แม้ไม่ใช่ไฟใต้ แต่ก็เป็นไฟสุมขอน
ที่ซ่อนอยู่ในอำนาจเจ้าหน้าที่(ร้าย)ของรัฐ

เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่ก็ต้องเป็นเรื่องขึ้นมา เหตุเกิดเพราะนายหนึ่งเดียวคิดจะทำบุญโดยบริจาค ไม้สัก ที่ตนเองปลูกไปถวายวัด รถกองทัพธรรมมูลนิธิ จึงรับบรรทุกไม้จากสุพรรณบุรี ไปอุบลฯ โดยไม่ได้เอา เอกสาร บางรายการ มาให้ครบ แต่เมื่อได้พิสูจน์ ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการแล้ว เนื่องจาก ระบบราชการที่ซับซ้อน จึงต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ อย่างยาวนาน ถ้าเป็นชาวบ้าน ก็คงสิ้นเนื้อ ประดาตัว


ความจริง ๔๕ วันที่รถถูกยึดไว้ ต้องถือว่าผ่านขั้นตอนต่างๆอย่างเร็วที่สุดแล้ว ซึ่งถ้าไม่ได้ ความกรุณาของ ท่านรองนายกฯ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ช่วยกำชับกำชามาด้วย ก็ต้องใช้เวลายาวนานยิ่งไปกว่านี้ นี่ขนาด เป็นรถกองทัพธรรมมูลนิธิ ที่มีพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นประธานมูลนิธิ ก็ยังสาหัสสากรรจ์ออกปานนี้ ถ้าเป็น รถเอกชนทั่วไปๆ ต่อให้ถูกต้องยังไงๆ ระบบราชการ คงเล่นงานจนอ่วมอรทัย


ความยากและง่ายในการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆของระบบราชการ นายรินไท มุ่งมาจน ผู้ใหญ่บ้าน ราชธานีอโศก ได้บันทึกลำดับเหตุการณ์ไว้ ดังต่อไปนี้


วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๐๑.๓๐ น. รถกองทัพธรรมได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง อำเภอ ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แจ้งความจับกุมนายหินลือ คนขับรถกองทัพธรรมเป็นผู้กระทำความผิดฐาน "ไม่มีใบเบิกทาง" เพราะ นายหินลือ ได้ขับรถบรรทุกไม้สัก ถูกกฎหมาย จำนวน ๒๕๑ ท่อน ซึ่งเป็นไม้ จากสวนป่า ของนายหนึ่งเดียว ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ได้บริจาคให้แก่ราชธานีอโศก


วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๑๕.๓๐ น. ด้วยเงินสดจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ของญาติธรรม อำเภอปากช่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่องได้อนุญาตให้ประกันตัวนายหินลือ


วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่อง ได้ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้อำเภอปากช่อง ทำการ ตรวจพิสูจน์ไม้สัก ว่าเป็นไม้ที่ถูกกฎหมายหรือไม่ พอเจ้าหน้าที่ ป่าไม้ เห็นสภาพไม้ก็รู้ทันทีว่า เป็นไม้สวนป่า ที่ถูกกฎหมาย และพูดว่า น่าจะบอก ให้มาพิสูจน์ ตั้งแต่วันแรก ที่จับ หากเป็นไม้ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จะเป็นผู้แจ้งความ ว่ากระทำความผิด ต่อเจ้าหน้าที่ ตำรวจ และ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ ตำรวจ แจ้งความจับกุมไปแล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยรถ กองทัพธรรม และ จำเป็นต้องยึดรถกองทัพธรรม ไว้ที่ ป่าไม้ จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีเสร็จและส่งอัยการ เมื่อเรื่องเสร็จ จึงจะคืนรถ กองทัพธรรมให้ เหตุที่ต้อง เกิดความเสียหาย เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งความจับกุม ทั้งๆ ที่ตนก็รู้ว่า เป็นไม้สวนป่า ถูกกฎหมาย โดยอ้างว่า ทำตามหน้าที่


วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่อง ได้ทำสำนวนคดีเสร็จ พิจารณาแล้วเห็นควรสั่ง "ไม่ฟ้อง" และ ส่งเรื่องต่อให้นายอำเภอปากช่องทำการตรวจสอบพิจารณา นายอำเภอปากช่อง พิจารณา เสร็จสิ้น ภายในวันเดียวกัน เห็นชอบ ตามตำรวจอำเภอปากช่อง จึงได้ส่งสำนวน ให้เจ้าพนักงาน อัยการ จังหวัด อำเภอปากช่องตรวจสอบพิจารณา และเจ้าพนักงาน อัยการจังหวัด แจ้งว่า "จะทำการพิจารณา ให้เสร็จในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม"

วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าพนักงานอัยการ เจ้าของคดีแจ้งว่า "ยังไม่ได้พิจารณา แต่จะพิจารณา ให้เสร็จ วันนี้ และจะเสนอเจ้าพนักงานอัยการจังหวัดให้ปล่อยรถกองทัพธรรม เพราะของกลาง เป็นของ ถูกกฎหมาย"


วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าพนักงานอัยการเจ้าของคดีแจ้งว่า "มีปัญหาเกี่ยวกับรายการบัญชีไม้สัก จำนวน ๒๕๑ ท่อน แต่ตามบันทึกการจับกุมมีถึง ๒๘๐ ท่อน ซึ่งยอดที่เกินมาเกิดจากทางตำรวจ ไปนับเอา กิ่งเล็กกิ่งน้อยที่เป็นเศษไม้จากไม้สักจำนวน ๒๕๑ ท่อนรวมเข้าไปด้วย จำนวน ไม้สักที่ถูกกฎหมาย จึงไม่ตรงกัน และไม่สามารถปล่อยรถกองทัพธรรม ไปก่อนได้ เพราะต้องตรวจสอบว่า ไม้สักที่มีจำนวน ไม่ตรงกันนั้น เป็นไม้สักผิดกฎหมายหรือไม่ จำเป็นต้องส่งสำนวนกลับไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ป่าไม้ ตรวจ พิสูจน์กันใหม่ และให้ยืนยันว่าไม้สักส่วนที่เกินมีจำนวน ๒๙ ท่อน นั้นเป็นไม้สัก ผิดกฎหมาย หรือไม่ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้ยืนยันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม้ทั้งหมดเป็นไม้ถูกกฎหมาย


วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าพนักงาน อัยการเจ้าของคดี ได้ส่งเรื่องกลับไปให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจเจ้าของคดี เพื่อทำการ สอบเพิ่มเติม

วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีได้รับเรื่อง และโทรศัพท์ตามตัวนายหนึ่งเดียว เจ้าของ ไม้สัก ที่บริจาคไม้ ให้แก่พุทธสถานราชธานีอโศกมาให้ปากคำเพิ่มเติมอีก การทำบุญของนายหนึ่งเดียว ครั้งนี้ ต้องวิ่งขึ้น วิ่งลง หาหลักฐาน มาชี้แจง กับเจ้าหน้าที่ถึง ๓ ครั้งด้วยกัน

วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๘ เมื่อเห็นว่าการทำงานของระบบราชการล่าช้า ยิ่งนานวันความเสียหาย ก็ยิ่งมากขึ้น จึงตัดสินใจ ทำหนังสือ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และได้รับความอนุเคราะห์ จากท่าน รองนายกรัฐมนตรี และท่านผู้ว่าราชการ จังหวัดนครราชสีมา ได้ติดตามเรื่องและให้คืนรถบรรทุก พร้อมไม้สัก ถูกกฎหมายแก่เจ้าของไป

วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่อง ได้ตามญาติธรรมให้มารับเอกสาร ของสำนักงาน อัยการ จังหวัด สีคิ้ว ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๘ เรื่องแจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลางว่า "พนักงาน อัยการ ไม่ได้ขอริบ" ญาติธรรม ของเราที่ปากช่อง ก็ดีใจ เพราะจะได้รับรถบรรทุก พร้อมไม้สัก ถูกกฎหมายคืน

วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่อง ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้อำเภอปากช่อง คืนรถบรรทุก พร้อมไม้สัก ของกลาง ให้แก่กองทัพธรรมมูลนิธิ เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตรวจสอบเอกสารของ เจ้าพนักงานอัยการ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว จึงแจ้งว่า ยังไม่สามารถคืนรถบรรทุก พร้อมไม้สักถูกกฎหมายให้ได้ เพราะตาม กฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ นั้น การส่งคืนของกลาง ต้องส่งมอบแก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ อำเภอ ปากช่อง และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ คืนของกลาง ให้แก่กองทัพธรรมมูลนิธิ จึงจะเป็นการถูกต้อง ตามกฎหมาย

เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยังคืนของกลางให้ไม่ได้ จึงติดต่อโทรหาผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจ อำเภอปากช่อง เพื่อชี้แจง ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้คืนของกลาง แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งว่ามันผิดขั้นตอน ให้ผู้กำกับ รับปากว่า จะไม่มีเรื่องปัญหา เกิดขึ้น แต่ผู้กำกับไม่รับปาก และแจ้งว่ าเมื่อมีเอกสารคำสั่งให้คืนของกลาง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ต้องคืนของกลาง ให้แก่ เจ้าของไป เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จึงทำบันทึกให้คืน ของกลาง และถ้ามีปัญหา จะขอร้องให้ลงมาช่วย และขอ เบอร์โทรไว้ พร้อมถ่ายรูปร่วมกัน ไว้เป็นหลักฐาน

เมื่อได้รับรถบรรทุกพร้อมไม้สักถูกกฎหมายคืน จึงได้มอบหนังสือพิมพ์ข่าวอโศกแก่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพราะไม่มีทรัพย์สิน อื่นใด ที่ดีกว่า และก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องรถกองทัพธรรมถูกจับ จึงให้ไว้อ่าน เป็นที่ระลึก ส่วนรถบรรทุก ถูกยึดไว้นานถึง ๔๕ วัน จึงไม่สามารถติดเครื่องได้ ต้องนำรถ ๖ ล้อ มาช่วย ให้เครื่องยนต์ติด ก่อนกลับ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้มากระซิบถาม ขอพระหลวงพ่อขลังๆสักองค์ ถ้าเป็น สมัย ก่อนพบชาวอโศก จะมีพระเครื่องที่คัดแล้ว มั่นใจว่าขลังมาก ห้อยไว้เต็มคอ แต่เมื่อเชื่อมั่นว่า ตนพึ่งตนเองได้ จึงไม่ต้องใช้พระเครื่องมาห้อยคออีกแล้ว จึงไม่มีพระเครื่อง ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้

บทเรียนจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
บทเรียนในครั้งนี้ เราไม่ได้ติดใจกับบุคคลใดๆทั้งสิ้น เพราะเมื่อบุคคลอยู่ในระบบอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ซึ่งระบบราชการ ในปัจจุบัน เป็นระบบที่เอื้ออำนวยให้เกิดช่องทาง ปฏิบัติมิชอบ จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะถ้าประชาชนรู้ไม่เท่าทัน หรือ ไม่โอนอ่อน ตามอำนาจบาตรใหญ่แล้ว ทุกอย่างจะติดขัดไปหมด เพราะ เจ้าหน้าที่อ้างว่า จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทั้งหลาย อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันตัว มิฉะนั้น ถูกเพื่อน เล่นงานได้ แต่บางเรื่องถ้าจัดสรรปันส่วนผลประโยชน์กันลงตัว จะมั่ว จะหลวม อย่างไรก็ได้ เพราะลงเรือ ลำเดียวกัน ดังนั้นใครต้องการให้ลื่นไหลไปได้คล่อง หรือต้องการติดขัด เพื่อให้ปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด เจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็พร้อมที่จะให้บริการด้วยระบบทูอินวันได้ตามความประสงค์

บทเรียนในครั้งนี้
๑. เรามีส่วนผิดอยู่จริง เพราะเบื้องต้นที่รถขนย้ายไม้ออกมาไม่ได้นำเอกสารมาให้ครบ เนื่องจากหัวหน้า ป่าไม้ จังหวัด สุพรรณบุรี ยังไม่ได้เซ็นชื่อ ซึ่งรถของเราไปคอยตั้ง ๓ วันก็ยังไม่ได้ และจะให้รอต่ออีก ๓ วัน พวกเรา ก็เลยไม่รอ และ ก็ไปคิด กันง่ายๆ ว่าไม้ถูกต้องอยู่แล้วขนไปก่อน ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ก็ค่อยไปเอาเอกสาร มาให้ดูกัน ในภายหลัง แต่เหตุการณ์ จริงๆ กลับยุ่งยากกว่าที่คิดเอาไว้มากมาย

๒. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุม ยังไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสวนป่าซึ่งแตกต่างจากพระราชบัญญัติป่าไม้ เจตนา ที่ให้มี พระราชบัญญัติ สวนป่าขึ้นมา ก็เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ได้ช่วยกันปลูกไม้ให้มากขึ้น ดังนั้น หลักฐานต่างๆ จึงเป็นแบบฟอร์มที่ทางป่าไม้ให้เอกชนเขียนเอง ตีตราตอกไม้เอง โดยไปขึ้นทะเบียน ตราเอาไว้กับ ทางป่าไม้ เท่านั้น แต่เมื่อตำรวจจับกุม เราเอาเอกสารเหล่านี้มาให้ดู ก็อ้างว่าใช้ไม่ได้ เพราะเขียน เอาเอง ไม่มีตราเครื่องหมายของ ทางราชการ และประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อตำรวจจับรถเราแล้วไปตั้งข้อหา ว่าไม่มี ใบเบิกทาง ซึ่งไม้ที่ปลูกเองในสวนป่า ก็ไม่ต้อง ใช้ใบเบิกทาง อย่างที่ตำรวจเข้าใจ ขั้นตอนตรงนี้ กว่าจะรู้เรื่องกันได้ ก็ต้องรอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มาชี้แจง เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้มาตรวจสอบ ตำรวจถึงได้รู้เรื่องว่า เอกสารต่างๆ เจ้าของไม้เป็นผู้เขียนเอง ทั้งหมดได้ และใบเบิกทาง ก็ให้เจ้าของไม้ เขียนเองทั้งหมด ว่าจะขนไม้ ไปจากที่ไหนถึงที่ไหน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้ว่า ตั้งข้อหาไปผิด ก็ต้องมาเสียเวลาคิดว่า จะหา ทางออก อย่างไร เพราะแจ้งข้อหาลงบันทึกประจำวันไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ได้ทักท้วงไปว่า เรื่องการแจ้ง ข้อกล่าวหา เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ส่วนตำรวจ เมื่อรู้ว่า พลาดไปแล้ว แทนที่จะรีบ ให้เรื่อง ต่างๆ จบลงอย่างรวดเร็ว กลับพยายามหาทางที่จะคิดหาทางออก ให้ตัวเอง ต้องเสียเวลากันเนิ่นนาน โดยอ้างว่า ต้องสอบสวน ตามระเบียบการปฏิบัติของทางราชการ ขั้นตอน ตรงนี้ ถ้าเป็นเอกชน ทั่วๆไป ธุรกิจของเขา ก็คงจะล้มละลาย เพราะว่า ต้องวิ่งไปวิ่งมา หาหลักฐาน ต่างๆ แล้วแต่ ทางเจ้าหน้าที่ จะเรียกมาสอบ มันเป็นขั้นตอนของทางราชการ ที่สร้าง ความเดือดร้อน ให้แก่ชาวบ้าน จริงๆ แทนที่จะคิดว่าจะช่วยเหลือประชาชนอย่างไร กลับว่าจะหาทางเล่นงานได้อย่างไร ขนาดรถของเรา ทางเจ้าหน้าที่ เขาก็รู้กันดีว่าเป็นรถองค์กรการกุศล เป็นรถของมูลนิธิไม่ได้วิ่งทำธุรกิจหาเงินหาทองอะไร และ ก็มีผู้ใหญ่ หลายฝ่าย ช่วยกำชับกำชา ให้ดำเนินการให้ถูกต้องยุติธรรม ถึงขนาดนั้น ก็ยังล่าช้า ใช้เวลา แรมเดือน

สุดท้ายจนเรื่องล่วงรู้ไปถึงประธานกองทัพธรรมมูลนิธิพลตรีจำลอง ศรีเมือง ทั้งๆที่เราก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่อยากให้เรื่อง ต้องไปวุ่นวายถึงผู้ใหญ่ แต่เวลาผ่านมาเดือนกว่าเรื่องก็วนไปวนมา ไม่มีใครตัดสินใจ ปล่อยรถ ออกมาได้ จำต้องใช้บารมี ของผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ได้คุยกัน จึงได้มีคำสั่งจากทางท่าน รองนายก รัฐมนตรี พล.ต.อ.ชิดชัย ท่านช่วยกำชับกำชา มายัง เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปฏิบัติงาน รถของกองทัพธรรม จึงหลุด ออกมาได้ เรื่องนี้ถ้าเป็นราษฎร ตาสีตาสาทั่วๆไปก็คงจะหมดท่า หรือ มิฉะนั้น ก็คงจะเสียเวลา หมดเงิน หมดทอง กันไปมากมาย

งานนี้ก็คงต้องขอขอบพระคุณทางด้านฝ่ายปกครอง ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอปากช่อง ทางผู้ว่าราชการจังหวัด นครราชสีมา ที่ช่วยกรุณา อนุเคราะห์ให้ขั้นตอนที่ท่านต้องรับผิดชอบดูแลผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะมิฉะนั้น ถ้าเรื่องดำเนิน ตามขั้นตอน ปกติวิสัย ก็ไม่รู้ว่าแม้สองเดือนรถจะออกได้หรือไม่ และ พวกเรา คงจะต้องระมัดระวังกันยิ่งขึ้น เราต้อง เตรียมพร้อม ให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้อง และก็จะต้องไม่ยอม ให้ความไม่ถูกต้อง เกิดขึ้น เช่น ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ซึ่งพ่อท่าน ก็ให้ยืนยันว่า แม้นานเท่าไหร่ ก็ให้เรารอไป เพื่อความถูกต้อง เป็นธรรม จะได้เกิดขึ้นในสังคม

ข้อคิดสุดท้ายที่จะฝากให้กับญาติธรรมของเราก็คือ พวกเราเป็นพวกที่เชื่อในเรื่องบาปบุญ เวรกรรม มีจริงอยู่แล้ว.

- สารอโศก อันนดับ ๒๘๖ สิงหาคม ๒๕๔๘ -