- ทีม สมอ. -

๓๐ ปี นานาสังวาส
เขตสมานฉันท์ ศานติวิถีพุทธ

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ๓๐ ปีแห่งการงานของชาวอโศก ภายหลังการ ประกาศ นานาสังวาส เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๘ นับเป็นช่วงเวลายาวนานเพียงพอที่จะพิสูจน์ ให้สังคม ได้รู้เห็น ยอมรับผลงาน หลายๆ ด้าน ที่ปรากฏ อีกทั้งยืนหยัดยืนยัน พิสูจน์ หลักธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า ก่อเกิดชาวพุทธนับพัน นับหมื่น อยู่รวมร่วมกัน อย่างสมานฉันท์ เปี่ยมด้วย พลังสร้างสรร เพื่อมวลมนุษยชาติ

จากบทสัมภาษณ์ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ แจกแจงความชัดเจนถึงหลักการนานาสังวาส เพื่อการ เข้าถึง นัยะ ลึกซึ้ง ของหลักธรรมบทนี้ อันเป็น พระบัญญัติ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งตราขึ้น สำหรับให้สงฆ์ไว้ยึดถือ เป็นแนวทางปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด มิควร เพิกเฉย เป็นอย่างยิ่ง


# สารอโศก ฉบับ ๓๐ ปี "นานาสังวาส : เขตสมานฉันท์ ศานติวิถีพุทธ" มีที่มาที่ไปอย่างไร?
- เป็นเรื่องของสังคม ชื่อนี้ก็ประมวลมาจากสังคม เพราะสังคมเดี๋ยวนี้มันเกิดสถานการณ์ คล้ายกับ ที่เกิด กับเรา กรณีนานาสังวาส มันเกิดโดยตรงกับเรามาก่อน ทีนี้เราไม่ต้องการ ที่จะให้มันแตกแยก เมื่อเกิดเรื่อง เกิดราวที่ไม่สมานสามัคคีกัน เราก็อยากให้สมานฉันท์ แม้ว่านานาสังวาส แปลว่าต่างกัน ซึ่งก็เป็นความจริง และเป็นสัจธรรมที่มันห้ามไม่ได้หรอก ที่จะไม่ให้มี ความแตกต่างกัน ความไม่มีอะไรเหมือนกันทีเดียวนั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นความจริง ทฤษฎีนานาสังวาสเป็นของพระพุทธเจ้า แต่เขาไม่ยอมรับกัน พระพุทธเจ้า มีพระปัญญาธิคุณ อันยอดเยี่ยม ท่านตราหลักนานาสังวาสไว้ให้ใช้ ซึ่งชาวศาสนาตรงๆ ก็คือ มหาเถร สมาคมเอง กลับทำเป็นเมิน หรือไม่ยอมรับพระบัญญัติของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่ นานาสังวาส เป็นหลัก พระธรรมวินัยแท้ๆ มันก็เลยวุ่นวาย ถ้ากระทบเราคนเดียว ก็ไม่เท่าไรหรอก แต่นี้มันผิดธรรมะ ของ พระพุทธเจ้า อย่าผิดธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย เมื่อปฏิบัติแล้ว ก็เห็นจริงว่า มันไม่ดี เราก็อยากจะให้ เขามาสนใจ มาศึกษา มาพิสูจน์สัจจะ ว่ามันดี คำว่านานาสังวาส มันไม่ได้เกิดแต่ในเฉพาะกลุ่มสงฆ์นะ มันเกิดทั่วไป ในโลก ในสังคม ถ้าจะพูดถึงสัจธรรมจริงๆแล้วมันลึกซึ้งมากในเรื่องนานาสังวาสนี้ คือ มันรวมกันอยู่ ร่วมกันอยู่ แต่ก็มีความแตกต่างหลากหลาย แล้วเราจะทำอย่างไรให้เกิดความสมานฉันท์ หรือ ให้เกิด ความสามัคคีกัน เราตั้งชื่อเรื่องว่า "ศานติวิถีพุทธ" ก็เพราะว่าเราเชื่อมั่นต่อพระพุทธเจ้า ในฐานะ ที่ท่านเป็น มหาปราชญ์ บรมปราชญ์จริงๆ ซึ่งท่านได้ตราหลักการของ มนุษยชาติ และของสังคมไว้ เพื่อให้เกิด ศานติ หรือสันติ หรือความสงบเรียบร้อย ไว้หมดแล้ว การจะรู้ว่า มันมีขอบเขต มีจุดต่าง และ มีจุดร่วม แล้วก็มีขีดเขตว่า ยุติกันตรงไหน อย่างไร พระพุทธเจ้า ท่านตราเอาไว้ชัดหมดเลย กำหนด กำกับอะไร ต่ออะไรเอาไว้ ถ้าเราปฏิบัติ อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านตราไว้จริง มันก็จะดีมากทีเดียว ศึกษากัน ให้ดีๆว่า ท่านตราไว้อย่างไร แล้วเอามาใช้ ให้ครบถ้วน ทั้งข้อหลัก ข้อย่อย ข้อประกอบ และข้ออะไรต่างๆ ที่มีหลักเกณฑ์ กำหนดไว้ สมบูรณ์เลย

เราจึงเห็นว่าควรหยิบหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่สำคัญมากมาแก้ปัญหาของสังคม เพราะทุกวันนี้ มันแตกแยก มันระหองระแหง มันทะเลาะวิวาท ไม่เป็นสามัคคีกันทั่วโลก เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่ เรื่องเล็กหรอก มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ หลักการความรู้พวกนี้ เป็นปรัชญา เป็นวิชาการ เป็นสูตร หรือทฤษฎี ที่เยี่ยม ของพระพุทธเจ้า ควรหยิบมาศึกษา แล้วก็เอามาปฏิบัติใช้กันจริงๆจังๆ ก็จะเกิดความศานติ ด้วยวิธี ของพระพุทธเจ้า หรือ ด้วยวิถีพุทธ


# คำว่า "นานาสังวาส เขตสมานฉันท์" ทำไมนานาสังวาสจึงเป็นเขตสมานฉันท์ ?
- มันไม่ใช่นานาสังวาสเป็นเขตสมานฉันท์ นานาสังวาสเป็นชื่อของวิธีการ หรือหลักการปฏิบัติ เมื่อเกิด ความคิด ยึดถือแตกต่างกันแล้ว แต่เราก็ยังต้องอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้น ก็ต้องใช้ หลักเกณฑ์ ที่ท่านตราไว้ อันคือหลัก นานาสังวาส เมื่อมันเกิดเหตุการณ์เช่น กรรมต่างกัน อุเทศต่างกัน คือมีกรรมต่างกัน เช่น กิจกรรม ต่างกัน พฤติกรรมต่างกัน พิธีกรรมต่างกัน ซึ่งมีการปฏิบัติ มันต่างกันแล้ว อุเทศ การอธิบาย หัวข้อ เรื่องราว หรือ ขยายความหมาย อะไรพวกนี้ ก็ต่างกันหมด หรือแม้แต่ศีลก็ไม่เสมอสมานกันแล้ว เมื่อมันต่างกัน อย่างนี้ และไม่สามารถตกลงกันได้แล้ว ถ้าใช้หลัก"นานาสังวาส" ก็เหมือนมา เซ็นสัญญาว่า เอ้า! ตกลง เราจะใช้หลัก นานาสังวาสกันนะ พอเริ่มใช้หลักนานาสังวาสก็จะเกิดเป็น ๒ ฝ่าย ซึ่งถ้าอยู่ร่วมกัน โดยพยายามจะใช้หลักของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในการตัดสินอีกฝ่าย มันก็จะ ทะเลาะกันไป ทะเลาะกันมา แต่เมื่อแบ่งสายความต่างซะ อันนี้ต่างกันก็ฝ่ายหนึ่ง อันนี้ต่างกัน ก็อีกฝ่ายหนึ่ง แต่เราจะไม่ทะเลาะกัน เราต่างคนต่างปฏิบัติ แล้วถ้าเกิดมีปัญหา ความเห็นต่างขึ้น เราอย่าไปพูดท้วงคนนั้น อย่าไปอธิกรณ์เขา เมื่อแยกกันแล้ว เราก็ต่างคน ต่างทำ ตามความเห็นของเราไป หลักเกณฑ์อะไรควรทำได้ แค่ไหนๆ แม้แต่ ปฏิกโกสนา หรือว่าจะ ทิฏฐาวิกัมม์ อย่างไร อันคือ การกล่าวว่ากัน ก็ว่าได้ขนาด ทิฏฐาวิกัมม์นะ อย่าว่ากัน ถึงขั้น ปฏิกโกสนา การว่ากันมันก็จะมีการกระทบกัน ท้วงกัน ต่อว่ากัน ถ้าแรงเกินไปเป็น ปฏิกโกสนา นี่คือ เกินเขต เพราะฉะนั้น เขตขนาดนี้นะ ว่ากันมันก็ต้องมีการกระทบกันบ้าง มีเขตขนาดไหน ถือว่าอย่างนี้พอดี เป็นสมานฉันท์ อย่างนี้อยู่ด้วยกันได้ คืออย่าให้มันรุนแรง จนเกิดเรื่อง หรือจะว่ากันก็ว่ากันด้วยเจตนาที่จะ บอก ความจริงของตนเอง หรือจะตำหนิ คนอื่นบ้าง ก็พอสมควร ถ้าใครตอบโต้มายังไง ก็อย่าไปเอาเรื่อง เอาราวกันจริงจังนัก นี่คือ ทิฏฐาวิกัมม์ พูดได้ในขอบเขตนี้ จะกล่าวความจริงเมื่อถึงเวลาครั้งคราวที่จำเป็น จะต้องพูด ต้องกล่าว ต้องตอบโต้อะไร หรือว่าจะกล่าวความจริง จะอธิบายความจริงอะไร หรือ จะถกเถียง กันหน่อย ก็แล้วแต่ หรือว่าจะรายงาน จะบอกอะไรก็แล้วแต่ ก็อย่าให้มันเป็น การกระทำ จนกระทั่งเกิดเรื่อง แล้วอย่าหมายใจเอาเป็นเอาตาย เป็นแต่เพียงว่า แสดงออก เท่านั้นก็พอ อีกฝ่ายหนึ่งรับทราบแล้ว จะปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติ หรือจะเกิดอะไรขึ้นมา ทางโน้น ก็ต้องรับฟังบ้าง ไม่ใช่ฟังใครพูดถึงข้อด้อย ข้อเสีย ข้อไม่ดี อะไรของเรา แล้วก็แสดง ความวู่วาม อะไรออกมา คล้ายๆ อย่างนั้น ท่านก็ตราไว้ในพระธรรมวินัยที่จะให้รู้จัก การควบคุม อารมณ์ เมื่อต่างกันแล้วมันก็เป็นธรรมชาติที่จะว่าของเราดี ของเขาไม่ดี ของเราถูก ของเขาผิด มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ต้องมีกันบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้ามีแล้วก็อย่าไป เจตนารุนแรง ถึงต้องมี ทั้งหลัก ทิฏฐาวิกัมม์ และหลักปฏิกโกสนา อย่างที่ว่า แล้วยัง มีหลักการอย่างอื่นอีกเยอะแยะ มีรายละเอียดย่อยๆ อะไรอีกมากในหลัก นานาสังวาส ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราควรจะเอาหลักเหล่านี้มาใช้ในสังคม แล้วมัน ก็จะเกิดเขต สมานฉันท์ คือรู้ว่า ขอบเขตที่เหมาะสม ทำได้เท่านี้ อย่าไปกระทำมากกว่านั้น จนไประราน อะไรกัน เป็นต้น เขาเรียกว่าเขตสมานฉันท์ ถ้าทำได้ ก็จะเกิดการศานติ เกิดความสงบ เรียบร้อย ด้วยหลักการ และด้วยวิธีการปฏิบัติในแบบของพุทธ


 

# นานาสังวาสทำให้เกิดศานติวิถีพุทธได้อย่างไร ?
- สุดยอดเลย ถ้าหากศึกษาให้ดีๆแล้ว นานาสังวาส คือหลักการของพระพุทธเจ้าที่ท่านตราไว้ อาตมาเอง ก็ต้องตรวจสอบ เพราะว่าเราเกิดเหตุนานาสังวาสกัน เราก็ต้องตรวจ เท่าที่ดูๆ แม้ไม่ได้เป็นนักศึกษา ที่ละเอียด ลึกซึ้งอะไรนัก ไม่ใช่ขั้นปราชญ์ราชบัณฑิต ก็เห็นว่า นี่เป็น หลักการ ที่ยอดเยี่ยม ลึกซึ้ง ท่านตรา เรื่องนี้ไว้ ตั้งแต่สมัยยุคสังคมเป็นสังคมทาส ทาสก็เป็นคน แต่ไม่มีสิทธิเสรีภาพอะไรเลย ไม่รู้เรื่องสิทธิ เสรีภาพ อะไรด้วยซ้ำ ผู้คนยัง ไม่รู้ตัวเองว่ามีสิทธิอะไรในความเป็นคน เหมือนวัวเหมือนควาย แท้ๆเลย และยิ่งกว่านั้น ในสมัยนั้น เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นราชาธิปไตยสมบูรณ์ด้วย อาญาสิทธิ์ พระพุทธเจ้า ทรงพระกรุณาธิคุณ ทรงพระปัญญาธิคุณ ตรานานาสังวาสนี้ไว้ ตั้งแต่ยุคโน้น ซึ่งคนทั้งหลาย ยังไม่รู้จักหรอกประชาธิปไตย อิสระเสรี อะไรพวกนี้ อย่าไปพูด มันไม่รู้เรื่อง สิทธิโน่น สิทธินี่ สิทธิในวัตถุ สิทธิในการแสดงออก สิทธิในความนึกคิด สิทธิในความเป็นคน หรือ แม้แต่สิทธิมนุษยชนอะไรนี่ ไม่มีความรู้ อะไรกันเลย แต่ท่านตราอันนี้ไว้ ล่วงหน้า ตั้งเป็น พันปีมาแล้ว คิดดูสิ มันเป็นเรื่องของการแสดงถึง อิสระ เสรีภาพ แสดงถึงความอย่ากดขี่กัน อย่าเผด็จการกัน ถ้าไม่เช่นนั้นมันจะเกิดการข่มเหงกัน ผู้ที่มีอำนาจมาก จะกดขี่ คนมีอำนาจน้อย โดยหลักนานาสังวาสนี้จะป้องกันไม่ให้คนกลุ่มใหญ่ ข่มเหงคนกลุ่มน้อย ถ้าไม่ตราว่า ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างคิดเห็นอย่างไร ก็ปฏิบัติของตนเอง ตามที่เชื่อถือ แบ่งเขตกันไว้ ก็จะเกิดการละลาบละล้วงกัน กดขี่กัน จึงมีหลักเกณฑ์นี้ พวกผู้น้อย ก็ให้สิทธิเขาบ้าง ซึ่งอันนี้ คล้ายๆ กับภาษาสากลที่เขาใช้ว่า Majority Rule Minority Right คำนึงถึงสิทธิของผู้น้อยบ้าง ไม่ใช่ไปกดขี่ ข่มเหงอะไรกันมากมาย ซึ่งมันเป็น ความก้าวหน้า เป็นพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ยุค ๒,๕๐๐ กว่าปีก่อน ซึ่งผู้คน ยังไม่รู้ อีโหน่อีเหน่อะไรเลย แต่เพราะพระพุทธเจ้ามีพระปัญญาธิคุณ ท่านก็บัญญัติ สิ่งสุดยอดนี้ ทฤษฎีนี้เอาไว้ หรือจะเรียกว่าเป็นหลักกฎหมายก็ได้ ธรรมนูญก็ได้

อาตมาว่าทุกวันนี้ผู้คนได้ตรากฎหมายเพื่อที่จะป้องกันการทะเลาะวิวาท ความแตกแยก ความไม่สมาน สามัคคี นี้ไว้เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เท่าพระพุทธเจ้าเลย จึงยิ่งใหญ่มาก สำหรับ หลักการของนานาสังวาส เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ศึกษาดีๆ เรียนรู้หลักการของท่านให้ชัดๆ เช่น อย่างการ ขอแยกของเรา ก็ยอมรับกันแล้ว เสร็จแล้ว อย่ามาอธิกรณ์กัน อย่ารื้อฟื้นกัน อย่าเอา คดีของคนนี้มา คนนั้นมาทำเหมือนอย่างที่เราโดน เราแยกเป็น นานาสังวาส ออกมาแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ ทางโน้นก็แสดงออกว่า เขายอมรับรู้แล้วว่า เราลาออก เราไม่ได้อยู่ในปกครอง ของเขา ตกลงแล้ว เสร็จแล้ว กลับรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ กลับบอกไม่ได้ ออกไม่ได้ ต้องกลับไปอยู่ อย่างเก่า อย่างนี้ก็ผิดหลัก ที่ท่านเรียกว่าหลัก อุกโกฏนะ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นการ ไม่ยุติธรรม ด้วยการรื้อฟื้น ถ้าเผื่อว่าขืนทำก็เป็นเรื่องที่ผิดพระธรรมวินัย เป็นเรื่องโกงแล้ว เป็นเรื่อง ไม่ซื่อสัตย์ แล้ว อุกโกฏนะ คืออย่าไปรื้อฟื้น เมื่อเรื่องจบไปแล้วเสร็จ ก็อย่าไปกลับคำ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น การจะรื้อฟื้น กลับมา หรือจะเรียกว่า ฟื้นเรื่องขึ้นมาใหม่ ก็ผิดหลักเกณฑ์ เป็นเรื่อง ของความโกง เป็นเรื่องของ ความลำเอียง ในใจตนเอง จึงเป็นการรื้อฟื้นเรื่องที่ ตกลงไปแล้ว ผิดก็มากลับว่าถูก ถูกก็มากลับว่าผิด กลับไป กลับมา อย่างนี้ไม่ได้ เป็นต้น หลักการต่างๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ถ้าไม่งั้น ตกลงกันเสร็จแล้ว ก็กลับไป กลับมา อย่างนี้ มันก็ตายกันพอดี

ส่วนวิธีการจะแยกออกมาเป็นนานาสังวาสได้อย่างไร คนหมู่น้อยหรือส่วนตัวบุคคลเอง จะขอ แยกออกมา ก็ได้ หรือคนหมู่ใหญ่เห็นว่าคนนี้ควรจะให้แยกไปอยู่ต่างหากเป็น นานาสังวาส ก็ได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่า สมควรจะเป็น นานาสังวาส ก็ให้หมู่ใหญ่ จัดการประกาศ บอกว่า คนนี้ไปเป็นนานาสังวาสแล้วนะ หรือ ถ้าคน หมู่น้อยเองลาออก อย่างเราเอง ที่ขอแยก นานาสังวาส ออกมา ก็ทำได้ในอีกทางหนึ่ง

หลักการของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสเรื่องนี้ไว้นั้น ด้วยพระสัพพัญญุตญาณแท้ๆเลย ลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่ แต่คน ไม่ศึกษาสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ศึกษาสิ่งที่ดีวิเศษพวกนี้ เอาไว้ใช้ในชีวิต ในองค์กร ในระบบ ระบบ ราชการ ระบบการเมือง หรือระบบการบริหาร การปกครอง ซึ่งจำเป็น ต้องใช้ทั้งนั้น แต่เขาไม่ศึกษา แล้วก็นำ มาใช้ประโยชน์กัน


# หรือว่าสงฆ์หมู่ใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องนานาสังวาสละเอียด ลึกซึ้ง ?
- เราไม่รู้ความจริง ถามเรื่องนี้เราก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าให้คาดคะเนตีความ ก็อาจจะเพราะว่า เขาไม่รู้ ไม่มี ความรู้ ในเรื่องนานาสังวาส ตีความอย่างนั้นก็ได้ แต่อาตมาไม่เชื่อว่า เขาจะไม่มี ความรู้เรื่อง นานาสังวาส เพราะเขาก็เป็นผู้รู้ ผู้ฉลาดผู้เฉลียวในหลักเกณฑ์ของศาสนา อยู่แท้ๆ นั่นหนึ่ง สอง สมเด็จพระสังฆราช องค์นี้ ท่านเคยร่วมลงชื่อในการยืนยัน ความเป็น "นานาสังวาส" ไม่ยอมรวมกับฝ่าย มหานิกาย ตามที่ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๔๘๔ ตราขึ้น บังคับ ตั้งแต่ตอนนั้นท่านยังมีสมณะศักดิ์เป็นที่ พระโศภนคณาภรณ์ ท่านยัง ลงชื่อ ร่วมกับคณะ ขอแยกด้วย ซึ่งประวัติอันนี้ก็ไม่ใช่ไม่รู้กัน เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วๆไปอยู่ อาตมาเอง ไม่ใช่นักการศึกษา เท่าไรเลย ยังรู้เลย เพราะฉะนั้น นักการศึกษาจริงๆยิ่งต้องรู้ อาตมาถึง ไม่เชื่อหรอกว่า ทางโน้นจะไม่รู้ ทีนี้ถ้าเผื่อว่าทางโน้นทำทั้งที่รู้ๆนี่แหละ น่าเกลียด ตรงนี้ น่าเกลียดมากเลย แล้วก็มา กลับคำ กลับลำ มาเล่นงานเรา ทั้งๆที่เราขอแยก นานาสังวาส ออกมาแล้ว ท่านก็ตกลง รับรู้แล้ว ว่าเราไม่ขออยู่ ในปกครอง เพียงแต่ไม่ใช้ศัพท์คำว่า นานาสังวาส เท่านั้น แต่พฤติกรรมเป็น นานาสังวาส แล้ว ซึ่งทางโน้น ก็ตกลง ท่านก็อยู่ ของท่านไป แยกการปกครองเสร็จเรียบร้อย ตั้งแต่ตอน พ.ศ.๒๕๑๘ แล้วพอมาถึง พ.ศ. ๒๕๓๑ พ.ศ.๒๕๓๒ กลับมารื้อฟื้นขึ้นใหม่ แสดงว่าช่วงนั้นก็มีหลักฐานเอกสาร ต่างๆ นานา ยืนยันว่า เขารับรู้ ว่าเราขอแยก และไม่ได้อยู่ในปกครอง ขอแยกออกมาดูแลกันเอง เป็น นานาสังวาส ในลักษณะ ของพฤติกรรมแล้ว แต่วันร้ายคืนร้ายก็มากลับบอกว่า ไม่ได้ ซึ่งพูดไป ก็อย่างนั้น มันไม่ดี ไม่อยาก จะพูดมากว่า ท่านรู้ แต่ท่านทำไมยังทำ ไม่อยากจะพูด

เหมือนคนในประเทศปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้นั้นแหละ เมื่อมาอยู่ในวงการศาสนา เป็นภิกษุแล้ว จะบอกว่า ไม่รู้ธรรมวินัย อันนี้ปฏิเสธไม่ได้ เหมือนคนปฏิเสธว่า กฎหมาย ออกมาแล้ว คนทุกคน จะพูดว่า ไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อมาบวชเป็นภิกษุแล้ว จะบอกว่า ไม่รู้ธรรมวินัย พูดไม่ได้ ยิ่งเป็นผู้บริหาร ปกครอง ถ้าบอกว่าไม่รู้พระธรรมวินัย ก็ยิ่งเจ๊งสิ เพราะเท่ากับไม่ทำตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า หากจะพูดกัน โดยสัจธรรมแล้ว ก็เป็นบาป ต้องรับบาป รับกรรม รับวิบากอกุศลกรรมไป อันนี้ไม่ใช่เรา ไปว่านะ มันเป็น สัจธรรม แต่เรื่องที่เราถูกกดขี่ข่มเหง เราโดนมาอยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร เราก็ยอมรับ ทนเอา ต่อสู้เอา โดยสู้ด้วยวิธีสงบ ศานติ


# มีผู้มองว่าการที่สันติอโศกถูกเล่นงานจากพุทธกระแสหลัก เพราะการประกาศ แยกตัว ออกมาเป็น นานาสังวาส ถ้าอยู่กับเขาก็คงไม่มีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้น พ่อท่านคิดว่า ๓๐ ปี ที่ได้ประกาศ แยกตัวออกมา เกิดผลดี -ผลเสีย คุ้มกันหรือไม่ ?
- คุ้มแสนคุ้ม ที่อาตมาต้องประกาศแยกตัวออกมาก็เพราะ พฤติกรรมของท่าน ทำกับเรา มันมากมาย แล้วเรา ก็กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ท่านมีอำนาจจริงๆ อำนาจทั้งในทาง ที่ท่านเป็นใหญ่ อำนาจทั้งในทาง ที่ท่านเป็นผู้ควบคุมบังคับใช้กฎหมาย ทั้งหลักเกณฑ์ ต่างๆ ที่ท่าน จะตีความด้วย เราก็บอกว่า ตีความอย่างนี้ เราไม่รับด้วยนา แต่เราก็ไปแย้งอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาตมา พิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าขืนอยู่ต่อไป เราคงถูกครอบงำ จนกระดิกกระเดี้ย อะไรไม่ได้ ทั้งๆที่เราเห็นว่าอันนี้มันไม่ถูกต้อง แต่เราไม่มีสิทธิที่จะไป แก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง อะไรได้เลย มันก็จะกลายเป็นว่า ธรรมะจะถูกเบี้ยว จะถูก กลบ ถูกฝัง สูญเสีย แล้วก็จะตายไป อาตมา คิดว่าเมื่อชีวิตนี้เรามาทำงานศาสนา เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องทำ ตามสัจธรรม เพราะมันเป็นเรื่องของสัจธรรม อาตมาไม่ได้เจตนาว่าจะทำ นานาสังวาส ตอนแรกๆ ไม่รู้ละเอียดลออ ถึงเรื่อง นานาสังวาสอะไรมากมายด้วยซ้ำ แต่มันเป็นไป โดยสัจธรรม พระพุทธเจ้าท่านเอาสัจธรรมมาตรัส มาบัญญัติ มากำหนดเป็นหลักเกณฑ์ อะไรต่างๆ เมื่อมันเป็นจริงตามสัจจะมันก็จะเป็นความจริง แบบนี้แหละ จึงไม่ต้องกล่าว ภาษาว่า นานาสังวาส แต่มันก็คือลักษณะเดียวกัน

ทีนี้เมื่อแยกออกมาแล้วถามว่ามันดีไหม ถูกต้องไหม ก็ปรากฏว่ามันมีเหตุผลดี มหาศาลเลย ในช่วง ๑๐ กว่าปีแรก ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ ที่เขายังไม่รื้อฟื้น ไม่เอาเรื่องกับเรานั้น เราสามารถ ทำงาน จนเกิดหมู่มวล มีหมู่กลุ่ม มีคณะ และมีการพัฒนา ในหมู่กลุ่มพวกเรา ให้เกิด ความเจริญ มีการบรรลุมรรคผลอย่างจริงขึ้นมา จนกระทั่งเกิดมวลมนุษยชาติ ที่ได้ปฏิบัติ ตามแนวทางที่อาตมาอธิบายว่าอันนี้มันถูกต้อง ศาสนาต้องปฏิบัติ ตามทฤษฎีอย่างนี้ ที่อาตมา เพียรพากันทำ พอมาถึงปี พ.ศ.๒๕๓๒ เขาก็ฟ้องร้อง แต่เราก็อยู่อย่างสงบ แม้ตอน ถูกฟ้อง เราก็ไม่ได้ถูกกล่าวหา หรือถูกใครต่อใครต่อว่าเราเป็นพวกที่รวน เป็นพวกที่ไม่สงบ เป็นพวก กระด้าง แต่เขามาว่าเราเป็นพวกหัวแข็ง พวกดื้อด้าน ซึ่งที่จริงเราไม่ใช่ ดื้อด้าน ถ้าเข้าใจคำว่า "ดื้อด้าน" กับคำว่า "ยืนหยัด" นี่มันต่างกัน เรายืนหยัด ยืนยันว่าอันนี้ถูกต้อง เป็นสัจธรรม แต่ไม่ใช่ดื้อด้าน เราอ่อนน้อม ถ่อมตน สุภาพอยู่ตลอดมา เราไม่ได้ดื้อด้าน ดึงดัน แต่เราไม่ยอมทำตาม ในสิ่งที่เราเห็นว่า ไม่ถูกต้องเท่านั้น เรายอมในสิ่งที่เรายอมได้ จะถูกกดขี่ ข่มเหง จะถูกบังคับอย่างไร ถ้าเห็นว่าพออนุโลมได้ เราก็ยอมเขาตลอด เราไม่ได้ดื้อด้านเลย แต่เราต้อง ยืนยันสัจธรรม แม้จะฟ้องร้องจนแพ้คดี ก็เป็นการพิสูจน์ว่า ถึงแพ้คดีแท้ๆ เราก็ปฏิบัติธรรมะ ตามที่เราเข้าใจ ดังที่เราเห็นนี่แหละ เพราะเราเชื่อว่า อย่างนี้นี่แหละ ถูกต้อง จากปี พ.ศ. ๒๕๓๒ มาถึงวันนี้ ก็เกิดธรรมะนั่นแหละสร้างคน ธรรมะทำให้คนเกิดการพัฒนา ขึ้นมา เป็นกลุ่มเป็นหมู่ ชาวอโศก ในสังคม เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเป็นอย่างไร ก็ตอบว่า เป็นผลที่ดีมากเลย เมื่อเกิดเหตุการณ์ ที่ทางโน้น ทำกับเราเองก็จบ เป็นการสุดสิ้นเสร็จเรื่อง ต่างคนก็ต่างอยู่ เป็นนานาสังวาสกันจริง ถึงท่าน จะมาเรียกเราว่าเป็นสังฆเภท แต่เราก็ ไม่ได้เป็นคนทำ เราแค่ทำนานาสังวาสกับสงฆ์หมู่ใหญ่ ถึงท่านจะมา บอกว่าเราเป็นนิกาย เป็นสังฆเภทก็เรื่องของท่าน ใครจะพูดเองก็ของใครของมันนะ เราไม่รับด้วย เราถือว่า เป็นนานาสังวาสกัน แล้วเราก็ปฏิบัตินานาสังวาสกับสงฆ์หมู่ใหญ่ ทุกวันนี้เมื่อสงฆ์หมู่ใหญ่ จะมาสังสรรค์ จะมาร่วมกับเราในส่วนที่ร่วมกันได้ตามวินัย หรือตามกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ เราก็ปฏิบัติ ด้วยกันได้ ที่สุดแม้แต่ภิกษุของสงฆ์หมู่ใหญ่ จะมาทำร่วมกับเรา ในส่วนนั้นส่วนนี้ หรือจะมาลองศึกษา ลองพิสูจน์ ลองคบค้ากัน จนกระทั่งสุดท้าย เห็นดี เห็นชอบ จะเข้ามาอยู่ในหมู่เรา ก็สามารถมาอยู่พิสูจน์ จนรับเข้าหมู่เป็น สมานสังวาสได้ เราไม่ได้ปฏิเสธอะไรเลย เพราะเราปฏิบัติกับทางสงฆ์หมู่ใหญ่อย่าง นานาสังวาส ตามพระธรรมวินัย แต่ทางท่านเล่นแข็งเลย มองเราเหมือนกับนิกายใหม่เลย ก็ไม่รู้จะว่า อย่างไร


# กรณีปัญหาไฟใต้ พ่อท่านคิดว่าจะเอาหลักนานาสังวาสของพุทธไปเพิ่มความสมานฉันท์กันได้ไหม ?
- มันไม่ใช่นะ นั่นมันไม่ใช่นานาสังวาสแล้ว เพราะว่าศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลาม เป็นคนละ ศาสนา ซึ่งมันยิ่งกว่านิกายอีก มันเป็นคนละลัทธิ คนละศาสนา มันยิ่งใหญ่กว่า ที่ควรจะถาม ควรจะพูดจริงๆแล้ว มันต่างกันคนละศาสนา แต่มันก็สมานกันได้โดยสัจธรรมอยู่แล้ว ในโลก ถึงแม้จะต่างคนต่างปฏิบัติ ลัทธิใครลัทธิมัน ทางใครทางมัน แต่ความเป็นมนุษยชาติ เราก็คบคุ้นกันได้ ประสานกัน กินข้าวร่วมกัน โดยเฉพาะเรามังสวิรัติ มุสลิมกินกับเราได้ สบายเลย คุยกัน มีเรื่องดีๆมาแบ่งกัน โต้กัน แต่เราก็ไม่ทะเลาะ วิวาทกัน ไม่ด่าทอกัน ถึงความเห็นจะต่างกัน คุณยึดอย่างนั้น คุณเป็นเทวนิยม เราเป็นอเทวนิยม มันก็ต่าง กันไป ต่างคนมีสิทธิจะพูดว่าเราไม่ชอบแบบนั้น เราชอบแบบนี้ ก็เป็นสิทธิของแต่ละคน เพราะมัน เป็น เรื่องจริง เราไม่ชอบหรอกสีขาวเพราะเราดำ หรือเราไม่ชอบหรอกสีดำ เพราะเราขาว มันก็เป็นสัจจะของ แต่ละคน เขาไม่ได้พูดผิดอะไร และมันก็เป็นสิทธิเสรีภาพ ที่จะพูด ความจริงอันนั้น ถ้าใครถือสาก็โกรธเอง หากใครไม่ถือสา มาว่าฉันผิด ว่าฉันไม่ดี มาว่า ฉันไม่งาม ไม่ชอบของฉัน คุณจะบังคับเขาให้ชอบได้ยังไงล่ะ เมื่อเขาเห็นว่า อันนั้น สู้อันนี้ไม่ได้ เขาก็เลือกอันนั้น นี่เป็นสิทธิมนุษยชนในโลก ถ้าไม่ล้ำเขตเขาก็ไม่ถือ เพราะฉะนั้น เราจะต้อง รู้จักประมาณพวกนี้ด้วย และเราก็ต้องใช้ภาษา ใช้ความเป็นอยู่ที่จะอยู่ร่วมกัน ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันพอเหมาะพอควรไป

เรื่องนี้จึงจะนำหลักนานาสังวาสไปใช้ไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอมรับหลักเกณฑ์นี้ ต่างคน ต่างจะเอา หลักเกณฑ์ ของตัวเอง แต่ถ้าเป็นนานาสังวาส เราชาวพุทธด้วยกัน ก็เอาหลักของ พระพุทธเจ้ามาใช้ด้วยกันก็ได้ แต่เอา หลักเกณฑ์ของพุทธไปให้ศาสนาอื่นใช้มันไม่ได้หรอก เพราะต่างคนต่างหลักเกณฑ์ของพระศาสนา แต่ก็ สมานกันได้อยู่แล้ว โดยสังคมรอบกว้าง ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติ เมืองไทยเรามีหลายศาสนา แต่ก็อยู่กันได้ ไม่ได้คิด ฆ่าแกงกัน ทะเลาะ วิวาทกัน ต่างคนต่างนับถือกันไป เป็นเสรีภาพของโลกสังคมประชาธิปไตย


# ปัญหาภาคใต้ ในฐานะนักการศาสนา พ่อท่านมีอะไรแนะนำรัฐบาลไหม ?
- อาตมาเคยแนะนำไปแล้ว แต่มันจะไหวไม่ไหวก็ไม่รู้ เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหา ภายใน ประเทศไทย เท่านั้น มันมีส่วนที่เกี่ยวพันกับกระแสโลกด้วย ตอนนี้อาตมาก็กล่าวได้ เหมือนกับหลายๆคนเคยกล่าว เกี่ยวพัน กล่าวมาแล้วว่า ทุกวันนี้มันเป็นสงครามครูเสด ระดับโลก เป็นสงครามครูเสดแบบสมัยใหม่ที่มันเกิดแล้ว เกิดจริง เกิดขึ้นในกลุ่มของ พวกนับถือศาสนา กลุ่มหนึ่งกระทำกับพวกถือศาสนาอีกกลุ่มหนึ่ง แบ่งกันเป็น ๒ ฝ่ายทั้งโลก เหมือนเป็น สงครามครูเสดในสมัยก่อน ซึ่งเขาถือว่า เป็นสงครามระหว่างชาวอิสลามกับ ชาวคริสต์ สมัยนี้ก็มีลักษณะคล้ายๆเหมือนอิสลามกับคริสต์ แต่มันไปผนวกกันกับ คนที่ ถือพรรคถือพวกอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งกว้างกว่าสมัยโบราณ สงครามครูเสด สมัยโบราณ มันจำกัด ขอบเขต ในบริเวณหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ เป็นยุค ไร้พรมแดนทุกอย่าง มันเกี่ยวเนื่องกันหมด เราก็ต้อง ตกอยู่ในส่วนนั้นด้วย ใครจะอยู่ฝ่ายไหน เอียงข้างไหน ใครจะว่าอะไร เราก็ไม่ได้ หลุดพ้น ไปจากบ่วง ที่เขาเข้าใจอันนี้ด้วย ผลกระทบที่มันเกิดเป็น สงคราม มันเกิดหางเลข ของสงครามครูเสดยุคนี้ เพราะทางใต้เราเป็นพวกอิสลาม แต่ก็เป็นเมืองไทย เป็นประเทศไทย ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอิสลาม แม้ไทยจะเป็นเมืองพุทธ ไม่มีชาวคริสต์ เป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นบทบาทของทางด้านศาสนาอิสลามก็เชื่อมเข้ามาต่อ เข้ามามีอิทธิพล เข้ามา มีเรื่องราวไปด้วย ในประเทศของเรา มันก็เลยไม่ใช่เรื่องเฉพาะแต่ว่า มีคนคิดจะแยกดินแดน จังหวัดทางภาคใต้ ในเมื่อ มีกำลังของผู้ที่จะให้เกิดความวุ่นวาย เข้ามาสมทบด้วย เราไม่รู้นะ ว่าเขาให้ทุนให้รอนกันหรือไม่ เพื่อที่ให้ ไปก่อเรื่องก่อราวอะไรขึ้นมา แต่อาตมาว่า คงมีอิทธิพล ทางโน้นผสมผสาน เชื่อมโยงอยู่บ้าง แม้เขาไม่ได้ ให้ทุน ผู้ที่คิด จะแยกดินแดน แต่ก็ถือเอา เหตุนี้ มาเป็นเรื่องได้ เอามาผนวกเข้าไปได้ เพื่อเบี่ยงเบนว่า ไม่ใช่ฉันนะ แต่เป็นพวก ก่อการร้าย ของโลกขณะนี้ก็ได้ นั่นหนึ่ง ส่วนที่สอง อาตมาคิดว่าเรื่องนี้ ถ้าคิดลึกๆ อย่างชาวพุทธแล้ว เราต้องกล้าหาญอย่างพุทธ เมื่อคนเขาอยากได้ ๓ จังหวัดนี้ ไปบริหาร ปกครอง อาตมาว่า ผู้บริหารประเทศไทยควรจะกล้าหาญ ให้ไปเลย แต่การให้ ต้องมีเงื่อนไข นะ ต้องมีเหตุผล ต้องมีหลัก ความจริง อย่างสมบูรณ์พอที่จะให้ คือ เอาเลย ผู้ที่จะเข้ามา บริหาร ๓ จังหวัดภาคใต้ หรือจะก่อตั้งรัฐใหม่ หรือเป็นประเทศใหม่ก็ตาม คุณปรากฏตัว ออกมาพบกันเลย กับเจ้าหน้าที่ของประเทศเราคุยกันให้ชัดว่า ตกลง ถ้าคุณ จะขอแยกอันนี้ ก็ให้คุณไปพูดคุยกับประชาชน ๓ จังหวัด ว่าคณะคุณจะเข้ามาบริหารนะ ให้เวลา คุณพูดเลย ๒-๓ เดือน หาเสียงว่างั้นเถิด แล้วให้ประชาชนใน ๓ จังหวัดดังกล่าวโหวต ถามเสียง ประชาชนกันเลย ถ้าเสียงประชาชนส่วนใหญ่จะเอาผู้บริหารชุดใหม่ ก็เอาไปเลย แล้วทำสัญญาว่า คุณต้อง บริหารให้ดีนะ ให้ประชาชนอยู่อย่างเป็นสุข ไม่ละเมิดสัญญา ข้อนั้น ข้อนี้ก็เขียนไป ไม่ข่มขี่ประชาชน อย่างนั้น อย่างนี้นะ มิฉะนั้นจะเอาคืน ต้องมาร่าง สัญญากัน เป็นสัญญาที่ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เป็นหลัก

นั่นหมายถึงคุณโหวตชนะ แต่ถ้าคุณโหวตแพ้ ประชาชนไม่เอาพวกคุณ โดยต้องการจะเป็น ๓ จังหวัด ของประเทศไทยอย่างเก่า คุณก็ต้องหยุด เลิก คุณอย่ามาฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างนี้อีก นี่คือ วิธีการที่อาตมาคิด และอาตมาก็เชื่อว่า ชาวไทยมุสลิมใน ๓ จังหวัดนั้นเป็นคนไทย เขาไม่อยาก ไปเสี่ยง ให้คนมาชุบมือเปิบ เข้ามาเป็นนายปกครอง อย่างไม่รู้อนาคตหรอก แต่ท่านผู้บริหาร ประเทศไทยจะเอากันไหม ท่านจะทำได้ไหม ก็เรื่องของท่าน เพียงแต่ อาตมาคิดว่า นี้จะเป็น ทางออกได้ มิฉะนั้นเรื่องนี้ ไม่จบหรอก มันมีอิทธิพลข้างนอก เข้ามาปนเป กันอยู่ แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะมีทางจบ

เรื่องนี้ถ้าจะทำ ต้องทำกันอย่างเปิดเผยทั่วโลก ทำกันต่อหน้าพยานที่เป็นตัวแทน จากประเทศ ต่างๆ คุณมีสิทธิ ที่จะคิดว่าคุณบริหารดีกว่าก็ไม่ว่ากัน อยู่ที่ประชาชนเอาคุณไหมล่ะ คุณเป็นใคร คุณมี goodness มี good will ขนาดไหน ประชาชนจะรับคุณแค่ไหน ถ้าประชาชน รู้จักคุณดี ต้องการคณะ ของคุณ ก็ตกลง เรื่องก็จะได้จบ แล้วก็ว่ากันไป ตามหลักเกณฑ์ ของสัญญา แต่ถ้าคุณทำตามไม่ได้ คุณต้องคืน ๓ จังหวัดมา ถ้าทำได้ คุณก็บริหารไป หากคุณ ทำให้เจริญงอกงามได้ เราก็สบายใจ ประชาชน ก็สบายใจ นี่คือสัญญาที่เราจะร่างข้อต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเป็นสุข


# วิธีคิด เช่นนี้จะถูกมองว่าเรามองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า ?
- อย่าไปหวงแหนอะไรมากมาย อย่าไปตระหนี่ถี่เหนียวเกินการ คนในโลกนี้ อยู่กันด้วย หลักเกณฑ์ พฤติกรรม ที่ดี เพราะฉะนั้นจะมีผู้บริหาร มีผู้ทำงานร่วม มีผู้ช่วยเหลือเฟือฟาย ก็เป็นเรื่อง ปกติ ก็ทำไป แม้แต่ในกลุ่ม สัตว์โขลง มันก็ยังมีหัวหน้า ช่วยเหลือในด้านนั้น ด้านนี้ ผึ้งก็มีราชินี มีผึ้งงาน แบ่งงานกันทำ อย่าไปยึดอะไร นักหนา แบ่งกันไป เอามวลชน หรือ ประชาชนส่วนใหญ่ เป็นตัวตั้งเสมอเถิด จิตคนเป็นเจ้าของ ชีวิตของ แต่ละคน อย่าไปขมขี่ ใจคนเลย



ตลอดเวลายาวนาน
กว่า ๒๕๐๐ ปี
พุทธศาสนาดำรงอยู่อย่างสง่างาม
ด้วยวิถีแห่งศานติ
ภายใต้หลักสัปปุริสธรรม
อันประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณเลิศยอด
และพระกรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะมีแต่หนทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
จึงจะดับไฟสงครามที่ร้อนระอุลงได้


- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ -