กรรมตามสนอง พระท่านว่า คนเราเกิดมาแล้ว ถ้าสั่งสมแต่กรรมดี กรรมดีก็จะนำพาชีวิตไปสู่ทิศทางที่ดี และมีความสุข ของชีวิต ส่วนบางคนที่เกิดมาแล้ว ทำผิดศีลธรรมสั่งสมแต่กรรมบาป กรรมชั่ว กรรมเลว ให้แก่ชีวิต ของตนเอง กรรมที่เป็นบาป กรรมที่เป็นชั่วเป็นเลว ก็จะนำพาชีวิต ของคนคนนั้น ไปสู่ทิศทาง ที่เป็นบาปเป็นกรรม ดั่งเรื่องราวของคนหาปลา ที่ผู้เขียนจะนำมาเล่าสู่ท่านฟังดังต่อไปนี้ เรื่อง"นี่แหละกรรม"มันได้เกิดขึ้นมา ๒๐ กว่าปี มาแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้กับผู้เขียนฟังว่า ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่นนี้ มีชายคนหนึ่งชื่อนายวัน นายวันคนนี้เกิดมายากจน ไม่มีไร่มีนาที่จะทำมาหากิน เลยยึด อาชีพหาปลาโดยเอาคันโซ่ไปวิดน้ำหาปลา (ภาษาอีสาน พูดว่า ไปหาสาปลา) ตามหนอง ตามคลอง พอวิดน้ำ ออกหมด แกก็จะเก็บเอาปลาเหล่านั้น มาทำ อาหารกิน ที่เหลือก็จะนำเอา ไปแลกข้าว แลกพริก แลกเกลือ หรือเอามาทำปลาร้า มาไว้กิน ไว้ขายอีกต่างหาก นายวันยึดอาชีพหาปลามาแต่ตอนเป็นหนุ่ม จนกระทั่งแต่งงาน มีเมียมีลูกแกก็ยังหาปลา อยู่อย่างนั้น เรื่อยมา จวบจนอายุของนายวัน หรือตาวัน ๕๐ กว่าปีแล้ว พวกลูกๆก็พากันโตๆ ไปหมดทุกคนแล้ว สังขาร ร่างกายของตาวันก็เริ่มเจ็บป่วย คือปวดตามตนตามตัว สามวันดี สี่วันไข้ เป็นอยู่อย่างนี้ประจำ พอตาวันตัวร้อนเป็นไข้ ผู้เป็นภรรยาก็จะ เอายาสมุนไพรจำพวกแก้ไข้แก้ปวดมาฝนใส่น้ำ ให้ตาวันกิน พอตาวัน กินยาสมุนไพร หมดน้ำยาไม่กี่ขันน้ำก็ จะหายป่วยหายไข้ พอหายป่วย ดีแล้ว ตาวันก็จะนำคันโซ่ เครื่องมือ หากินของแกพร้อมสัมภาระ อันมีห่อข้าว ขวดน้ำดื่ม กล่องใส่ยาฉุน ออกไปหาปลาอีก แม้ผู้เป็นลูก เป็นเมียจะบอกให้ตาวันหยุดหาปลาซะ ตาวันก็ไม่ยอมฟังเสียง คัดค้าน หรือห้ามปรามของลูก และเมียเลย ตาวันเจ็บป่วยเป็นๆ แล้วก็หาย เป็นอยู่อย่างนี้อยู่เกือบปี คือพอป่วยพอไข้ลง ก็หายาสมุนไพรมา ฝนใส่น้ำกิน พอลุกเดินได้ก็ออกไปหาปลาอีก เรียกว่าความเคยชิน หรือว่าแกสั่งสม แต่ทางหาปลา มาเกือบ จะตลอดชีวิตของแกก็ว่าได้ จิตวิญญาณของแกเลยผูกพันยึดติดอยู่กับสิ่งนี้ พอจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตตาวัน ตาวันก็ป่วยหนักอยู่ประมาณ ๑๕ วัน ในระยะที่ป่วยอยู่นี้ ถึงขนาด อุ้มลุก อุ้มนั่ง อุ้มให้ขี้ ให้เยี่ยว พอลุกนั่งได้ตาวันก็จะเพ้อพูดถึงแต่เรื่องปู เรื่องปลา พูดไป ตามเรื่องตามราว ของแกนั่นแหละ แต่พอคนซักถาม แกก็ไม่ยอมพูดด้วย บางครั้งตาวันก็จะพูดเพ้อไปว่า "เอาไม้ไผ่มากูจะจักตอกเอามาสานโซ่ กะโซ่กูมันผุพัง หมดแล้ว" แล้วก็ทำไม้ ทำมือ คล้ายคนจักตอก พอสักพักก็จะหยุด แล้วก็ทำท่าสานกะโซ่ หรือไม่ก็ ทำท่าสานตะข้อง เพื่อเอาไว้ ใส่ปลา ในวันที่ตาวันจะตายนั้น ในวันนั้น ตาวันดิ้นรนอยากจะลุกจากที่นอน พอลุกได้แล้ว ก็พูดเพ้อ บอกกับ ผู้คนว่า "วันนี้กูจะไปหาสาปลาแล้วนะ เอาข้องใส่ปลามาให้กูหน่อย" พอพูดแล้ว ก็ทำท่า ทำทาง เอาข้อง มาสะพายใส่บ่า จากนั้นก็ถามหาไม้ขีด ถามหาห่อข้าวและขวดน้ำ หาคันกะโซ่ ถามหากล่องยาฉุน แล้วแกก็ทำท่า กวาดสิ่งของ ต่างๆ ที่แกถามหานั้น มาใส่อกของแก หลังจากตาวัน ทำท่าทำทางเก็บของได้เรียบร้อยแล้ว ตาวันก็พูดเพ้อไปว่า "กูจะไปแล้วนะ" พร้อมกับ พยายาม ลุกขึ้นจากที่นอนป่วยอยู่นั้น พอลุกขึ้นยืนได้ก็ก้าวขาเดินออกจาก ที่นอนไป บรรดาลูกและเมีย เห็นเช่นนั้น ก็คิดว่าตาวัน หายป่วยแล้ว จึงปล่อยให้ลุกเดิน แต่พอตาวัน เดินไปได้สัก ๒ หรือ ๓ ก้าว ตาวัน ก็ล้มลงตายไปเลย พอตาวันตายไปแล้วพวกชาวบ้านก็พากันพูดว่านี่แหละกรรม
ที่สั่งสมมาทางหาปลาล่ะ ซึ่งผู้เขียน เห็นว่า มันตรงกับ บทกวีธรรม บทหนึ่งที่ท่านเขียนเอาไว้ว่า
- สารอโศก อันดับที่ ๒๘๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ - |