๓๐ ปี นานาสังวาส เขตสมานฉันท์ ศานติวิถีพุทธ ** พระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม
กัลยาโณ) เป็นกลุ่มที่เป็นทุกขานุคติบุคคล ทำตัวอย่างตรงนี้เป็นเรื่องที่ขาดแคลนในยุคปัจจุบัน ที่มี แต่การแข่งขัน การฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย แล้วส่วนอื่นที่จะทำกันต่อไป ที่สำคัญก็คือเรื่อง การขยาย พื้นที่ ให้มีพื้นที่เกษตร ให้มี พื้นที่ของชุมชนอีสาน อยากเน้นไปทำสาขาทางอีสาน สู้กับเรื่อง มอมเมาขี้เหล้าขี้ยาของคนอีสาน ซึ่งถือ เป็นเรื่องเสียหายที่สุด ทำงานไปก็ไม่เหลือ อะไรเก็บ เพราะว่าไปกินในส่วนเกินที่ไม่ต้องกิน อันนี้อาตมาเอง ก็กำลังจะไปเปิดสาขา ที่บุรีรัมย์ ก็อยาก จะช่วยกัน แล้วก็อยากจะทำอะไรเพิ่มเพื่อเกษตรกรไทยอยู่รอด เช่น ทำปุ๋ย ชีวภาพ ทำอะไรดีอยู่แล้ว แล้วต่อไปตั้งงบไว้ก็จะดีเหมือนกัน อย่างเวลาลองกองเขาขายไม่ได้ ลำไยเขาขายไม่ได้ อาจจะช่วงอื่นเราไม่ใช้อะไรมาก ช่วงที่ ผลเกษตร ออกมาเยอะ ชาวบ้านเขาขายไม่ได้ อยากให้ลองทำ อาตมาลองคิดอยู่ ยังไม่มี โอกาส ทำได้เต็มที่ คือ ตั้งกองทุนไว้ เกษตรกรคนไหนไม่กินเหล้า ไม่เล่นการพนัน จะไปช่วย ซื้อมา แต่ถ้าเกษตรกรคนไหน ติดอบายมุข งอมแงม เราก็จะไม่ช่วยซื้อ เป็นการต่อรอง เครือข่ายสันติอโศกเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ เหมือนอย่างธรรมกายที่เขาทำ เราเชื่อว่าเกษตรกร หลายศูนย์ หลายเจ้า ที่จะระบายของในสวนออกมา ไม่ต้องนั่งร้องไห้เมื่อคราวคับขัน มองไม่ออก ไม่น่าเสียใจ ลงทุน ไปตั้งมากมาย เพราะว่าสันติอโศกมี Power มีพลัง สามารถ จะแจกจ่ายไปคนละครึ่งกิโล ก็สามารถ ช่วยให้ชาวสวน ชาวไร่ชาวนารอดตายไปเยอะ หากช่วยสังคม ขยายออกไปช่วยกัน ก็เอาศีลธรรมเป็นหลัก ใครไม่มีศีลธรรม มัวแต่เพลินกับ อบายมุข ก็ไม่ซื้อ พอเขาเล่าลือไปว่าพวกสันติอโศก มาช่วยซื้อผลไม้ คนที่มีศีลธรรม มันก็จะทำให้คนอื่น อยากมีศีลธรรมบ้าง มันก็จะทำให้ศีลธรรมกลับมา ก่อนที่โลกจะวินาศ เพราะว่า เครือข่ายของสันติอโศก คนมากขึ้นๆ ก็ต้องช่วยให้ดี ได้เพิ่มขึ้น # มีอะไรที่จะแนะนำบ้างไหมคะ?
# ท่านมีอะไรจะแนะนำพวกเราบ้างไหมคะ? คือไม่ว่าพ่อท่านจะอยู่หรือไม่ ชาวอโศกก็จะคงอยู่ต่อไปได้ พยายามที่จะรักษาคุณธรรม เหล่านี้ไว้ คุณสมบัติ เหล่านี้ไว้ น่าจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง แต่เป็นห่วงนิดหนึ่งตรงเรื่องการพัฒนาข้างใน ถ้าเราพัฒนาข้างนอกและข้างในไป พร้อมๆกัน ชาวอโศก เป็นคนที่ เสียสละเยอะนะ ปรับจากชีวิตชาวโลกมาเป็นชีวิตชาววัดได้เยอะมาก เป็นสิ่งที่เป็นตัวอย่าง ให้กับ สังคมโลก แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าชาวอโศก ทำด้วย ความตระหนัก รู้ว่าเราทำอะไร เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า อย่างไร แล้วเราปฏิบัติ ในตัวของเราเอง ที่จะมีความสุข ในตัวของเราเอง คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ชาวอโศก จะทำได้ ไม่ยากนัก # ข้อบกพร่องที่มองเห็น เพื่อที่เราจะได้แก้ไข?
# นานาสังวาสต่างกับสิทธิมนุษยชนอย่างไรบ้าง? แล้วสันติอโศกไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะนี่ สันติอโศกก็ใช้สิทธิเหมือนกับที่ทุกคน จะเลือก นับถือ ศาสนา ทุกคน ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย # ท่านมองว่าเรื่องของสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยในขณะนี้เป็นอย่างไรกับครั้งในอดีต? # จากการที่มาช่วยทำคดี ท่านได้ข้อคิดอะไรจากการทำงานตรงนี้บ้างคะ? พอมาทำคดีนี้มันจำเป็นต้องศึกษามากขึ้นเยอะ ต้องมีความเข้าใจ ทีนี้เราเข้าใจมากขึ้น ศึกษามากขึ้น เราก็มองเห็นว่า คำสอนของศาสนาพุทธมีแต่ดี มีประโยชน์ ถ้าเราเอาไปทำ เท่าที่เรารู้ นิดหน่อยนี่นะ เอาไปทำ ก็เกิดคุณค่ามหาศาล อย่างเช่นง่ายๆ ถ้าเราไม่ไปโกหกใคร เราไม่ลักของใคร เราไม่ผิดลูกเมียใคร เราไม่เมาเหล้า อย่างนี้ความสุขก็มาแล้ว มีความสุขแล้ว อยู่กับลูกกับเมียสบาย นี่ให้เยอะนะ เราก็ยังนึกถึง อันนี้ เหมือนบุญคุณ ที่เราไปได้ จากการทำคดี เรายังนึกว่าเป็นบุญคุณอย่างหนึ่ง ที่สันติอโศกให้เรา เพราะฉะนั้น เราก็แวะเวียนมาเรื่อย หนังสือที่ชาวอโศกให้มาก็ยังเอาให้แม่บ้านอ่านด้วย # ในโอกาส ๓๐ ปีฯ มีอะไรจะฝากบอกบ้างคะ?
แล้วนานาสังวาสในประเทศไทย ผมว่านานาความคิดนะ ถ้าเขาเห็นว่าควรจะอยู่ด้วยกันก็ดี ถ้าเห็นว่า ไม่ควรจะอยู่ด้วยกัน ก็แล้วแต่ความคิด # มีอะไรจะแนะนำบ้างไหมคะ? # ชาวอโศกมีอะไรต้องปรับปรุงบ้างคะ?
เมื่อไปพบสิ่งใดจะเห็นพ่อท่านจะเริ่มต้นด้วยว่า อ้าว....มีเรื่องอะไร แล้วจะเอายังไง พ่อท่าน จะเริ่มด้วย ปัญหา เริ่มด้วยความเป็นจริงของคนคนนั้น ร่วมทุกข์ร่วมสุขจากตรงนั้น ออกมา พ่อท่านไม่ได้เริ่มว่า โอ๊ย... ทำไอ้โน่น ไม่เห็นดีเลย เอาแบบฉันนี่ดีกว่า พ่อท่านไม่เคยเริ่ม อย่างนี้ พ่อท่านจะเริ่มด้วยว่า อ้าว...เป็นยังไง จะเอาอะไร คือเริ่มจากทุกเรื่องจากความจริง ตรงนั้น ไม่ใช่เริ่มจาก สิ่งที่ไม่เหมือนกับตัวเอง อีกอันหนึ่งที่เป็นแบบอย่าง ท่านจันทร์จะเริ่มเหมือนกัน คือ อ้าว....พ่อหนุ่มจะเอายังไง ได้.... ย่อมได้ อันนี้ ก็เป็นอะไรซึ่ง...เมื่อชาวอโศกไปพบไปทำงานกับพวกอื่น เราจะไม่เริ่มติอะไร ที่ไม่เหมือนเรา เราเริ่มด้วยที่ว่า เขาเป็นยังไง เพราะฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติของพ่อท่านหรือท่านจันทร์ ก็เป็นลักษณะของสมณะ ที่เริ่มจาก คนอื่นก่อน เริ่มช่วย กันคิดออกมา ไม่ได้เริ่มด้วยความแตกต่าง เริ่มด้วย ความเหมือนกันก่อน ก็มีแค่นั้นนะครับ บางที เราเป็นคนเก่ง ก็มักจะเผลอ
ผมเห็นว่าขบวนการในเมืองไทยทั้งหมด ที่ลงถึงระดับรากหญ้าและที่กว้างขวางลึกซึ้ง ทั้งทาง ด้านสังคม วัฒนธรรม และการศึกษา แหวกออกไปจากกระแสหลัก สันติอโศก ถือธง นำหน้าหมด อันนี้เป็นเหตุ ให้ผม เสนอให้ที่ประชุม มูลนิธิเสฐียรโกเศศ นาคะประทีป มอบรางวัล เกียรติคุณให้ขบวนการ สันติอโศก เมื่อปีกลาย ตอนฉลอง ๒๕ ปีอาศรมวงศ์สนิท อาศรมวงศ์สนิท มาทีหลังสันติอโศก การที่จะต้องปรับปรุงก็คือว่า สันติอโศกจะต้องไม่พึ่งพ่อท่านอย่างเดียว การที่มีวีรบุรุษ เป็นผู้นำ คนเดียว จะไปไม่รอด เพราะถ้าพ่อท่านเป็นอะไรไป จะฟุบแฟบ ดูสวนโมกข์ เป็นตัวอย่าง อาจารย์พุทธทาสไปแล้ว สวนโมกข์ ก็ฟุบแฟบไป อย่างขบวนการของ มหาตมะ คานธีเป็นตัวอย่าง จริงๆท่านยิ่งใหญ่มาก สามารถ กู้เอกราชจากอังกฤษนะ เมื่อสิ้นท่านคานธี ไปแล้วก็ฟุบแฟบ เพราะฉะนั้นสันติอโศกจะต้องสร้างสังฆะ ทราบว่ากลุ่มชนทั้งที่เป็นสมณะ และเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่ทาง มหายาน เขาเรียกมหาสังทิกะ ปรึกษาหารือร่วมกัน วางแผนต่างๆ เพื่ออนาคต เพื่อสร้างผู้นำในระดับต่างๆ อย่างกระจายอำนาจออกไป ไม่มีศูนย์อำนาจ ผมว่าอันนี้ จะเป็นบทเรียน ที่สำคัญของสันติอโศก สำหรับอนาคต สันติอโศกนั้นตามความเห็นของผม รู้สึกจะเครียดไปหน่อย ต้องให้มีเสียงหัวเราะเยาะตัวเอง ให้มากขึ้น การทำบุญนิยม นี้ถูกต้อง แต่อย่าไปนิยมบุญมากนัก เพราะว่าชีวิตนี้ ต้องมี อารมณ์ขัน ให้มากขึ้น และต้องมี ผ่อนคลาย มากกว่าที่แล้วๆมา อันนี้จะทำให้ขยับขยาย กว้างขวาง มากขึ้น พร้อมกันนั้นการออกจากคณะสงฆ์หลักนั้นดี แต่อย่าไปเหยียดคณะสงฆ์หลักเขา ต้องให้มี ความเมตตา กรุณา และอย่าไปเห็นว่าเขาเป็นตัวเลวร้าย ให้เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เช่นเดียวกับ ศาสนาอื่น ศาสนิก อื่น ให้เห็นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เราควรจะสังสรรค์ เสวนากัน อย่างได้เรียนรู้ ซึ่งกันและกัน นี่ก็ในฐานะ กัลยาณมิตร นะครับ ก็เตือนด้วยความหวังดี ฝากเรียน พ่อท่านด้วยนะ ว่าระลึกถึงอยู่เสมอนะ
มาตรา ๓๘ ของรัฐธรรมนูญบอกไว้ชัดเจนว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ ในการนับถือ ศาสนา นิกายของ ศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพ ในการปฏิบัติ ตามศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติ พิธีกรรม ตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ ของพลเมือง และไม่เป็นการขัดต่อ ความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นี่คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ของประเทศ และในวรรค ๒ ยังเขียนไว้อีกว่า ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับ ความคุ้มครอง มิให้รัฐกระทำการใดๆอันเป็นการรอนสิทธิ หรือเสียประโยชน์อันควรมี ควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกาย ของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตาม ศาสน บัญญัติ หรือ ปฏิบัติตามพิธีกรรม ตามความเชื่อถือ แตกต่างจากบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นนานาสังวาสที่ว่านั้น ถ้าคุณจะนับถือศาสนาที่แตกต่างจากคนอื่น ก็เป็นเสรีภาพ ที่คุณจะ นับถือได้ ใครจะไปเกี่ยวข้องหรือควบคุมคุณไม่ได้ ซึ่งอันนี้ ก็สอดคล้องกับ ปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิ มนุษยชน ข้อ ๑๘ ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งประชาชาติ ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ประเทศไทยก็เป็นสมาชิก มีพันธะกรณี ที่ต้องเคารพ และปฏิบัติ ตามสิทธิมนุษยชนนี้ ข้อ ๑๘ บอกว่า บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพแห่งความคิด มโนธรรม และศาสนา สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพ ที่จะเปลี่ยน ศาสนา หรือ ความเชื่อถือ และเสรีภาพที่จะแสดงให้ศาสนาหรือความเชื่อถือ ให้ประจักษ์ ในรูปของ การสั่งสอน การปฏิบัติ กิจกรรม ความเคารพสักการะบูชา การสวดมนต์ และ การถือปฏิบัติพิธีกรรม ไม่ว่าจะโดยลำพัง ตนเอง หรือร่วมกับผู้อื่นในประชาคม และ ในที่สาธารณะ หรือที่ส่วนตัว นี่คือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิ มนุษยชน ซึ่งรัฐธรรมนูญ ของเรา จะให้สิทธิ ตรงนี้นะครับ ถ้าเราดูตามมาตรา ๒๔๐ และมาตรา ๑๘ เมื่อสักครู่นี้ แต่อ่านประกอบ กับรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕ บอกว่า ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิดเพศหรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครอง ของรัฐธรรมนูญนี้ เสมอกัน ทีนี้ เมื่อเราเป็นพลเมืองไทย เราก็มีสิทธิตามมาตรา ๓๘ ที่ผมพูด เมื่อสักครู่นี้ ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา ๕ โดยเท่าเทียมกับผู้อื่น เพราะฉะนั้น ๓๐ ปีนานาสังวาสที่ผ่านมานี้นะครับ ว่าโดยหลักแล้ว เมื่อก่อนนี้ ยังไม่มี รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ เราก็ได้รับ ความคุ้มครองตามปฏิญญาสากลว่า ด้วยสิทธิมนุษยชน และตามกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนั้นคือ เสรีภาพ ในการนับถือศาสนา มาตอกย้ำ ให้หนักแน่นขึ้น ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ เพราะฉะนั้นโดยกฎหมาย สภาพต่างๆนั้นดีขึ้น แม้จะพูดถึงในทางปฏิบัติ ผมคิดว่า ๓๐ ปี ที่ผ่านมา ที่สันติอโศก เคยถูกพิพากษามาแล้วในเรื่องที่ นานาสังวาส ผมคิดว่าบรรยากาศ ดีขึ้นนะครับ สันติอโศก ก็ดำเนินการต่างๆก้าวหน้ามาเรื่อยๆ มีผู้นับถือ มีผู้ปฏิบัติ มากขึ้น มีคนมาศึกษาหรือแม้แต่ชาวต่างประเทศ ก็มาศึกษา ถึงกิจกรรมที่สันติอโศก ได้ทำมา และ บ้านเมือง ก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับการดำเนินงาน ของ สันติอโศก อันนี้ ย่อมแสดง ให้เห็นว่า สันติอโศกได้ดำเนินภารกิจทางศาสนาต่อมา ด้วยความเปิดเผย ก้าวหน้า มาด้วยดี # จากการที่ท่านมาช่วยทำคดีให้สันติอโศกที่ผ่านมา
ท่านได้ข้อคิดอะไรจากการมาทำงานตรงนี้บ้างคะ? # มีอะไรจะแนะนำพวกเราบ้างไหมคะ? เพราะฉะนั้น ถ้ากลับมายึดมั่นตามคำสอนนี้ กินง่าย อยู่ง่าย พอเพียง เหมือนอย่าง ท่านสมณะ โพธิรักษ์ ผมเห็นแล้ว ผมก็ยังงงคนที่มีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า ในชีวิต ในงานที่ทำอยู่ แต่ต้องกลับมาอยู่ ในสบง จีวร ผืนเดียว เดินเท้าเปล่าในที่ทุรกันดารได้ ถ้าหาก มีคนอย่างนี้มากขึ้น โลกก็จะมีสันติสุข มากขึ้นครับ - บุญนำพา - - สารอโศก อันดับที่ ๒๘๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ - |