังไงคะ
เพราะว่าเค้าดื้อฉี่หรือเปล่า เหมือนดื้อยา หรือเปล่าคะ?
- ผมไม่แน่ใจนะฮะ หอบหืดมันเป็น คุณต้องดูสภาพแวดล้อมที่เค้าอยู่น่ะ
หรือจะเป็นเพราะเค้ามีอาการที่ต่อมไธรอยด์เพิ่มขึ้นมา
เลยทำให้เค้าไม่หายคะ?
- ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะฮะ ผมว่าการที่เป็นโรคหอบหืด ซึ่งมันเป็นโรคที่เกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม นี่นะ
ควรจะนำ มาแก้ไขทางสิ่งแวดล้อมดีกว่า เพราะต้นเหตุมันอยู่ที่นั่น การจะหวังให้ การดื่มฉี่ มันรักษาโรคทุกโรคนี่
มันเหมือนกับอะไรล่ะ หวังลมๆ แล้งๆ การดื่มฉี่ มันก็จะรักษา โรคในขอบเขต ที่มันจะรักษาได้
ขอบเขต ที่เราจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา เพราะฉะนั้น คนที่เป็นโรคหอบหืดนี่
คือคนที่เป็น โรคความบกพร่อง ทางด้านภูมิคุ้มกัน เค้าก็ควรจะได้ ปรับปรุง ทางด้านสิ่งแวดล้อมเค้ามากกว่า
ควรจะได้มีการแก้ไข สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ ต่างๆ ไม่ใช่ว่าอยู่กลางกรุง
ควรจะหนีมาอยู่ชานเมืองหน่อย ลำบากในการที่ จะต้องออกแต่เช้า กลับอาจจะต้องเย็นหน่อย
แต่ว่าสิ่งนั้นคือสุขภาพของเค้า การที่จะไปหวังว่า ฉี่มันจะ รักษาโรค ทุกโรค
บางทีผมว่ามันจะเป็นหวังลมๆแล้งๆเกินไป
อย่างน้อยฉี่ก็ทำให้ระบายท้องง่ายจริงมั้ยคะ?
- เค้าก็ว่ากันอย่างนั้น
คุณหมอรู้จักกับหมอนากาโอะเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า?
- หมอเรียวอิจิ นากาโอะ นี่ไม่เคยเจอกันเลย แต่หมอเค้าก็ทำงานด้านนี้มาตลอด
หมอนากาโอะ นี่ก็มี ลูกศิษย์ ที่ทำด้านนี้มา ทำงานด้านโรคฉี่มาก็ ๗-๘ คน
ก็ดังๆทุกคน มาถึงก็รักษาโรค ทางด้านความดันสูง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน เค้าก็ประกาศเป็นหนังสือกันโครมๆกันมา
ก็ไม่มีใครไปต่อต้าน เพราะถือว่าเป็นเรื่อง ปกติ เป็นยังไงล่ะ เป็นแพทย์
เป็นวิชาการ ทางการแพทย์ ในทางเลือกอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งทุกคนเป็น Alternative เป็น Alternative Therapy ที่ทุกคนจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง
สำหรับคนที่ไม่ชอบการรักษาทาง การแพทย์ แบบสมัยใหม่ก็มี
แบบนี้ไม่ได้ถือเป็นความล้มเหลวทางการแพทย์แผนปัจจุบันใช่มั้ยคะ?
- ก็แล้วแต่คนจะดูนะ ต้องยอมรับว่าการแพทย์ปัจจุบันก็รักษาโรคไม่ได้ทุกโรค
ในโรคบางโรค ที่เราไม่รู้ จริงๆ หรือ ไม่รู้สาเหตุว่า โรคนี้มาจากไหน เราก็ไม่รู้จะรักษายังไง
หมอบางคนกลัวว่า ถ้าให้สัมภาษณ์เรื่องนี้แล้ว
จะโดนถอนใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์?
- ผมไม่ได้ใบประกอบโรคศิลปะที่เมืองไทย ผมไม่ต้องกลัวถูกถอน ผมไม่ได้รักษาใคร
ในประเทศไทย สำหรับ เรื่องนี้ข้อมูลจริงๆ มีเยอะ นะ ผมเคยไปสัมมนาต่างจังหวัด
ของ อาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ไปต่างจังหวัด
ก็จะเจอพวกพระแล้วก็เป็นชาวบ้าน ที่อยู่ต่างจังหวัด จริงๆ ผมก็ไม่ได้เก็บเป็นข้อมูลอะไรจริงจัง
ไปเจอเค้า เค้าก็บอกว่าหนังสือที่ผมแปลนี่ ก็ช่วย ได้เยอะทำให้เค้าหายจากโรคนั้นโรคนี้
ตอนนี้บางคนบอกว่า หัวล้าน เอาฉี่โปะ ให้ผมงอก แล้วผม ก็ไม่รู้ว่า เค้าเป็นยังไงนะ
อันนี้ก็แล้วแต่คนนะฮะ
คุณหมอพอจะมีใครที่จะแนะนำบ้าง มั้ยคะ ที่ดื่มฉี่แล้วหายจากโรคน่ะค่ะ?
- เอ่อ เดี๋ยวลองติดต่อไปที่มูลนิธินาคะประทีป คุณสุภาพร แต่ตอนนี้เค้าไม่อยู่ในที่นี้
ลองถามเค้า แล้วกัน มูลนิธิ เสถียรโกเสฐนาคะประทีปของอาจารย์ ส.ศิวรักษ์
คุณคนนี้ เค้าเป็นมะเร็ง ที่เต้านม ขั้นที่สอง หมอบอก ให้ผ่าตัด เค้าไม่ยอม
ก็เลยหันมารักษา ทางปัสสาวะ ตอนนี้ไม่ได้พบกันแล้ว เค้าก็รักษาจนหาย
จากมะเร็งขั้นที่สอง ก็ปรึกษากัน มานานเหมือนกัน ก็ให้ไอเดียเค้าไป
ฉี่นี่เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของสมุนไพร เป็นเรื่องของการดำรงชีวิต
การเปลี่ยนแปลง คือคุณสุภาพรนี่เค้ามาปรึกษา ทำนองว่า มีหมอวินิจฉัยว่าเค้าเป็นมะเร็ง
เค้าควรจะผ่าตัดมั้ย เค้าไปรู้ มาจากไหน ผมไม่ทราบนะ ว่าผมนี่สามารถรักษาโรคแปลกๆได้
รักษาโรคมะเร็งได้ ซึ่งผมก็ไม่ค่อย จะรักษาใคร ในเมืองซักเท่าไหร่ มาปุ๊บก็เลยแนะนำไปว่า
อย่าเพิ่งไปเชื่อในคำวินิจฉัยของหมอ เพราะคำ วินิจฉัย ของหมอเนี่ย โดยเฉพาะ คนจะเป็น มะเร็ง
หรือไม่เป็นเนี่ย มันประมาณนี้ ๖๐ ต่อ ๔๐ หมอมีโอกาส ถูกแค่ ๔๐ เปอร์เซนต์
อีก ๖๐ เปอร์เซนต์ หมอมีโอกาสผิด ขอให้ทำใจดีๆ แล้วก็หันมาเปลี่ยนการดำรงชีวิต
ก็แล้วกัน มาเปลี่ยน เป็นกินอาหารที่เป็นเส้นใยมากขึ้น
กินข้าวกล้อง แล้วก็กินผักพืชต่างๆมากขึ้น ผักพืช ปลอดสารเคมีต่างๆ เน้นแมคโครไบโอติกส์
ให้วิตามินซีกับพวกสาหร่ายเซลล์เดียว ที่เค้ามีขายกันอยู่แล้ว ก็ให้วิธีการรักษาทางสมุนไพร
สมุนไพรที่ให้นี่ ก็ไม่ใช่สมุนไพรที่เป็นยาอะไรก็ไม่รู้ แต่เป็นวิธีการรักษาทางแมคโครไบโอติกส์
แล้วก็ให้พวก สารบางตัว แล้วก็ให้เค้าไปทำสมาธิซะ เพื่อแก้ไขสภาวะจิตใจต่างๆ
จนภายหลังแกก็ไปเรื่อยๆของแกนะ จนมีช่วงหนึ่งก็แนะนำว่า ฉี่นี่ช่วยรักษาได้นะ
แล้วแกก็ดื่ม ตอนนี้ก็หาย ก็คงไม่ใช่ฉี่ อย่างเดียว มันคงเป็นแมคโครไบโอติกส์ด้วย.
- สารอโศก อันดับ ๒๘๓ พฤษภาคม
๒๕๔๘ -