รู้แล้ว ทำทันที เรียนรู้ ปฏิบัติพิสูจน์ด้วยตนเอง
เดี๋ยวนี้เกษตรกรไทยเห่อปลูกยางพารากันมากและใช้สารเคมีกันเยอะมาก มากจนดิฉันกลัวว่า ต่อไป พืชที่ เกษตรกรปลูก คงเต็มไปด้วย สารเคมีอยู่ในผักที่กิน เพราะเขาบอกว่าเห็นผลเร็ว โดยไม่คำนึงถึง ความปลอดภัยของตัวเอง และผู้บริโภค ดิฉันชอบปลูก ผักสวนครัวไว้ริมรั้วบ้าน โดยเฉพาะคุณแม่ ของดิฉันท่านจะไม่ชอบผักที่ซื้อจากตลาด ชอบปลูกกินเอง มากกว่า ท่านว่ามันปลอดภัยดี คุณแม่ ของดิฉัน จะปลูกพืชไว้หลายชนิดมาก ทั้งถั่วแปบ ตำลึง มะระ ข่า ตะไคร้ แมงลัก บวบ ฯลฯ แล้วก็ ใส่ปุ๋ยคอก ผักก็ขึ้นงามดี เวลากินก็รู้สึกปลอดภัย สบายใจด้วยค่ะ พี่สาวดิฉัน จะทำปุ๋ยชีวภาพ และ น้ำอีเอ็ม ใส่นาข้าว ทุกปี ดินก็ดี เมล็ดข้าวก็โตและรวงข้าวมีน้ำหนัก

ดิฉันสนใจการทำเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ต้องไถ ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องปลูก แล้วข้าวขึ้นงามมากค่ะ ถ้ามี โอกาส ดิฉันอยาก เดินทางไปดู และไปรับการฝึกอบรมเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ที่ "ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน" อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ค่ะ เพื่อจะได้ นำมาปฏิบัติ และแนะนำคนอื่นๆได้บ้าง เพราะว่า ทุกวันนี้เกษตรกร ฟุ้งเฟ้อกันมาก และหลงทางไปไกลเหลือเกิน ใช้เงิน โดยไม่ถูกวิธี ทำให้บ่วงหนี้ รัดคอแน่นขึ้นๆทุกวัน ดิฉันว่าเกษตรกรไทย น่าเป็นห่วงมาก ละทิ้งถิ่นฐาน อพยพเข้ามา ทำงานในเมือง ทิ้งคนแก่กับเด็กไว้ บางคนสุขภาพไม่ดี ไม่มีลูกหลานคอยดูแลน่าสงสารมาก เงินกองทุน หมู่บ้าน ที่รัฐบาล ท่านหวัง อยากให้คนไทยคืนถิ่น มาทำกินที่บ้านเกิดนั้น กลับไม่เป็นผลดี เพราะทำให้คนฟุ้งเฟ้อมากขึ้น วิธีคิด วิธีใช้เงิน ก็เพื่อ ซื้อความสะดวกสบายให้ตัวเอง โดยไม่นำไป พัฒนาอาชีพเลย ทำให้เกษตรกรมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น มีภาระเพิ่ม มากขึ้น และขาดทุนเพิ่มมากขึ้น แล้วชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าหากไม่หันมาส่งเสริม เกษตรอินทรีย์ จะทำให้คน มีหนี้มากขึ้น ถ้าคน ไม่รู้จัก ธรรมะ ชีวิตก็จะร้อนรน
* มนัญญา บุราชรินทร์ จ.อุบลราชธานี

- กสิกรรมไร้สารพิษเหมาะสำหรับวิถีชีวิตที่พึ่งตนเอง ผู้ทำเพื่อให้จะทำได้ไม่ยากไม่ลำบาก ต่างกับ ผู้ทำเพื่อเอา จะอดไม่ได้ จะทนไม่ไหว ซึ่งเป็นธรรมดาที่ทำแล้วประสบความสำเร็จได้ยาก ขออนุโมทนา สำหรับทุกท่านที่ยืนหยัดยืนยัน ปฏิบัติ พิสูจน์ใจตน ในการลงมือทำกสิกรรมไร้สารพิษ ว่าวิถีชีวิต จะสงบสุขกว่าเดิมอย่างไรหรือไม่ - บ.ก.


มาเดินตามรอยเท้าพระโพธิสัตว์
นานแล้วผมไม่ค่อยได้เขียนจดหมายมาเลย ไม่ได้รายงานการปฏิบัติธรรมเลย เหมือนฤาษีติดแป้น เหมือนว่าว ติดลม พอมีความสุข แล้วก็ไม่เลื่อนฐานตัวเองเลย ซึ่งแต่ก่อนคิดว่า อายุตัวกระผมเอง คงไม่ถึง ๔๐ ปีแน่นอน เพราะว่า ติดเหล้า ติดบุหรี่ เป็นโรคกระเพาะ โรคความดันสูง โรคเครียด นอนไม่หลับ หนี้สินอีลุงตุงนัง ไปหาหมอ เดือนละหลายครั้ง โรคต่างๆ ก็ไม่ดีขึ้น เลยมีแต่ ทรุดลง เป็นหนักกว่านั้น ผมนั่งรถไม่ได้ เวลารถ กระแทก เหมือนหัวผม จะแตกให้ได้ ผมป่วย แบบทรมาน อยู่นาน จนจำไม่ได้ว่า นานกี่ปี เพื่อนร่วมงานด้วยกัน เขาก็เป็นสารพัดโรค เหมือนกันกับผม แต่พวก กระผม ก็ไม่เคยเลิก ดื่มเหล้า และเลิกสูบบุหรี่เลย จนเพื่อนของ กระผมตาย เพราะโรคตับแข็ง ๑ คน และก็ตาย ด้วยอุบัติเหตุ ๒ คน สาเหตุเพราะเมา แล้วขับทั้งนั้น ผมเอง เลยเกิดกลัวขึ้นมาทันทีว่า คนเรา น่าจะมีทางออก ที่ดีกว่านี้ จึงตั้งสัจจะ ให้ตัวเองว่า จะเลิกเหล้า -เลิกบุหรี่ -เลิกการพนัน-เลิกเที่ยว และไม่กินข้าวนอกบ้านด้วย ผมลองปฏิบัติอยู่ ๑ ปี หนี้สิน อีลุงตุงนัง หายหมด โรคต่างๆ ในร่างกายก็ทุเลาเบาบางลงไปด้วย ผมดีใจมาก ผมมั่นใจในศีลธรรมมากขึ้น เพราะสุขภาพ ผมดีขึ้น ทุกวัน จนสุดท้าย ไม่เคยไปหาหมอเลย ผมปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ เรียกว่างูๆปลาๆ ไปตามประสาผม นั่นแหละ

ด้วยบุญกุศลของผมที่เริ่มสะสมบุญ ผมเลยเจอสมณะ ตอนนั้นเป็นพระอยู่ คือ หลวงพ่ออมโล และ หลวงพ่อ มุทุกันโต โดยมีญาติธรรมแนะนำให้ไปพบท่าน ผมก็ไปพูดคุยกับท่านอยู่นาน หลายครั้ง หลายหน แต่ผมก็ยัง ไม่ยอมท่านอยู่ดี ผมยังปฏิบัติ แบบความคิดของผมอยู่ดี

จนวันหนึ่งหลวงพ่อบอกผมว่า โยมลองปฏิบัติแบบชาวอโศกดูซิ สักเดือนครึ่งเดือนก็ได้ คงยังไม่เลิก ฆ่าสัตว์ หรอก ถ้ายังติดใจอยู่ ก็กลับไปกินอย่างเก่าได้ แต่นั้นมาผมลองปฏิบัติดู ปฏิบัติอยู่ได้ไม่นาน ก็ได้ไปร่วมงาน พุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ผมนำเอาเหรียญไปด้วยตั้งเยอะ จะเอาไปปลุกเสก ปรากฏว่าผิดหวัง ท่านไม่ปลุกเสกเหรียญ แต่ปลุกเสกคน ให้เป็นพระต่างหาก ผมอยู่ร่วมงานตลอด ๗ วัน จนเข้าใจประทับใจ ทุกอย่าง ตั้งแต่ญาติธรรม ตลอดจน อาหาร การอยู่การกินแบบเรียบง่าย การแต่งตัวก็เรียบง่าย ประทับใจ ที่สุด มากที่สุดคือ พ่อท่านเทศน์ และตอบปัญหา ผมเคยฟังเทศน์ แต่พระที่อ่านตามหนังสือ ให้ฟัง แต่เทศน์แบบ พ่อท่านไม่อ่านหนังสือเลย แต่กลับถูกต้อง และเข้าใจดี ลืมบอกไปว่า ผมเคยบวชอยู่ ๕ ปี จบนักธรรมเอกด้วย ไม่อยากพูดเลยตอนบวช เพราะอายเหลือเกิน การปฏิบัติ เหมือนทำเล่น จะผิดกับ ชาวบ้านทั่วไป ก็แต่ห่ม ผ้าเหลืองโกนหัวเท่านั้น ตอนผมบวชนั้น ผมก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร ได้บาป มากกว่า ได้บุญ แต่ก็รู้ภาษาบาลี มากขึ้น เข้าใจธรรมะ เพื่อเอาไว้ ไปสอบ เท่านั้น พอผมได้ฟังธรรม จากพ่อท่านเทศน์ ผมเข้าใจมาก เหมือนที่ผม เรียนมาเลย พ่อท่าน เทศน์ ถูกต้องจริงๆ และปฏิบัติ ถูกต้องด้วย ตอนนั้น ผมได้ฟังธรรม จากพ่อท่านแล้ว ผมอิ่มอก -อิ่มใจ-ไม่หิว-ไม่ง่วง-ไม่เหนื่อย สนุกอยู่กับ การฟังธรรมจริงๆ แม้แต่การเปิดเท็ป ก็เหมือนกัน ฟังแล้ว ฟังอีก ก็ไม่เบื่อ สบายใจจริงๆ ผมเริ่มปฏิบัติ แบบชาวอโศก มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ จนถึงปัจจุบันนี้ ผมมั่นใจมาก จนผมลาออก จากราชการตำรวจ เพื่อมาปฏิบัติ ให้บริสุทธิ์ขึ้น โดยอาศัยตัวเองเป็นหลัก พึ่งตัวเอง ให้ได้ ไม่ต้องหวัง เงินเดือน เงินกินนานๆ ก็ไม่เอา เพราะพ่อท่านว่าไม่ใช่บำนาญ มันเป็นบาปนานๆ นั่นเอง ผมมาอยู่ ทุกวันนี้ จนอายุ ๕๔ ปีแล้ว แต่ก่อนคิดว่า จะไม่ถึง ๔๐ ปี แต่เกินมาสิบกว่าปีแล้ว ด้วยอานิสงส์ ของการฟังธรรม จากพ่อท่าน และ การปฏิบัติธรรม แบบชาวอโศก ทำให้ผม อายุยืนยาว ขึ้นมาอีก ผมจะเดินตามพ่อท่าน ไปเรื่อยๆ จนกว่า ชีวิตจะหาไม่ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหน ตำบลใด ผมก็จะปฏิบัติธรรม แบบชาวอโศกเท่านั้น เพราะผมได้ พิสูจน์แล้วว่า ของจริง ทำจริง เห็นจริง เป็นจริง ทุกอย่าง ไม่หลอกลวง ผู้ใดทำผู้นั้นได้ ของใครของมันจริงๆ ไม่รอ ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องอุทิศให้กัน ตามที่พ่อท่าน เทศน์จริงๆ ผมมั่นใจ
* จ.ส.ต.ประสิทธิ์ โสระแสน (จ่าทรายเมือง) จ.สระแก้ว

- ศึกษาพุทธศาสนา คือ เรียนรู้ทุกข์ ความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการฟัง กับความรู้ความเข้าใจ ที่เกิดจาก การประพฤติ ปฏิบัติ แล้วเห็นมรรค-เห็นผลด้วยตัวเองนั้น ต่างกันนะ ! - บ.ก.

 


ภาพสะท้อนบุญนิยม ในท่ามกลางสังคมบริโภคนิยม
ดิฉันศรัทธาพ่อท่านมาก แต่ไม่เคยเจอตัวจริงพ่อท่านซะที ไม่มีโอกาสกราบท่านเลย เห็นแต่ในหนังสือ และ ในทีวี ที่มาออกรายการ iTV ตอนตีห้าครึ่งของท่านจันทร์ที่มาเทศน์ธรรมะ ดิฉันดีใจ ที่คนไทย ยังมีวัดดี เหลืออยู่ ณ ที่นี้ดิฉัน หมายความ ถึง มูลนิธิของสันติอโศก พุทธเมตตาธรรม เพชรเกษม ๘๗ ที่ท่านจันทร์ ไปเทศน์ และ มีญาติโยม ตามไปฟัง ทุกวันเสาร์ ดิฉันอยู่ตลิ่งชันก็จริง ไม่เคยเข้าวัด แถวบ้านเลย พอดีวันนั้น เป็นวันพระ จึงไปวัดแถวบ้าน ก็เข้าไปไม่มีญาติโยม เข้าวัดเลย เงียบมาก ไม่มีคน ใส่บาตรเลย นี่คือสาเหตุ อย่างหนึ่ง ที่ดิฉัน ต้องไปทำบุญ ใส่บาตร ที่ปฐมอโศก โบสถ์แถว บ้านดิฉัน มีแต่สุนัขเต็มไปหมด ไม่มีคนเลย ญาติโยม หมดความศรัทธา ที่จะเข้าวัด วัดก็สวย เก่ามาก สร้างมา ๑๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่มีคนเข้า ดิฉัน มาอยู่ตลิ่งชัน ตั้งแต่ปี'๓๙ - จนถึง ทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ ๑๐ ปีแล้ว ดิฉันเพิ่ง จะเข้าไป ครั้งแรก ทั้งๆ ที่ใกล้บ้าน แต่ไม่มีใคร เข้าวัดเลย คนกรุงเทพ จะเป็นอย่างนี้นะ สู้บ้านนอกไม่ได้ ศาสนาดี วัดดี วัตถุต่างๆ ก็ดี แต่บุคคล ทำเสื่อมนะ ดิฉัน รู้สึก เศร้าใจจัง กับสิ่งที่เกิดขึ้นในศาสนาบ้านเรา
* ปัณณธร วัฒนดำรงกุล กทม.

- พื้นฐานดั้งเดิมของชีวิตคนไทย จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิมสนมอยู่กับวัด ไม่ว่าจะเป็น การใส่บาตร พระ ที่บิณฑบาต ในยามเช้า การไปทำบุญวันพระหรือวันเทศกาลต่างๆที่วัด หรือแม้แต่ ในยามที่มีเรื่อง เดือดร้อนใจ ก็จะขอคำปรึกษา หรือขอคำแนะนำ จากพระที่ตนเคารพนับถือ ที่วัด ใกล้บ้าน วิถีชีวิต ที่คุ้นเคย ของบ้านกับวัด ทำให้เกิดความไว้วางใจ - เชื่อถือ - ศรัทธา จึงเกิดเป็น โรงเรียนวัด ตามมา เด็กๆลูกๆ หลานๆ ของชาวบ้าน ก็จะได้รับการอบรม สั่งสอน จากพระ ตั้งแต่ วัยเด็ก ทำให้พื้นฐานทางจิตใจ ไม่อ่อนแอ เช่นทุกวันนี้ ซึ่งแม้แต่วัด ก็ได้รับผลกระทบจากสังคม ดังที่ได้เขียนมาเล่า สู่กันฟังนี่แหละ - บ.ก.


สู้กับกิเลสแม้แพ้วันนี้ก็ยังดีกว่าไม่สู้เลย !
การถือศีลและกินมังสวิรัติของกระผมปีก่อนเคยล้มมาหนหนึ่ง พอมาปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ตั้งสัจจะ ให้สัญญา กับตัวเองว่า สัปดาห์หนึ่ง จะกินมังสวิรัติในวันพระวันเดียว แต่เดี๋ยวนี้สัญญาเพิ่มเป็น ๓ วัน กระผมทำ สงคราม กับกิเลส ในใจตลอด แต่ยังไง ก็ขัดใจตนเองได้มาก ทำให้กิเลสลดลง มีชนะ มากกว่าแพ้ ที่กระผม ยังทำไม่ได้ก็ในเรื่องของ กิเลสราคะ พอเห็น หญิงงาม พอโดนใจเข้า ใจมันใฝ่หา ใจมันป้อแป้ พยายาม ข่มใจ แต่ก็ทำได้ไม่นาน ใจวกวนหนีใจตัวเอง ไม่เคยพ้น ต้องฝึก ปฏิบัติ กันต่อไป ส่วนความโกรธคิดว่า ใจเราเข้มแข็ง พอเอาเข้าจริงก็รู้ตัวเมื่อสายทุกที ต้องฝึกปฏิบัติ ต่อไปครับ
* คนจังหวัดน่าน

- หากต้องการควบคุมใจตน ให้รู้เท่าทันความโกรธหรืออารมณ์กามราคะ คงต้องฝึกกินอาหาร มังสวิรัติให้ได้ ทุกมื้อก่อน เหมือนนักกีฬาฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมพื้นฐาน ให้ร่างกาย เป็นประจำ สม่ำเสมอ จนมีกำลัง แข็งแรง - ยืดหยุ่นได้ อีกทั้งมีความคล่องตัว แววไวมากพอ สำหรับการลง สนาม แข่งขันจริง นั่นแหละ จึงจะก้าว ไปสู่การประมือ กับเรื่องซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมาได้

"คนต่างเพศ" กับ "ภาวะดึงดูดในใจคน"เป็นเรื่องละเอียด หากเรื่องไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา อย่างเรื่อง อาหาร ยังไม่ฝึกงด ฝึกเว้นจนบริสุทธิ์ให้ได้ก่อน ก็คงจะตามดูแลเรื่องโกรธเรื่องกามได้ยาก - บ.ก.



พ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีเวลาใดเลยที่ไม่ควรเปิดเผยธรรมะ
ผมได้อ่านคำแถลงจากสมณะโพธิรักษ์แล้วก็รู้สึกชัดเจนดี ท่านกล้าสู้กับความไม่ถูกต้องใน คณะสงฆ์ ที่พูดไป ไม่รู้จบ ความจริง ทางกฎหมาย ก็ถูกศาลตัดสินแล้วถือว่าจบ แต่คนบางกลุ่มบางพวก ยังโจมตี ก็ไม่จบ ก็ขอให้ ทางหมู่กลุ่ม ของเรา ถือปฏิบัติ ในสิ่งที่เห็นว่าถูกให้ดีไว้เหมือนเดิม และดียิ่งๆ ขึ้นไป ก็คงจะพอ จะให้เขามารู้ เข้าใจเหมือนเรา คงลำบาก ความจริง เขาก็คงรู้แต่แกล้งไม่รู้ จึงอธิบาย ลำบาก ทางกฎหมายผิดเพราะ ผิดกฎหมาย ทางธรรมวินัย ผมว่าไม่ผิด ผมเข้าใจ อย่างนั้นครับ ผมเคยบวช ๘ ปี สอบได้นักธรรมเอก นำวินัยมุข มาเปรียบเทียบแล้วก็ไม่เห็นว่า ท่านผิดข้อไหน ที่เขาฟ้อง ก็ผิดกฎหมาย เพราะกฎหมาย ให้อำนาจ ไว้อย่างนั้น ส่วนธรรมวินัยเรา ก็ปฏิบัติมา ถูกแล้วครับ กาลเวลา จะเป็นเครื่อง พิสูจน์เอง ถ้าเราผิด คงแตกสลาย ไปแล้ว นี่มีกลุ่มหมู่อยู่ได้ คงไม่ผิดครับ
* ประกอบ คงสมบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์

- พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อเรื่องกรรม - วิบาก กรรมทางกาย กรรมทางวาจา และกรรมทางใจ ล้วนมีผล ต่อผู้เป็น เจ้าของ ทั้งสิ้น ทั้งเรื่องที่เป็นกุศล และอกุศล ดังนั้นชาวอโศกเราจึงให้ความสำคัญ กับการดูแล กรรมทั้ง ๓ ภายใต้หลักของ ศีลทั้ง ๕ ข้อเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยให้ได้ฝึกลดละเรื่องโทสะ โลภะ ราคะ และ โมหะ ธรรมดาของ ชาวพุทธ ผู้เข้าใจในเรื่องกรรม - วิบาก จะลด - ละ - เลิกกรรม อันเป็นอกุศล ในขณะ เดียวกัน ก็ขวนขวาย สร้างกุศล ไปด้วยในตัว ชาวอโศก ได้รับการอบรม สั่งสอน จากพ่อท่าน จากหมู่สมณะ และสิกขมาตุ โดยท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และเปิดเผยแจกแจง ชี้สิ่งที่ เป็นคุณ เป็นโทษ เป็นกุศลอกุศล ให้เราได้รับรู้ - และฝึกหัดกระทำ นี่คือวิถีชาวอโศก ที่ได้ประพฤติ ปฏิบัติ มาเป็นอย่างนี้ และยังคงปฏิบัติอยู่ อีกทั้ง จะปฏิบัติต่อไป เพราะเราเลือกสะสม กุศลวิบาก ใส่จิตวิญญาณตน แทนการทำบาป ทำเวรภัย - บ.ก.



คำตอบจากตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นที่ตนเอง
ดอกหญ้าและสารอโศกเป็นเพื่อนที่ดีมาก โดยเฉพาะเวลาเบื่อหรือนอนไม่หลับ เวลามีทุกข์ ทางร่างกาย ก็ใช้หนังสือ เป็นยาแก้ปวด อ่านหนังสือเพลินๆ ก็ทำให้ความเจ็บปวด ลดน้อยลงได้

ดิฉันกิน มังสวิรัติมา ประมาณ ๖-๗ ปีเช่นกัน ในปีแรกชักชวนที่บ้านกินข้าวกล้อง ใหม่ๆพี่สะใภ้ ก็หุงข้าว กล้อง ผสมข้าวขาว ต่อมาก็สามารถกินข้าวกล้องได้ ๑๐๐ % และกินกันทั้งบ้าน ดิฉัน ดีใจมาก แต่พวกเขา ก็ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ พี่สะใภ้ เป็นคนทำกับข้าวเก่ง และทำอาหารมังสวิรัติ ให้ดิฉัน กินทุกวัน โดยซื้อผักต่างๆ มาจากตลาด ตอนนี้ดิฉัน ย้ายมาปลูก บ้านเล็กๆ ข้างโรงเห็ดของพี่ชาย ได้ปีกว่าแล้ว อากาศดีมาก มีดอกไม้ สายลม และเสียงนกร้อง อยู่แบบพึ่งพาตนเอง และทำอาหาร กินเอง จึงหลุดออกจากวังวนของสารเคมี จากผักตลาดเสียที แรกๆก็ปลูกพวก ผักปัญญาอ่อน แต่มันปลูกยาก เราไม่เก่งและดินไม่ดี (เป็นดินถม ซึ่งเป็น ดินลูกรัง มีแต่ก้อนหิน) ได้แต่เอาก้อนเห็ด เก่าๆ มาใส่ไว้ ตอนนี้มันเริ่มดีขึ้นบ้างแล้วค่ะ ได้ความคิด จาก ชาวอโศก ว่าเราน่าจะปลูกพืชผัก ที่ปลูกแล้ว กินได้ทั้งชาติ จึงปลูกพวก ผักพื้นบ้านทั้งหลาย ปลูกแฝก กันดินพัง ปลูกตะไคร้ ริมเนิน ไว้เป็นแถว ปลูกผลไม้ไว้หลายชนิด ส่วนใหญ่ ปลูกกับเมล็ด กินอะไร ก็เอาเมล็ด เหวี่ยงๆ กลบๆ ไว้เรื่อยๆ ต้นยอกับต้นคูณเหวี่ยงๆ ไว้ขึ้นมามากมาย ขี้เหล็กขึ้นเอง หลายต้น ไม้พวกนี้หากินเก่ง แข็งแรงเหมาะกับคนอย่างเรา สวนของพี่สาวพี่ชายที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีผักพื้นบ้าน นานาชนิด ทั้งปลูก ทั้งขึ้นเอง

ทุกวันนี้แทบจะไม่ต้องซื้ออะไรเลย ทำน้ำยาอเนกประสงค์ไว้ใช้เอง เรื่องอาหารใช้เห็ดเป็นอาหารหลัก แถมพอ ฝนลง เห็ดฟางงอกเอง ที่ก้อนขี้เลื่อยเก่าก็มีให้เก็บเกือบทุกวัน จะต้มยำทีก็วิ่งเก็บเห็ด พริก มะนาว ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เอารอบๆบ้าน ต้มแป๊บเดียวก็เสร็จ ได้กินร้อนๆ - อร่อย - ประหยัด แถมปลอดภัย อีกต่างหาก รู้สึกชีวิต ช่างเรียบง่าย และมีความสุขดี จริงๆนะคะ วันๆ ก็ไม่ต้อง ไปไหน ให้เปลืองน้ำมัน ทำงานที่ร้านเสร็จ ก็มาอยู่กับต้นไม้ ดอกไม้ รอบๆบ้าน

ดิฉันคิดว่าถ้าเกษตรกรหันมาปลูกทุกอย่างกินเองให้มากๆ ก็จะประหยัดและแข็งแรง ถ้ามีของกินอุดม สมบูรณ์แล้ว จะเรียกว่าจน ได้อย่างไร (แม้ไม่มีเงิน) อย่างที่เขาบอกว่า "เงินทองเป็นของมายา ข้าว ถั่ว งา เป็นของจริง" นั่นล่ะค่ะ ถูกต้องที่สุดแล้ว อยากบอกฝากสายลมถึงนายกทักษิณว่า นี่คือวิธีที่จะทำ ให้คนจน หมดไปจากประเทศไทยได้จริงๆ อยากจะย้ำโศลกธรรม ของพ่อท่านอีกทีว่า "หลงแต่รวย - ก้าวหน้า ไม่มุ่งศึกษา การลดกิเลส กู้ประเทศไม่ได้"
* ดวงดาว รัตนะ จ.สงขลา

- นี้คือตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับผู้มีแนวคิดพึ่งตนเอง ไม่ต้องรอ ไม่ต้องหวัง แต่ลงมือ "ทำจริง" - บ.ก.


เราทั้งผองพี่น้องกัน
เห็นคำแถลงจากสมณะโพธิรักษ์กรณีที่สันติอโศกถูกย่ำยีซ้ำซากจากคณะสงฆ์ของมหาเถรสมาคมใน สารอโศก แล้วเห็นว่า ชาวอโศกน่าจะอยู่เฉยๆดีกว่าจะไปเคลื่อนไหวอะไรมากมาย เพราะถึงชาวอโศก จะไปกล่าวแก้ อะไรต่างๆ ก็ไม่เกิดผลดี ขึ้นมา ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ชาวอโศก น่าจะปฏิบัติกิจ ตามที่เคย ปฏิบัติ เป็นประจำ และอย่าไปยุ่งเกี่ยว พิธีการ, กิจการอะไรต่างๆ ทุกอย่าง ที่เป็น หน่วยงานของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นงาน วิสาขบูชา หรืองานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง กับคนที่ไม่ใช่ ชาวอโศก เพราะมีแต่จะเสีย เข้าทำนองที่ว่า "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กระดูกแขวนคอ" ความหมาย ก็คือ "ทำคุณบูชาโทษ" นั่นเอง
* วิทยา ชาลี จ.นครราชสีมา

- เกิดมาแล้วอยู่ในโลกใบเดียวกัน อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน จะปฏิเสธไม่ยุ่งเกี่ยวกันซะเลย คงจะทำไ ด้ยาก ความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่เป็นน้อง ยิ่งขาดแคลนมากอยู่แล้วในสังคมไทย เราไม่ควรเป็น ผู้หนึ่ง ที่จะสร้าง ความแปลกแยก ระหองระแหงขึ้นในหมู่ชนเลย ดังนั้นคงจะทำได้เพียงแต่ อดทน รอคอย และให้อภัยให้ได้ เท่านั้นเอง....... - บ.ก.

-สารอโศก อันดับที่ ๒๘๔ มิถุนายน ๒๕๔๘ -