แด่...พ่อผู้ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย
กระผมเป็นศิษย์เก่าสัมมาสิกขา เดิมอยู่สันติอโศกเมื่อปี ๒๕๔๑ ปี ๒๕๔๒_๒๕๔๓ ได้ย้ายไปอยู่ศีรษะอโศก แต่ตอนนี้ หลุดออกจากอโศกมาหมด ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมไม่ดี แต่ผมทำไม่ได้ อาจเป็นเพราะจิตตกต่ำ และสภาวะแวดล้อมพาไป ทุกวันนี้ผมระลึกถึง อยากเข้าวัด แต่ไม่กล้า เหมือนกับว่าได้ทำผิดต่อหมู่กลุ่ม ทำผิดต่ออาจารย์ ไม่กล้าแม้แต่มีงานต่างๆ อยากไปตักบาตร อยากเจอหมู่กลุ่มแต่ไม่กล้าไป ได้แต่ดูว่า วันนี้เดือนนี้มีงานที่ไหน ขอแค่รู้ข่าวคราวอยู่ห่างๆ เพราะผมทำผิด ต่อผู้มีอุปการะคุณ ทำผิดต่ออาจารย์ ที่ดิ้นรนออกนอกกรอบ มาใช้ชีวิตข้างนอก ได้แต่คิดว่าสักวันหนึ่งอาจมีความกล้าขึ้นมา กล้าที่จะตัดสินใจ กล้าที่จะปฏิบัติธรรม กล้าที่จะลดละ กล้าที่จะพบอาจารย์ เพราะผมมีความผิดมาก จึงไม่กล้าที่จะเข้าวัด เหมือนกับว่า มีความผิดมากและรอการอภัยจากหมู่กลุ่ม
* จิตรกร แสงประสิทธิ์ จ.บุรีรัมย์

- พ่อท่านจัดให้มีงานคืนสู่เหย้าเข้าคืนถ้ำสัมมาสิกขา ด้วยความหวังจะตามหาเมล็ดพันธุ์ที่หมู่เราชาวอโศก ตั้งใจหว่าน ไว้ในหัวใจน้อยๆของเยาวชนผู้มีบุญ ที่ได้มาฝึกฝนตัวเองตั้งแต่เยาว์วัย ถามหาสำนึกใฝ่ดี ที่อุตส่าห์ ช่วยกันปลูก ช่วยกัน บ่มเพาะมา บ้างก็อยู่ครบ ๖ ปี บ้างก็อยู่ครบ ๓ ปี บ้างก็เกินๆไปกว่านี้ บ้างก็ขาดหายไป จะด้วยวิบากอันใดก็แล้วแต่... ขอให้ คืนกลับมา"ถ้ำ" เราจัดงานกันทุกปีที่ราชธานีอโศก ซึ่งเป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ของเราในขณะนี้ แค่ติดตามข่าวคราว อยู่ห่างๆ คงจะไม่ได้รับรู้การเปลี่ยนแปลง ของชาวอโศก ที่แท้จริง น่าจะลองกลับมาดู วันไหนก็ได้จะแค่มาดูพุทธสถานไหนก็ได้ ชุมชน ไหนก็ได้ หรือ ให้ดีที่สุด มากราบพ่อท่าน ที่เราอุตส่าห์เขียนความในใจถึงท่านแล้ว ทีนี้ก็ควรจะมากราบท่านด้วยตัวเอง น่าจะช่วย คลี่คลายใจเราได้ดีที่สุดนะ หากปล่อยค้างคาไป จะพลาดโอกาส การทำกุศลกรรม อย่างน่าเสียดาย เวลาของชีวิต - บ.ก.



ให้อภัย-ไม่โทษใคร-ยอม-โทษตัวเองก่อน
ได้รับสารอโศกอันดับ ๒๘๓ หยาดน้ำใจของโพธิสัตว์ เป็นสารอโศกฉบับแรกที่ดิฉันได้อ่าน ทำให้รู้เรื่องราว ต่างๆ ของชาวอโศก ค่ะ สมณะบินบนแสดงธรรมว่าให้เอาประโยชน์จากคำวิจารณ์ให้ได้ ฝึกทำใจให้ยอมได้ ทุกสถานการณ์ เราก็จะมีความสุข สอนให้รู้จักมองตน เวลามีปัญหาเกิดขึ้นเราต้องโทษตัวเองก่อน แม้ไม่ได้ อะไรดังใจ รู้จักยอมให้ได้ ยอมให้เขาวิจารณ์ได้ ให้เขาเข้าใจผิดได้ ดิฉันอ่านแล้วชอบมากค่ะ แต่คงทำได้ยาก คิดว่าตัวเองยังมีความยึดมั่นในทิฐิสูง ไม่อยากให้ใคร เข้าใจ เราผิด พยายามอธิบายแต่ก็ต้องยอมรับ ภายหลังว่า ไม่มีประโยชน์ ใครวิจารณ์อะไรในทางที่ไม่ดีก็รู้สึกไม่พอใจ ดิฉัน จะพยายามฝึกใจใหม่ ให้ยอม และโทษตัวเองก่อนค่ะ

เรื่องที่สองที่ชอบมากคือเรื่องกว่าจะถึงอรหันต์ ทำให้มั่นใจว่าวิบาก-บาป-กรรมมีผลจริง ทำให้กลัว การกระทำผิดมาก ทั้งทาง กายวาจาใจ การเรียนรู้วิธีทำชีวิตพ้นทุกข์ คือการศึกษาที่ดีที่สุดของคนเรา แม้จะได้ ปริญญา ใช้เวลาศึกษาหลายปี ก็ช่วยให้ หมดทุกข์ทางใจไม่ได้เลย ผิดหวังก็เป็นทุกข์ พรากจาก ของที่รัก ก็เป็นทุกข์ การศึกษาและปฏิบัติธรรมเท่านั้น ที่จะพ้นทุกข์ได้

เรื่องการดื่มปัสสาวะรักษาโรค ดิฉันมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ เขาดื่มและชวนให้ดิฉันทดลองดื่มทุกเช้า ประมาณ ครึ่งแก้ว เป็นเวลา ๖ เดือน ครั้งแรกรู้สึกแย่มากๆ เพราะกลิ่นและรส ดิฉันก็ปรึกษาเขาทุกวัน ว่าควรแก้ไขอย่างไร ถึงจะดื่มได้ ในที่สุด ก็บีบจมูก กลั้นหายใจ จะรีบกลืน รสชาติแต่ละวันจะเปลี่ยนไป ตามอาหารที่กิน แต่ก็ยังสรุปผลไม่ได้ว่ารักษาโรคอะไรได้จริง ดิฉันเลิก เสียก่อน คิดว่าทรมานมากเกินไป ก่อนที่จะพบเพื่อนคนนี้ดิฉันก็เคยอ่านหนังสือมาบ้างเรื่องนี้ เขาทำวิจัยกัน ก็พูด แต่ผลดี ดิฉันรู้สึกศรัทธา แพทย์ทางเลือกมาก และได้ศึกษาด้วยตนเอง ไม่ค่อยชอบแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ให้แต่ยา และ มีผล ข้างเคียงมาก

เรื่องโทรศัพท์มือถือดิฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย คล้ายกับใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น ราคาสูงและเป็นที่แพร่หลาย เหมือนเป็น โรคติดต่อ เด็กๆก็อยากมี รบเร้าผู้ปกครองให้ซื้อให้ พอขัดใจก็โกรธ ดิฉันไม่เห็นด้วยในการใช้ โทรศัพท์มือถือ เลยค่ะ เมื่อก่อนทำไม อยู่กันได้ โดยไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่เดี๋ยวนี้กลับอยู่ไม่ได้แล้ว

ดิฉันตั้งใจฝึกให้อภัย ไม่เอาโทษใคร นั่งสมาธิประจำเช้าเย็น และทำตัวให้มีประโยชน์ตลอดพรรษาค่ะ
* กัญน นีละคุปต์ จ.เชียงใหม่

- ไม่มีศาสตร์ใดที่สมบูรณ์ครบถ้วนในเรื่องสุขภาพ การรักษาด้วยแพทย์ทางเลือก ในมุมมองที่พอจะสรุปได้ จากประสบการณ์ น่าจะเป็นการผสมผสานทางเลือกหลายๆทางให้เหมาะสำหรับบุคคลนั้น ในกาละนั้นๆ ซึ่งก็ไม่ตายตัว จะปรับเปลี่ยนไป ตามเหตุ-ปัจจัย โดยตัวผู้ดูแลสุขภาพของตนจะเป็นผู้กำหนดได้เอง ทั้งนี้ ต้องฝึก มีความละเอียด รู้จักแยกแยะ สังเกต และ เรียนรู้จากตัวเอง ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต จะเกื้อหนุน ไปด้วยกัน ทั้งนี้แทบทุกศาสตร์ทางสุขภาพ จะให้ความสำคัญ เรื่องจิต-วิญญาณ เป็นหลัก และ หากพรรษานี้ "ให้อภัย-ไม่โทษใคร-ยอม-โทษตัวเองก่อน" พยายามทำให้ได้เสมอๆ ก็จะถือว่า เป็นศาสตร์ การแพทย์ทางเลือก ที่ดีที่สุดเท่าที่ได้รู้มาเลยทีเดียว - บ.ก.



เพียงหวังกำลังใจ

การปฏิบัติของผมนั้นคือ ตอนนี้ก็กินมังฯบริสุทธิ์ ตั้งแต่เข้าพรรษาปี '๔๗ จนถึงวันนี้ ก็กินมื้อเดียวตลอด และผมก็ยังทำงานได้ตลอด ไม่เป็นที่ลำบากเลย ผมก็ได้บอกภรรยาว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ผมจะไม่หวนกลับ ไปกินสองมื้ออีกแล้ว เพราะเรากินมื้อเดียวเราก็ทำงานหนักงานเบาได้ มิหนำซ้ำทำให้เราได้เบาสบายกาย อีกต่างหาก เวลาขับรถก็ไม่ง่วงด้วย เพราะผมมีอาชีพขับรถส่งของ ต้องขับรถทั้งวัน ตั้งแต่ผมกิน มื้อเดียวนี้ เวลาขับรถจะไม่ง่วง ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ เครื่องดื่ม แก้ง่วงอีกแล้ว ตอนนี้ความตั้งใจของผม ก็สำเร็จไป อีกขั้นหนึ่งแล้ว คือ เมื่อผมกินสองมื้อ ผมก็ตั้งสัจจะไว้ว่า ขั้นต่อไป ผมจะกิน มื้อเดียว และตอนนี้ ก็ได้แล้ว และ ร่างกายก็รับได้ ไม่มีปัญหา ขั้นต่อไปผมก็ตั้งความหวังไว้ว่า ผมจะเข้ามาร่วมงาน กับหมู่กลุ่มให้ได้ ผมอยาก ได้มาฟังธรรม จากพ่อท่าน หรือจากสมณะหลายๆรูป ที่อยู่ในวัดต่างๆด้วย ผมขอให้ทางกอง บรรณาธิการ ช่วยเป็นกำลังใจ ช่วยให้ผมได้มาสัมผัสหมู่กลุ่มให้ได้นะครับ
* สมาชิก ๒๕๗๔๕๒ จ.เชียงใหม่

- การปฏิบัติพุทธธรรมจะมีลำดับในการฝึกปฏิบัติ ควรได้ฝึกหัดกระทำสม่ำเสมอ ในศีลทั้ง ๕ ข้อ ละเลิก อบายมุข ทั้ง ๖ ข้อ เป็นพื้นฐานที่พึงทำให้หนักแน่น ให้มั่นคง การกินมังสวิรัติ หากทำได้แล้วควรพิจารณา โทษภัย ของการกินเนื้อสัตว์ และ คุณประโยชน์ ของการงด-เว้นการกินเนื้อสัตว์ ว่ามีผลต่อจิตใจเรา อย่างไรบ้าง ฝึกทบทวนตนอย่างนี้ทุกๆวัน ในการตรวจศีล พื้นฐาน เป็นหลักที่ควรต้องทำให้ได้ทุกวัน สม่ำเสมอ จะได้เรียนรู้ และทำความรู้จักตัวเองมากขึ้นๆ หากหมั่นพิจารณาอย่างนี้ จะเกิด ความชัดเจน จะช่วยสร้าง ความเชื่อมั่น และสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เป็นอย่างดี

เราจะมั่นคงในการฝึกกินอาหารเป็นมื้อเป็นคราว อีกทั้งสามารถลดเหลือวันละ ๑ มื้อ ได้ในที่สุด ก็ด้วย การฝึกตน ไปหมั่น พิจารณา ทบทวนตัวเองไปอย่างนี้ๆด้วยเหมือนกันนะ - บ.ก.



เหลียวหลัง-แลหน้า ลดอัตตา-มานะตัวเองก่อน

.....ต้นปีอากาศแห้งแล้งเหลือเกินครับ นึกว่าจะไม่ได้ทำไร่ทำนาซะแล้ว อากาศก็ร้อน อารมณ์ก็ร้อน เดิมที ผมเป็นคนใจร้อน แต่โชคดีที่กลัวบาป บุญยังมีที่มีพ่อท่านเป็นตัวอย่างในความเย็น เมื่อครั้งตกลง จะใส่ ชุดขาว ร่วมงานวันวิสาขบูชา ผมก็สาธุ ไม่ขัดเคืองใจ...เมื่อมีกระแสต้าน ตอนแรกๆ มันก็ยังสบายใจ แต่ใน หนหลังๆ มันก็ชักร้อนใจ ยิ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าว พระนั้นพูด พระนี้สาธยาย ใจมันยิ่งตุ๊มๆต่อมๆ โชคดี ที่แค่ร้อนใจครับ ใจไม่ร้อนก็บุญแล้ว ก็เพราะเห็นรอยยิ้มอันเบิกบานร่าเริงแจ่มใส ของพ่อท่านนั้นเองครับ ที่ทำให้ใจผม เย็นลงกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเมื่อก่อนใครจะมาเข้าใจผิดผมไม่ได้ หรือเข้าใจผิด พ่อแม่ ครูอาจารย์ ของเราไม่ได้ ใจมันจะเอาเรื่อง ยิ่งเข้าใจผิดแล้วยิ่งประโคมข่าวด้วย...ทนได้ที่ไหน..... แต่...เมื่อ มาพบ พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์แล้ว ผมเลยเป็นคนที่ใจเย็นลงมาก แม้ผมจะไม่ค่อยใส่ใจ ในคำเทศน์ คำสอน ของพ่อท่านเท่าใดนัก แต่สิ่งที่ พ่อท่านทำให้เห็น ก็มักจะทำให้ผมต้องนึกถึงคำเทศน์คำสอน ของพ่อท่าน ได้เสมอ

ครั้งแรกที่ผมได้รับรู้เรื่องราวความไม่เป็นธรรมที่ชาวอโศกได้รับ คือเมื่อปี '๔๓ (ผมรู้จักชาวอโศกปี '๔๒) ตอนนั้น เรียนอยู่ ม.๖ แล้ว ที่ ร.ร.กุดชุมวิทยาคม อ.กุดชุม จ.ยโสธร ผมมักใช้เวลาว่างในการนอนพักผ่อน ฟุบกับ โต๊ะเรียนบ้าง ทำการบ้านบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ตามสมควร จนวันหนึ่ง เข้าห้องสมุด หยิบหนังสือ แปลกๆ เล่มหนึ่ง ไปนั่งอ่านที่มุมหนึ่ง ของห้องสมุด เป็นเรื่องราว การพิจารณาคดีกรณี สันติอโศก นั่นเป็น ครั้งแรก ที่ผมได้รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์บรรพชน ชาวอโศกในอดีต ...ผมแอบ ร้องไห้นิดๆ อยู่คนเดียว ...... อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อปี '๔๘ ก่อนงานวันวิสาขบูชา ก็มีการกล่าวโทษความผิด ของพ่อท่าน ผ่านสื่อต่างๆอีก แม้วันนี้ ผมจะโตพอควรแล้ว แต่...น้ำตามันก็พาลจะซึม มองปฏิทินเห็นแต่พ่อท่าน ยิ้มอยู่กับ หลวงพ่อ ปัญญา อืม... ท่านก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ทำให้ผมนึกถึงคำตรัส ของพระพุทธเจ้าว่า บัวนั้น มีอยู่ถึงสี่เหล่า เหล่าที่อยู่ เหนือน้ำ ยังไงก็เหนือน้ำ ส่วนที่อยู่ใต้ตมยังไงก็ใต้ตม วางได้ก็สบายใจ ผู้หลักผู้ใหญ่ ในวงการชาวอโศกเรา ท่านจะพิจารณา ดำเนินการเอง เรารอดูเหตุการณ์ไป

พักนี้ผมไม่ค่อยได้ไปสัมพันธ์กับหมู่กลุ่มเลย คงมีแต่ดอกหญ้า สารอโศก และส.ว.ช. FM ๙๑.๕ ของวัด สวนธรรมร่วมใจ อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ที่เป็นเพื่อน หนังสือก็นานๆทีผมจึงได้อ่าน แต่วิทยุฟังได้ทุกวัน เพราะทำงาน ไปด้วย ฟังไปด้วยได้ ตอนเช้าๆ ช่วงตื่นนอนก็จะมีเทศน์ของพ่อท่านซะส่วนใหญ่ สายๆ ก็รายการ ทั่วไป ของสถานีฯ ช่วง ๑ ทุ่มถึง ๓ ทุ่มครึ่ง จึงเป็นรายการ ประทีปธรรมนำชีวิต ก็จะได้ฟังเทศน์ ของพ่อท่าน เป็นประจำ ก็มีบ้างบางวันที่เปิดเทศน์ของท่าน ส.เสียงศีล ท่าน ส.เดินดิน ท่าน ส.บินบน ท่าน ส.เพาะพุทธ แต่ก็ไม่ประจำ ที่ประจำเลยก็คือเทศน์พ่อท่านเป็นหลัก ขอบพระคุณมากครับ กับสารอโศก ฉบับ ๒๘๓ นี้ ที่ช่วยให้รายละเอียดในหลายๆเรื่อง เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวอันสืบเนื่องมาจาก การจัดงาน วันวิสาขบูชา โดยตลอด ให้ได้รับทราบ ผมอยู่กลางทุ่งนา นอกจากสื่อวิทยุกับสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก ไม่มีไฟฟ้า เลยดูโทรทัศน์ไม่ได้ ก็ดีที่สารอโศก ยังอุตส่าห์บันทึกเรื่องราว จากโทรทัศน์ลงหนังสือให้อ่าน ขอบคุณมากครับ ฝากขอบคุณดอกหญ้าด้วยครับ ที่ช่วยส่ง หนังสือมาให้หลายเล่ม โดยเฉพาะหนังสือ เนื้อแท้เนื้อธรรมฯ คุณพ่อคุณแม่ของผม อ่านไม่กะพริบตาเลย ดอกหญ้า กับสารอโศก ทุกเล่มที่มา ผมซึ่ง เป็นเจ้าตัว ต้องได้อ่านเป็นคนสุดท้าย เปิดซองก่อนคือคุณแม่ ตามด้วยคุณพ่อ หนังสือ ยับแล้วเมื่อไหร่ ผมจึงได้อ่าน โชคดีที่ชาวบ้านในหมู่บ้านผม โดยเฉพาะหมู่ ๑๑ ซึ่งเป็นหมู่ที่ผมอาศัยอยู่ พอรู้พอเข้าใจ อโศก ได้บ้าง แม้ไม่ชอบแต่ก็ไม่ชัง ประมาณนั้น ไม่ชอบเพราะทำตามไม่ได้ ไม่ชังเพราะเห็นว่าชาวอโศกทำดี (มาก)

เข้าพรรษาปีนี้มีอะไรดีๆหลายอย่าง บุคลากรของสวนส่างฝันออกบวช ๓ ท่าน แต่บวชในปกครองของ มหาเถรสมาคม ทราบมาว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกับทุกท่านมากน้อยตามอัตภาพแห่งตน ส่วนตบะ เข้าพรรษาปีนี้ ผมก็ยึดที่ตั้งไว้ ตั้งแต่ปีใหม่ว่า จะปฏิบัติบูชาพ่อท่านให้ได้ไปตลอดคือ
-ใจเย็น- ลดความขุ่นเคืองรำคาญใจ
-ลดเฉโกที่ยอมเสียหน้าไม่ได้-ลดมานะ-ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิด-ตำหนิติติงได้โดยไม่โกรธไม่ถือสา แต่น้อมนำ มาพิจารณา-เพิ่มความอดทนมากขึ้น
ซึ่งตบะเหล่านี้ ผมก็ทำได้เต็มบ้างตกบ้าง เพราะอินทรีย์พละยังไม่แกร่งก็จะขอสู้ต่อไป ด้วยหัวใจที่มี สัมมาทิฐิ ทั้งขอเป็น กำลังใจ แก่ผู้ใฝ่ดีทุกท่านครับ
ปล.ผมมีเรื่องอยากถามครับ คือ สมมุติว่าแยกเป็นนานาสังวาสแล้ว กลับมารวมใหม่ได้หรือไม่อย่างไร ครับ
* แก่นคำหล้า จ.ยโสธร

- การที่แยกเป็นนานาสังวาสมีส่วนทำให้ผู้ศึกษาได้พิจารณาให้ชัดเจนในข้อเท็จจริงของความเหมือน-ความต่าง ความสามารถ พัฒนาไปได้ในทิศทางโลกุตระ ได้มากได้น้อยตามทิฏฐิที่แต่ละฝ่ายยึดถือ ผู้ที่แม้ จะเป็นฝ่ายหนึ่ง ก็สามารถ ข้ามมาศึกษาอีกฝ่ายหนึ่งได้ เช่น สงฆ์ชาวอโศก ก็มีพระอาคันตุกะ จากทาง เถรสมาคม มาร่วมศึกษาอยู่ด้วยตลอดมา จนแม้ กระทั่งศึกษาแล้ว เห็นดีเห็นงาม ถึงขั้นมาบวช เป็นสมณะ ชาวอโศกเลย ก็ยังมีเช่นนี้คือ "สมานสังวาส" ซึ่งผู้ที่ทำได้อย่างนี้ถือว่า ต้องลดมานะ ละอัตตา อย่างยิ่งเลย ทีเดียว - บ.ก.



ชาวพุทธคือผู้ชำนาญการทำนาอย่างไร
....ชาวพุทธก็เปรียบเสมือนชาวนาที่ชำนาญในการทำนาย่อมจะรู้ฉลาดว่า จะทำนาตรงไหนข้าวถึงจะงอกงาม เกิดมรรค เกิดผลดี ถ้าสถานที่ดอน มีวัชพืชรก ดินไม่ดี เอาข้าวไปหว่าน มันจะได้ผลดีคงยากนะครับ ส่วนใน สถานที่ราบลุ่ม มีน้ำ มีปุ๋ยธรรมชาติ เอาข้าวไปหว่านมันก็จะได้ผลดีนะครับ ผมเห็นว่าอย่างนั้น

ส่วนที่มีผู้ตำหนิติเตียนชาวอโศก ถ้าเป็นผู้รู้เป็นบัณฑิตมาติเตียนมาบอกว่าเราผิดตรงนั้นผิดตรงนี้ ก็เหมือน มาชี้ขุมทรัพย์ให้เรา แต่ถ้าเป็นคนพาลหาเรื่อง มาตำหนิติเตียนก็ลำบากเพราะจะหาประโยชน์ไม่ได้ ไม่เป็น การติเพื่อก่อ ผมเคยได้ยินคนพูด ในโทรทัศน์ ว่าพลตรีจำลอง ศรีเมือง ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เขาเป็น ดอกเตอร์ด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่า ถ้านับถือ ศาสนา พุทธ ต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร ผมก็ว่าดอกเตอร์ คนนี้ ไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธ บางทีอาจรู้แต่แกล้งไม่รู้ พูดแบบ พาลหาเรื่อง หรือบางครั้ง เคยได้ยินว่า ท่านโพธิรักษ์ ทำธรรมวินัยให้วิปริต ก็พูดกว้างไป ชี้ให้ชัดซิครับวิปริตตรงไหนข้อไหน พระไตรปิฎก หน้าไหน บรรทัดไหน ท่านจะได้แก้ไขให้ถูก ที่ถูกเป็นอย่างไรก็ไม่ว่าให้ชัด หรือว่าท่านเป็นพระนอกธรรม นอกวินัย... ก็ไม่ชี้แจงว่า ถ้าเป็นพระในธรรมในวินัย จะต้องปฏิบัติอย่างไร ส่วนเวลาจะจัดงานวันวิสาขบูชาโลก ก็พูด แคบไปว่า พุทธมณฑล (มีเจ้าของแล้วว่างั้นเถอะ) ไม่ควรให้สันติอโศกเข้าไป ชาวพุทธที่ไม่เข้าใจ ถึงแก่นแท้ ของ พระพุทธศาสนา ก็สับสน ซึ่งถ้าสับสนก็คงค้นหาความจริงได้เอง

เรามาช่วยกันตามรอยพระบาทพระศาสดาเถิดครับ คือสละทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ โลกธรรมต่างๆ มาแสวงหา โมกขธรรม เหมือนพระองค์ท่าน ถือบวชตามรอยพระบาทท่าน อย่าพากัน (บางกลุ่มบางคณะ) มาบวช ย้อนรอย พระบาท คือ บวชเพื่อ แสวงหา ทรัพย์สมบัติ หาลาภ หายศ หาสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในทางโลกกันเลย
* ประกอบ คงสมบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์

- ตราบใดที่ชาวอโศก ยังได้รับการติงเตือนจากสังคมในแง่มุมต่างๆทุกรูปแบบ นับเป็นเรื่องดีที่น่า อนุโมทนา เนื่องเพราะ ทำให้เรา ได้ตระหนักถึงบทบาทที่เราเป็นอยู่ หากยังมีผู้ยังเข้าใจไม่ได้ในเรื่องใด ในแง่มุมใด เราจะได้ทบทวน ตรวจตนเอง เราเป็น อย่างที่เขาติงมาหรือไม่ ต้องแก้ไขปรับปรุงตัวเองในเรื่องใดบ้าง หรือบทบาทใด ที่สังคมยังรับไม่ได้ ต้องตระหนัก ต้องระมัด ระวัง การสื่อออกก็ควรได้หัดประมาณให้ดี ที่แน่นอนที่สุดก็คือเราต้องยิ่งตั้งใจละชั่วทำดีให้ยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ เสียสละ ให้ได้มากขึ้น ดังสำนวน ที่เคยได้ยิน จากพ่อท่านว่า...... จนกว่าคนตาบอดจะเห็นได้ นั่นแหละ..... - บ.ก.



ผู้ยอมไม่เป็นจะเห็นอัตตาของตัวเองได้ยาก
ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้ลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมสกลอโศก สาเหตุเพราะสุขภาพไม่แข็งแรง ออกจากศูนย์ มาอยู่บ้าน งานของอโศกส่วนกลาง เช่น งานมหาปวารณา งานปีใหม่ ทุกงานก็มิได้ไปร่วม เหตุเพราะ สุขภาพไม่แข็งแรง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมมาถึงปัจจุบันนี้สุขภาพร่างกายจิตใจเหมือนเดิม และ ข้าพเจ้า ก็ไม่ได้ไปร่วมประชุมกับหมู่กลุ่ม ที่ศูนย์ฯ เลย อยู่บ้านก็ทำงานปลูกผักพอได้เก็บกินไปวันๆ และ รอรับหนังสือ ของทางอโศกส่งไปให้ เปิดฟังเท็ปธรรมะของชาวอโศก โดยมาก เป็นของพ่อท่าน ก็มี ความสุขกาย สบายใจ ก่อนนอนก็ทำวัตรเย็น ตื่นนอนตอนตี ๓ ออกกำลังกายแบบโยคะ ทำวัตรเช้า หมั่นตรวจ ศีลตัวเองอยู่บ่อยๆ ที่ได้เขียนส่งไปก่อนวิสาขบูชาว่า
๑) จะมีสติเตือนตนเรื่องความโกรธ รู้สึกว่าสติรู้เท่าทันดี
๒) มีสติเตือนตนคิดก่อนพูด รู้สึกว่าสติรู้เท่าทันดีขึ้น
๓) พยายามลดละเลิกจิตที่ถือสา ลดละได้ดีขึ้น และหัวข้อที่ตั้งสัจจะนั้นมันโยงใยไปหาศีลทุกข้อด้วย

เหตุที่ไม่ไปอยู่ศูนย์ฯ เพราะไปอยู่ทีไรจะมีอาการป่วยขึ้นมาทุกครั้ง เมื่อออกจากศูนย์มาได้ ๕-๖ เดือน ความเจ็บไข้ ได้ป่วย ไม่มาเยือนเลย เลยตัดสินใจอยู่บ้านดีกว่า หากงานส่วนกลาง มีงานของแต่ละปี เช่น งานปีใหม่, ปลุกเสกฯ, พุทธาฯ ฯลฯ เราไป รถโดยสารประจำทาง เราไปได้ด้วยตนเองไม่ต้องพึ่งหมู่กลุ่ม เพราะอดีตที่ผ่านมาเราก็มิได้ทิ้งหมู่กลุ่ม เหตุมันมี ในหมู่กลุ่ม ก็เพราะแต่ละคน แม้จะปฏิบัติธรรมมา ๒๐ กว่าปี ตัวอัตตามานะบางคนก็มีน้อยบางคนก็มีมาก ถึงแม้จะมี การประชุม ชี้ขุมทรัพย์กัน บางคนยิ่งเพิ่ม อัตตามานะ พูดบอกตักเตือนไม่ได้ เขายืนยันบอกว่า กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ของเขา เป็นเช่นนี้มาแต่เกิด จะให้เขาเปลี่ยนให้สัมมาไปทางดีไม่ได้ อยู่ด้วยกันก็อยู่ยาก นอกจากจะมีสมณะ อยู่ประจำศูนย์ฯ เพื่อช่วย กำราบ พวกที่สักกายะทิฏฐิ อัตตาใหญ่ไม่ยอมใคร ในความคิดของผม คนเช่นนี้ ปล่อยเขาไป สุดท้าย คนอยู่ ในศูนย์ ก็แตกแยกกัน ไม่มีคนอยู่ตามกติกาของศูนย์ฯกำหนดไว้ เพราะหอกปากทิ่มแทงกันทุกวัน คนไม่ค่อยพูดนานๆ เขาเตือน ก็โต้ตอบ แบบยอมไม่ได้ คนที่นิ่งเสียได้ตำลึงทอง

เรื่องวิบากกรรมนี้มีจริงซึ่งข้าพเจ้าได้รับอยู่ขณะนี้ แต่พออยู่ได้ก็ได้อ่านหนังสือ ฟังเท็ปพ่อท่าน เกี่ยวกับ กรรมวิบากนั้น มีจริงๆ จึงทำใจ ปล่อยวาง รักษาศีลสวดมนต์เย็นสวดมนต์เช้า จิตสำรวมในกรรม ๓ สำรวม อายตนะ ๖ ที่มากระทบสัมผัส ให้รู้เท่าทัน ใช้โพชฌงค์ ๓ เตือนตนสำรวมอยู่ทุกลมหายใจ อาการป่วย ดีวันดีคืน สุขภาพแข็งแรง โรควิบากกรรม ที่ข้าพเจ้า ทำไว้ในชาตินี้ ก็เจือจางหนักให้เป็นเบา

ในอดีตสมัยอายุ ๑๙-๒๕ ปี เรียนหนังสือ ม.๔ ถึง ปวช. ก็แต่งงานขณะกำลังเรียนหนังสือ พ่อแม่ว่าไม่ฟัง เป็นคนดื้อ มีลูกหญิง ๒ คน แต่เราไม่ค่อยได้อยู่กับเมีย ให้อยู่กับแม่ยาย เพราะต้องไปหางานทำ ตอนนั้นปี '๐๕ ทำงานเขื่อนน้ำพุง

ถึงปี ๒๕๑๑ ทำงานเขื่อนโดมน้อยต่อเขตประเทศลาว ในปี ๒๕๐๖ ก็ได้เมียคนใหม่ที่เขื่อนน้ำพุง ทิ้งเมีย คนเก่า ให้ตายาย เลี้ยงให้ โดยเขาเอาลูกหัวปีให้มาเลี้ยงก็เอามาอยู่ ๒-๓ ปี เรียน ป. ๔ เขากลับไปอยู่กับ ยายและแม่

ส่วนเราก็มีลูกกับเมียใหม่ ๔ คน ชาย ๒ คน หญิง ๒ คน ตอนลูกยังเล็กผัวเมียก็มีความสามัคคีปรองดองกันดี ปี ๒๕๑๖ กลับ มาอยู่บ้านเดิม แม่บ้านทำขนมขาย เขาขายดีมาก ได้กำไรวันละสองร้อยสามร้อย เขาเห็น เงินเดือนของเรา ซึ่งได้รับ ๘๑๐ บาท ไม่เท่าเขาหา ๒-๓ วัน ก็ได้เป็นพัน จึงว่าให้ เงินเราสู้เขาไม่ได้ ได้เงินเดือน ให้แม่บ้านเก็บ เขาก็ไม่เก็บให้เราเก็บ จึงเก็บไว้ ที่หัวเตียงนอน ต่อมากองทัพธรรมออกเผยแผ่ รีบมาบอก ให้แม่บ้านทราบ ร่วมกันปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ก็ ๒๑ เกือบ ๒๒ ปี ช่วงปฏิบัติธรรม เราถือศีล ๘ ศีล ๕ บ้าง มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเป็นคู่กัดกันตลอด พากันไปศูนย์สกลอโศก เขาเลือกผม เป็นผอ.ศูนย์ฯ กรรมที่ผม ทำไว้ คือผมทิ้งเมียเก่าไปเอาเมียใหม่ เมียของผมซึ่งอายุปัจจุบัน ๕๙ เกือบ ๖๐ ปีแล้ว เขาก็ไปมีชู้หนุ่ม อายุ คราวหลานอายุ ๑๗-๑๘ ปี ผมทำใจยกเมียให้ชู้เลยเพื่อความสบายใจ อยู่ด้วยกันก็มีแต่เรื่องทะเลาะกันบ่อย ทุกวันนี้ ผมอยู่คนเดียว ผมสบายใจมาก ความป่วยก็ไม่มี สุขภาพร่างกายแข็งแรง นี้แหละหนอ วิบากกรรม ที่ตนเอง ทำไว้ มันถึงวาระ ที่ตนเอง ต้องรับแล้ว
* สมาชิก ๒๑๗๙๗๙ จ.สกลนคร

- การเข้ามาร่วมกันทำกิจกรรมในหมู่กลุ่มชาวอโศกส่วนกลาง จะได้เห็นกิเลสสดๆออกมาดิ้นโชว์ ของเราบ้าง ของเพื่อนบ้าง กระแทกกันไป กระทุ้งกันมา ยิ้มออกบ้างไม่ออกบ้าง ก็พัฒนากันไป ดีกว่าการตามใจกิเลส ประคบ ประหงมมัน โดยปลีกไปอยู่ ส่วนตัว ซึ่งยากที่มันจะยอมออกไปจากจิตวิญญาณ เจ้าของที่คบคุ้นกัน จนสนิทแน่น คล้ายเป็นตัวตนของเจ้าของเอง ทีเดียว ผู้หมั่นคบคุ้น และยอมให้หมู่ขัดเกลา แม้จะดูแรง เพราะถูก ฉีกหน้ากาก หากเข้าใจและอดทนได้ ย่อมได้รับผลที่คุ้มค่าเสมอ อย่างน้อย ก็ได้ลดตัวตน ยอมได้บ้าง แหละนะ นี่แหละมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ ดังที่ พระพุทธองค์ ได้กล่าวสรรเสริญไว้ไงล่ะ ! - บ.ก.



สุดยอดปรารถนาของการพลิกฟ้าฟื้นดิน
กสิกรรมไร้สารพิษเพื่อฟ้าดิน เป็นสุดยอดปรารถนาของชาวไทยทุกๆคน รวมทั้งพระเจ้าอยู่หัวของเรา ถือเป็น การคืนธรรมชาติ ที่สมบูรณ์ ให้แก่ผืนแผ่นดินถิ่นกำเนิด จึงจะเป็นสุวรรณภูมิที่สมบูรณ์ เพราะกสิกรรม เป็นพื้นฐาน ของปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค โดยเฉพาะการชูผักพื้นบ้าน เป็นอาหาร หรือผักสมุนไพรเป็นอาหาร เพื่อความสมดุล ในการดำรงชีวิต สามารถช่วยให้อยู่ได้ โดยปราศจาก โรค หากเราทราบว่าในวันหนึ่งๆ เราต้องการพลังงานเพียง ๑,๕๐๐- ๒,๕๐๐ Cal/วัน โดย
๔๐-๕๐ % เป็นแป้งหรือน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต) แป้งให้พลังงาน ๔ Cal/กรัม
๒๐ % เป็นกรดอะมิโน (โปรตีน) โปรตีนให้พลังงาน ๔ Cal/กรัม
๒๐ % เป็นกรดไขมัน ไขมันให้พลังงาน ๙ Cal/กรัม
๑๐ % เป็นวิตามินและแร่ธาตุ

สำหรับจำนวนมื้อที่บริโภคหรือกินตั้งแต่ ๑ มื้อกับหลายๆมื้อนั้น หากบริโภคอาหารเส้นใยจะช่วยให้อิ่มทนนาน กินน้อยมื้อ จะได้ พลังและความสมบูรณ์มาก เป็นการลดพลังงานที่จะถูกใช้ไป ในส่วนของการเผาผลาญ อาหาร โดยแท้จริง ทำให้ ไม่เจ็บป่วยไข้ เงินเหลือเพราะบริโภคแต่พอดี ไม่สะสมส่วนเกิน โดยเฉพาะ กรด อะมิโน ต้องการเพียง ๑-๒ กรัม/น้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัมต่อวัน เพื่อการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ไม่เป็นการกินล้าง กินผลาญ

หากแต่ถ้าทุกคนเข้าใจว่า ปัจจัยพื้นฐานของชีวิตคือการที่มีท้องอิ่ม หันมาช่วยกันดำรงชีวิตแบบ เศรษฐกิจ พอเพียง โดย ๑. เลิกใช้ปุ๋ยเคมี จะใช้ปุ๋ยที่เปลี่ยนแปลงอินทรียวัตถุบนพื้นโลก ไม่ใช่สิ่งที่เหลือจากการใช้ น้ำมันดิบ มากลั่น เป็นน้ำมันเบนซิน, ดีเซล, น้ำมันก๊าด, แอลฟัส, พลาสติก และที่เหลือเพียง NPK ในราคา แพงลิบลิ่ว ๑๔-๑๕ บาท/Kg แพงกว่าข้าวเปลือก ๗-๘ บาท/Kg

เราสามารถทำใบไม้ใบหญ้ามาย่อยสลายไม่ต้องรอเป็นล้านปี ทำความสมบรูณ์ให้แก่ดิน พร้อมทั้งเอื้อ การปลูก ป่าชุมชนด้วย เพราะธรรมชาติทุกวันนี้แย่มาก คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น แก๊ซมีเทนเพิ่มขึ้น เป็น ปรากฏการณ์ Green house effect (ปฏิกิริยา ภาวะเรือนกระจก) รวมทั้งแล้งซ้ำซาก, น้ำป่าไหลหลาก หรือ โคลนถล่ม แก้ได้โดยมีป่าเท่านั้น หากจะฟื้น ความสมบูรณ์ ของประเทศชาติ โดยทุกคนทำ ๒ ระบบ คู่กันไป พร้อมๆกัน เช่น ข้าราชการทำสวนครัวเมื่อกลับบ้าน พ่อค้า ประชาชน ที่มีกิจกรรม หรือธุรกิจปกติ ก็ให้ทำ สวนครัว รั้วกินได้ คนจีนต้องขึ้นเขาไปเก็บใบไม้ใบหญ้ามาเป็นปุ๋ย คนไทย ต้องหัด ใช้หญ้าหมัก เป็นปุ๋ย ธรรมชาติ เลิกใช้สารพิษ เลิกเผาอินทรีย์วัตถุซึ่งทำให้ดินถูกทำลาย รวมถึงเลิกใช้สารเคมีฉีดพ่น ฆ่าเชื้อโรค ที่เกิดกับต้นไม้ เมื่อทุกคนมีภูมิต้านทานเกี่ยวกับปากท้องและเศรษฐกิจ จะไม่ถูกกระทบ โดยการชะลอตัว ของเศรษฐกิจ หรือน้ำมันขึ้นราคา รวมถึงการโถมทับของเศรษฐกิจที่รุนแรงมากเลย

อนึ่งชาวอโศกที่สามารถดำรงชีพตามวรรณ ๙ แล้ว ควรเอื้อแก่กลุ่มชน โดยการปลูกไม้ใหญ่ตามที่ว่าง ริมทางหลวง หรือหัวไร่ ท้ายนา เพื่อช่วยกันพลิกฟื้นฟ้า-ดินตามความมุ่งหวัง ให้เป็นการทำกสิกรรม เพื่อฟ้า-ดิน และ สุวรรณภูมิของเรา ตามที่ควร จะเป็นแหลมทอง หรือแผ่นดินธรรม-แผ่นดินทองที่แท้จริง
* น.พ.กัมพล ภูริวรางคกูล จ.พิษณุโลก

- ช่วยกันปลุกสำนึกที่มีต่อการช่วยกันทำธรรมชาติ ด้วยการลงมือ-ลงแรง ทำกันคนละไม้คนละมือ สื่อสาร ถึงกัน บอกต่อ ในสิ่งที่ ตนทำแล้วเกิดผลดี ช่วยกันแนะนำกัน เพื่อยืดชีวิต ชุบชีวาให้โลก ให้แผ่นดิน ของเรา ด้วยกัน ดีไหมเอ่ย ?. - บ.ก.

- สารอโศก อันดับ ๒๘๖ สิงหาคม ๒๕๔๘ -