บันทึกคนวัด
ตอนตบะหรรษา


๑๐ ธ.ค. กินอาหารเยอะเกินไป และก็รีบๆเคี้ยว รีบๆกลืน เพื่อที่จะตักคำใหม่(โลภจริงๆ) เมาๆอย่างไรไม่รู้ พอสร่างเมาแล้วถึงรู้สึก เลยคิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวก่อนกินให้ได้อย่าง บทพิจารณาอาหาร กินให้ได้ อย่างนั้น เพิ่มตบะเคี้ยว ๒๐ ครั้ง/คำ เชื่อว่าคงช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น

๑๔ ธ.ค. ต้องเลือกระหว่าง ซุปฟักทอง กับ น้ำข้าวยาคู (แบบบรรจุกล่อง) ซึ่งอย่างหลังมีคนให้ และก็ ไม่เคยกิน ไม่อยากเลือกเพราะอยากกินทั้งสองอย่าง แต่ชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องเลือก .... หัดเลือก เลยเลือกกิน ของที่ไม่เคยกิน "กินแล้วอร่อยมาก" หอม! หลุดปากถามอาทันทีว่า "รู้ไหมว่า ซื้อที่ไหน" .....สลดใจตัวเอง อย่างไรๆ อยู่เหมือนกัน ทบทวนดู ระยะหลัง ได้กิน ขนมหวาน เกือบเป็นประจำ อาทิตย์นี้ลองหัดงด หัดเว้น บ้าง เพื่อยังสติ และ ความสำรวม ให้เกิดขึ้น

๒๓ ธ.ค. พออดขนม ถึงรู้ว่า....เราคิดถึงขนม

๒๖ ธ.ค. กลับมาใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอีกแล้ว อาทิตย์หน้าถึงกำหนดการให้ยาเคมีบำบัด กับคุณอาต่อ ก็ยังไม่ถึงกับป่วยหนักแล้วหรอก เพียงแค่ผลข้างเคียงของยารอบที่แล้วมันเยอะ ตอนนี้ผมร่วงเยอะสุดๆ แค่เสยก็ติดมือมาเป็นสิบๆ เสยกี่ที่ก็หลุด บนที่นอนมีแต่เส้นผม เราเอามือ ไปปัดที่นอนกวาดเส้นผมให้เขา เห็นอารมณ์ตัวเองว่า ขนลุก ไม่รู้จะใช้ภาษาอย่างไร แต่ก็ให้เห็นว่า ความสวยมันอยู่ตรงไหน ผมที่น่าทะนุ ถนอม ในโฆษณา มันน่าสัมผัสลูบไล้ ตรงไหน ไม่มีเลย.... ได้ลดกิเลสรักสวยรักงามรักหน้าตาของตน นี่สินะ "อสุภะ"

๓๑ ธ.ค. มีคนเอาของโปรดมาให้... น้ำข้าวยาคู ห้อม - หอม (จำได้) แต่เรามีตบะ ขนมหวาน วิรัติ! ที่ตั้ง ขึ้นมา ก็เพราะเจ้าน้ำข้าวหอมๆหวานๆนี้แหละ สติวันนี้เหมือน ผู้คุมนักโทษ.... นักโทษที่ไม่อยาก ฝึกตัวเอง ....เห็นใจซึมๆ....แต่ก็เสียดาย "ถ้าไม่ฝึก" ยังไม่รู้ จะจัดการ เอาให้ใคร...แต่... เอาตัวเราออกมา จากตัวเลือก (คนที่จะกินมัน) ซะก่อน พอตัดได้ ใจวุ่นวาย น้อยลง

๓ ม.ค. แม่ฝากขนมกล้วยมาให้ ลืมตบะไปเลย มัวแต่ใส่ใจว่าทำไมเราถึงติดใจฝีมือแม่ อย่างนี้.. ตั้งใจกิน แบบพิจารณามาก (จริงๆ) และก็คิดว่า ไว้ถ้าแม่ฝากมา จะตัดใจ ยกให้คนอื่น.. (ทราบไหมว่า มันยาก มากเลย) พอคิดไปคิดมา ก็นึกขึ้นได้ว่า.. เราตั้งหวาน วิรัติอยู่! ตอนนี้เลยยกส่วนที่เหลือให้พี่พยาบาล แต่ก็ยังมีอีก ที่เป็นเศษๆ ดูไม่ค่อยสวย ในตู้เย็น เก็บเอาไว้ฝึก ....ฝึกอยู่กับมันโดยไม่กิน ถ้าเราอยู่กับ ความยั่วยวน ได้โดยไม่พลาด คงดีมากๆ

๖ ม.ค. แม่กับพ่อขึ้นมาเยี่ยมอาเมื่อวาน หอบข้าวต้มมัดกับกล้วยฉาบ(แบบไม่หวาน)มาให้ แจกจ่ายพี่ พยาบาลไปแล้ว

ตั้งแต่มาเจอธรรมะในตอนต้นของวัย เราก็อยู่ในดง "อาหารแฟชั่น" (แมคโดนัล, พิซซ่า, ดังกิ้น โดนัท, ไอศกรีม ซเวนเซ่น, ๑๓ เหรียญ, S&P) ตอนนั้น....ฝึกเลิกอาหารแฟชั่นโดยกำหนดว่า จะกินขนม ที่แม่ทำ แทน เป็นอุบายที่ดี แต่พอใช้ไปๆ ไหงกลายเป็น กิเลสตัวใหม่ ที่เนียนกว่าเดิม ...พอคิดจะพรากจะเลิกมัน ใจหาย...

กิเลสมันบอกว่า เรากำลังมองผ่านความรักของผู้หญิงซื่อๆที่อยู่ในดงในสวน(แม่) กิเลส บอกว่า.. อีกไม่นาน หรอก แม่ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำขนม เราจะไม่ได้กินฝีมือของแม่อีก ตลอดชีวิต .... แต่การฝึกฝืนออกจากกิเลส ที่ช้าไป แม่กับพ่อก็จะไม่ได้เห็น และรับรู้ ความเจริญของเรา อืม....ตอนกิเลสมันคิดน่ะมันลืมว่าเราก็ต้องตาย

๑๐ ม.ค. แม่ฝากขนมกล้วยมาให้ แต่เอาไปทำบุญ ไม่ได้แบ่งไว้กิน รอบนี้ใจสบายขึ้น.... ตัดความอาลัย ได้ดี

๒๐ ม.ค. ขณะหนึ่งของวัน....ก็ทุกข์(หดหู่ใจ) ว่าทำไม เรายังไม่ได้อารมณ์พ้นทุกข์จากขนมปัง เหมือนอย่าง ที่เราได้อารมณ์พ้นทุกข์จากน้ำพริก.... เมื่อไรจะได้กินขนมปัง...แต่ฟังเสียงถามนี้ (ของตัวเอง) แล้ว ทำให้ นึกย้อนกลับไปถึงช่วงพ้นทุกข์จากน้ำพริก มันไม่เห็นต้องรอคอย หรือ ร้องถามใจตัวเองอย่างนี้สักนิด เลยคลาย อารมณ์สงสัย...อยากทดลองกินขนมปังลง เพราะรู้ว่า ยังไม่ถึงเวลาจริงๆ

แต่มันก็นึกสนุกขึ้นมาได้ว่า แม้อยากขนมปังก็ไม่ต้องกิน...ได้! ปลดเปลื้องความหดหู่ใจได้ ถึงแม้ จะยังสู้ ไม่ชนะขาด ก็เป็นไปได้แฮะ

เลยเป็นว่าขนมปังปอนด์นั้นเข้ามาอยู่ร่วมห้องเดียวกับเราซะแล้ว กลายเป็นแบบทดสอบอีก ๑ บท.....

- มณฑกานติ -

- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ -