บันทึกจากปัจฉาสมณะ
กรกฎาคม ๒๕๔๘ เดือนกรกฎาคมนี้ชีพจรลงเท้า เดินทางไปร่วมสัมมนากับข่ายแหต่างๆทั่วทุกภาค โดยสถาบันบุญนิยม ได้จัดให้มี การสัมมนา เรื่อง "ทิศทางการดำเนินงานของข่ายแหชาวอโศก ปี ๒๕๔๘ - ๒๕๔๙" เริ่มจาก ดินหนองแดนเหนือ จ.อุดรธานี (๕-๖ ก.ค.), ฮอมบุญอโศก จ.แพร่ (๑๒-๑๓ ก.ค.), สีมาอโศก จ.นครราชสีมา (๑๙-๒๐ ก.ค.), ราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี (๒๕-๒๖ ก.ค.), ปฐมอโศก จ.นครปฐม (๒๘-๒๙ ก.ค.) ต้นเดือนพ่อท่านได้ไปร่วมงานสวดศพคุณปราจีน ทรงเผ่า ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ (๑๐ ก.ค.) งานนี้พบคน ในวงการบันเทิง มากหน้า หลายตา ทั้งคุณสุเทพ วงศ์คำแหง คุณชาลี อินทรวิจิตร คุณธนิต เชิญพิพัฒน์สกุล คุณดาวใจ ไพจิตร คุณเศรษฐา ศิระฉายา คุณวินัย พันธุรักษ์ และอีกหลายคนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก พ่อท่าน ให้พวกเรา ช่วยกันจัดห่อหนังสือไปแจก ในงานสวด ตลอดงาน ทุกวันด้วย ช่วงกลางเดือนมีงานอบรม "คืนสู่เหย้า เข้าคืนรังฯ" ครั้งที่ ๒ ของสมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม แห่งประเทศไทย (๑๖-๑๗ ก.ค.) ซึ่งไปใช้ สถานที่สวนบุญผักพืช เป็นที่จัดงาน งานนี้พ่อท่าน ก็ไปร่วมเทศน์ด้วย สำหรับรายการทุกข์ปัญหาชีวิต ร่วมรายการกับสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ตอนพุทธที่ไปนิพพาน ซึ่งบันทึก เท็ปโทรทัศน์ ในวัน อาทิตย์ ที่สันติอโศก เดือนนี้มีประเด็นนำเสนอที่น่าสนใจ การเขียนกับการปฏิบัติธรรม ไปสู่นิพพาน กับเทคโนโลยี กับนิพพาน (๓ ก.ค.) และเหตุของความขี้เกียจ กับปฏิสัมพันธ์ ๔ (๑๐ ก.ค.) นอกจากนี้มีที่พ่อท่านแสดงธรรมเดี่ยว ที่น่าสนใจมี ทำวัตรเช้าจันทร์ที่สันติอโศก เกี่ยวกับอรูปอัตตา (๑๐ ก.ค.) วันอาทิตย์ ก่อนฉัน ที่สันติอโศก ทุกข์ ๑๐ (๑๗ ก.ค.) และทำวัตรเช้าจันทร์ที่สันติอโศก เกี่ยวกับอปัณณกธรรม (๑๘ ก.ค.) แต่ทั้งหมดนี้ ไม่สามารถ นำมาลงในที่นี้ได้ ผู้สนใจติดต่อได้จากฝ่ายเผยแพร่ ก่อนเข้าพรรษาเดินทางโดยรถยนต์ไปสีมาอโศก เพื่อร่วมงานสัมมนาข่ายแห(๑๙-๒๐ ก.ค.) แล้วเลยต่อ ไปเข้าพรรษา ที่บ้านราชฯ เป็นกรณีพิเศษ ที่เดินทางไกลโดยรถยนต์ หลังจากที่ ๒-๓ ปีที่ผ่านมานี้ พ่อท่าน ได้รับนิมนต์ให้ถนอมสุขภาพ หากจะต้องเดินทางไกล ขอนิมนต์ ขึ้นเครื่องบิน แทนการเดินทางโดยรถยนต์ ด้วยเหตุผล ที่ดีต่อสุขภาพ การกระทบกระเทือน มีน้อยกว่า ปลอดภัยจาก อุบัติภัย มากกว่า รวมถึงใช้เวลา น้อยกว่า การเดินทางโดยรถยนต์ เข้าพรรษาได้ไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับมาร่วมงานสัมมนาข่ายแหที่ปฐมอโศก ๒๘-๒๙ ก.ค. แล้วต่อเลย ประชุม ชุมชนสันติอโศก รวมทั้ง ๗ องค์กรที่สันติอโศก เนื้อหาน้ำหนักโดยรวมของเดือนนี้อ ยู่ที่การไปร่วมสัมมนาข่ายแหระดับภาคตามที่ต่างๆ
ญาติธรรมกลุ่มอุดรฯดูจะน้อยกว่าสมัยกองทัพธรรมมาอบรมครู เมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว ได้ฟังว่า ขัดแย้ง และแตกกัน จนถึงวันนี้ ก็ยังเข้ากันไม่ได้ พ่อท่านให้ปัจฉาฯนำ "หยาดน้ำใจ" ติดมาด้วยเผื่อแจกญาติธรรมที่ไม่สามารถไปร่วมงานอโศกรำลึกได้ ซึ่งก็มีมาขอรับจริงๆ ทั้งชาว อุดรฯ และจังหวัดใกล้เคียง หนองคาย หนองบัวลำภู เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ ซึ่งมีส่วนหนึ่ง ได้มาร่วมสัมมนาด้วย หลงลืม หลงตัว หลงเงิน การประชุมสัมมนาในช่วงหลังรับประทานอาหารแล้ว มีประเด็นหนึ่งที่พ่อท่าน เสริมเตือน ข่ายแห ต่างๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตา จะอบรมคนอื่น โดยที่กลุ่มของตนก็ยังไม่แข็งแรง ละเลย เรื่องการผลิต ปัจจัยสี่ ข้าวผักพืชก็ยังต้องซื้อ จากภายนอก เลี้ยงตนเอง ไม่รอด จากบางส่วน ที่พ่อท่าน ได้กล่าวเตือนไว้ดังนี้ "คนยังไม่หมดกิเลสนั้นจะหลงง่าย ถ้ามันดีเราก็หลง หลงที่เราอยากจะทำดี เราอยากทำมันไฟแรง แต่ทำแล้ว มันก็ต้องใช้เงิน ใช้เงินไป ในกลุ่มใดก็แล้วแต่ยังไม่เป็นกลุ่มที่แข็งแรง และเป็นกลุ่มที่ไปอบรม ไปช่วยเหลือ คนอื่นเขา ทั้งๆที่ตัวเอง ยังไม่เป็นกลุ่ม ที่แข็งแรง มันจะเกิดการลืม และหลงได้ทีหลัง หลงตัว และมันก็ใช้เงิน แล้วก็อยาก ได้เงินขึ้นมา โดยคิดว่า มันจะได้ทำงานได้ดีขึ้น ถ้าจิตตัวนี้เกิดเมื่อไหร่ ก็ผิดล่ะ เพราะว่าการอบรม เราจะไม่คำนึงถึง การได้เงิน หรือการไม่ได้เงิน การอบรมคือการสร้างคน ได้เงินเป็นผลพลอยได้เท่านั้น ถ้าเราได้อบรมคน แม้มันจะไม่ได้เงินก็ไม่เป็นไร เพราะนอกจาก จะพึ่ง ตนเองรอด แล้วยังมีส่วนเหลือ อบรมคนอื่นได้ แม้ขาดทุนก็ยังอบรมได้ๆ อย่างนี้ก็คือ สมบูรณ์แบบ โดยไม่คิดว่าจะหารายได้ จากการอบรม เราจะไม่คำนึงถึงอย่างนั้น ฉะนั้นในทิศทางที่เราจะทำนี่ เราจะต้องสร้างกลุ่มให้แข็งแรง พึ่งตนเองรอด จนมีกำลังพอที่จะเกื้อกูลคนอื่นได้ นั่นคือ ความสมบูรณ์แบบ ในตัวที่ถูกต้อง ขนาดนั้นอาตมายังต้องปรามกลุ่มที่แข็งแรง ไม่ว่าบ้านราชฯ ศีรษะอโศก ปฐมฯก็ตาม ยังต้องปราม อยู่เรื่อยเลย ว่าอย่าหลงเชียวนะ ว่าเราอบรมนี่แล้วเอาเงิน ค่าอบรม มาเป็นเงินมาเลี้ยงชีพ เป็นเงินมาเลี้ยงหมู่บ้าน อะไรอย่างนี้ ผิดเลยนะ ถ้าไปหลงคิดอย่างนั้น ตายเลย อาตมาจึงอยากจะให้ระมัดระวัง กลุ่มที่ยังไม่แข็งแรง ยังพึ่งตนเองไม่รอด ยังไม่เป็นกลุ่มที่แข็งแรง โดยเฉพาะ แม้แต่ จะไปอบรม ก็ยังไม่มี เงินพอที่จะคุ้มตัวสมดุล หรือคัฝ-เออะ {cover = พอ, คุ้ม(รายจ่าย)} กับการทำงาน ยังต้อง ไปเอา นั่นนี่มา ก็ต้องการ อยากได้เงินมาทำงาน เพราะมันขาดเงิน เพราะฉะนั้น ความอยากได้เงิน จะหลอมตัวเอง หลอกตัวเอง ให้ตัวเราเองนี่ ผิดพลาด แล้วเกิดกิเลสขึ้นมาซับซ้อน นี่อาตมาเตือนไว้ เป็นความรู้ แล้วก็พยายามกัน ให้ดีๆ"
๖ ก.ค. ๒๕๔๘ ที่ดินหนองแดนเหนือ พ่อท่านแสดงธรรมหลังจากได้ฟังการสรุปผลการสัมมนา โดยมีเนื้อหา บางส่วน ที่น่าสนใจ ดังนี้ "การสัมมนาเราจะได้พัฒนาหรือบูรณาการในการทำงานกับสังคม สถาบันบุญนิยมเรากำลังจะเป็นรูป เป็นร่าง
อาคาร สถาบันบุญนิยม จะเสร็จในเดือนกันยายนนี้ อยู่ที่กรุงเทพ จะเป็นสำนักงาน
เป็นจุดศูนย์กลาง ที่เราทำงาน แบบบุญนิยม ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อสังคม ชนิดใหม่
ที่ท้าทายโลกทุนนิยม คือทำงานแบบ ไม่รับค่าจ้าง ทำงานฟรี ทั้งๆที่สถาบันนี้
ทำงานทั่วประเทศ แต่ผู้ที่ทำงานอยู่ ก็ยังมี ไม่มากนัก เพราะไม่ได้จ้าง มาทำงาน ด้วยสมัครใจ
มาถึงวันนี้นี่เราก็พยายามที่จะทำงานเชื่อมสัมพันธ์กับข้างนอกมากขึ้น จากแต่ก่อนนี้เราได้อุตสาหะ สร้างคน ภายในกันก่อน ทุกวันนี้ เราก็อบรมประชุมสัมมนาคนข้างนอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็พยายาม ใช้วิธีการทุกๆ อย่าง ที่จะให้มีประสิทธิภาพ ทำกัน ให้ได้ประโยชน์กัน ขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงขณะนี้ เราได้เปลี่ยน แม้กระทั่งชื่อ มาเป็น "ศูนย์บุญนิยมสิกขา" แต่ก่อนเน้นหนักกันที่ คกร. หรือ เครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษ ซึ่งตอนนี้ เราเห็นกันว่า มันไม่เท่านั้นแล้ว เพราะว่าบุญนิยมของเรานี่กว้างรอบทุกอาชีพ ทุกงาน ก็ได้ แต่ตอนนี้ เรายังมีอยู่แค่ ๑๒ แผนก(ศาสนา, การศึกษา, กสิกรรม ปุ๋ย ขยะ, การพาณิชย์, อุตสาหกิจชุมชน, การเงิน การคลัง, สุขภาพ, การสื่อสาร, ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม, ศิลปะวัฒนธรรม, การบริโภค และการเมือง) การพาณิชย์ เศรษฐกิจบุญนิยม สื่อสารบุญนิยม การเงินบุญนิยม สุขภาพบุญนิยมอย่างนี้เป็นต้น ใช้คำว่า บุญนิยม ตามท้าย ก็เลยเอาคำว่า "บุญนิยม" นี่มาเป็นคำหลัก แล้วตั้งชื่อว่า "ศูนย์บุญนิยมสิกขา" สิกขา คือ ศึกษา สิกขาเป็นภาษาบาลี ศึกษาเป็นภาษา สันสกฤต คนไทยเอาคำว่า ศึกษา มาใช้แพร่หลาย รู้กันดี สิกขา ก็มีคนใช้ แต่ว่าน้อยกว่า ภาษาสองคำนี้อันเดียวกัน แล้วเรา ก็เริ่มพยายามที่จะทำงานให้มันเข้ารูปเข้าร่อง เดือนนี้นี่โอ้โฮ...วิ่งรอกกันทั่วประเทศเลย ทิศเหนือ ใต้ ออก ตก แล้วเขาก็ลากอาตมาไปด้วย คนอายุ ๗๐ กว่า แล้วนี่นะ เสร็จงานนี้นี่ จะฟิตขึ้น หรือว่าจะทรุดลง ลองดูกัน แต่อาตมามั่นใจว่าอาตมาจะฟิตขึ้น เหมือนกับ นักวิ่ง ที่ได้ซ้อมวิ่งมากๆขึ้น เอ๊ะ.... มันไม่เบา เหมือนกันนะ มันจะมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นจริงมั้ยเนี่ย ! ทุกวันนี้เป็นยุคทุนนิยมรุนแรง เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวหนักจัดจ้านมาก ท่ามกลางยุคที่มันจัดจ้านอย่างนี้ เรายัง มีคนที่เป็น คณะทำงาน ไม่ใช่ทำงานย่อยๆ ทำในระดับประเทศก็พูดได้อยู่ แม้มันจะยังไม่ยิ่งไม่ใหญ่ เท่าไหร่ ก็ตาม ดูเล็กๆ แต่ก็ทำงานจริง ได้สภาพ คนเขาหาว่าเรานี่เป็นพวกทำงานไม่ได้กว้างหรอก อาตมาขอไขความตรงนี้ มันเป็นปรัชญาที่ซับซ้อน ลึกซึ้งมาก เขาว่า บุญนิยมนี้ มันทำได้แค่ จุลภาค (micro) ทำได้ในหมู่เล็กๆ หรือเป็นเศรษฐกิจจุลภาค [micro economics] เท่านั้น ทำให้เป็น มหัพภาค (macro) ทำให้เป็นที่กว้างขวางออกไปสู่หมู่ใหญ่ หรือ ทำให้กว้าง เป็นเศรษฐกิจ มหัพภาค [macro economics] ไม่ได้ เขาว่างั้นนะ ได้แต่แค่ จุลภาคหละ อาตมาอยาก จะเจาะลงไป ในสัจจะคำว่า จุลภาค กับ มหัพภาค สักนิด เราทำนี่เหมือนรูปธรรมมันเล็ก แต่ใจหรือนามธรรมมันเผื่อแผ่กว้างออกไปสู่สังคมนะ มัน macro รูปธรรมมัน micro ส่วน ทุนนิยม เขาบอกว่า ของเขานี่มหัพภาค macro ทำได้ทั่วโลก ใช่.... ทำหนะทำได้ และ ทำได้ง่ายๆ ทั่วโลก แต่ผลมันเป็นจุลภาค หรือ มหัพภาค สู่สังคม อะไรจุลภาค อะไรมหัพภาค ทุนนิยม นั่นมันคือ กิเลสนะ ที่มันโต มันใหญ่ มันมโหฬารมหัพภาค อย่างนี้ หรือที่จะเรียกว่า macro economics กิเลสมันเห็นแก่ตัว แผ่ขยายไป ไพศาลทั่วประเทศ ทั่วโลก แล้ว"คนทำ-กรรมกร" กับ "คนได้ประโยชน์-คนได้กำไร" คนประเภทไหน .... ที่เป็นจุลภาค คนประเภทไหน.....เป็นมหัพภาค ลองค้นดูความจริง อันสำคัญนี้ดู ความคิดของคนนี่เผินๆ ว่าของเขานี่แหละเป็นของสากล เป็นของทั่วไป ซ้อนอยู่ในคำว่า ทุกคน หรือส่วนใหญ่ เหมือนกันหมด ใครๆ ต่างก็เห็นแก่ตัวเป็นจำนวนมาก คือ macro คือความมาก คือส่วนใหญ่ ก็ใช่ นี่คือ เศรษฐกิจ ทุนนิยม เป็นอย่างนี้ ได้ทั่วถึงกัน คนต่างมีกิเลส อย่างนี้ทั่วถึงกัน ตั้งแต่คนขอทาน ถึง อภิมหาเศรษฐี นี่คือ ส่วนใหญ่ของคน ล้วนเป็นคนมีกิเลส มหัพภาค macro ก็ต้อง อยากได้มากอย่างนั้น -เห็นอย่างนั้น เหมือนกันเป็นสากล แต่"คนที่ได้รับประโยชน์-คนกำไร" คนที่ ร่ำรวย มีจำนวนน้อย เป็นจุลภาค micro แล้วจะจัดว่าเป็น micro economics ไหมล่ะ ส่วนคนที่ยากจน "คนทำ-กรรมกร" คนเสียผลประโยชน์ คนขาดทุน เป็น มหัพภาค macro นี่คือ ระบบทุนนิยม ตัวจริงตัวแท้ ฟังให้ดีนะพวกเราที่มาทำงานนี่ เขาดูพวกเรานี่เขาดูถูกผิดหมดเลย ของเรานี่น้อยคน หรือว่า น้อยกลุ่ม คนจะมา จนกันจริงๆ ก็ได้น้อยกว่า คนจะไปรวยแน่ๆ แต่คนจนนี่แหละ ทำเพื่อคนส่วนมาก ทำเพื่อประชาชน ทั่วไปหมด คือ สะพัดออกไป เสียสละ ไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ เพราะฉะนั้น แม้คนส่วนน้อย จะพากันมาจน แต่คนส่วนใหญ่ จะได้ประโยชน์ จะรวยทั่วถึงกันหมด คนจะเสมอภาคกัน หรือ เผื่อแผ่ออกไป ให้ทั่วถึงกัน "ผล"ของงาน ที่พวกเราทำนี่ เป็นมหัพภาค แต่"ผู้ทำงาน"นี่เป็นจุลภาค ส่วนนายทุนนั้น เหมือนกับ "ทำทั่วถึงกัน" เป็นสากลทั่ว เป็นมหัพภาค แต่"คนที่ได้ประโยชน์" เอาเปรียบได้นั้นเป็น จุลภาค ไม่กี่คน นี่อาตมา ก็เพิ่งจะขยายความ ในประเด็นสำคัญนี้ วันนี้ อาจจะยังอธิบายไม่ดี ทุนนิยมนั่นแหละจุลภาค คนรวยอยู่กระจุกเดียว ความจริงเศรษฐกิจของทุนนิยมนี่ รวยอยู่ กระจุกเดียว แต่ส่วนรวมของ รากหญ้า หรือ ส่วนใหญ่ ของพลเมืองของประชากร ต่างก็จนอย่างแผ่ไพศาลไป ทั่วถึงกัน ทุกวันนี้คนที่รวยมีกระจุกเดียว แต่คนที่จนกระจายไปอย่างทั่วถึง ในประเทศไทยเขาว่ามี ๒๐ กว่าตระกูล เท่านั้นนะคนที่รวย นั่นหละ จุลภาค คือส่วนน้อย แล้วส่วนใหญ่มหัพภาคเป็นไง เนื้อในของมันก็คือ คนรวย ไม่ได้ช่วยเหลือ คนส่วนใหญ่จริงเลย ลัทธิทุนนิยม ยิ่งแพร่ คนยิ่งจนมากขึ้น แล้วคนรวยกระจุก คนจนกระจาย เรายัง จะแพร่ไปทำไม ลัทธินี้ แต่ลัทธิบุญนิยมนั้น คนจนหรือคนที่จะคิดมาจนตั้งใจมาจน เต็มใจมาจนนั้นมีน้อย ใช่ เป็นจุลภาค ทว่าคนรวย จะมากขึ้นเป็น มหัพภาค เพราะคนที่อยู่ยอด จนก่อนคนส่วนใหญ่แล้ว จนหมดตัวเลย แล้วก็พยายาม ที่จะให้ คนทั้งหลาย พากันมาจน อย่างเรา อันนี้เป็นเรื่องลึก คนจนคือ "คนทำ" คนสร้าง แล้วก็สะพัดออกไป จากตน ให้มาก สร้างแล้วกระจายไปสู่ประชากร ส่วนใหญ่ นี่คือ คนมักน้อย อัปปิจฉะ คนพอเพียง คนใจพอ สันโดษ เมื่อเราไม่เอาเปรียบ สละ ไม่สะสม มันก็ต้องจน ซึ่งบุญนิยมเรารู้แล้วว่า คนที่กอบโกยให้แก่ตัวเองมากๆ ยิ่งได้กำไรมามากเท่าไหร่ ยิ่งได้บาปมาก เท่านั้น พวกเราถึงทำงาน ด้วยความเข้าใจ เห็นจริง เป็นจริง เราไม่แคร์หรอกเขาจะโลภโมโทสัน เขาจะเอาบาป ใส่หัว อีกเท่าไหร่ ก็ช่างเขาซิ ถ้าเราอยู่รอด นอกจาก เราอยู่รอดแล้ว เรายังสามารถเป็นประโยชน์ หรือเราได้เสียสละ เราได้ทาน เราได้บริจาค เราได้ให้ นั่นแหละ เราเป็นคน มีประโยชน์ มีคุณค่าต่อมนุษย์แล้ว เราเข้าใจอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ เราก็ไม่ไปริษยาอะไรเขา เราจึงไม่มีปัญหา เขาเองเขาก็สมใจ ที่เขาได้ โลภโมโทสัน ได้เปรียบ มากๆ ทุนนิยมกับบุญนิยมจึงไม่เป็นศัตรูกัน ไม่ได้ไปทะเลาะวิวาทอะไร กับเขา เพราะพวกหนึ่ง ตั้งหน้า ตั้งตา"เอา" อีกพวกก็ตั้งหน้าตั้งตา"ให้" ก็อยู่กันสงบดี สังคมของพวกเรานี่มันก็เป็นรูปของสังคมใหม่ เป็นนวัตกรรมของมนุษยชาติ อาตมาเรียก นวัตกรรมมนุษย์ เลย เป็นตระกูลใหม่ เรียกว่า Alien species เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นพันธุ์ที่ไม่เหมือนกับที่โลกเขามี มาแล้ว พวกเรานี่มีหลัก....สาราณียธรรม สาราณียธรรมนี่คือธรรมะข้อสำคัญของพระพุทธเจ้าเลย ข้อใหญ่มี ๖ กายกรรมเมตตา วจีกรรมเมตตา แต่ทางโลก เขารู้เหมือนกันว่า เมตตาดี กายกรรมเมตตา วจีกรรมเมตตา แต่ข้างในจิตไม่หรอก เล่ห์เหลี่ยมเยอะ แผนซ้อน หาทางเอาเปรียบ ไม่ได้เมตตาจริง เมตตาเชือดเฉือน สาราณียธรรม มี ๖ ข้อ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา สาธารณโภคี ก็คือ เรามีทรัพย์สินเป็นกองเดียวกัน กินใช้ร่วมกัน เป็นกองกลาง สาธารณะ เป็นเอกีภาวะ เป็นหนึ่งเดียวกัน เอกีภาวะ คือมีความเป็นเอกภาพ เป็นหมู่ชนที่พึ่งพาอาศัยกันจริงๆ เป็นพี่น้อง ญาติมิตร อันเดียวกัน ช่วยกันจริงใจ พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกัน เช่น ดินหนองแดนเหนือนี่ ก็เป็นสมบัติ เดียวกันกับ สันติอโศก คนที่อยู่สันติอโศก ก็ถือว่า ดินหนองแดนเหนือ เป็นสมบัติ อันเดียวกัน เพราะว่าเข้าหมู่ เข้ากลุ่มกันแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว คือตระกูลอโศก หรือ เลือดบุญนิยม อันเดียวกัน ทางเหนือ ไปสุด ภูผาฟ้าน้ำ ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พี่น้องกัน อยู่กันอย่างระลึกถึงกัน สาราณียะ เรียกว่า ระลึกถึง อยู่อย่าง รักกัน ปิยกรณะ อยู่อย่าง เคารพกัน ครุกรณะ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สังคหะ ไม่วิวาท ไม่ทะเลาะ ไม่แตก ไม่แยกกัน อวิวาทะ พร้อมเพรียงกัน สามัคคียะ อันสุดท้ายก็ เอกีภาวะ ที่อาตมากล่าวไปแล้ว คนนั้นนิสัยอย่างนั้น คนนี้นิสัยอย่างนี้ ภูมิประเทศนี้มีอันนี้มาก ภูมิประเทศโน้นมีอันโน้นมาก จริตคนนั้น อย่างนั้น จริตคนนี้ อย่างนี้ เป็นต้น หลากหลาย แต่อยู่ในหลักเกณฑ์ใหญ่อันเดียวกัน เหมือนดอกไม้ นานาพันธุ์ ร้อยเป็นมาลัย พวงเดียวกัน หนึ่งเดียวกัน แต่มี ความหลากหลายในตัว อย่างนี้คือลักษณะของ บุญนิยม ลักษณะ ของชาวอโศก สาธารณโภคี เป็นหนึ่งเดียวกัน กินใช้ร่วมกัน แต่มันจะมีรายย่อยบางคน กินใช้ยังมาก แต่ความประพฤติ ก็ไม่ต่ำกว่า มาตรฐาน ขั้นต้น ที่วางไว้ ว่าจะต้องเป็นคนไม่มีอบายมุข ต้องมีศีล ๕ อย่างต่ำ และพัฒนาการ มีศีลให้มีมรรคผลจริงๆ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ จริงๆ จนกระทั่ง ศีลมีผลสำเร็จ เป็นศีลสัมปทา ยิ่งเป็น ชาวอโศกแท้ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข อาจจะมีจิต เล็กๆน้อยๆ ชอบๆอยู่ก็ตาม แต่ปฏิบัติแล้ว ทาง กายกรรม ไม่มี อบายมุขไม่มี ดูดบุหรี่ก็ไม่มี เล่นไพ่ เล่นโป เราไม่มี จะล้างไป จนกระทั่งหมดเป็นแกน เป็นหลัก มีศีลห้า เป็นมรรคเป็นผล ศีลต้องขัดเกลากิเลสไปได้ด้วยนะ มีศีล ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เพราะนามธรรม บรรลุธรรม ส่วนคนที่มีศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็มีไป แต่อย่างน้อยต้องมีศีล ๕ จึงเป็นหมู่บ้าน ของคนมีศีล แท้จริง หมู่บ้านที่ไม่มีอบายมุขเลยจริงๆ ไม่แย่งชิง ไม่มีอาชญากรรม ในระบบของคนแบบบุญนิยม แบบสาธารณโภคี เราอยู่ที่ดินหนองแดนเหนือนี่ ถ้าเราสร้างให้แข็งแรงขึ้นกว่านี้ เราก็เป็นชุมชน เป็นแหล่ง ที่จะเป็นรูปของชาวบุญนิยมหรือชาวอโศก คำว่าอโศกนี่เราใช้มา คนเขารังเกียจ เขาไม่ค่อยจะอยากรับ ไม่เป็นไร เราก็เอา บุญนิยมมาเรียก ตอนนี้บุญนิยมเขารับได้ ก็ใช้บุญนิยม ขอให้ทำ ได้เป็นประโยชน์ บุญนิยมอาจจะติดตลาดก็ได้ อาตมาถึงพยายาม ที่จะตั้งขึ้น เป็นองค์กร สถาบันบุญนิยม ขึ้นป้าย ขึ้นอาคารให้ทำชื่อ ติดไว้บนตึกเลยนะ อาตมาบอกไว้ ทำโลโก้ ทำรูปตราประจำ ของบุญนิยม ติดชื่อ บนยอดตึกเลย คำแรกที่เขาเกลียดที่สุดคือ โพธิรักษ์ อย่าเอามาพูดให้ได้ยินนะ คำที่สองคำว่า อโศก ก็รองลงมา พอคำที่สาม บุญนิยม เออ .... พอเป็นไป ค่อยยังชั่วแล้ว เขาพอรับได้ คิดว่าตั้งหลักตรงบุญนิยมได้ โพธิรักษ์จะตาย ก็ตายไปเถอะ เขาไม่รับก็ช่างมัน ไม่เป็นไร คำว่าอโศก เขาจะไม่รับอีก ก็ช่างเถอะ คำว่า บุญนิยม เขารับก็ใช้ อันนี้ไป สังคมแบบนี้เป็นสังคมสาธารณะ เงินกระเป๋าเดียวกัน จิตวิญญาณที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ได้ยึดติด อย่างที่ อาตมา ยกธรรมะของ พระพุทธเจ้า มาเป็นพุทธพจน์ ๗ ข้อ สาราณียะ ปิยะกรณะ ครุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เป็นหนึ่งเดียว กันน่ะ มาพิสูจน์ ความจริงว่า อกาลิโก ยุคนี้ สังคมจัดจ้านด้วยทุนนิยม บริโภคนิยม อำนาจนิยม หรูหรานิยม วิตถารนิยม แต่เราก็สามารถที่จะพิสูจน์ ยืนยัน ได้ว่า คนจะเป็น คนชนิดที่ ตามธรรมพระพุทธเจ้า พัฒนาตนเองให้มีจิตใจ กิเลสลด พิสูจน์ได้ ตามธรรม ของพระพุทธเจ้าเลย เป็นไปได้ จริงๆ กลุ่มชุมชนของเรานี่เป็นชุมชน อาตมาเรียกว่า ชุมชนศรีอาริยเมตไตย เพราะเป็นคนที่ไม่มีอบายมุข มีศีลกัน จริงๆ เป็นคนมีศีล ๕ อย่างต่ำ มีสาธารณโภคี กินใช้เหมือนกับมีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ทั่วไป ใครก็หยิบกิน หยิบใช้ได้ ใช่ไหม เป็นของส่วนกลาง นี่แหละ เมืองศรีอาริยเมตไตย กลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อยอะไร ก็มีได้ เราทำได้ ในยุคนี้ ก็ไม่ใช่อวดอ้าง ไม่ใช่ไปพูดไปข่มใคร แต่พูดเพื่อ ให้พวกเรา เข้าใจสัจธรรม เข้าใจว่า คนยุคนี้นี่ มันทำให้เป็นอย่างนี้ได้ นี่ถ้าระบอบบุญนิยมนี่ ได้รับการยอมรับ จะยิ่งกว่าระบอบประชาธิปไตย มันใหญ่กว่าระบอบ คอมมิวนิสต์ นะ หากใช้กัน ทั่วโลกนี่ คุณคิดดูซิว่า มันจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังว่าเราอยู่ ว่าพวกเรานี่เป็นพวกจุลภาค เราก็ไม่ เถียงคุณหรอก แต่ของเรา จะเป็นจุลภาค แบบเครือแห ใช้ภาษาฝรั่งว่า Pyramidal Web นะ เราทำให้จริง แล้วมันจะเชื่อมโยง ขณะนี้นี่เห็นไหมนี่ ของเรานี่ ทุนนิยม เขาก็ขยาย ไปจังหวัดโน้น จังหวัดนี้ นี่เราก็ขยาย ของเราไปเหมือนกันนะ ทุนนิยมเขาขยายไปร้านใหญ่ แล้วเขา ก็รวบเอากำไร รวบเอาผลได้ ไปให้นายทุน แล้วเขาก็ไปสูบกิน กับประชาชน แต่ของเรานี่พวกไมโคร จุลภาค นี่ของเราเป็น เครือแห คือ สานกันเป็น รูปปีระมิด เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ แต่สานเชื่อมโยงกันออกไปๆๆๆ นี่ยิ่งไปตรงไหน ยิ่งไปกระจาย ไม่ใช่ไป อย่างทุนนิยมนะ แต่ของเรานี่ไปที่ไหน ก็ไปกระจายให้ เราก็ไม่เห่อเหิมที่จะเก่ง จนไปทั่วประเทศ ทั่วโลกหรอก เอาแต่ในประเทศไทยนี่ก่อน เครือแหของเรา แล้วมันก็ไป กระจาย สานช่วยเกื้อกูล อย่างจริงใจ ไม่ใช่มาดูด แต่ไปเผื่อแผ่ ซึ่งอาตมาอยากจะดูนะว่า ถ้าแม็คโครของชาวทุนนิยม เขามันมี เต็มโลกนะ กับเราก็มีไมโคร ของเรา มากบ้าง แม้ไม่ถึงกับ เต็มโลกหรอก มาเทียบกันดูว่าใครมันเป็นความเจริญงอกงาม ของมนุษยชาติกัน ที่ไหนร่มเย็นกว่ากัน ที่ไหน น่าเคารพบูชาว่ากัน เราทำนี่เหมือนกับจิ๊บๆจ๊อยๆ เล็กๆน้อยๆ เห็นหน้ากันอยู่ซ้ำหน้าไม่ค่อยเท่าไหร่ ใช่ เพราะพวกเรานี่ เข้าใจ กันอยู่อย่างนี้ ไม่กี่คน คนที่มี ความรู้ ความสามารถอยู่ข้างนอกยังมีอีกเยอะ เขาได้ยินได้ฟังเหมือนกัน แต่เขา กิเลสเขายังหนา เขายังไม่ยอมมา อีกอันหนึ่ง ที่เขาไม่ยอมมา ก็เพราะพวกเรายังพวกน้อย เขายังไม่เอาหรอก อัตราการก้าวหน้าของบุญนิยมนี่ ต่อไปอีก ๑๐ ปีข้างหน้าจะมากกว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เชื่อไหม แต่ถ้าพวกคุณ งอมือ งอเท้า อาตมาก็พูดผิดแน่นอน แต่ถ้าต่างคนต่างก็พยายามขวนขวาย ช่วยกันทำไป เพื่อตน เพื่อท่าน ประโยชน์ตนก็ได้ ประโยชน์ท่าน ก็ได้ แน่นอนอีกสิบปีข้างหน้า อาตมาว่า อัตราการก้าวหน้า จะเพิ่ม เป็นปฏิภาคทวี แต่ความก้าวหน้านอกไปจากมวลปริมาณ สถานที่ วัตถุที่มากขึ้น ก็ยังมีความก้าวหน้าของบุญนิยม ในมิติ ที่ลึกซึ้ง ซับซ้อน ทางจิตวิญญาณยิ่งขึ้น เช่น บริษัทฟ้าอภัยนี่ ตอนนี้แต่ละคนรายได้เขาลดลง แต่ก่อนนี้ รายได้ หรือเงินเดือน เขารับเดือนหนึ่ง คนละสามพันบาท ทีนี้บริษัทมันเจริญขึ้น ฟังให้ดีนะ บริษัทเจริญนะ โอ้โห.... มีอาคาร ใหญ่โตขึ้น มีเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องทุ่นแรง มากมายขึ้น มีที่พักที่อาศัยอะไรดีขึ้น สวัสดิการดีขึ้น เขาก็เลย มาประชุม ลดเงินเดือนกัน คนที่เจริญขึ้น มันต้อง ลดเงินเดือนตัวเองลง ฟังแล้วก็โอ้โฮ.... อย่าไปคุย กับ ส.ว. ส.ส. นะ หรืออย่าไปคุยกับ ปปช. เพราะพวกนั้น เขาขึ้นเงินเดือน ของตัวเอง ยิ่งๆขึ้น แต่ของชาว บุญนิยม เราลดเงินเดือนลงให้ได้ยิ่งๆขึ้น นี่ตอนนี้พนักงานฟ้าอภัย ก็รับเงินเดือนกัน เดือนละ สองพันเอง คนเจริญขึ้น ต้องอย่างนี้ คุยอย่างภาคภูมิด้วยนะ คนข้างนอกเขาก็ต้องบอกว่าบ้าน่ะ....อย่างนี้ เป็นต้น นี่ก็เป็น เรื่องจริงตามจริง ของบุญนิยม คือ จิตใจของคนมีความมักน้อย ความสันโดษ เจริญยิ่งๆขึ้น จะสอดรับ ซับซ้อนกับทางวัตถุ อย่างเป็นสัจจะ วัตถุยิ่งเจริญ มากขึ้น ใหญ่ขึ้น สะดวกขึ้น อำนวย ช่วยแรงเรา ยิ่งขึ้น ถ้าจิตวิญญาณของคนที่ยิ่งเป็นอาริยะ สูงขึ้นๆ จริง ก็ยิ่งจะมักน้อยสันโดษ สงบสบายยิ่งๆขึ้น ในทิศทาง ของอาริยะเช่นกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ อาตมาว่าสุดยอดจริงๆเลยนะ....เมื่อละลดล้างกิเลส ลดล้างความสกปรกต่างๆ แล้วนี่ มันสบาย และ มันประเสริฐ มีประโยชน์คุณค่า ที่อาตมาพูดก็ไม่ใช่ว่าพูดเพื่อที่จะมาบีบคั้น แต่พูด เพื่อให้รู้ว่า ความเจริญที่เรียกว่า "อาริยะ" หรือ "ประเสริฐ" แท้จริงนั้นคืออย่างไร มันน่าจะเจริญอย่างไร ถ้าใคร มีปฏิภาณ ฟังที่อาตมาพูดแล้วนี่จะเห็นว่า โอ๊ะ ...สังคม น่าจะมี อย่างนี้นะ ....เกิดขึ้น แข็งแรงมากๆๆๆ ในประเทศไทย มีกลุ่มหมู่อย่างนี้ ขณะนี้กลุ่มของพวกเรานี่ ก็แค่เกิด หมู่กลุ่ม ยังมีไม่เยอะนะ ยังไม่ใช่กลุ่ม ที่แข็งแรง สมบูรณ์เต็มที่ด้วย จะต้องมาช่วยกันเพิ่มคุณภาพของคนของกลุ่มให้สูง ให้มาก ให้แน่น ได้ยิ่งกว่านี้อีก แต่มีแค่นี้ ก็เห็นรูปลักษณ์บุญนิยมได้แล้ว ถ้ามีจำนวนคนบุญนิยมนี้ซักร้อยคน ก็เป็นกลุ่มชุมชนที่แข็งแรงขนาดหนึ่ง เพราะคนชนิดนี้ร้อยคน ที่เป็นมวล ในที่ใด แต่ละแห่ง จะมีประสิทธิภาพ ยิ่งกว่าคนร้อยคน ของชาวทุนนิยมทั่วไป หลายเท่า เพราะคนแม้พันคน แบบทุนนิยม เขาจะแย่งชิงกัน กอบโกย กักตุนไว้ ของตนๆ เขาไม่กระจายออกมา รวมเป็นพลัง หนึ่งเดียว เหมือนบุญนิยม เขายังไม่เป็น สาธารณโภคี แน่นอน เพราะงั้น คนร้อยคน ที่เป็นสาธารณโภคี กับคนพันคน ที่เป็นทุนนิยม นี่นะ คุณภาพของความเป็นสังคม ก็จะต่างกัน อย่างเห็นๆเลย ว่า สงบกว่ากัน อบอุ่นกว่ากัน เป็นอยู่สุข กว่ากัน เรียบร้อยราบรื่นกว่ากัน เบิกบานร่าเริง ไม่เครียด ไม่เศร้าหมอง ไม่ต่างคนต่างอยู่ ต่างแตกแยก ฯลฯ ประโยชน์ที่จะได้จากชุมชนที่มีพลเมืองแค่ร้อยคนที่เป็นบุญนิยม มีสาธารณโภคี กับ ประโยชน์ ที่จะได้จากชุมชน ที่มีพลเมือง พันคน แต่เป็นทุนนิยม เมื่อเปรียบเทียบกันจะเห็นชัด เพราะคน ที่มีจิต เป็นทุนนิยมนี่ พันคนนั้น ต่างก็จะพยายาม "รวย" แต่คนที่มีจิต เป็นบุญนิยม แม้แค่ร้อยคน ต่างก็ จะพยายาม"จน" และพยายามแจกออกไปเผื่อแผ่แก่กันและกัน ก็จินตนาการตามดูก็ได้ ว่า เศรษฐศาสตร์ บุญนิยม จนกระจุก แต่รวยกระจาย ส่วนเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม นั้น รวยกระจุก แต่จนกระจาย แล้ววิจัยดูซิว่า เศรษฐศาสตร์ ๒ ชนิดนี้ ชนิดไหนเป็นเศรษฐศาสตร์ จุลภาค อย่างไร เศรษฐศาสตร์มหัพภาค อย่างไร อย่างประเทศไทยตอนนี้นี่ จะทำเศรษฐกิจให้สูงขึ้นๆ เขาจะทำให้คนในประเทศรวยขึ้นกันถ้วนหน้า คือ รวยกระจาย ต่างคน ก็ต่างจะต้องเอา ให้ได้มากๆ จึงจะรวย แล้วใครจะแบ่งให้ใครรวย คิดดู ถ้าคน ในเมืองไทย รวยหมด มันก็ต้องไปเอาจาก ต่างประเทศมารวย ใช่ไหม แต่มันไม่ละเว้นหรอก ก็เอาในประเทศ นี่ด้วย หรือเอาก่อนด้วยซ้ำ มันถึงจะรวย กูได้มากก็กูเอาก่อน ใช่ไหม เพราะงั้น พูดกันไปแล้ว มันก็ยาก ระบบ ทุนนิยม ไม่ง่ายเลย แต่แบบบุญนิยมนี่ได้ เพราะรวยน้ำใจ ไม่ต้องรวยเงินทอง พออยู่พอกิน เผื่อแผ่ได้ด้วย ความรวย จะกระจายไปถ้วนทั่ว เพราะมีน้อยๆก็พอใจแล้ว คือ คนมักน้อย คนสันโดษ นั่นเอง เพราะงั้น ประสิทธิภาพ ของคนร้อยคน ของมวลสังคมกลุ่มนี้ร้อยคน มีประสิทธิภาพต่อตน ต่อสังคม ประเทศชาติ มากกว่า มวลประชากร ชุมชนไหน ก็แล้วแต่ ที่มีพันคนได้ ยิ่งมวลชนหมู่บ้านนั้น ไม่ใช่แค่พันคน แต่มีหมื่นคนนี่ หากเป็น ระบบทุนนิยม มันจะแย่งกัน หนักกว่า หรือ มันจะแจกเผื่อแผ่ กันมากกว่า ยิ่งมากก็ยิ่งจะแย่ มันยิ่ง จะแย่ง กันหนักกว่าคนกลุ่มน้อยขึ้นไปอีก ใช่ไหม ส่วนร้อยคน ในระบบ บุญนิยมนี่ ยิ่งจะพัฒนาตนเอง ด้วยสูตร พระพุทธเจ้า จะละจะลด ยิ่งจะต้องเป็นผลึก ผนึกกัน ให้ตกผลึก เป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตรธรรม เป็นสาธารณโภคี ยิ่งขึ้นๆ ทางโน้นเขาก็อบรมตน แต่อบรมอย่างทุนนิยม โลกียะ มันก็จะแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยิ่งขึ้นๆๆไปอีกใช่ไหม พูดได้เลยว่าร้อยคนของทุนนิยมหมู่บ้านนั้น กับร้อยคนของบุญนิยมของหมู่บ้านสาธารณโภคีนี่ รับรอง ประโยชน์ โภคผล ที่จะมีต่อ สังคมประเทศชาติ ต่อมวลมนุษยชาติ ต่างกันแน่นอน สรุปว่าพวกเรานี่เป็นคนอีกประเภทหนึ่งเป็นตระกูลใหม่ ต่างประเทศนี่เขาก็มีนะกลุ่มที่เป็นชุมชนที่แบบ เดิมๆ อย่างที่ อเมริกานี่ เขามีพวก ชนชุมชนอามิช มีมาสามร้อยกว่าปีก่อนอเมริกาเกิดอีก เขาอยู่อย่าง โบราณ ไม่ยอมใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ยอม ใช้รถยนต์ ใช้แต่รถม้า ไม่ยอมใช้ไฟฟ้า ใช้ตะเกียง เวลาจะปลูกบ้าน ปลูกเรือนนี่ เขาลงแขกกัน ช่วยกันปลูกบ้าน แต่เขาไม่ลึกแบบพุทธ ไม่ถึงขั้น สาธารณโภคี เหมือนเรา ญี่ปุ่นก็มี ชุมชนอิตโตเอน อิสราเอลก็มี คิบบุช แต่เขาก็ยังไม่ได้ลด กิเลสตรงๆ และ ไม่ถึงขั้น สาธารณโภคี อย่างที่เราเป็น ขอยืนยันเลย เขาทำยังไม่ได้ถึงขั้นนั้น เขาทำไม่ได้ แต่เขาก็มีส่วนรวม ส่วนร่วมรวมกัน เป็นภาวะ ขบวนการกลุ่ม ที่มีระบบของเขาพอใช้ได้ ดีระดับหนึ่งทีเดียว แต่ของเรานี่มันลึกถึง จิตวิญญาณ เราล้าง ตัวการใหญ่คือ กิเลสออกจาก จิตวิญญาณจริงๆ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี่ยิ่งใหญ่มาก คนเรามันหมุนเวียนกันอยู่แค่นี้แหละ โลกีย์หมุนไปสู่สูง แล้วก็ ตกต่ำ ต่ำแล้วก็ขึ้น สู่สูง โลกีย์นั้น ต่ำลง หยำเปสุดๆแล้ว มันก็เกิดกลียุค ไฟล้างโลก หรือของศาสนาอื่น ก็บอกว่า น้ำท่วมโลก แล้วก็ให้โนอาร์ มาสร้าง เรือ แล้วก็คัด เอาคนดีๆ สิ่งดีๆ มาอย่างละคู่ เพื่อที่จะต่อเชื้อ ก็เป็นตำนาน ของทางด้านศาสนาอื่นเขา อาตมาก็เหมือนโนอาร์ คัดเลือกแล้ว เหมือนกัน พอน้ำท่วมโลก หรือไฟ ประลัยกัลป์ ไหม้โลก ก็จะไม่ไหม้พวกคุณที่มีบุญหรอก คนที่ไม่มีบุญ ก็จะตายหมด เหลือแต่พวก มีบุญนี้รอด คนก็งง ว่ามันจะรอด ได้อย่างไร? รอดได้ซี! เพราะคุณลักษณะของคนบุญนิยมนี่ เป็นคนที่ ไม่เอียงพรรคไหน พวกไหน เป็นคนสากล เป็นคนสายกลาง เป็นคนช่วยเหลือเฟือฟาย คนทุกฝ่าย ไม่ยึดฝ่ายไหน ไม่เอาเปรียบใคร เกื้อกูล เพราะฉะนั้น คนพวกเรา เขาจะไม่ฆ่า ในอนาคตนี่เขาจะรบกันทั้งโลก ชาวอโศกเราเป็นคนกลาง เราสร้างผักพืชผลไม้ สร้างอาหารไปเลี้ยงเขา ทุกฝ่าย เขาไม่มี เวลาทำหรอก มันได้แต่ฆ่ากัน บาดเจ็บเราก็ช่วยเขารักษาให้ทุกฝ่าย ในสนามรบที่ไหนๆ ไม่ว่า ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน ไม่มีใครฆ่า พวกกาชาด กับพวก กองกำลังอาหาร ฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงินเขารบกัน เขาจะไม่ฆ่า ฝ่ายที่เป็นกลาง และช่วยเหลือพวกเขาอยู่ สุดท้าย เขาก็ฆ่ากันตายทั้ง ๒ ฝ่าย เพราะก็เก่ง ทั้งคู่นี่ โลกต่อไป ในอนาคต มันจะมีสองพวกใหญ่ๆ แบบนี้แหละ แล้วก็ฆ่า กันเอง ตายหมดเลย เราเป็นพวก ทำอาหาร ให้เขากิน รักษาพวกเขาที่เขาบาดเจ็บมา พวกเราเลยรอด นี่ไงผู้ที่มีบุญจะรอด เราก็อยู่ กับศีลธรรม อยู่กับสิ่งที่ดีงาม ระวังเถอะ ไม่มีบุญน่ะ ระวัง เขามาชนเราตาย ได้เหมือนกันนะ ถ้าเราไม่มีบุญน่ะ ในธรรมะของพระพุทธเจ้านี่เราทำเพื่อตนเองเป็นหลัก แต่ในการทำเพื่อตนเองนี่เพื่อล้างกิเลส ของตนเอง ล้างความเห็นแก่ตัว มันจึงไป เป็นผลประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยธรรม มันเหมือนเหรียญสองด้าน มันแยกกันไม่ได้ ทำประโยชน์ตน แบบบุญนิยมนี้ มันเป็น ประโยชน์ท่าน ไปพร้อมกันในตัว เรา"ให้"นี่เป็นประโยชน์ตนนะ เขาก็ได้ เราก็ได้ นี่คือสัจธรรมพระพุทธเจ้า ที่สุดยอดจริงๆ
ฮอมบุญอโศก พ่อท่านเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรก พืชพันธุ์ไม้ดูอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นป่าเดิม และยังมีป่าเขา อยู่โดยรอบ กุฎีดิน และห้องน้ำดิน เพิ่งเสร็จหมาดๆ ทันให้พ่อท่านได้ฉลอง สีแดงของดินยังติดมือพ่อท่าน เมื่อไปถูกเข้า แมลงหวี่ และแมลง ตัวเล็กๆ จากป่า บินมาเกาะตามเนื้อตัว ดินสีอิฐแดงดูนุ่มเหนียวติดเท้า เหนอะหนะ ไม่แห้งแข็งเหมือนภาคอีสาน แต่มูล ไส้เดือน มีน้อยกว่าที่ ดินหนองแดนเหนือ เห็นเพียง กองเล็กๆ ไม่กี่แห่ง อากาศดูโล่งโปร่งไม่อับทึบหรือชื้นแฉะอย่างที่ ภูผาฟ้าน้ำ เดิมเป็นไร่ข้าวโพด ที่ชาวบ้าน มาถากถาง ทำกิน คุณอำนวยและครอบครัวได้มาลงต้นสักและมะขามไว้ส่วนหนึ่ง บริเวณ ข้างศาลาส่วนกลาง จึงแวดล้อม ไปด้วยต้นสัก แม้แต่เสาและคานของศาลา ก็ใช้ไม้สักที่มีในพื้นที่ ขนาดเท่าโคนขา และแข้ง ด้วยพื้นที่ ส่วนกลาง ๙๐ ไร่ พ่อท่านเทศน์ เชียร์ให้ญาติธรรม มาอยู่รวมกันเป็นชุมชน พื้นที่เดิมปลูกข้าวโพด และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ปัจจุบันมีไม้สักแวดล้อมอยู่จำนวนมาก ลำใยกำลังออก ผลดก มีแจกให้กินกัน เหลือเฟือ และ มีพื้นที่ปลูกพืชผักอย่างอื่นด้วย ศาลาส่วนกลางที่ใช้เป็นห้องอบรม ใช้ไม้สัก ทั้งหลัง ไม่บอกก็ไม่รู้ เพราะเห็น ลำต้น ขนาดขา และ แขน คิดว่าไม้ยูคาลิปตัสหรือไม้สนเสียอีก ดินมีสีอิฐเป็นดินลูกรัง แต่ก็เหนียวเหนอะหนะติดเท้าน่าดู พบกุฎีดินและบ้านดินเพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ กุฎี ที่ให้พ่อท่านได้พัก รวมถึง ห้องน้ำใหม่ ก็ทำจากดิน เท่ากับพ่อท่านมาฉลองให้ ดีที่เสร็จแล้วไม่มีกลิ่นขี้มัน เหมือนที่ ดินหนองแดนเหนือ พ่อท่าน จึงได้ฉลองให้ ตั้งแต่เมื่อไปถึง เนื่องจากตลอดระยะของการเดินทาง ทั้งบนเครื่องบิน และลงเครื่องบินที่สนามบินลำปาง แล้วนั่งรถต่อมาที่ ฮอมบุญอโศกนี้ พ่อท่านนั่งอ่านข่าว จากหนังสือพิมพ์ ตลอดระยะของการเดินทางทั้งหมด ทำให้มึนๆ เล็กน้อย เมื่อมาถึง ฮอมบุญอโศก มิน่าเล่า พ่อท่าน จึงตอบรับเสียงนิมนต์ ให้พักอย่างง่ายๆ ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา แม้จะมีเสียงนิมนต์ ให้นั่งร่วม การประชุม ที่กำลัง ดำเนินอยู่ แต่พ่อท่านก็เลือกและตอบรับเสียงที่นิมนต์ให้พักทันที พักได้เพียงชั่วโมงยังไม่ถึงดี ก็ตื่นขึ้นมาร่วมรายการเอื้อไออุ่น ก่อนเริ่มรายการก็แจกของที่ระลึก "หยาดน้ำใจ" ที่ได้จัดเตรียม มาแจก ให้ลูกๆชาวอโศก ช่วงที่คุณอำนวยและสมณะได้พาพ่อท่านเดินดูพื้นที่ เจ้าหนูน้อยสองราย ถือกล้องวิ่งหน้าวิ่งหลัง บันทึกภาพ เหตุการณ์ ขณะพ่อท่าน และคณะเดินสำรวจดู ทำเอาข้าพเจ้าเขินกับการบันทึกภาพเหตุการณ์ไปด้วย ไม่รู้ว่า จะมีใครมอง เหมือนเด็กๆ หรือเปล่า การสัมมนาครั้งนี้พ่อท่านแทบไม่ได้มาร่วมประชุมด้วยเลย คณะกรรมการจัดการสัมมนาดำเนินการ กันเอง แล้วรายงาน สรุป สุดท้าย ของผล การสัมมนาทั้งหมดให้พ่อท่านทราบ ก่อนแสดงธรรมเท่านั้น ก็ดีนะ ถ้าการ สัมมนา ข่ายแหอื่นๆ จะทำ อย่างนี้บ้าง ก็จะช่วย ถนอมการใช้งานพ่อท่านลงไปด้วย อย่าคิดว่าดูเหมือน พ่อท่าน แข็งแรงดี คงไม่มีปัญหาทางสุขภาพ อะไรง่ายๆ ก็ขนาดออกกำลังกาย ทุกวัน พักผ่อนอย่างพอเพียง พ่อท่าน ยังมีปลายประสาทเท้า อักเสบ หรือมึนหัวได้เลย อื่นๆ ที่นอกไปจาก ตาเห็น ก็คงจะมีโอกาส เกิดได้ ทั้งนั้น ท้ายนี้มีเรื่องเกร็ดขำๆสองเรื่อง เรื่องแรกกับตัวข้าพเจ้าเอง งานนี้ท้องเสียถ่ายสามครั้ง ทั้งๆที่อาการ ท้องเสีย ไม่เคยเป็น มานานแล้ว เนื่องมาจากฉันโยเกิร์ตมะพร้าวของคุณไพโรจน์ อรรคสีวร ผู้ที่มีความคิดทวนกระแส ในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะ ในเรื่องอาหาร และการดูแลสุขภาพ ที่เด่นชัดมาก คือต่อต้าน การบริโภคถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ จากถั่วเหลือง คุณไพโรจน์ จึงหาวิธี นำเอามะพร้าว มาทำโยเกิร์ต ทดแทนเต้าหู้ โดย คั้นกะทิสดๆ แล้วใส่ผลไม้ลงไป ที่ดีที่สุดคือสับปะรด แล้วปล่อยทิ้งไว้ ให้เกิดจุลินทรีย์จากผลไม้ วันนั้น ใช้ขนุนสีแสด เป็นส่วนผสมลงในกะทิสด ข้าพเจ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นโยเกิร์ตที่ทำจากมะพร้าว เห็นว่าเป็น โยเกิร์ต ช่วยย่อย ก็ตักมาฉันหนึ่งแก้ว แล้วก็ดื่มก่อนอาหารจนหมด รู้สึกว่ามีรสเปรี้ยวและเค็มนิดๆ แปลก ไปจาก ที่เคยฉันโยเกิร์ตทั้งหลาย ก็ไม่คิดว่า จะท้องเสียอะไร เพราะโดยปกติรสเปรี้ยวผู้เขียนสู้ได้ ไม่เคย มีปัญหากับอาหาร รสเปรี้ยวเลย ฉันอาหารไปได้สักครึ่งหนึ่ง ก็มีอาการ พะอืดพะอม และปวดถ่าย ขึ้นมา จึงรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ แทบไม่ทัน ถ่ายออกมา เป็นน้ำไหลจ๊อกๆเลย หลังจากนั้น อีกสักครึ่งชั่วโมง ต่อมา มีอาการอีก คราวนี้รีบเดินอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว ต้องรีบ นั่งลง ปล่อยที่ข้างต้นไผ่ ดีที่บริเวณนั้น ไม่มีใคร อยู่เลย และดีที่เป็นป่า ถ้าอยู่ในเมือง ไม่รู้จะเอาหน้า ไปไว้ที่ไหน และดีที่วันนั้น ไม่ไปออกอาการ บนเครื่องบิน ข้าพเจ้าไม่ได้โทษคุณไพโรจน์เลย กลับชื่นชมเขาด้วยซ้ำที่พยายามคิดหาวิธีให้ชาวอโศกพึ่งพาตนเอง แทน การพึ่งพาตลาด หรือ นิยมอะไร ไปตามกระแส ซึ่งที่สุดแล้วไม่พ้นไปจากข่ายเครือทุนนิยม อีกทั้งหลายคน ไม่มีอาการท้องเสียอย่างนี้ มีบ้าง ที่บอก มีอาการท้องไม่ดี คงจะอยู่ที่ไฟธาตุภายในร่างกายของแต่ละคนด้วย คราวต่อไป หากจะฉัน คงต้องลดปริมาณ อาจจะสัก ๑/๓ จอก ก็พอ อีกเรื่องหนึ่งขณะรอขึ้นเครื่องบินที่สนามบินลำปาง หญิงฝรั่งคนหนึ่งเห็นพ่อท่านและพวกเรา โดยมีญาติธรรม ได้ทยอยกันมา กราบพ่อท่าน กับพื้นสนามบิน เขาคงไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ เขาจึงมองดูพ่อท่าน และพวกเรา ด้วยความสนใจ จนถึงขั้น ยกกล้องขึ้น ทำท่าขออนุญาต ถ่ายภาพพ่อท่าน ซึ่งพ่อท่านก็พยักหน้าตอบรับ เมื่อเครื่องบิน มาลงดอนเมือง ขณะกำลังรอรถ ที่คุณแดนดิน ไปขับออกมา จากลานจอดรถ หญิงฝรั่งคนนั้น ได้ตรงเข้ามา ถามพ่อท่าน เป็นภาษาอังกฤษ Can you speak English? ซึ่งพ่อท่าน ยิ้มตอบไปว่า No ไม่ดังนัก พอได้ยิน แล้วเธอคนนั้น ก็ขยับมาหาผู้เขียน แล้วถามด้วยประโยคเดียวกัน ผู้เขียนส่ายหน้าปฏิเสธ เช่นกันว่า No เธอจึงขยับหันไปถาม ท่านหนักแน่นต่อ ผู้เขียนไม่ทันหันไปมองว่า เป็นอย่างไร คิดว่า เดี๋ยวเธอก็คงไป แต่ที่ไหนได้ ยืนพูดอะไรเร็วมาก อยู่เป็นพัก จึงหันไปมองเห็นท่านหนักแน่นยิ้ม พยักหน้าตอบรับ จึงสันนิษฐาน ว่า ฝรั่งเขาคงเข้าใจว่า ท่านหนักแน่น ตอบรับว่า พูดภาษาอังกฤษได้ เธอจึงพูดอะไรยาว ท่านหนักแน่น ก็ยังไม่ได้ตอบอะไรสักที ด้วยไหวพริบปฏิภาณ เธอพอจะเข้าใจแล้วว่า ที่จริงแล้ว ท่านหนักแน่น เพียงพยักหน้า ตอบรับ โดยมารยาทเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจภาษาอังกฤษ ที่เธอพูดหรอก หรือไม่ก็เธอ อาจจะพูด อะไร จนหมด อย่างที่คิดจะพูด แล้วจึงลาจากไปก็ได้ ถ้าจะให้เดา เธอคงพูดถึงพ่อท่าน ด้วยความชื่นชมว่า ดูมีความอิ่มเอิบ มีราศี นี่ผู้เขียนก็เดาเอานะ เพราะฟังศัพท์ภาษาที่เธอพูดไม่รู้เรื่องเลย สังเกตจากอาการ กิริยา ของเธอ แล้วสรุป เข้าใจเอาเอง ถ้าจะให้สรุปในเรื่องนี้ ก็คือ การไม่รู้อะไรเลย ก็กลายเป็นเรื่องดี ได้เหมือนกัน
สภาพพื้นที่ยังไม่มีอะไรมาก มีศาลามุงแฝก ๕-๖ หลัง เพิ่งจะสร้างเสร็จ เพื่อให้เป็นที่พัก สำหรับผู้จะมา อบรม รวมถึง จะเป็นที่พัก ของชาวสันติอโศก ที่จะมาร่วมลงแขกปลูกพืชผักให้กับสันติอโศก พื้นดินยังเฉอะแฉะ เนื่องจาก เป็นหน้าฝน ทำให้ลื่น เดินต้อง ระมัดระวัง พ่อท่านเปรยให้คิดว่าเหมือนบ้านราชฯยุคเริ่มแรก คราวที่ฉลอง ๖๐ ปีของพ่อท่าน พื้นที่ยังโล่ง ไม่มีอะไรก็คล้ายอย่างนี้ กุฎีที่พักของสมณะยังไม่เสร็จ ช่างกำลังเร่งทำเพื่อให้เสร็จทันใช้ในวันนี้ พื้นกุฎียังไม่มีอะไร มีแต่เสา และ หลังคา มุงแฝก ผนังยังไม่มี เมื่อคืน สมณะที่อยู่ ต้องใช้แผ่นป้ายหาเสียงมากันบังฝน ห้องน้ำ ยังไม่มีอะไรมาก ใช้แผ่นป้าย หาเสียงมุงบัง กั้นเป็นห้องๆ น้ำก็ใช้ กระป๋อง ไปหิ้วตักเอาจากคลองน้ำข้างๆ น้ำใช้น้ำกิน ยังไม่มี เป็นไปตามธรรมชาติ พ่อท่านเริ่มการแสดงธรรมตามเวลา ๙ นาฬิกา ขณะที่สมาชิก นศ.ปธ.หลายคนยังไม่ได้มา งานครั้งนี้ ทราบว่า มีผู้มา ลงทะเบียน เพียง ๓๐ กว่าคนเท่านั้น ไม่ต่างจากงานคืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ ของศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ที่ครั้งแรก มากันมาก ครั้งที่สอง สาม ก็ลดลง อาจเป็นเพราะ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหมู่คณะ ตรงนี้ น้อยลงแล้ว และอาจจะเป็นด้วยเหตุอื่นๆ ตามกิเลส ของแต่ละคน ที่เมื่ออยู่ ในวังวน ของโลกีย์ อะไรๆ ก็เป็นเรื่องยาก ที่จะพยายามหาเวลาเข้ามา ในกระแสโลกุตระ หลังฉันมีการประชุมเลือกคณะกรรมการสมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมแห่งประเทศไทยใหม่ พ่อท่าน อยู่ร่วมประชุม และ ให้ข้อคิด ตลอดการประชุม รวมถึงให้โอวาทปิดท้าย จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้ "เรื่องของ ดินน้ำลมไฟ เรื่องของวัตถุ อาตมาก็ไม่ได้คิดว่า มันจะเป็น ปัญหาอะไรมาก มันจะเป็นปัญหา อยู่ที่คน คนควรจะต้อง มาผนึกกัน มารวมกัน อาตมาว่านักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมนี่แหละที่จะเป็นตัวเรี่ยวตัวแรงของที่นี่ อย่างไรๆก็ฝากไว้ จะแวะเวียน หรือว่า จะมาลงหลัก ปักแหล่ง ก็เชิญ ถ้าใครมีทุนมีรอนอยากจะมาอยู่ที่นี่ก็ซื้อที่ซื้อทาง ๕๐ ตารางวาแสนห้า แถมสันติอโศก แถมปฐมอโศก แถมราชธานีอโศก แถมศีรษะอโศก แถมภูผาฟ้าน้ำ แถมทุกแห่ง ของอโศก เราหมดเลย เพราะเป็นสาธารณโภคี อ้า.... ทุนนิยม สู้ไม่ได้เลยนะ ขอให้มาเป็นมวล เป็นประชากรของชาวอโศกเราเถอะ แล้วมันเป็นหนึ่งเดียวเลย มันเป็นสาธารณโภคี ทั้งหมดเลย มันวิเศษ อาตมา ไม่ได้พูดเล่น ก็อยากจะได้มวลพวกเรา ไปพิจารณาดีๆ ชีวิตจะเอาอะไร เราเกิดมา เป็นชีวิต คิดให้ดีเถอะ คุณจะเกิดมา อีกกี่ชาติๆๆ คุณเป็นมาแล้ว ทั้งนั้นแหละ ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มีเวร มีภัย มีวิบากกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทุกวันนี้ ก็ยังมาเจอวิบาก กันอยู่อย่างนี้ ถ้าคุณไม่พยายาม ที่จะฝืนสู้ทนเพื่อที่จะให้หลุดพ้นไปจากวิบากนี้ที่มันเป็นภาระ สัมภาระวิบาก ถ้าคุณไม่ทำ ให้หลุดพ้น จากสัมภาระวิบาก ก็คุณเองนี่แหละเป็นผู้ที่จะจำนน หรือดิ้นรนไปหามันเอง แต่ถ้าเราพากเพียร ปฏิบัติ วิ่งออกให้ได้ หลุดพ้นออก ให้ได้จริง มันก็จะได้ แต่ก็อาจจะไม่ได้เพราะวิบาก หมายความว่า แม้เราชาตินี้ พยายามเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ได้ เดี๋ยวชาติหน้าก็จะต้องได้ ก็อาจ จะยังไม่ได้ก็ได้ ไม่รับรองเพราะว่า วิบากของเรา แต่ละคน เราไม่รู้ วิบากที่เรายังมีอยู่ ที่มันยังตามมาไม่ทัน มีอีกเท่าไหร่ ยังไม่รู้เลย เพราะงั้น ประมาทไม่ได้เลย ต้องพากเพียรปฏิบัติสั่งสมกรรม ที่เป็นวิบากกุศล ให้ยิ่งๆเถิด" หลังประชุมสมาชิก นศ.ปธ.มีกิจกรรมไปออกแรงร่วมกันปลูกต้นไม้ พ่อท่านไปสรงน้ำที่คลองน้ำหลังกุฎีที่พัก เป็นภาพชีวิต ที่ไม่ได้เห็นง่ายๆ พ่อท่านใช้เวลาสรงน้ำ ประเดี๋ยวเดียว เสร็จแล้ว อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่กุฎิ จนได้เวลาสองทุ่มเศษ จึงพักนอน รุ่งขึ้น ๑๗ ก.ค. ๒๕๔๘ พ่อท่านเทศน์ทำวัตรเช้ากับผู้มาร่วมงาน นำเอาหลักพละ ๔ มาอธิบาย ในที่นี้ข้าพเจ้า ขอข้ามผ่าน ผู้สนใจ ติดต่อได้ จากฝ่ายเผยแพร่ฯ
ถาม : พระเทวทัตนี่ สร้างแต่กรรมชั่ว แม้แต่ชาติสุดท้ายก็เกิดเป็นชูชก ก็ไม่เห็นสร้างกรรมดีอะไร แต่ทำไม เกิดเป็นพี่ชายของ พระนาง ยโสธรา เป็นวิบากอะไรถึงเป็นอย่างนั้น พ่อท่าน : อาตมาตอบไม่ได้หรอกว่าเป็นวิบากอะไร มันเป็นอจินไตย คนเลวที่มาเกิดร่วมกับคนสูงส่งนี่ อย่านึกว่า มันเป็นบุญ อย่างเดียวนะ คู่เวรคู่กรรมเลยนา ผัวร้าย-เมียดี ที่เลี้ยงกันด้วยลำแข้ง เหน็บข้างฝา เช้าเย็นๆนี่.... คุณว่ามันทำบุญร่วมกันไหม คุณเคยเห็น คู่ผัวตัวเมีย ที่เลี้ยงกันด้วยลำแข้งไหมล่ะ แล้วคุณว่า นั่นมันคือ บุญหรือเวรกันล่ะ มันคู่เวรที่เกิดมาร่วมเวรกัน หรือ พ่อแม่แสนดี แต่มีลูกที่เกิดมา แสนเลว ให้พ่อแม่ ช้ำแล้ว ช้ำอีก นี่มันคู่เวรชัดๆใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรื่องของวิบากนี่ คนต่ำ ที่จะเกิด ร่วมกับคนสูง หรือ การเกิด ร่วมกัน อย่านึกว่ามันมีแง่เดียว ว่ามีแต่แง่ดี แง่ร้ายก็มี ถาม : ทำไมพระเวสสันดรจึงต้องมีพระนางมัทรีและกัณหาชาลี แล้วก็เจ้าชายสิทธัตถะ จึงต้องมี พระนางพิมพา และ พระราหุลครับ พ่อท่าน : เป็นเศษวิบากของท่าน ท่านยังต้องมีสัมภาระวิบากที่ท่านเองท่านไม่ทำ คือไม่ล้างวิบาก ให้สิ้นมาก่อนที่ จะตรัสรู้ เป็น พระพุทธเจ้า ถ้าท่านทำให้สิ้นวิบากก่อน ท่านก็จะไม่มี อาตมาถึงบอกว่า อาตมา จะไม่เป็น พระพุทธเจ้า เหมือนพระ สมณโคดม อาตมา จะพยายามบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้า ให้หมด เศษวิบาก ที่จะต้องมี นางพิมพา ซึ่งต้องพยายาม ให้หมด วิบาก ไม่มีแม้แต่ นางมัทรี มาก่อนให้ได้ อาตมา จะพยายามให้เป็นพระพุทธเจ้า ที่ไม่ต้องแต่งงาน นี่เป็นปณิธานที่อาตมา พยายาม เป็นสัมภาระวิบาก ของท่าน แต่ละองค์ๆ สัมภาระวิบากไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ใครมีสัมภาระวิบาก อย่างนั้นๆ ก็ว่ากันไป ถาม : ในชาติก่อนและในชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก็ยังมีการอภิเษกสมรส หรือมีการเสพเมถุน จะหมายความว่า พระอรหันต์ เสพเมถุนได้ ใช่ไหมครับ พ่อท่าน : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากนา เสพเมถุนด้วยความหลงหรือเสพเมถุนด้วยสิ่งที่เป็นโลก มอมเมา ที่อาตมาใช้ ศัพท์ว่า ลิงลม อมข้าวพอง ก็เมา เขย่าตัวแล้วมึนงง เพราะโลกนี้ครอบงำทางความคิด มันจะหลง ไปกับโลก พักหนึ่ง นิดหนึ่ง น้อยหนึ่ง แล้วมัน ไม่เหมือนกันหรอก มันเป็นผิวเปลือกที่ฉาบอยู่ มันไปตาม โลกบ้าง ไม่ใช่เป็นตัวของท่านเองเป็น สักวาระหนึ่ง ไม่ช้า ไม่นาน มันก็จะร่วงหาย มันก็จะหลุด มันก็จะเบื่อ มันก็จะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก อันนี้อาตมาเป็นมาเองเลย เข้าใจได้ รู้ได้ ชัดเจนเลย ที่ตอบนี่ ตอบสภาวะให้ฟัง มันเป็นเรื่องถูกโลกครอบงำฉาบพอก ก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามโลกเขาบ้าง หลงเห็น เป็นไปตามเขาหลอก ชั่วระยะหนึ่ง แต่มันไม่จริงหรอก อาตมาเคยยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้านี่ รู้ใช่ไหม ตามประวัติ พระพุทธเจ้า ถูกประโลม มอมเมา ขนาดไหน แต่งงานอายุสิบหก มีลูกก็อายุยี่สิบเก้า โอ้โฮ....บ่มีไก๊เลย.... ฝีมือ อาตมา ก็พูดอย่างนี้ พูดมากมันไม่ดี จะหยาบคาย มันเป็นไป กับโลกเขา เล็กๆน้อยๆ พอมีลูกแล้ว ท่านก็เห็นแจ้ง เห็นจริง พุทโธ่เอ๋ย เวรจริงๆ ท่านก็รีบ วันนั้นน่ะ ลูกคลอด ท่านก็ไปเลย ไม่อยู่แล้ว มันไม่เหมือนกับโลก เขาหรอก มันเป็นสิ่งที่อจินไตย ที่อธิบายยาก เพราะฉะนั้น ปฏิบัติมาเถอะ แล้วคุณจะเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ ได้ชัดเจน ถามเรื่องภาษานี่ คนที่ฟังแล้วเอาไปตีกิน ได้เลยนา เอาไปหลอกคนอื่นได้ด้วย ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่ง ถาม : พ่อท่านคะ ทำไมวิบากกรรมทั้งในอดีตและในปัจจุบัน จึงตามเล่นงานผู้ปฏิบัติธรรม (ญาติธรรม) เร็วกว่า คนทั่วๆไปคะ หรือว่า จะเตือนให้กลับตัว เร่งทำสิ่งที่ดีให้ยิ่งๆขึ้นคะ พ่อท่าน : ใช่ๆ จะได้รีบๆหมดไง เพราะมันงวดเข้าเรื่อยๆ ผู้ปฏิบัติธรรมนี่มันจะงวด วิบากมันก็จะเร็วขึ้นๆๆ แต่เราสร้าง วิบากกุศล วิบาก ที่จะตามมา มันก็จะเร็วขึ้น วิบากที่เป็นกุศล มันจะไปลด ค่าวิบาก ที่จะตามมา เป็นอกุศลวิบาก ลดลงไป เรื่อยๆๆ จะไม่แรง เหมือนเดิม ลงไปตามลำดับ แต่จะถี่ขึ้น หรือดูจะเจอบ่อยขึ้น มากขึ้น เพราะเหมือนเราตั้งใจ ทำความสะอาด ให้หมดเกลี้ยง เราก็จะพบ ความสกปรกบ่อยๆ ต้องตามหา ความสกปรกสารพัดให้เจอไง ไม่งั้นเราจะมี ความสะอาด หมดเกลี้ยงได้อย่างไร เพราะฉะนั้น อย่าไปกลัว สร้างกุศลไว้ ให้มากๆเถอะ วิบากนั้นตามมา ดี เราจะได้รีบ จัดการ แล้วมันก็จะเบาลงๆๆ เป็นความซับซ้อน ของธรรมะ เข้าใจนะ ถาม : ทำไมถึงจะอยู่กันแบบพี่ๆน้องๆจริงๆ อยู่กันอย่างเอื้ออาทรแบบไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งเหล่า แบ่งกอ ทั้งผู้ใหญ่ และ เด็กๆ อยากให้เด็กและผู้ใหญ่อยู่กันอย่างอบอุ่นจริงๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตามเหตุ ตามปัจจัย จะได้อย่างไรคะ พ่อท่าน : พยายามเข้าๆ ตราบใดที่เราไม่สามารถไปบีบบังคับให้คนหมดกิเลสได้ คุณก็จะต้องมีอย่างนี้ เป็นธรรมชาติ มาก หรือน้อย ก็เป็นไป ตามจริงของผู้ที่สามารถที่จะช่วยกันลดกิเลสได้ เพราะฉะนั้น ถ้ากลุ่มนี้ คนชุมชนสีมาอโศก มีคนที่ กิเลสแรง กิเลสมากหน่อย มันก็จะอยู่กัน สงบน้อยหน่อย เป็นธรรมชาติ ถ้าช่วยกัน ลดลงได้มากขึ้น มันก็จะลดลงๆ ชุมชนนั้น มีคนที่มีกิเลสน้อยได้มาก มันก็จะอยู่ สงบระดับนั้น อบอุ่น เกื้อกูลกัน ก็ดีขึ้น ชุมชนไหนก็แล้วแต่ ถ้าช่วยกันให้ลดกิเลสไปได้ๆ มันก็จะจริง ตามนั้น ทำไมเรารู้สึกว่า กิเลส ของพวกเรานี่ เหมือนมันแรงเหมือนมันมาก เพราะเราละเอียดขึ้น รู้จักกิเลสมากขึ้น กิเลส หรือว่าไอ้คนที่ เขามากระทบกับเรา อย่างโน้น อย่างนี้นี่ จริงๆแล้วนี่มันไม่แรงร้ายเหมือนข้างนอกหรอก แต่เรานี่ ละเอียดขึ้น เราผู้ดีสูงขึ้น เพราะฉะนั้น แม้หยาบน้อย ก็เหมือนมันหยาบแรง จริงๆแล้ว มันไม่เหมือนเขาข้างนอกหรอก คุณคิดดูดีๆซี ลอง....ลองคิดดูกิเลสกามก็ได้ กิเลสกามของพวกเรานี่ มันก็ไม่แรงอะไร มากมาย ตั้งยี่สิบ สามสิบปีมาแล้ว พวกเรา ก็ไม่มีกามหยาบๆหนักหนาสาหัส ไม่ได้รุนแรงอะไร เหมือนข้างนอก เขาหรอก แต่เรารู้สึกว่า แค่นี้เราก็ไม่ดีแล้ว ถือสาไหม ถือสาแน่ คนนี้ถือสา คนนั้นถือสา ก็เลยหลายปากหลายเสียงว่า มันก็เลย รุมกัน มันไม่แรง เท่าไหร่หรอก แต่คนเขา ปรารถนาดี ไม่อยากให้คุณยังมีมัน อยากให้ช่วยกันล้าง เขาก็เลย รุมกันจี้ คุณก็เลยดูแรง ความจริง ไม่ใช่แรง ไม่ใช่มาก เหมือนข้างนอกเขาเลย อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ตั้งหลักดีๆ สิ่งที่เขาท้วง เขาติง เขาขัด เขาเกลา พวกนี้นี่ บางคนไม่มีฝีมือ ไม่มีศิลป์ และศาสตร์ เลยดูเหมือนหยาบ เหมือนแรง ปากก็ไม่ดี ท่าทีลีลาก็น่าเกลียด กระด้างๆ แข็งๆ ไม่นิ่ม ไม่นวลเลย ไม่สุภาพเลย ไม่มีศิลปะ ไม่มีศาสตร์ มันก็เป็นจริง ฝึกเข้า เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆแก้ไขกันไป มันก็เป็นธรรมชาติ แห่งธรรมสัจจะ ถาม : การเล่นหุ้นนี่บาปไหมคะ พ่อท่าน : บาป การเล่นหุ้นนี่บาป อย่าไปอยู่ในบ่วงของพวกนั้น คุณได้กำไรหุ้นมา มันก็บาปแล้ว เพราะมัน เป็นเรื่องการพนัน มันเป็น เรื่องเสี่ยงทาย เล่นหวยบาปหรือเป็นอบายมุขอย่างไร เล่นหุ้นก็อบายมุขอย่างนั้น เพียงแต่เล่นหุ้น ต้องใช้ ความสามารถ ในการติดตาม ความเป็นไป ของเรื่องราว ที่ตนเล่นอยู่ และฉลาด จัดการให้เก่ง ก็จะได้เปรียบเท่านั้น เป็น การเอาเปรียบ ยิ่งกว่าหวย เพราะใช้ ความฉลาด เพิ่มการเอาเปรียบ ได้ยิ่งๆขึ้น จึงบาปกว่าหวย มันคือการเอาเปรียบแท้ๆ ในส่วนที่คุณ ได้เปรียบมา มันเป็นเรื่อง ที่คุณเอง จะพลัด ลงไปในหลุมนั้นอย่างหนัก ยิ่งได้เปรียบก็ยิ่งได้โอกาส ยิ่งได้มา แหม....เยอะๆ ทันที ยิ่งหลงความเก่งของตน คุณยิ่ง ย่ามใจ คุณยิ่งหลงจมปลัก แล้วที่คุณได้นั่น คุณก็ได้บาป เป็นหนี้ บาปชัดๆ ไม่ใช่ไปได้สิ่งที่ดี ที่งามอะไร อย่าไปอยู่ในวงจรของพวก วงจรอกุศล หรือ วงจรมารพวกนี้เลย ถาม : มีญาติธรรมเราเล่นหุ้นแล้วมือขึ้นจนรวย พ่อท่าน : คุณเชื่อไหมว่า อาตมาไม่ได้ยินดีด้วยเลยสักนิดหนึ่ง ที่เขารวยเพราะเล่นหุ้นนี่ มันเป็นรายได้ที่บาป มันเป็นรายได้ ที่ทำให้ เราเองนี่ถลำ อย่าว่าแต่เล่นหุ้นเลย แม้แต่ประกัน ประกันชีวิต มันก็คือการพนัน การเสี่ยงทาย เป็นวิธีการของโลก ของโลกีย์ ก็ยัง ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้น ยิ่งหุ้นด้วยแล้วนี่ ยิ่งโอ้โฮ.... เสือ สิงห์ กระทิง แรด ทั้งนั้น คุณจะต้องใส่ใจ และคุณ จะต้องพยายาม อาจจะ อาศัยบุญ เรามีบุญหน่อย สมมุติว่า คุณไม่เก่งอะไรเท่าไหร่ แต่อาจจะมีบุญก็เลยได้ก็ตาม ถ้าแม้ว่า จะมีบุญ มันก็ได้ของคุณเอง คืนมา ก็เท่ากับ คุณถอนเงินมาจากธนาคาร แล้วบุญของคุณ ก็หมดไปเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่ใช่ ถอนบุญเก่า คุณก็ไป เป็นหนี้จากเขามา เพราะคุณ เล่นหุ้นนี่ คุณทำอะไร คุณสร้างอะไร ก่ออะไร ถามหน่อย คุณทำ ผลิตผลอะไร ไปแลก ไปเปลี่ยนมา ถามหน่อย ใช้หัวคิดใช่ไหม หัวคิดเพื่อที่จะเอาเปรียบใช่ไหม? แล้วมันเป็นหัวคิด ที่เป็น บุญหรือ? คุณสร้างอะไร ไม่สร้างอะไรเลย ดีไม่ดีไปจ้างโบรคเกอร์ โน่นแน่ะ ไม่ได้คิดเองด้วย ถ้าโบรคเกอร์ เก่ง คุณก็ได้รวยไปกับโบรคเกอร์นั่นแหละ ใช่ไหม คุณไม่ได้ทำอะไรเลย บาปกินหัว มาล้างกิเลสเถอะ อย่าไป อยากรวยเลย อย่าไปว่าถึงเล่นหุ้นเลย คนที่ไปทำงานอย่างสุจริตอยู่ในโลกนี่ด้วยลัทธิทุนนิยม ก็บาปอยู่แล้ว ได้มานี่ ทางโลก เขาถือว่าสุจริต ตามแบบทุนนิยมใช่ไหม ทุนนิยมนั้น ได้มาเพราะทุกคน จำนน ทุกคนยอมแพ้ ขายราคานี้ ราคาตลาดอย่างโน้น อย่างนี้ ซึ่งมันก็บวกบาป อาตมาก็พูดมามากแล้ว อาตมาไม่อธิบาย ละเอียดหรอก คุณก็ได้บาปอยู่แล้ว ยิ่งไปเล่นหุ้นมา ได้มาทำไม ก็ขนาด ทุนนิยม สุจริต มันก็ยังมีบาปอยู่แล้ว แล้วยังไปเล่นหุ้น ซึ่งเป็นอบายมุข ให้มันบาปซับซ้อนทำไมล่ะ ไม่เข้าเรื่องเข้าราว ใช่ไหม มันไม่เข้าท่า อะไรหรอก อาตมาพูดมากขึ้นในเรื่องที่เป็นความซับซ้อนลึกๆ ในสังคมที่เขาเป็นเขามีกันนี่
เพื่อให้รู้จักบาป จักบุญ รู้จัก เรื่องเลวร้าย พวกนี้ยิ่งๆ ขึ้น พยายามปฏิบัติธรรมไว้เถิด
อย่าไปตะกละตะกลาม กินน้อยใช้น้อย เลิกละ หลุดพ้นมา จะพอกินพอใช้ เพราะฉะนั้น
ไม่จำเป็น ที่จะต้อง ได้มามาก ได้มาด้วยเรี่ยวด้วยแรงของเรา ได้ตาม สมค่า
มันไม่ขาดทุน มันไม่เป็นหนี้บาป ก็ทำไปบ้าง แต่มันก็เหน็ดเหนื่อย มันก็อย่างนั้นน่ะ
กินบุญเก่า หรือ มันก็ใช้เรี่ยว ใช้แรง ถ้าเราอยู่กับโลกเขา เราก็จะใช้อัตรา
การกินอยู่ การใช้สอยแบบโลกๆ เพราะเขา พาเป็น เช่น คุณอยู่ในสังคม คุณจะแต่งตัวอย่างนี้มะล่อกมะแล่ก
ไปอยู่กับ สังคมเขา ก็ต้องแน่จริงๆจึงจะอยู่ได้ ยากนะ อย่างนี้เป็นต้น คุณก็ต้อง
เปลืองเพิ่มขึ้น จะร่วมงานอันนั้นอันนี้ ก็ต้องตาม ค่านิยมของเขา คุณไม่ ทำตาม
คุณอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้นานหรอก เขาก็เตะคุณ ออกมาเท่านั้น คุณก็ต้องไปร่วมกับเขา
แล้ว ไอ้สิ่งที่ต้อง ไปร่วมกับเขาน่ะไร้สาระหรือเปลืองผลาญเสียแหละมาก โลกีย์เข
าไม่รู้กันหรอก อยู่ในสังคม อย่างนั้น มันเละเทะ ไม่ต้องเอาอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ
ไปถึงที่ที่หนึ่งเขาบอก เอ้าทำบุญ แจกซอง คุณก็บอก โอ้โฮ.... ซองนี่เราก็รู้อยู่แล้ว
มันไม่ได้เรื่องอะไร แจกซอง คุณก็ไม่อยากทำ คุณไม่ทำกับเขา อยู่ตรงนั้น คุณก็เป็น หมาหัวเน่า
อยู่อย่างนั้นแหละ เอ้าก็ต้อง จำใจให้ไป อยู่กับสังคมก็อย่างนี้ นี่ยกตัวอย่าง ที่อาตมา คิดได้ ปัจจุบันทันด่วน
ก็ยกตัวอย่างให้ฟัง รีบๆ เข้ามาเถอะ มาอยู่กับ มวลมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี
อย่าไปชักช้าอยู่เลย อาตมาพูดแล้วนี่ มีรายละเอียด ที่อธิบาย อะไรหลายๆ อย่าง
คุณฟังไปเรื่อยๆ มันไม่สมควร ผัดๆ ผ่อนๆหรอก มันเป็นปะปัญจารามตา มันเป็นความยินดี
ในความเนิ่นช้า มันช้าเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ใครสามารถที่จะพอเป็นไปได้ หักอกหักใจบ้าง
ทนๆ ฝืนๆบ้าง เพราะปฏิบัติธรรม มันต้องทน ต้องฝืน มันต้อง สัจจะ ทมะ ขันติ
จาคะ ต้องเอาจริง มันต้องทมะ ขันติ ถึงจะจาคะได้ คุณต้องเจอแน่ๆเลย เพราะใน ฆราวาสธรรมนี่
เป็นฆราวาส ก็จะต้องเจอหนัก เพราะฉะนั้น ถ้าใครอดทนได้แล้วก็อดทน อย่างเป็น สัมมาทิฐิ
ขัดเกลาได้จริงๆเลย แล้วก็จาคะ ได้จริงๆเลย แล้วก็มีปัญญาอ่านกิเลส แล้วก็จาคะกิเลส หรือ เนกขัมมะหรือ บริจาคเป็นโลกุตระได้
คุณจะเร็วเหมือนกัน ฆราวาส นี่แหละ โจทย์เยอะ แต่ยาก เพราะไม่มี ใครค่อยรู้
ใครค่อยช่วยกระซิบ แต่ที่นี่เราเตือนกันง่าย บอกกันง่าย พลาดท่า เสียที ประเดี๋ยวก็ได้
เดี๋ยวก็รู้เรื่อง เดี๋ยวก็บอกกันได้ เพราะมีผู้รู้ช่วยกันดู ที่โน่นไม่มีเพื่อน
ไม่มีใครช่วยเกื้อกูลหรอก ยาก เพราะฉะนั้น เป็นฆราวาสธรรมนี่ ทางโน้นก็ได้แต่กดแต่ข่ม
ก็ได้แต่อดแต่ทน แล้วก็ไม่จริง ไม่เป็นสัจจะ ซึ่งก็ต้อง อดทน เหมือนกัน ต้องฝืน
เหมือนกัน แม้จาคะก็มี แต่ไม่เป็นปรมัตถสัจจะ ได้แค่สมมุติสัจจะ อยู่ข้างนอก
ไม่ลึกซึ้งถึงปรมัตถสัจจะ แต่ก็ต้องฝืนให้เจริญ เป็นกุศล ก็แค่กุศลโลกีย์
เพราะฉะนั้น สัจจะ สำคัญ ของฆราวาส มันก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าเป็น ปัญญาโลกุตระ
แม้ฆราวาส ก็จะบรรลุธรรม ได้เหมือนกัน แต่ต้องเอาจริง และต้องฉลาดพอ แล้วคุณมีเพื่อนชนิดไหนล่ะ
ที่จะได้เร็ว แต่ถ้าคุณมีภูมิ มีบุญบารมี ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีภูมิไม่มีบุญบารมีแล้ว
อยู่กับเพื่อนโลกีย์ก็จะลากลงมากกว่า จะจม จะดึงลงไป อย่างหนัก ไม่ดีหรอก
พระพุทธเจ้า ถึงบอกว่า มาบวชเถอะ สูงกว่า ที่จริงมาอยู่ในแวดวง ของชาวอโศกนี่
เหมือนคน มาบวช ฆราวาสก็ตาม มาอยู่ในหมู่แวดวงนี้ มาอยู่ ในชุมชน เหมือนคุณมาบวชนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ผู้ที่มาบวชนี่คือ ทางโปร่ง บริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด
ทางสะอาด ทางโปร่ง ทางง่ายกว่าทางโลก โล่งกว่าทางโลก อยู่ทางโน้น ไม่โล่งหรอก
นี่ของจริง พระพุทธเจ้าท่านตรัส ฟังแล้ว ก็ไม่ค่อยเชื่อ จะดื้อ ไปถึงไหน หา....
ทำไมดื้อจัง รีบๆมา วันนี้เร่งรัด มากขึ้นนะนี่ วันนี้พูดเร่งรัดมากขึ้น ก็เอาไปคิด
เอาละพอ ดึกแล้ว ระหว่างฉันพ่อท่านยังเอื้อเรียกให้ผู้ที่ต้องการจะรับ"หยาดน้ำใจ"มารับได้ มีญาติโยมมาขอรับกัน หลายคน ที่สุดนักเรียน ที่ได้รับแล้ว บางส่วน ได้มาขอให้พ่อท่านตั้งชื่อใหม่ให้ รวมถึงมีบางคนขอเปลี่ยนชื่อ ที่พ่อท่าน ได้ตั้งให้แล้วด้วย ญาติโยม ผู้เฒ่ารออยู่สักพัก เห็นท่าจะนาน จึงขอกราบนมัสการลา พ่อท่านก่อน กว่าจะออกจาก สีมาอโศก ก็เป็นเวลา ๑๕ นาฬิกา ถึงบ้านราชฯ ๑๙ นาฬิกาเศษ เล็กน้อย
ค่ำพ่อท่านแสดงธรรมโดยมีเกษตรกรที่เข้ารับการอบรม ร่วมรับฟังพร้อมญาติธรรม จากเนื้อหาช่วงแรก ของการแสดงธรรม ดังนี้ "เจริญธรรมทุกๆคน (สาธุ) วันนี้เป็นวันดี คนต่างประเทศเขาไม่ค่อยระลึกถึง หรือ อาจไม่ได้ทำพิธีอย่างคนไทยในวันนี้ ไทยถือว่า เป็นวัน อาสาฬหบูชาวัน ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ อาสาฬหะ แปลว่า ฤกษ์เดือนแปด คนไทยเรามีผู้คิดผู้สะดุดใจว่า วันนี้ เป็นวัน ประวัติศาสตร์ ในตำนานพระพุทธเจ้า วัน ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นี่ พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ พอท่านตรัสรู้ ตั้งใจ จะทรงงาน ตั้งใจว่า จะเผยแพร่ ศาสนา แล้วก็ระลึกถึง คนที่จะไปเทศน์โปรด ระลึกถึงอาฬารดาบส อุทกดาบสก่อน พอระลึกถึงแล้ว อ้าว.... อาฬารดาบส อุกทกดาบส ตายไปเสียแล้ว ก็เลยไปโปรดไม่ได้ ได้แต่อุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ เพราะดาบส ทั้ง ๒ ตายไป อย่างหลงผิด คือตายไปด้วยลัทธินั่งสมาธิหลับตา ปฏิบัติจนยึดได้ฌาน ๗ ฌาน ๘ เป็นมรรคผล สูงสุด ซึ่งเป็นมิจฉาฌาน ฌานแบบนี้ เป็นฌานของฤาษีเก่าแก่ เป็นฌานสมัยโบราณ ฌานก่อน พระพุทธเจ้าเกิด มันไม่ใช่ทางปฏิบัติ ที่จะไปนิพพาน นั่งสร้าง อรูปอัตตา กระทั่งเป็น อรูปฌาน จนสูงไปถึง ฌาน ๗ ฌาน ๘ ก็ตาม อาฬารดาบสได้ฌาน ๗ อุทกดาบสก็ไปได้ฌาน ๘ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ถ้านับทั้งหมด ฌานทั้งหมดเป็น ๘ ที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ ก็เพราะว่า มันช่วยไม่ได้ น่าสงสาร เพราะท่านตายไปแล้วนี่ จิตวิญญาณ ที่หลงผิด แบบนี้ ก็คือหลงอยู่ในสภาพติดอรูปภพ ติดยึดฌานแบบนี้มันหลงนานมากเลย จะไป จมอยู่ในอรูปภพอยู่อีก นานแสนนาน บ้างก็ติด กันอยู่นาน เป็นร้อยปี เป็นหมื่นปี แสนปี บ้างก็ถึงล้านปี คนที่ทำ อรูปฌาน ในขณะที่มีร่างกาย มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย เป็นเหตุ ปัจจัยอยู่นี้ จะอยู่ไม่นานเท่าไหร่หรอก เพราะมันต้อง กินข้าวให้ร่างกาย อยู่อย่างเก่งได้ ๗ วัน ร่างกาย ก็ต้องเติมอาหาร ซึ่ง ๗ วันนี่ ก็ไม่ใช่จะทำ กันได้ง่ายๆ เพราะร่างกาย มันมีเหตุปัจจัย ที่จะต้องออกมาสู่การรับรู้ ทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ซึ่งต้องสะกดจิต ต้องทำ อย่างชำนาญ ถึงจะได้เก่ง ถึงเก่งปานใด ร่างกายก็จะต้อง ออกมารับอาหาร ออกมามี อิริยาบถสามัญ ตามธรรมชาติของชีวะ เพราะฉะนั้น ก็อยู่ในจิตที่เป็นอรูปฌาน ตามที่สะกดไว้ได้ นานเท่าที่ มีความสามารถ แต่จิตวิญญาณ ที่ตายลงแล้ว ก็สิงสถิต อยู่ในอรูปภพ ตามอรูปฌานที่ตนได้ จะจมอยู่ในอรูปฌาน หรือ อรูปภพ อย่างนี้ มันไม่มีร่างกาย จะต้องกังวลเรื่องให้อาหาร มันไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเหตุ ปัจจัย ทางรูปขันธ์ ที่จะต้องมา กระทบสัมผัส ติดต่อแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาสัมผัสเกี่ยวข้อง เพื่อจะให้เกิด การตื่น ขึ้นมา สู่กามภพได้เลย จิตนั้นจะจมไปในภาวะอย่างนั้น จมอยู่ในลักษณะอรูปฌานนั้น ไม่มีอะไร ไปคุ้ยไปเขี่ย ไปกระทบ สัมผัสเลย จะนานสุดแสนนานมากดังที่บอกไปแล้ว จนกว่า จะหมดวิบาก จนกว่า จะเกิดสู่ภพใหม่ จึงจะออกจากอรูปภพนั้น สู่ภพใหม่ ตามวิบากที่ให้เป็นไป ดังนั้นถ้าไม่มีรูปขันธ์ ไม่มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย เขาก็ออกจากอรูปภพนั้น ไม่ได้เหมือนคนเป็นๆ ที่นอนหลับ แล้วจิต ตกอยู่ในอารมณ์ทุกข์ อึดอัด ทรมาน ที่เขาเรียกว่า "ผีอำ" เจ้าตัวก็ดิ้นรนจะตื่นออกมาจาก ความอึดอัด "ผีอำ"นั้น มันก็ตื่นไม่ได้ คนที่ตาย ไปแล้ว ไม่มีทวาร จะตื่น ออกมาสู่วิถีนอกภพ ที่เป็นตาหูจมูกลิ้นกายได้แล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น อย่างนั้นแหละ แต่คนที่ยังไม่ตาย มันดิ้นออกมา สู่วิถีทาง ตาหูจมูกลิ้นกายได้ อารมณ์ก็เปลี่ยนไป แต่ถ้าไม่มีภพของ หูตา จมูก ลิ้นกาย ให้ออกมาแล้ว จึงต้องจมอยู่กับ ภพของ จิตวิญญาณ เท่านั้น ดังนั้น จะตื่น หรือจะหลับ มันก็อยู่ในใจ ในจิตของตน นั่นเอง ไม่ได้รู้ได้เห็นภพข้างนอก อย่างกะคน ที่มีทวาร ๕ หรอก ก็อยู่ในภพข้างใน คือ เฉพาะใจของตนเอง อย่างนั้นไปตลอด เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะออกมาจากอรูปฌาน ที่ได้ สะกดจิต อยู่นิ่ง ดิ่งดับ จะกลับมารู้สึกมีความรู้สึกที่ปรุงแต่งขึ้นมามากอย่างไรก็ตามแต่ เมื่อจิตที่ตายไปแล้วนั้น ไม่มีร่างกายแล้ว ไม่มีทวาร ๕ ก็ออกมาสู่วิถีข้างนอกไม่ได้แล้ว ต้องจมอยู่แต่ในภพ ของจิตในจิต อย่างเดียว ลองฟัง แล้วคิดตามให้ดีๆ คิดว่า คงพอเข้าใจได้ แม้ว่าจะไม่มีความรู้ ในขณะที่ตายไปแล้วมันไม่มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ไม่มีวัตถุอะไรที่จะเกี่ยวข้องเลย มันมีแต่จิตวิญญาณ เท่านั้นเอง ก็คือ พลังงาน ชนิดหนึ่ง ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสอะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็น "สัพพโต ปภัง" มันเหมือน สิ่งที่ใสๆโปร่งๆ กระจาย สว่างไสวทั่วไปหมดเลย ไม่มีขอบเขต ไม่มีกรอบ "อนันตัง" ไม่มีขอบปิด ไม่มีเขตกั้น กระจายแผ่ใส โปร่งทั่วไปหมด เหมือนกับ แสงสว่างไม่เป็นตัวเป็นตนหรอก ลักษณะ ของจิตวิญญาณ ไม่เป็นตัวเป็นตน เป็น"นามธรรม"จริงๆ ผู้ที่จมอยู่ในจิตตนเองนั้นเป็นพลังงานส่วนอัตภาพของตนเอง ความรับรู้จึงมีแต่รู้สึกอยู่ในภพในชาติ ของตนเอง เท่านั้น เพราะไม่ใช่ พระอรหันต์ที่ปรินิพพาน ดับสูญไปหลังตายกายแตกแล้วไม่เหลืออะไร อีกแล้ว จึงยัง"เป็นตน"มีสภาพรู้ว่ามีตน แล้วก็รู้สึกอยู่แต่เพียง ของตนเท่านั้น แม้ว่าจะไม่อยู่ใน รูปฌาน -อรูปฌาน กันแล้ว ออกมาจากภวังค์คิดอะไรต่ออะไร ไปกับกิเลส ถ้าอัตตานั้นยังมีกิเลส ไม่อยู่ในสภาพ เอกัคคตาแล้ว ถึงกับฟุ้งซ่าน ก็ตาม ก็จะอยู่ในตัวจิตนั่นแหละ ไม่มีตา หูจมูกลิ้นกาย ให้แสดงออกแล้ว มันออก ไปทางไหน ไม่ได้แล้ว จะออกไปทางตาก็ไม่มีตา จะออกไปทางหูก็ไม่มีหู จะออกไป ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันไม่มี ทั้งนั้นแหละ เพราะร่างกายแตกตาย ไม่มีหูตาจมูกลิ้นกายแล้วจริงๆ มันเป็นแต่จิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณก็จะจมอยู่ อย่างนั้นแหละ เมื่อฤาษีทั้งสองไม่มีทางออกแล้วจะเป็นอะไรอีกไม่ได้ จะกลับมา เป็นคน มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ ก็ต้องอยู่ในจิตตามอุปาทาน ที่ตนมี ตามวิบากที่ตนมี เพราะฉะนั้น จิตที่จะออก มาจาก รูปฌาน -อรูปฌานก็ตาม ตัวเองก็ต้องจำนนอยู่กับ จิตในจิตของตน อยู่อย่างนั้น สุดท้าย ก็ต้องวน กลับไปสู่ อรูปฌานของตน อย่างเดิม หมุน เวียนอยู่อย่างนั้นแหละ จนกว่าจะหมดวิบาก จึงจะไปเกิด ซึ่งมันนาน จนพระพุทธเจ้าต้องอุทานว่า ฉิบหาย แล้วหนอ ! นั่นเอง ไม่ได้โปรดกันแหละ เพราะทั้ง ๒ ฤาษีนั้น ก็จะจมอยู่ในภพนั้น อีกแสนนาน ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นคนที่ได้ตรัสรู้รายละเอียดของสัจธรรมหรือความจริงต่างๆ ความจริงของรูป ของนาม ความจริง ของคน ความจริงของจิตวิญญาณ ความจริงของกิเลส ท่านรู้แจ้ง เห็นจริงหมดทุกสิ่ง ทุกอย่าง แล้วก็สามารถ ทำลายกิเลส ออกไปจาก จิตวิญญาณด้วย สำเร็จจริง กิเลสหมดจริง เป็นสิ่งวิเศษสุด ของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมีอยู่ในเมืองไทย ก็ไม่ได้เข้าใจหรือเรียนรู้หรอกว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สิ่ง เหล่านั้น ทำกันอยู่ ก็แต่พิธีกรรม เป็นหลัก นับถือศาสนาพุทธ เป็นชาวพุทธ ก็พึ่งแค่พิธีกรรม ที่เป็นพิธีที่ไม่ใช่ของ ศาสนาพุทธด้วย เป็นพิธีนอกรีต เป็นพิธีแบบ เทวนิยม เป็นพิธีที่อ้อนวอนร้องขอ เป็นพิธีที่อยู่ในโลกียะ แบบตะกละ ตะกลาม ให้สมความโลภ ความโกรธของตนเอง ไม่เข้าเรื่อง ไปหาพระ ก็ต้องขอ ให้พระให้เจ้า อวยพร ให้ช่วยบันดลบันดาล ช่วยให้ร่ำรวยมีความสุข หายเจ็บหายป่วย ซึ่งเป็น เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่พระ จะบันดล บันดาลอะไร ให้คนนั้น คนนี้ได้ เพราะพุทธพึ่งอำนาจกรรมของตนเอง ไม่ใช่ไปพึ่ง อำนาจ บันดล บันดาล จากอำนาจ ที่มาจาก อะไรอื่น เพราะพุทธเป็นอเทวนิยม พึ่งตนของตน(อัตตาหิ อัตตโน นาโถ) พึ่งกรรมของตน (กัมมปฏิสรโณ) แต่ชาวพุทธทุกวันนี้ ก็งมงาย หลงพึ่งอำนาจอื่น ที่ไม่ใช่อำนาจกรรมของตน กันอยู่อย่างนั้น ทำกันทั่วบ้าน ทั่วเมือง ตั้งแต่ตัวใหญ่ถึงตัวเล็ก ในชาวพุทธไทย น่าสมเพชเวทนา จะไปโทษ ชาวบ้าน ก็ไม่ได้ ต้องโทษ ผู้ที่เผยแพร่ ศาสนา โทษผู้ที่เอาภาระทางศาสนา ช่วยกันอธิบาย ช่วยกันสร้าง ความเข้าใจผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ทับถมศาสนา ขึ้นมา มากกว่ามากแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาพิเศษตรงที่รู้จักกิเลสแล้วตัดกิเลสได้จริง กิเลสอยู่ที่จิตวิญญาณ กิเลส อยู่นอก จิตวิญญาณไม่มี ถ้าผู้ใด สามารถ มีวิชชาจับจิตวิญญาณของตนได้แล้วก็ค้นหากิเลส ในจิตวิญญาณ ของตนเองได้ คนนั้นคือผู้ที่เข้าถึง ความเป็นพุทธ ผู้ใดที่ไม่สามารถ จับจิตวิญญาณของตนเองได้ แล้วก็ ไม่สามารถ ทำลายกิเลส ในจิตวิญญาณของตน คนนั้น ก็ยังไม่ถึงพุทธ เป็นพุทธ แค่สมมุติ ศาสดาอาจารย์ไหนๆทุกศาสนาล้วนสอนกันทั้งนั้นว่า ให้ทำดี-เลิกชั่ว แล้วก็ขึ้นสวรรค์ พระพุทธเจ้าก็รู้ และ ในพุทธก็มี ก็สอนด้วย นั่นคือ โลกียธรรม แต่ไม่ใช่เนื้อหาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้พิเศษเป็นของท่าน โดยเฉพาะ เรียกว่า โลกุตรธรรม ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น จับตัวตนกิเลสได้ ลดกิเลส-ตัดกิเลส-ฆ่ากิเลสถูกตัวตน ฆ่าตัวตน ที่ยังเป็นเทวดา และสัตว์นรก ของตนหมดสิ้น สุดท้ายไม่มีทั้งสวรรค์ ไม่มีทั้งนรก ที่เป็นโลกีย์ แม้มีสวรรค์ก็วางสวรรค์ไม่เสพสวรรค์ สวรรค์โลกีย์ไม่เสพแล้ว แต่มีสวรรค์ของโลกุตระ คือ นิพพาน เป็น วูปสโมสุข หรือเป็นปรมังสุขัง นิพพานัง ปรมัง สุขัง ซึ่งเป็นสุขที่พิเศษ เพราะมัน ยิ่งกว่า สุขโลกีย์ เป็นของ วิเศษ อันเป็นวิสัยของอาริยะ จึงจะได้สัมผัสเอง รับรสวูปสโมสุขนี้เอง อันนี้แหละเป็นสิ่งที่ศาสดาศาสนาอื่นๆไม่รู้ ทำไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงมีนิพพานเป็นเนื้อหาแท้โดยเฉพาะ คือ การรู้จิต แล้วก็ค้นเจอ กิเลสในจิต และทำลายถูกตัวของกิเลส กิเลสก็ลดลงจริง จนกระทั่ง มันดับสูญสิ้นสนิท นี้เป็น สิ่งพิเศษ ที่ศาสนาพุทธมี เรียกว่า โลกุตระ คนที่ได้นับเป็น อาริยบุคคล ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งและพิสูจน์ได้ยากเหมือนกัน แต่ก็พิสูจน์ได้ อย่างอาตมาทำงานมาแค่ ๓๕ ปี เกิดมวลหมู่คน เป็นหมู่บ้าน ของชาวอโศก หมู่บ้านนี้ไม่กินเนื้อสัตว์กันเลย ไม่กินเหล้ากินยา ไม่มีบุหรี่ยาดูด ไม่มีสิ่งที่เป็น กิเลสหยาบ กันทั้ง ชุมชน ไม่กิน สิ่งที่มีคาเฟอีน สิ่งเสพติด ไม่มีอบายมุข ถือศีลห้าอย่างต่ำ เด็กเล็ก ตัวน้อยก็มีศีล เรียนรู้ศีล เป็นหมู่บ้าน ที่มีศีลจริงๆ ทุกคน ทำงานช่วยกัน กินใช้ร่วมกัน มีเงิน กองเดียวกัน เป็นกองกลาง เพียรละส่วนตัว บางคนถึงขั้นไม่มีเงินเลย สังคมแบบนี้มันเกิดมาได้เพราะใจพอ คือสันโดษ มักน้อย คืออัปปิจฉะ เป็นคนลดกิเลสจริง ถ้ายังแค่ ทำเป็นกดข่มไว้ ก็ทนได้ ชั่วคราว แล้วกิเลสมันจะดิ้น ที่สุดก็ทนไม่ได้หรอก ที่ยังอยู่กันได้ ก็เพราะ ได้เรียนรู้ ได้ฝึกล้าง ฝึกลด อย่างสัมมาทิฏฐิ ฆ่าถูกตัวตน กิเลสจริง จึงสบาย จึงเป็นสุขที่อุปสมติ อาตมาก็พยายามที่จะอธิบายถึงความเป็นจริงของสัจธรรมมนุษย์ ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนให้คน ลดละกิเลส ได้อย่างจริง ซึ่งจะทำ ให้คนที่ได้ปฏิบัติ มี "วรรณะ ๙" คือ เป็นคนที่พัฒนาตนเองแล้ว เป็นคน เลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคน สันโดษ เป็นคนขัดเกลา ขัดเกลากรรมกิริยา ของตนเอง ขัดเกลาด้วยอธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา ถ้าเอา "ศีล" มาวัด คนผู้มีวรรณะ ๙ แล้ว เออ.. คนพวกนี้..แปลก! ทำงานแล้วไม่มีเงินไม่เอาเงิน แล้วก็ไม่สะสมเงิน เป็นของตนเอง เป็นฆราวาส แท้ๆ มีศีลได้ ถึงศีล ๑๐ ที่อาตมากล้าพูดเพราะมันหลายปีแล้ว และเราก็เป็นอย่างนี้มาได้ ไม่ใช่ทำได้ที่นี่ ที่เดียว ไม่ใช่ ราชธานีอโศก แห่งเดียว ที่อื่นเหมือนกัน ศีรษะอโศก ปฐมอโศก สีมาอโศก ศาลีอโศก หินผาฟ้าน้ำ ภูผาฟ้าน้ำ และที่อื่นๆ เหมือนกันหมด ชุมชนของชาวอโศกเรา กลุ่มย่อยๆเล็กๆ ก็มีอีก ตอนนี้จะเป็น ร้อยแห่งแล้ว ทั่วประเทศ ซึ่งมัน แปลกประหลาด มันเป็นไปได้อย่างไร ยุคนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ อาตมาจึงมาบอก มาแจ้ง แก่พวกเราว่า นี่เป็นชุมชน เป็นสังคม ที่ต้องพัฒนาอย่างนี้ ถึงจะช่วยสังคม ประเทศชาติได้ ไม่ต้องไป เดินประท้วง ไปขอขึ้นเงินเดือน เราไม่ต้องไปแย่งอย่างเขา ทำของเราไป มีแต่ต้องให้สมรรถนะสูงขึ้น มีความสามารถสูงขึ้น แล้วตัวเราเอง ก็ยิ่งเป็นคน ที่ไม่เปลือง ไม่ผลาญ กินน้อยใช้น้อย แต่ไม่ได้ทรมานตนเองนะ คือไม่อัตตกิลมถะ แต่ลดลงได้จริง มักน้อยลง ได้จริงๆ มันก็ยิ่งดี สมรรถนะสูงขึ้น ความสามารถ สูงขึ้น ความขยันสูงขึ้น ฝีมือสูงขึ้น ทำอะไร สร้างอะไร ได้ดีขึ้นๆ ราคาค่าตัว ก็ควรจะแพงขึ้นๆ แต่เรากลับเอาค่าตัว น้อยลง หรือไม่เอาเลย ยิ่งกินน้อย ใช้น้อยลงไปได้อีก ส่วนเหลือก็จึงมีมากขึ้นอีก ทำมากขึ้น ผลได้มากขึ้นดีขึ้นราคาแพงขึ้นสูงขึ้น แต่เราก็ยิ่ง เอาน้อยลง ลดลงใช้น้อยลง ก็ยิ่งเหลือเป็นส่วนกลาง เป็นการ เกื้อกูลผู้อื่นเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือ เรียกเป็นภาษา ธรรมะว่า เป็นบุญเป็นกุศลของผู้นั้นมากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น พอศึกษาธรรมะ ของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นคน เข้าใจว่าบาป คืออะไร บุญ คืออะไร กำไรคืออะไร ขาดทุนคืออะไร คนที่ทำทานคือคนกำไร ยิ่งให้ไปยิ่งกำไร ยิ่งเอามายิ่งขาดทุน ฟังดีๆนะ สิ่งที่จริงนี้ในทุกวันนี้ท้าทายให้พิสูจน์ได้ จะมักน้อย สันโดษ ลดละ กิเลสลดไป แล้วก็เลิกหลงโลกีย์ หลุดพ้น ออกมาจาก ห่วงบ่วง ของโลกีย์ คนในราชธานีอโศกนี้หลุดพ้นออกมาจากโลกอบาย คือ โลกโลกีย์ ที่เป็น ความเสื่อมระดับต่ำของสังคม เป็นนรกแท้ๆ อบาย มันคือนรก ในชุมชนของเราไม่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น หมู่ชุมชนนี้ จึงเป็นกลุ่มคนในระดับอาริยชน พวกคนเจริญ สังคมอาริยะ คือผู้เจริญ ผู้ประเสริฐ ในระดับหนึ่ง ต้นๆ เขาเรียกว่าโสดาบัน อาตมาพูดนี่แค่โสดาบัน ในลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ไปแย่งไปชิง เหมือนอย่าง สามัญ โลกีย์เขา และไม่ใช่เป็นคนเดียวหรือไม่กี่คนแต่เป็นทั้งหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้ จึงเป็นหมู่บ้านอาริยะ หมู่บ้าน ศิวิไลซ์ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า โสดาบันเป็นยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน โสดาบันเป็นอาริยะ ระดับต้น คือ คนผู้หลุดพ้น หรืออิสระได้แล้ว จากอบายมุข ทั่วทั้งแผ่นดิน อบายมุขอยู่ในที่ไหนๆในแผ่นดิน อาริยะโสดาบัน ก็หลุดพ้นได้ในทุกแห่ง ทั่วทั้งโลกด้วย และ ยิ่งกว่า สวรรค์คาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆทั้งปวง ยิ่งกว่าสวรรค์ ก็คือ พวกนี้ มีสวรรค์ ที่ยิ่งกว่าสวรรค์โลกีย์ เพราะหลุดพ้นจากนรก จากสังคมเสื่อม ระดับต่ำแล้วจริง ยิ่งกว่า อธิปไตย ก็คือ พวกนี้มีอำนาจ ที่ยิ่งกว่า อำนาจโลกีย์นั้นๆ อำนาจเหนือกว่าสังคมโลกีย์เสื่อม ระดับต่ำนั้นแล้ว ชาวโลกีย์ เขาเป็นก็เป็นไป แต่เราไม่เป็นไป กับเขาแล้ว เราไม่เข้าไปติดบ่วงเขาแล้ว หลุดพ้น เป็นอิสระ เป็นเอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน อยู่สวรรค์จริงๆ เพราะมีอำนาจมีฤทธิ์ยิ่ งกว่าอำนาจโลกีย์นั้นๆแล้ว เราหลุดพ้นในเรื่องอบายมุข ไม่ไปทุกข์ไปสุขกับเขา นี่คือความหลุดพ้นที่พิสูจน์ได้ หลุดพ้นโลกีย์อย่างต่ำ ในระดับ อาริยะ อย่างต้น เป็นโสดาบัน เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย สวรรค์โลกๆ ได้เงิน ได้ทอง มันสุข เป็นสวรรค์โลกีย์ อันนี้ยิ่งกว่า สวรรค์ โลกีย์อีก สวรรคาลัยแบบโลกๆ อย่างนั้น เราหยุดแล้ว สงบแล้ว สุขสงบ วูปสโมสุขแล้ว สุขนี้เป็นอุบัติเทพ หรือเป็นวิสุทธิเทพ ถ้าใครสงบ สนิทสัมบูรณ์ เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาสูงสุด บริสุทธิ์เต็ม หลุดพ้นออกมายิ่งกว่าสวรรค์โลกๆ จึงยิ่งกว่าสวรรค์โลกๆ จริงๆ ยิ่งกว่า อธิปไตยใดๆ ในโลกทั้งปวง อธิปไตยคืออำนาจ เพราะฉะนั้น อำนาจอย่างนั้น มาทำร้าย ดึงคนอย่างนี้ไปไม่ได้ ใครถูกดึงไปได้ คนนั้นก็ยังไม่จริง คนจำนวนนี้ร้อยคน สองร้อยคน ห้าร้อยคน โดยค่าเฉลี่ยพวกนี้ไม่มีโลกอบายอย่างนั้น สังคมนี้ จึงเป็นสังคม อาริยะระดับ โสดาบัน ที่ยืนยัน พิสูจน์ได้ อยากจะได้ชุมชนอย่างนี้ขึ้นมาอีกในประเทศไทยนี่ อีกสักหมื่น ชุมชน หลายหมื่น โอ้โห มันจะเป็น อย่างไร นี่ประเทศนี้ โลกนี้ ขอให้ทุกคนได้ฟังธรรมแล้วเอาไปพากเพียร เราเป็นพุทธแล้วปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้มรรค ได้ผล อย่าเกิดมา ตายเปล่า แล้วไม่ได้มรรคได้ผล ของพระพุทธเจ้า เกิดมาไม่ได้อะไรดีหรอก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ แล้วก็ไม่เอา อะไรเลย บ้านเมือง ก็ไม่เอา ลาภ-ยศ -สรรเสริญ-โลกียสุข ไม่เอาทั้งนั้น ทิ้งหมด ท่านไม่ใช่ คนโง่นะ เพราะฉะนั้นเอาอย่าง พระพุทธเจ้าเถอะ อย่าไปเอา อย่างคน ทางโลกเลย อย่างนั้น มันเยอะแยะแล้ว ไม่ต้องเอาหรอก เอาอย่างนี้เถอะ เอ้า... ขอให้ทุกคน มีมรรคมีผล. (สาธุ)
แม่ชีฝรั่งขอดูตัว ล่าม : เธอเป็นคนอเมริกัน แต่บวชที่พม่า บวชนานแล้วนะคะประมาณสัก ๓ ปี ไปจำศีลที่พม่า นานเกือบๆ เดือน ไปที่ร้าน อาหารเจ (อุทยานบุญนิยม) รู้สึกประทับใจ แล้วก็อยากจะมาเคารพ ก็ถามคนที่นั่นว่า ใครเป็นคน ก่อตั้งที่นี่ แม่ชีรู้สึกประทับใจ และดีใจ ที่มีคน ประชาสัมพันธ์ของเจ ก็เลยอยากมาเที่ยวที่นี่ แล้วก็อยาก จะมากราบท่าน ประทับใจในความคิดที่ว่า สอนให้คนอื่นละเว้น จากการฆ่า ซึ่งก็เหมือนกับ สอนหลักธรรม ให้กับชาวบ้าน แล้วก็ไม่ให้ชาวบ้านรู้สึก เหมือนมีช่องว่าง ระหว่าง ศาสนา กับคนทั่วไป แล้วก็จูงใจ ให้กับเด็กๆ และประชาชน เห็นความสำคัญของการกินเจ ซึ่งท่านไม่เคยเห็นที่ไหน มาก่อนเลย ในเมืองไทย มาอุบลฯ สองสามครั้งแล้ว ก็ไม่เคยเห็น ได้เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจค่ะ พ่อท่าน : อยากรู้อะไรอีก ล่าม : อยากรู้อะไรก็ถามท่าน (แม่ชีพูดกับล่าม) ถือศีล ๙ ข้อ ข้อ ๑๐ ยังใช้เงินอยู่ คือว่าอย่างที่เขาไปจำศีล ที่วัดพม่า จะไม่มี การกินเนื้อ คือเหมือนที่นี่ จะไม่มีการฆ่า แต่ว่าที่เมืองไทย เวลาไปที่วัด ก็จะยังเห็น พระฉันเนื้อ ก็ยังรู้สึกว่า เอ๊ะ....ทำไมขัดกัน กับคำสอน ศาสนาพุทธ แต่ที่นี่คือแปลก จะไม่กินเนื้อเลย แล้วก็ทำไม ถึงยังมีความคิดนี้ และมีหลักอะไร ที่เดินเส้นทางนี้อยู่ พ่อท่าน : ก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า อาตมาเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ อาตมา ก็พากันทำ อาตมา เข้าใจศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ แต่คนอื่นไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็เรื่องของเขา ล่าม : (แม่ชีคุยกับล่าม) รู้สึกประทับใจที่ได้มาเจอท่านวันนี้ เพราะว่าตั้งใจตั้งแต่วันแรก ที่มากิน ที่ร้าน อาหารเจ แล้ว ที่อุทยานฯ ประทับใจ และขอขอบคุณ ที่พระคุณท่าน ยังเป็นตัวอย่างที่ดี ให้คนอื่น เจริญรอยตาม พ่อท่าน : มาศึกษาก็ดีแล้ว ที่นี่ก็ศึกษาตามศาสนาพุทธ หมู่บ้านนี้ก็เป็นหมู่บ้านศาสนาพุทธจริงๆ ทุกคน เรียนรู้ศาสนา มีศีล คนที่นี่ ถือศีลหมด ทั้งเด็กๆ ถึงคนแก่ หมดทั้งหมู่บ้านเลย ล่าม : พ่อท่านรึเปล่าเป็นคนก่อตั้ง ล่าม : นานไหมคะ กว่าจะทำให้คนแถวนี้เป็นแบบนี้
คือไม่มีการฆ่าสัตว์แบบนี้ เริ่มต้นนานรึยังคะ ล่าม :
๙ ปี เป็นเลขที่ดี ล่าม : ของแม่ชีนี้ ๓๓ ปีค่ะ คือกินเจมาตลอด (แม่ชีพูด) เป็นการยากที่จะเคร่งจริงๆ คือแบบว่า อยู่ในศีลธรรม จริงๆ ท่านก็เป็น พุทธ อยู่ที่พม่า เพราะว่ามาที่เมืองไทย เขาไม่ประทับใจกับอะไรเท่าไหร่ อยู่พม่า ประทับใจ มากกว่า วัดไทยก็ไม่เคยเจอใคร ที่เคร่งแบบนี้ค่ะ มาเจอที่นี่ รู้สึกดี คือ ไทยแลนด์ก็เป็น ศาสนาพุทธ แต่ว่ายาก ที่จะเจอใคร ที่เคร่งขนาดอย่างนี้ (แม่ชีขออนุญาต ให้พรพ่อท่าน เป็นภาษาพม่า เสร็จแล้ว ก้มลงกราบ พ่อท่าน) พ่อท่าน : แปลว่าอะไร ล่าม : ขอให้มีพลานามัยที่แข็งแรง ขอให้มีชีวิตที่ยืนยาวเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนที่นี่ เจริญรอยตาม อยู่ในศีลธรรม
ถาม : วิธีของคนที่พัฒนาตัวเอง จากการคิดที่จะทำความดีกับวิธีของการหนีความชั่ว ดูท่าอันไหน จะมีพลัง กว่ากัน พ่อท่าน : คือจะทำความดีก็คือ อาศัยจิต จะหนีความชั่วหรือดับความชั่วก็อาศัยจิต เพราะฉะนั้น จิตที่เรา ไปสนใจ หรือใส่ใจ ในเรื่องดี อย่างศาสนา ทุกศาสนาส่วนมากเลย ไปมุ่งที่ใส่ใจความดี แล้วก็ทำความดี แต่เขาไม่ค่อยมีปรมัตถ์ เขาก็เลยไปใส่ใจ ทำแต่ความดี ไม่ได้ใส่ใจ ปรมัตถ์ ไม่ได้ใส่ใจถึง จิตวิญญาณ ไม่เรียนรู้ไปถึงปรมัตถ์ เขาก็พากเพียร กดข่ม อุตสาหะ วิริยะ มันดี ก็สั่งสมไปเถอะ ก็ได้สั่งสม กรรมดี ในกรรมกิริยาของคุณวันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมง คุณก็เอาไปทำกรรมดีให้มากๆๆๆ คุณก็ได้ดี แต่คุณ ไม่ได้เรียนรู้ กรรมชั่ว คุณไม่รู้เหตุ ของความชั่ว ทีนี้ศาสนาพุทธมันลึกตรงที่ว่า เจาะลงไปถึงเหตุปรมัตถ์ เหตุที่ทำดีก็มี เหตุที่ทำชั่วก็มี พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า ถ้าจะไปศึกษาแต่ทำดี แล้วก็ทำแต่ดี คุณไม่ได้ศึกษาชั่ว ไม่ศึกษา ล้างเหตุชั่ว คุณก็ได้ ทำดี ดีเป็นวิบาก ดีมันเป็นโลกีย์ ได้เหมือนกัน แม้จะได้วิบากดีๆๆๆๆ คุณก็สั่งสม แต่อัตตา ของความดีไว้เท่านั้นเอง คุณไม่มี นิพพาน ก็ได้เสวยแต่กรรมดี แม้คุณจะเป็นแบบพุทธ คุณก็เจาะ ไปถึงปรมัตถ์ เรียนในเหตุแห่งความดี แล้วคุณก็ทำสร้างจิต ให้แข็งแรงในดีๆๆๆๆ แต่กิเลสตัณหาต่างๆ คุณไม่เรียนรู้ แล้วคุณ ไม่ล้างตัวนี้ คุณก็ได้เสวยบุญดีอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธ จึงไม่เน้นเหตุดี หัวใจศาสนาพุทธจึงเน้นกันที่ชั่ว เหตุชั่ว กำจัดเหตุชั่ว ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่สุข ความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ทุกข์อยู่ที่ความชั่ว-เหตุแห่งความชั่ว ที่มันมีอยู่ ในจิตวิญญาณอยู่ในปรมัตถ์ ล้างความชั่ว จึงจะรู้สัจจะลึกที่สุดว่า ดีและชั่วเป็นภพเป็นชาติทั้งนั้น จึงรู้ว่าจิตอนัตตา จิตไม่มีตัวตน จึงรู้สภาพที่สุดยอด จบสัมบูรณ์จริงๆ เพราะฉะนั้น ใครไปหลงทำแต่ความดี ก็เป็นศาสนาอัตตา เป็นเทวนิยมเท่านั้น ถาม : ถ้ามองในจุดที่ไม่ดีก็จะกลายเป็นคนขี้ระแวงซิครับ พ่อท่าน : ก็เป็นได้ถ้าคุณจะขี้ระแวง จะไประแวงทำไมล่ะ เราก็มีบทเรียน คิดระแวงมันจะเกิดประโยชน์อะไร ไม่ต้องระแวง หรอก เพราะว่า ทุกอย่าง มันจะเป็นจริง คนนั้นคนนี้เขาก็จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะไประแวง ทำไมล่ะ คุณขี้กลัวเอง คุณก็เลย ไประแวง ก็ช่างเถอะ เขาจะสะสมสิ่งที่ก่อให้ก้าวร้าว หรือให้นิ่มนวล ก็ช่างเขาเถอะ ใครจะสะสมอย่างไหนก็สะสมอย่างนั้น คุณไปกังวลคนอื่น มากทำไม คุณเอง คุณระแวง คุณก็ล้าง ของคุณ คนไหนเขาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คุณไม่เป็นก็แล้วไป คนอื่นเขาจะเป็นอยู่ ก็เรื่อง ของเขา แหมจิตโพธิสัตว์ใหญ่ จะไปสอนแต่คนอื่นเขาเหรอ (มีเสียงถามแทรกแต่ไม่ชัด) ไม่เกินหรอก มันไม่พอ ต่างหาก มองความร้าย ที่เราเองมีอยู่ เหตุแห่งความร้ายที่เรามีอยู่ คุณยังมองไม่พอ ยังมองไม่ครบนี่ ไม่ใช่มอง ในแง่ร้าย คุณอย่า ไปมอง คนอื่นสิ คนที่ไปเพ่งโทสผู้อื่นนั้นอาสวะเจริญยิ่ง พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ตรงๆอยู่แล้ว ถาม : ในยุคนี้ประเทศไทยเจอปัญหาที่คาใจคนไทยทั้งประเทศ คือ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในยุคนี้ เช่นเดียวกัน หาคน ที่มีฝีมือ ไปแก้ปัญหา แล้วใครจะทำได้ละครับ พ่อท่าน : ใครจะทำได้อาตมาก็ไม่มีปัญญาจะรู้นะว่าใครจะทำได้ แต่อาตมาก็ประมาณตนเองแล้วว่า เราทำไม่ได้ ตัวเราก็เท่านี้ ตัวเราไม่ได้อยู่ในขอบข่าย ตัวเราก็อยู่นอก เรื่องสามจังหวัดภาคใต้นี้ มันไม่ใช่ เรื่องเล็ก มันเป็นเรื่องใหญ่ของโลกเลย มันสัมพันธ์กัน หมดเลย เป็นกระแสของโลก มันมีเชื้ออยู่ว่า มีคน คิดจะแยกดินแดน ขณะนี้มันก็เกิดสงครามครูเสด สมัยใหม่แล้ว โดยมีบินลาดิน เป็นหัวโจก ของฝ่ายหนึ่ง จอร์จ บุช เป็นหัวโจกอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คือคริสต์กับอิสลาม เมื่อจอร์จ บุชประกาศว่า ใครไม่สนับสนุนอเมริกา นั่นคือ ศัตรูของอเมริกา นั่นแหละเป็นการประกาศความเป็น ๒ ฝ่ายขึ้นทันที เท่ากับเป็นคำประกาศ สงคราม ครูเสดโลก แล้วมัน ก็เกิดแล้ว ฝ่ายอิสลาม เขาก็ประกาศเล่นวิธีนี้ ฝ่ายคริสต์ก็เล่นวิธีนี้ โดยคริสต์ มีค่านิยม ในโลก ที่สามารถเบ่ง ได้เหมือนใหญ่ เขาก็ทำ อยู่ในลักษณะนั้น ทางนี้ก็รู้ตัว ก็เล่นลักษณะ คนหนึ่ง อยู่ในที่แจ้ง อีกคนหนึ่งอยู่ในที่มืด แล้วก็รบกันไปเรื่อยๆ เวลามันจะอีกนานเลย อาตมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปนั่ง พยากรณ์รายละเอียด พวกนี้ มันจะไปอีกนานเรื้อรัง รบกันไปมันจะฆ่ากันไปเรื่อยๆ อาตมาว่า สักวันหนึ่ง จะเหมือน นอสตาดามุส ได้ทำนายไว้ มันก็จะล้างโลก โดยเหตุเกิดอันนี้แหละ และขณะนี้ที่บอกว่า อเมริกา พยายามตามฆ่า บินลาดินนี่นะ อาตมาไม่แน่ใจว่า บินลาดิน ตัวที่หนึ่งน่ะ ตายไปแล้วหรือยัง แต่บินลาดิน ไม่ตาย เพราะมีบินลาดิน คนที่สอง ที่สามแน่ จนกว่า สงครามนี้ จะถึงขั้นประลัยกัลป์ ฆ่ากันตายหมด บุชก็จะตาย แต่บินลาดินไม่ตาย แล้วก็จะมีคนอื่นมาแทน แทนกันไปเรื่อยๆ จะเห็นตัว เห็นตน คือ คนหนึ่งเปิด อีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายปิด บินลาดินจะไม่รู้จักตัวกันหรอก บินลาดินจะตายไปกี่คนแล้วก็ไม่รู้ แต่บินลาดิน ไม่ตาย ไม่มีตาย จะมีตัวตายตัวแทน ตลอดกาลนาน และสงครามก็จะว่ากันไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ ทีนี้ประเทศไทยเรามีอิสลาม และอิสลามเกาะกลุ่มกันอยู่สามจังหวัดภาคใต้มาก นี้ไม่ใช่ระดับธรรมดา มันระดับโลก ฉะนั้น ก็รู้แล้วว่า มีเชื้ออิสลามอยู่ไหน สงครามครูเสด ก็ลามไปถึง เพื่อก่อความวุ่นวายรุนแรง สงครามโจร ก็จะทำอย่างนี้ อยู่ตลอดเวลา เมื่อมันมีเชื้อ ไม่ว่าจะมีน้อยหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร เขามีทุนเยอะ คุณคิดว่า อิสลามจนหรือ อิสลามกับอเมริกา คุณคิดว่า ใครจะรวยกว่ากัน มันไม่ใช่เรื่อง ธรรมดาหรอก พวกนี้มันก็เป็นไป ตามธรรมชาติ ธรรมดาของสัจธรรม มันจะเป็น อย่างนั้นแหละ จะไปบอกว่าบุชเป็นตัวการ มันก็ ต้องเป็น มัน born to be แล้ว มันจะต้องเกิดอย่างนี้แหละ ฉะนั้น ที่เกิดอยู่ในไทยนี้นะ ก็ต้องทำไปอย่างนี้แหละ ใครจะเก่ง อย่างไร ไม่เก่งอย่างไร ทำได้ไม่ได้อย่างไรก็ต้องทำ อาตมาบอก ไม่ได้ว่าเมื่อไรจะทำสำเร็จ แล้วจะมีใคร เป็นม้าขาว มาทำสำเร็จ อาตมาเชื่อว่า ทำสำเร็จ ไม่ได้ง่ายๆหรอก เพราะไม่ใช่เป็น เรื่องๆเดียว อาตมา เคยพูดว่า ถ้าจะให้อาตมาคิดแก้ปัญหา ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ถ้าจะให้ทำจริงๆ ก็ไม่รู้ได้ คืออาตมาบอกว่า ยกสามจังหวัดนี้ให้เขาเลย แต่ก่อนจะยกก็คือ เอ้า....ใครล่ะเป็นหัวหน้าใหญ่ ที่จะมาเอา สามจังหวัด นี้ไปบริหารปกครอง เปิดตัวออกมาแล้วนัดพบกันเลย ณ ที่ใดที่หนึ่ง เอากรรมการในโลกใครก็แล้วแต่ จอร์จ บุช หรือว่า โทนี่ แบร์ มาก็แล้วแต่ หรือว่าจะเป็นทางฝ่ายอิสลาม มีใครใหญ่ๆ มาเป็นพยานหลักฐานด้วย มานั่งประชุม ระดับสากลกันเลย ไม่ใช่เฉพาะ ๒ ประเทศ เอ้า....จะปกครองบริหารสามจังหวัดนี้ใช่ไหม ตกลง มาเลย วิธีทำ คือ ให้คนที่อยากบริหารปกครองนั้นแหละมาคุยกับประชาชนในสามจังหวัดนั้นก่อน ให้ประกาศ ตัวเองเลย พูดกับ ประชาชน สามจังหวัด นี้ให้เต็มที่เลย บอกว่าจะบริหารอย่างใดๆ ก็หมายความว่า ให้เขาหาเสียง นั่นแหละ กำหนดเวลา ให้หาเสียงช่วงหนึ่ง กี่วันกี่เดือน ก็กำหนดกัน ว่าตัวเอง จะบริหาร ให้ดีอย่างไร ก็ว่าเข้าไปเต็มที่เลย เสร็จแล้วก็โหวตกัน ว่า ประชาชนสามจังหวัดนั้น จะให้คน ผู้จะแยก ดินแดนนี้ ปกครอง หรือจะให้ไทยปกครองอย่างเดิม เมื่อโหวตแล้ว ผลเป็นว่า ประชาชนสามจังหวัดนั้น เอาคณะ ที่จะขอแยกดินแดนนี้แหละ เป็นผู้บริหารปกครอง ก็ให้เขาไปเลย แต่ต้องมีการเซ็นสัญญา กันให้เรียบร้อย สัญญานั้น คณะกรรมการ จะมีเงื่อนไขอย่างไร กับคณะที่จะปกครองใหม่นี้ ก็เขียนกันเข้าไป จะต้องบริหาร ให้ดีๆนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าทำไม่ได้อย่างนั้น ต้องถูก จัดการอย่างนั้น หรือทำไม่ได้ตามนั้น ต้องเลิกปกครองอะไร ก็ทำสัญญา กันไป เมื่อประชาชนสามจังหวัดนี้ เขาเอาคนนี้กลุ่มนี้ เพื่อเป็น ผู้บริหาร ปกครอง ก็มาเซ็นสัญญาเลย คุณทำให้ดีๆก็แล้วกัน เรารักประชาชนสามจังหวัดนี้นะ เพราะเป็น คนไทย เลือดไทย เกิดในประเทศไทย มาหลายชั่วคน แต่มันเกิดอย่างนี้และ เมื่อชนะโหวต สมัครใจจะอยู่กับ คณะบริหารปกครองกลุ่มนี้ ก็จำใจ ต้องเซ็นสัญญา กันอย่างสำคัญ แต่ถ้าประชาชนในสามจังหวัดนั้น ไม่เอาด้วย โหวตแล้วเขาก็ยังจะให้คณะรัฐบาลไทยนี้บริหารปกครองอยู่ ก็เป็นอันจบ หยุดเลยนะ อย่ามา รังควาญกันอีกนะ ประชาชนไม่เอาคุณ เอาประเทศไทย จะอยู่กับ ประเทศไทย คุณหยุดได้แล้ว เซ็นสัญญาเลิก อย่ามาเที่ยวได้ฆ่า คนบริสุทธิ์กันอย่างนี้อยู่อีก ต้องเป็นลูกผู้ชาย ที่อาตมาพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เราไม่รักคนสามจังหวัดนั้น เพราะรักนั่นแหละเราจึงไม่อยากให้มีการตายกันอีก มันสุดโหด สุดสังเวช กันนักแล้ว จะให้ฆ่ากันเล่นเป็นผักปลากันไปถึงไหน การทำอย่างนี้ คือ ประชาธิปไตย แท้ๆ ประชาธิปไตยของไทย ต้องเอาประชาชน เป็นใหญ่จริงๆ คุณไปคิดดีๆ เข้าใจนะ อาตมาพูดนี่ เข้าใจนะ แต่จริงๆนั้น อาตมาไม่เชื่อหรอกว่า คนในสามจังหวัดนั้นจะเอาคณะคนที่อำมหิตโหดร้ายนี้ มาบริหารปกครอง เพราะคนทั้ง สามจังหวัด นี้เป็นคนไทย เป็นเลือดไทย เชื่อสิ แต่เราต้องแฟร้งๆอย่างนี้แหละ อาตมาไม่เชื่อจริงๆ ไม่เชื่อว่า คนในสาม จังหวัดนี้ จะเอาคนคณะที่ว่านั้น ปกครองบริหาร เมื่อประชาชนแสดงออกเช่นนี้แล้ว ว่าไม่เอาคุณปกครองบริหาร คุณก็ต้องหยุด ที่จะทำเลวๆ ร้ายๆนี้ได้แล้ว นี่คือ อาตมาว่าเป็นทางออก ใช่ ขอสร้างมติมหาชนในสามจังหวัดนั้นเลย เปิดตัวออกมาแล้วมาพูดกันเลย จะมาฆ่ากันอยู่ อย่างนี้ ไม่ได้ ทำร้ายกันทำไม คุณฆ่าผู้บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้นทำไม อยากบริหาร เอาไปเลย สามจังหวัดนี้ แต่ก่อนจะเอาไป ให้จริง คุณแสดงตัว กับประชาชน ทั้งสามจังหวัดนั้น ให้หาเสียงไปเลย เสร็จแล้ว เมื่อสามจังหวัดนี้จะเอาจากคุณ มาเซ็นสัญญาไว้ จะบริหารกันอย่างไร แล้วก็จะเป็น พันธมิตร กันอย่างไร ก็ว่าไปอีกทีหนึ่ง อันนั้นไว้ร่างกันทีหลังได้ไม่ยาก แต่ถ้าเมื่อมาหาเสียง แล้วเสร็จ ประชาชน ไม่เอาคุณ แต่จะเอาประเทศไทย จบนะ หยุดนะ อย่ามาฆ่าคนเล่นอยู่อีก ไม่ดี ถาม : ให้เขาเลือกผู้นำของเขาเองแล้วปกครองตนเองแบ่งแยกดินแดนออกไป พ่อท่าน : ถูกแล้ว ประชาธิปไตย คนไทยสามจังหวัดนั้นจะเอาเขาไหม จะยอมไหม จ้างก็ไม่เอา แต่อาตมาก็คิด ไปตาม ประสาอาตมา หนะนะ เอาซี คณะที่ฆ่าคนเล่นเป็นผักปลาอยู่นี่ใครเป็นหัวหน้าใหญ่มาปรากฏตัว ไม่มี การฆ่าแกงกันหรอก ขบวนการไหนก็มา จะมี หลายคณะ ก็ได้มาหาเสียงเอาเลย ในสามจังหวัดนี้ ประกาศ ออกไปอย่างนี้ได้เลย แล้วเอาจริงไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้น อย่ามาเอาแต่ ฆ่าคนบริสุทธิ์เลย จะฆ่าเขาทำไม ถ้าคุณจะเอา ก็ต้องเป็นไปตามสัจจะของคน จะมาเล่นบังคับคน เพราะอยากเป็นใหญ่ มันไม่ได้ แต่ถ้าคุณว่า คุณแน่จริง แล้วเขาก็รักคุณจริง คุณเป็นมุสลิมด้วยกันหมดด้วยซ้ำไปนะ เอาเลย หาเสียงเลย อาตมาไม่เชื่อว่า คนใน สามจังหวัด ของประเทศไทย จะไม่มีเลือดไทย วิญญาณไทย อาตมาไม่เชื่อ เอาละ... .เรื่องนี้ อาตมา ไม่เคยพูดมาก เท่าวันนี้นะ ยุให้ อาตมาพูดจังเลย ถาม : มีเรื่องยุทธศาสตร์จะปรับแผนเรื่องสร้างสุขภาวะ ส.ส.เขามาคิดกัน แต่ว่าในวงย่อยที่เป็นหัวกะทิ แล้วมีอาจารย์ ท่านหนึ่ง ก็พูดถึงว่า สุขภาวะมันต้องลึกซึ้งไปถึงเรื่องจิตวิญญาณของมนุษย์ ก็มีคนเสนอ เรื่องชุมชนชาวอโศก ก็ยกถึง ปฐมอโศก มีความดี อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็มีคนตั้งคำถามว่า ถ้าพ่อท่านไม่อยู่ แล้วอโศก จะยังต่อไปได้ไหม เขาก็ยกตัวอย่าง เทียบเหมือนสวนโมกข์ พอท่าน อาจารย์พุทธทาสไม่อยู่ ก็เหมือนกับ สวนโมกข์แทบจะล่ม ท่านดุษฎีเองก็บ่นว่า แทบไปไม่ได้ แม้ทาง หลวงพ่อชา ท่านจะมี เครือข่าย เยอะ แต่สิ้นหลวงพ่อชาแล้วก็ยาก เรื่องนี้พ่อท่าน จะตอบให้พวกเราสบายใจได้ไหม พ่อท่าน : อาตมาไม่มีปัญหา อาตมารู้อยู่แล้วเรื่องนี้ เพราะมีตัวอย่างเยอะ ที่สำนักต่างๆ เมื่อหัวหน้าผู้นำ สิ้นชีพลง สำนักนั้น ก็ไปไม่รอด จะเสื่อมถอยไปตามลำดับ นับวันที่จะหมดสภาพไปได้ อาตมาระวังเรื่องนี้ มาเสมอ วิธีที่จะไม่ให้เกิดภาวะ ไปไม่รอด เมื่อสิ้นผู้นำ ก็คือ ประการที่หนึ่ง ผู้นำต้อง"สร้างคน" นั่นคือ ต้องถ่ายทอด อาริยธรรม ให้เป็นคุณสมบัติที่แท้ แก่ลูกศิษย์ ให้ครบ หรือ ให้ได้มากที่สุด โดยแจกความรู้ ความสามารถลงไปในลูกศิษย์ทั้งหลายให้เป็นเอตทัคคะ โดยมี การแบ่ง รับเอาความรู้ ความสามารถ จากอาจารย์ไป คนละส่วน ที่ตนสามารถหรือถนัด ซึ่งแน่นอนว่าลูกศิษย์คนเดียว จะเก่ง หรือรับเอา คุณสมบัติ ทั้งหมด ของอาจารย์ ที่เป็นผู้นำ ไปไม่ได้ครบ หรือลูกศิษย์คนเดียว ย่อมไม่เก่งทุกด้าน เท่าอาจารย์ ผู้นำ คนสำคัญ ในแต่ละยุคแน่ๆ เช่น ไม่มีลูกศิษย์คนใด จะเก่งเท่า พระพุทธเจ้า หรือไม่มีลูกศิษย์คนใด จะเก่งเท่า พระปัจเจก สัมมาสัมพุทธะ ที่มาสืบทอดพระพุทธศาสนาแน่ๆ หรือไม่มี ลูกศิษย์คนใด จะเก่งเท่า พระมหาโพธิสัตว์ เท่าพระนิยตโพธิสัตว์ ดังนี้เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้า ก็ทรงมีวิธีทำให้ศาสนา ของพระองค์ ยืนยาวมาได้ จนป่านนี้ นั่นก็คือ ความรู้ ความสามารถของผู้นำ ต้องถูกถ่ายทอดเป็นระบบ ให้ลูกศิษย์ ทั้งหลาย มี "เอตทัคคะ" แต่ละด้าน รับไปให้ครบถ้วน ทุกด้าน ที่ผู้นำมี ทั้งระดับนักบวช และทั้งระดับ ฆราวาส จนครบวงจรความเป็น สังคมมนุษย์ ถึงขั้นสามารถ และเชี่ยวชาญใน สัมมาสังกัปปะ (ทั้งคิด) สัมมาวาจา (ทั้งพูด) สัมมากัมมันตะ (ทั้งทำได้จริง) สัมมาอาชีวะ (ทั้งเป็นอาชีพ มีคุณค่า) ประการที่สอง ทุกคนก็ต้องผนึกแน่นกันเป็นขบวนการกลุ่ม ทำงานประสานกันอยู่อย่างเป็นเครือแห ที่สมบูรณ์ มีทั้งเอตทัคคะ ที่เป็นนักบวช และฆราวาสไม่แตกแยก โดยเฉพาะมีระบบครบถ้วนทุกด้าน เป็นกลุ่มหมู่ ที่เป็นรูปธรรม ร่วมกัน บริหารงาน กันได้จริง ตั้งแต่ผู้นำ ยังไม่ตายจากไปทีเดียว อย่างของเราชาวอโศก มีไหม เห็นระบบไหม เห็นขบวนการที่เป็นรูปธรรม แล้วหรือยัง มีความเป็น ปึกแผ่นไหม มีความเข้มแข็ง แน่นผนึกไหม อาตมาขอถามพวกคุณกลับหน่อยเถอะ ตอบจริงๆนะ อาตมาตายลงจะอยู่กันได้มั้ย พวกคุณแต่ละคน จะอยู่ได้ไหม จะดำเนินงาน ต่อได้ไหม ท่านเดินดินจะอยู่ได้ไหม ท่านผืนฟ้าจะอยู่ได้ไหม จะรวมกันทำงาน สานต่อ ได้ไหม? มีระบบไหม? แม้แต่ฆราวาส ที่อยู่ ในขบวนการ บุญนิยมนี้ มีครบครัน เป็นกลุ่มคน ที่มี อาริยธรรม ของพระพุทธเจ้าไหม? ดูออกมั้ย? จะแยกตัวกันไหม เราสร้างความเป็น สาธารณโภคี ได้ถึงขั้น เป็นหนึ่งเดียว -เป็นเอกีภาวะ ครอบคลุมไปถึงฆราวาสกันได้สำเร็จ ปานนี้ ได้พิสูจน์ กันมาแล้ว จนป่านนี้ มั่นใจมั้ย? แต่ละคนคุณแยกตัวไปไม่ได้แล้ว ทั้งด้านวัตถุและวิญญาณ พวกคุณ ถึงหลอมวิญญาณ และ วัตถุสมบัติ เป็นเอกีภาวะ เป็นสาธารณโภคีเรียบร้อย ที่พูดนี่เข้าใจไหมว่าคืออะไร? ถ้าอาตมา ตายลงแล้ว พวกคุณยิ่งจะรักกัน ยิ่งกว่าแค่ที่เราเคยโดนจับ เรื่องของสาธารณโภคี หรือ เอกีภาวะนี้ แค่ความเป็น ครอบครัว ที่มีพ่อแม่เป็นตัวหลักแล้วลูกเต้าก็อยู่ด้วยกัน และที่สำคัญ คือ ครอบครัวนี้ ไม่ใช่ครอบครัว คนไม่ดี แต่เป็น ครอบครัวคนดี พวกเราคือครอบครัวคนดี ครอบครัวคนไม่ดีก็ช่างเถอะ พ่อแม่ ตายลง ก็แย่ง สมบัติกัน ฆ่ากันไปเลยใช่ไหม แต่ถ้าเป็น ครอบครัว คนดี พ่อแม่ตายลงปัง ! นี่นะ ลูกมัน จะรักกัน จะผนึกรวมกัน อย่างยิ่งเลย คุณนึกออกไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ถาม : เหมือนครอบครัว"แม่บุญโฮม"(ชื่อแม่ของพ่อท่าน) ใช่ไหมครับ พ่อท่าน : ไม่ใช่เฉพาะครอบครัวอาตมา คนอื่นๆก็เหมือนกัน ไม่ต้องเอาถึงขนาดระดับครอบครัวหรอก คนไทย ไปอยู่ ต่างประเทศ ซึ่งมีทั้ง รูปและนาม ที่เป็นไทยแน่ พอไปเจอคนไทย ไม่ต้องเป็นพี่เป็นน้องหรอก มันจะ รักกัน ขึ้นไหม มันจะร่วมมือ กันยิ่งกว่า อยู่ในเมืองไทยไหม อยู่เมืองไทยยังไม่รักกันเท่านี้เลย ความว้าเหว่ก็ดี การขาดที่พึ่งสำคัญก็ดี จะก่อให้เกิดความรวม อันนี้ อาตมา ถึงฝากฝัง ถ้าเกิดสังฆเภท นี่คือ ความบรรลัย ของกลุ่ม สังฆเภทฝ่ายฆราวาสก็ตาม สังฆเภทฝ่ายสงฆ์ก็ตาม เป็นความบรรลัยก็ที่ไหน ก็ตาม ทั้งนั้นเลย ความเป็นหนึ่งเดียว ความรวมกันผนึกแน่น จะพารอด เพราะฉะนั้น การเป็น สังฆเภท จึงเป็น อนันตริยกรรม เป็นเรื่อง บาปหนัก เลวร้ายมากเลย สร้างไว้ดีแล้วรวมกันไว้ดีแล้ว ใครทำให้แตกกันนี่ คนนั้น อนันตริยกรรม พระพุทธเจ้าเอาสัจจะมาพูด อนันตริยกรรม ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามากำหนดเอาเอง ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า ท่านสั่งไม่ได้ บันดาลไม่ได้ ท่านไปสั่งไม่ได้ กำหนดเอาเองไม่ได้ ท่านไม่ใช่ เจ้าของบริษัทสัตว์โลก ที่เป็นผู้สร้างสัตวโลก เหมือนชาว เทวนิยม เที่ยวกำหนดคนนี้ เงินเดือนเท่านั้น เท่านี้ คุณจะต้อง ขึ้นสูง เท่านั้น ลงต่ำเท่านี้ คนนี้ได้ทุกข์เท่านี้ คนนั้น ได้สุขเท่านั้น คนนั้นตกนรก คนนั้นขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่ แต่มันเป็นสัจธรรม พระพุทธเจ้า ตรัสสัจจะ สังฆเภทจึงเป็นอนันตริยกรรม อย่าแยกกัน อย่าแตกวงเป็นอันขาด ขอฝากเอาไว้ แต่มันจะมีคนที่กิเลส หนาๆ อวิชชา เขาไม่รู้เขาก็ทำ คนที่ชั่วพยายาม จะแยก ก็ปล่อยเขามันเป็นเวรกรรม เหมือนกับ พระเทวทัต ดังนั้น ถ้าหมู่มวลนี้มีอาริยธรรมเป็นสัจจะในข้อที่ว่า ลดละกำจัดอัตตาได้จริง ไม่มีการถือดี ถือตัว จนแตกแยก เป็นสังฆเภท คณะนี้ ก็ไปรอด จะคงความเป็นขบวนการกลุ่มอยู่อย่างงดงามยั่งยืน ประการที่สาม ไม่แต่งตั้งคนคนเดียวหรือคณะหนึ่งคณะเดียวเป็นใหญ่ใช้อำนาจบริหาร ตามที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัส และ ทรงกระทำ มาแล้ว ต้องให้เป็นไปตามธรรมชาติ แห่งระบบ "วัฒนธรรมสำคัญ" ของขบวน การกลุ่มนั้นๆ ซึ่งได้มีความเป็นอยู่ เป็นไปถึงขั้น ตกผลึก มาแล้ว สมบูรณ์พร้อมด้วยระเบียบวินัย ที่มีในกลุ่ม สืบทอดกันมา และเป็นระบอบ คือเป็นแบบอย่าง ที่ลงตัว ยืนยาว สำเร็จรูปแล้ว ดังนั้น ต้องสร้างวัฒนธรรม ของกลุ่ม ให้แข็งแรง ต้องแข็งแรงถึงขั้นเป็น"ระบอบ" คือถึงขั้น เป็นแบบอย่าง ที่ลงตัว สำเร็จรูปแล้ว และ ดำรงมายืนยาว พอสมควร ประการที่สี่ คือ ต้องสร้างสังคมคนให้เป็นกลุ่ม ที่มี"ระบบ"ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เช่น ต้องมีคุณภาพ ของระบบ ถึงขั้น มีสาราณียธรรม ๖ มีวรรณะ ๙ หรือเอากถาวัตถุ ๑๐ เอาหลักการตรวจสอบ ธรรมวินัย มาตรวจวัดได้ ว่า เป็นจริงตามนั้น เป็นต้น หรือ มีความเป็น อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ อย่างมีคุณภาพประสิทธิภาพเข้มข้น แข็งแรง เพียงพอ ดังนั้น ตามที่อาตมาเข้าใจนี้ อาตมาก็พยายามทำ ทุกวันนี้ก็พอมีความเป็นไปได้พอสมควร เรื่องของอาริยภูมินี้เป็น"ความจริง"ที่เที่ยงแท้ ไม่เป็นอื่น ไม่แปรปรวน อย่างที่อาตมาเคยเอามายืนยันเสมอๆว่า อาริยธรรมนั้น มีคุณสมบัติ นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง แต่ถ้าไม่ถึง "ความเป็น อาริยะจริง" ก็ไม่คงทน ไม่ยืนนาน แปรปรวนง่าย แน่นอน นี่เป็นสัจจะ ผู้ถึงสัจจะ โดยเฉพาะ ต้องเข้าถึง ปรมัตถสัจจะ ก็จะจริง ไม่แตกแยก ไม่เสื่อมสลายกลุ่มไป ง่ายๆ พวกเรา ก็ทำความเข้าใจให้ดีๆเถิด ทำตาม ที่ว่านี้ ให้สมบูรณ์ ก็จะเห็นความจริงเกิด ถาม : อยากถามว่าเรื่องโพธิสัตว์ อย่างไอน์สไตน์คิดสูตรปรมาณู ปัญญาอย่างนี้เป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร พ่อท่าน : ไม่ได้ไปเอาการคิดปรมาณูมาเป็นเครื่องชี้ความเป็นโพธิสัตว์นะ อันนี้เป็นอจินไตย ที่ตอบไม่ได้ มีสองคน ที่บอกว่าเป็น โพธิสัตว์ คือ มหาตมะคานธี กับไอน์สไตน์ ที่อาตมารู้ของอาตมาว่า เป็นโพธิสัตว์ ที่โผล่ให้เห็น ในชาตินี้ แต่ไม่ได้มาช่วยอะไร อาตมา ซึ่งทั้งคานธี ทั้งไอน์สไตน์ ก็เกิดมาตามฐานะ ชาตินี้ก็เสริม บารมีอันหนึ่ง เสริมการเรียนรู้ถูกผิด อันหนึ่ง ของท่านเอง เท่านั้น ไม่ใช่ ผู้เกิดมา ทำหน้าที่สืบสานศาสนา อย่างอาตมา แต่อาตมารู้ว่า ท่านเป็นโพธิสัตว์ ที่มาเสริมสร้าง สัมภาระวิบาก ไอน์สไตน์เกิดมาสะสมสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง อันมีกรรมมีวิบากที่ตน ต้องพากเพียรเอา ในส่วน เป็นปรมัตถ์ ส่วนประโยชน์ ที่เกิด ให้แก่โลก แก่สังคมนุษย์นั้น เป็นผลข้างเคียงของโพธิสัตว์ สำหรับ คานธี ก็สร้างประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ไปตามฐานะ ของตน เช่นกัน ไอน์สไตน์อาศัยโลก อาศัยความลึกซึ้ง อาศัยความละเอียดลออ ทางวิทยาศาสตร์ของโลก เพื่อที่ตนเอง จะได้ลึกเข้าไป ในภูมิธรรม ได้ทำโพธิญาณ อีกขั้นหนึ่ง เท่านั้นเอง ไอน์สไตน์ไปศึกษาในฝั่งทาง เทวนิยมเต็มๆ เป็นยิว มีพระยะโฮวา หรือ อับราฮัม โดยตรงเลยนะ ห่างจากพุทธลิบลับ ส่วนคานธี ก็อาศัย อิธ โลกนี้เช่นกัน แต่ใช้ความลึกซึ้ง ละเอียดลออ ทางสังคม และศาสนา มากกว่า ไอน์สไตน์ ใกล้ศาสนาพุทธ มากกว่าไอน์สไตน์ ถาม : มีคนมาบอกว่าจิตพลังจักรวาลสูงกว่าอโศกที่ปฏิบัติอยู่ อยากทราบว่าหมายความว่าอย่างไร พ่อท่าน กรุณาอธิบายด้วยค่ะ พ่อท่าน : ในลัทธิต่างๆ ในความเข้าใจต่างๆ มันมีจริง ที่เขาบอกว่าเขาสูงกว่าอโศก จริงๆเขาก็ต้องยืนยันว่า เขาสูงกว่าอโศก อาตมา ไม่ประหลาดใจอะไรหรอก เป็นธรรมชาติของเขา อาตมาก็ว่า เรานี่ดีแล้วดีเยี่ยมละ และ สูงกว่าเขา ลึกๆเราก็ว่าได้ แต่ไม่พูดไป เท่านั้นแหละ เขาจะบอกว่าสูงกว่าเรา ก็ไม่ไปโกรธ ไปเกลียด อะไรเขา ไม่มีปัญหา ถ้าสงสัย ก็ไปศึกษาสิ ค้นคว้า ให้จริง ถ้าสูงกว่า เราก็เอาอันนั้น ถ้าสูงกว่าอโศก อาตมา ก็อยากเจอเหมือนกันนะ เราจะได้ไปอยู่ด้วย อาตมาก็เมื้อยเมื่อย ถ้ามีคน สูงกว่าเรา จริงๆ เราก็จะได้อาศัยเขา ศึกษาจากเขา ต่อขึ้นไปอีก ศึกษากันให้ดีๆเถิด
ถาม : อยากทราบความหมายของศูนย์บุญนิยมสิกขา จะให้เป้าหมายไปถึงไหนคะ พ่อท่าน : ศูนย์บุญนิยมสิกขานี่เป็นความหมายของภาษาด้วย เพื่อที่จะให้ภาษาความหมาย นี่คลุมสภาวะ ที่เราจะทำให้ มันครบ แต่ก่อนนี้ เราทำงานเพื่ออบรม แล้วก็มีกลุ่มที่รับผิดชอบทำงาน คือ เครือข่ายกสิกรรมไ ร้สารพิษ ก็ทำกิจกรรมนี้มา หลายปี ทีนี้ ที่เราจะมี "สถาบันบุญนิยม" ขึ้นมา ก็เพราะเราไม่ได้ทำกสิกรรม อย่างเดียว เรามีทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และงานด้านอื่น ด้านอาชีพ อะไรต่างๆ ไม่ใช่กสิกรรม อย่างเดียว แม้แต่ทางด้านศีลธรรมด้านอะไร เราก็ทำทั้งนั้น เพื่อที่จะ สืบสานกับ ประชาชน เราจึงมาคิดว่า เปลี่ยนชื่อกลุ่ม ก็แล้วกัน จริงๆเราทำงานกันก็กลุ่มเก่าของเรานี่แหละ แต่ว่าเราจะ ขยายกรอบ ขยายความรู้ ขยายความหมาย ให้มันกว้างขึ้น ทีนี้เราก็จะทำของเรา มีจุดหมายปลายทาง จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ จะเป็น เศรษฐกิจ จะเป็นรัฐศาสตร์ จะเป็น ศึกษาศาสตร์ จะเป็นการเงิน จะเป็นสื่อสาร จะเป็นด้านไหน ก็แล้วแต่ เราก็จะเป็น "บุญนิยม" ทั้งนั้น เราจะไปสู่บุญนิยม ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราก็เลยรวมให้มาเป็น ขบวนการเดียวเลย ก็เลยตั้งชื่อศูนย์ก็คือ ส่วนกลาง เป็นจุดรวม จุดหนึ่ง ก็เอาคำว่า "ศูนย์" มาก่อน แล้วก็ "บุญนิยม " ต้องเอาคำนี้ด้วยแน่นอน ยังไงก็ถือว่า ทุกอย่างเป็น "การศึกษา" เราก็เลยใช้คำว่า "ศูนย์บุญนิยม สิกขา" เพียงแต่เรา ไม่ใช้คำว่า "ศึกษา" เท่านั้น แต่เราใช้คำว่า "สิกขา" ซึ่งเป็น คำบาลี ศึกษา เป็นภาษา สันสกฤต แล้วก็ตั้งใจที่จะทำ ให้มันก้าวหน้า ต่อไป ที่ถามว่า จะไปไกลแค่ไหน ไปให้มันถึงจุดจบจุดสูงสุดหมดนั่นแหละ ถ้ามันได้ ตอนนี้ได้แค่ไหน เอาแค่นั้นก่อน อบรมธรรม เป็นหลักก่อน เอาจุดนั้นก่อน กระเถิบขึ้นไปได้ เพิ่มขึ้นไปได้ เราก็ต่อขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะว่าคำว่า "บุญนิยมสิกขา" มันคลุมหมดแล้ว ถาม : แสดงว่า "ศูนย์บุญนิยมสิกขา" นี่ จุดประสงค์หลักๆน่าจะอยู่ที่การแก้ปัญหาสังคมก่อน ผมสรุปอย่างนั้น จะถูกไหมครับ พ่อท่าน : ไม่ใช่แก้ปัญหาสังคม เราไม่ได้เห็นว่าเรายิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น อย่าไปหมายความว่า เราจะไป แก้ปัญหาสังคม เพราะว่า สังคมนั้น มันใหญ่เกินกว่าตัวเราเหลือเกิน อัตตัญญุตา เราดูตัวเราแล้ว ก็เท่านี้ สังคมยอมรับเรา ก็ไม่ใช่ว่า จะยอมรับ เท่าไหร่ ความเข้าใจ ที่เราจะทำความเข้าใจกับสังคม ก็ยากด้วย เพราะฉะนั้น เราไปทำใหญ่ถึงขั้นว่า เราจะไปแก้ปัญหา ให้สังคมคงไม่ได้มั้ง? คำว่าสังคม คือส่วนรวม-ส่วนใหญ่ เราเองยังเล็กยังจ้อย แต่แน่นอนว่าที่เราทำนี้เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตน ก็คือ ละตัวตน การละตัวตนได้ก็เป็นประโยชน์ผู้อื่นอยู่นั่นเอง การปฏิบัติพุทธ เป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวม ต่อสังคม โดยแท้ ทว่า มันยังทำไม่ได้มาก ยังไม่ใหญ่ เราละล้างตนเองก่อน เรา"สร้างคน" ก่อนเป็นหลัก ก่อนที่จะทำงาน "สงเคราะห์" ขณะนี้เราจึงยังไม่ถึงขั้น จะไปแก้ ปัญหาสังคมดอก ถาม : ผมชอบอ่านหนังสือของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต นะครับ และก็เห็นว่า คำสอนของท่าน มีจุดบอด นะครับ เรียนถาม ท่านตรงนี้นะครับว่า คำสอนของพระพรหมคุณาภรณ์นี่ ท่านเป็นนักการศึกษา นะครับ ก็ชอบอ่านของท่าน ไม่ทราบว่า พ่อท่าน คิดว่าคำสอนของท่านนี่ มีจุดบอดมั้ยครับ พ่อท่าน : คำสอนของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ไม่บอด เพียงแต่ยังไม่เป็นไปเพื่อโลกุตระสักเท่าไหร่ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น คนก็อ่านได้ เข้าใจได้ง่ายกว่าที่อาตมาพูดหรือสอนอยู่ อาตมาต้องมีจุดบอดในบางอันแน่ เพราะว่า อาตมาไม่เป็น นักศึกษา เลย ไม่ได้ศึกษาอะไรมา โดยเฉพาะธรรมะ เมื่อไม่เป็นนักศึกษา นิรุตติ-ปฏิภาณ -ปัญญา มันก็คงไม่เก่งนัก ไม่ช่ำชองนัก เพราะว่าชีวิต ของอาตมา ไม่ได้เป็นนักศึกษามาแต่ต้น อย่างท่าน พระพรหมคุณาภรณ์นี่ ท่านเป็นนักศึกษามาแต่ต้น และ ศึกษาค้นคว้า มาตลอด เป็นผู้คงแก่เรียน แท้ๆ เพราะฉะนั้น ท่านชำนาญ จะพูดอะไรปั๊บ ท่านพร้อม นิรุตติ-ปฏิภาณ ท่านจะเขียน หรืออธิบาย ได้หมด และท่านก็เป็น นักศึกษาจริงๆ อ่าน ตรวจสอบ ค้นคว้าพร้อม เพราะฉะนั้น ในส่วนของ นิรุตติ -ปฏิภาณ ในเรื่อง ของปริยัติ ท่านพร้อม แต่สภาวะเท่านั้น ที่ท่านไม่มีมากพอ โดยเฉพาะสภาวะของโลกุตระ ท่านก็สอน ขั้นโลกีย์ ก็เข้าใจง่ายดี แน่นอน ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ นี่ท่านสอน ท่านเอาจากตำรา เพราะท่านศึกษาจากตำรา แล้วก็ พยายาม ไม่ให้ผิดจากตำรา ท่านซื่อสัตย์ดี-ดีๆ มากทีเดียว อาตมาก็อาศัย ตำราท่าน ที่ท่านได้ เรียบเรียงไว้ ใช้ตลอดเวลา สงสัยบทไหน ก็เปิดดูคำที่แปลไว้แล้ว ถ้าอาตมาเห็นว่า ท่านแปลได้ ไม่ลึกนัก อาตมา ก็แถมใหม่ไปต่อๆหน่อย ซึ่งก็มีแน่ ที่ไม่เหมือนเดิม ไหนๆพูดก็พูดเสียเลย ที่อาตมาอธิบาย แตกต่าง ไปจากตำรา รุ่นอาจารย์อธิบายไว้ ก็เพราะมันผิดมาแล้ว แต่ดั้งเดิม ไม่ใช่ท่านผิด มันผิดมาก่อน ก็ผิด ตามๆกันมา ท่านก็เลย ผิดไปด้วย จะไปโทษ ว่าท่านผิดไม่ได้ เพราะว่ามันผิดมา หลายๆ ชั้นมาแล้ว ตำรา ชั้นหลัง ที่อธิบายพระไตรปิฎก นั่นแหละ มีผิดอยู่ ไม่น้อยเลย แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีถูกนะ ส่วนถูก ก็ถูกไป ส่วนผิด มันมีผิดจริงๆ แล้วผู้ไม่รู้รุ่นหลัง ก็เอามาทั้งผิด ทั้งถูก ปนกันเละ ไปหมด ศาสนามาถึง ทุกวันนี้ แล้วนี่ มันจึงเพี้ยนจึงผิดมาเรื่อย มันปฏิรูปกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงทุกวันนี้ มันผิดไปเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านไม่ได้ผิด แต่ว่ามันผิด มาแต่เก่า ท่านก็ผิดตาม สำหรับท่านเองนั้น ท่านเป็นนักศึกษาที่เก่ง ท่านเป็น นักศึกษา ที่ชำนาญ ท่านเป็นนักศึกษา ที่ครบพร้อม สมบูรณ์ อาตมาเคารพในความเป็นนักศึกษา ของท่าน อย่างสูงทีเดียว ถาม : ที่พ่อท่านพูดว่า ทุนนิยมนี่คนรวยกระจุก คนจนกระจาย รวยในที่นี่หมายถึงทรัพย์สินเงินทองใช่มั้ยครับ แต่บุญนิยมนี่ คนจน กระจุก คนรวยกระจาย รวยในที่นี้ หมายถึง... พ่อท่าน : ทรัพย์สินเงินทองเหมือนกัน พูดตามประสาโลก หมายความว่า อย่างคนทุนนิยม อาตมา เรียบเรียงคำ เป็น สองประโยค สองวรรค ที่จริงประโยคที่ว่านี้ ไม่ใช่อาตมาคิดคำได้ ท่านจันทร์ท่านพูด ขึ้นมา เป็นประโยค ที่ท่านจันทร์พูด อาตมาชอบมาก ก็เลยเอามาใช้ ทุนนิยมนั้นรวยกระจุก จนกระจาย นี่คือ คนจน มันกระจายขึ้นไปในสังคม กระจายก็คือ แพร่หลายเป็นส่วนมาก ก็แมคโคร [macro] หรือ มหัพภาค ส่วน บุญนิยมนั้น จนกระจุก รวยกระจาย อาตมาวงเล็บ ตรงหลัง ความว่า "จนกระจุก"นั้นก่อน ว่า ไมโคร [micro] หรือ จุลภาค ซึ่งหมายถึงส่วนน้อย ถ้าจะพูดต่อกันเป็นภาษาไทยไปก่อน บุญนิยมนั้น จนกระจุก รวยกระจาย ส่วนทุนนิยมนั้น จนกระจาย รวยกระจุก ข้างนอกเขาจะฟังขึ้นมั้ย? อาตมาว่าฟังขึ้น (หัวเราะ)น้า คือ บุญนิยมนี่ จะพยายาม ให้คนจนได้มากที่สุด จึงเคี่ยวเข็ญ ขัดเกลา คั้นคนให้จนเข้าไปๆ คนจนที่จะจนได้ อย่างดี ยิ่งจน เป็นบุญนิยมนี่ ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจโลกุตรธรรม สัมมาทิฏฐิ ต้องอบรมตน ให้จาคะ ขยันยิ่งๆ มักน้อย สันโดษ สงบ หรือวิเวก ไม่เกี่ยวเกาะกับกองโลกีย์ (อสังสัคคะ) กว่าจะจนได้สนิท จนได้อย่างละเอียด จนสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ง่ายนะ จนอย่างเป็นพระอาริยะ กระทั่งถึงขั้นจนสนิท อย่างพระอรหันต์ จนอย่าง ไม่เหลือเลย เกลี้ยงเลย มันยิ่งโอ้โฮ "จน" กระทั่ง ไม่มีอย่างเกลี้ยงสนิทนี่ มันยิ่งเป็นคนส่วนน้อยนั้นแหละ จำนวนคน ที่บรรลุมรรคผล ไม่ใช่คน จำนวนมาก แต่ผลการ"จน" อย่างศาสนาพาเป็นนี้ หรือ"จน" อย่างบุญนิยมนี่ คนที่ทำตน "จน" ก็คือ คนที่ให้คนอื่นออกไป หรือ กระจาย สะพัดออกไป ไม่เอารวย ให้ออกไป จะว่าแจกคนอื่นไปรวยก็ได้ เพราะคน ที่ถึงผลยิ่งสูง ก็ยิ่งขึ้นไปเป็นยอด ยอดปิรามิด เป็นยอดเจดีย์ แล้ว คนด้านบนที่ถือว่าสูงแล้ว ก็คือคนจน ตามบุญนิยม ข้างล่างก็จะรวย แบ่งรวยให้คนอื่น ส่วนทุนนิยมนั้น ยอดเจดีย์ คนรวย ก็ไปกระจุก อยู่บนโน้น ความจน ก็กระจายลงมาข้างล่าง เรื่อยๆล่ะ อย่าง ปปช.ขึ้นเงินเดือนตัวเองเท่าไหร่ ใครจำได้บ้าง ขึ้นเดือนละ สองหมื่นกว่า อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นด้านบนของปิรามิด ผู้ขึ้นเงินเดือน ก็ไปทางด้านบน ด้านล่าง ก็ถูกดูดทรัพย์ ขึ้นไป ทีค่าแรงงานขั้นต่ำ ขอขึ้นวันละ ๕๓ บาท คิดแล้วก็ขอขึ้นไป ๒๓๓ บาทต่อเดือน ใช่มั้ย สุดท้ายได้ ๔ บาทต่อวัน สูงสุด ๘ บาท นี่มีอยู่ จังหวัดเดียว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ค่าแรงขั้นต่ำ ๘ บาท แต่ละจังหวัด ขึ้นให้ไม่เท่ากัน ส่วนจังหวัดอื่นๆ ขึ้นให้อีก ๖ บาทบ้าง ๕ บาทบ้าง ๔ บาทบ้าง ๗ บาทไม่มี มีแต่ได้ ๔ บาท แหละ หลายจังหวัดมาก เอา ๒๖ คูณ เดือนหนึ่ง เขาเอา ๒๖ คูณ เขาไม่เอา ๓๐ เพราะเงิน คิดรายวัน ตกลง วันละสี่บาทคูณ ๒๖ เดือนหนึ่งก็ได้ขึ้น ๑๐๔ บาท ส่วน ปปช. ขึ้นให้ตัวเอง เดือนหนึ่ง ก็ขึ้น ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท เศษที่กว่านั้น มากกว่า ๑๐๔ บาทด้วย แต่อาตมาจำไม่ได้ ค่าแรงงาน ของคนระดับล่าง ก็ขึ้นให้ ๑๐๐ กว่าบาท ไอ้ร้อยกว่าบาท ไม่ใช่ว่าตกเดือนได้ๆนะ ไม่เหมือนกันนะ ไม่เหมือนท่าน ปปช.นะ ไอ้นั่นตกเดือนปั๊บก็ได้ ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท เพิ่มแล้ว ก็ได้แน่นอน เหนาะๆ ทันที นอนป่วยอยู่ยังได้เลย แต่กรรมกรนี่ไม่ได้ นอนป่วย อยู่ก็เสร็จ หรือวันไหน ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้ ต้องทำเต็มวัน จึงจะได้ ร้อยกว่าบาท เพิ่มให้แล้วก็ยังไม่ถึงวันละ สองร้อย ที่เป็นอัตรากำหนดให้ สังคมมันก็เหลื่อมล้ำมากมายอย่างนี้ สังคมมันแย่ นี่คือสังคม ที่อยู่ในระบบ ทุนนิยม ระบบที่มันอยู่ ในโลกีย์ ในโลกนี้มันเกือบทั้งโลกเป็นอย่างนี้ มันสาหัสมาก ที่พูดถึง ปปช. นี่ ยังไม่ใช่ ผู้ที่ได้รายได้ต่อเดือนมากที่สุดหรอกนะ ในสังคมทุนนิยม รายได้เดือนละล้าน - ๒ ล้านก็มี ที่ยิ่งกว่านี้ ถึงขนาด เฉลี่ยแล้วเขาได้กัน วันละ ๓๐ กว่าล้านภายใน ๑๐ ปียังมีเลย ในผู้ที่มีรายได้มากที่สุดในเมืองไทยทุกวันนี้ ก็ต้องมาแก้ไข ด้วยสัจจะ คนที่มาเป็นอย่างพวกเรา มาเป็นโลกุตระ มาเป็นบุญนิยมนี่ อาตมาภาคภูมิใจ ในธรรมะของ พระพุทธเจ้า ถึงวันนี้แล้ว แม้อาตมาทำงานมา ๓๐ กว่าปีเท่านี้ ทำกันในสังคมที่สุดร้อนแล้วนะ สังคมจัดจ้านแล้ว ยุคพระพุทธเจ้า ยังไม่ร้อน ไม่จัดจ้าน เท่านี้เลย กิเลสไม่ได้แน่นหนาเท่านี้ เหลี่ยมเล่ห์ ไม่ได้มากเท่านี้ สังคมไม่ได้ซับซ้อน มากเท่านี้ ค่ายกลหรือแม้แต่ระบบ สังคม ไม่ได้ถูกกำหนด ไม่ได้ถูกตั้ง เอาไว้ ถึงขนาดนี้ แต่ทุกวันนี้ก็ตั้งก็ก่อเอาไว้หมดแล้วนะ แต่งตั้งซับซ้อน จัดตั้งวิธีการมา จนถึง ทุกวันนี้ มันซับซ้อน จนกระทั่งแก้ไม่ไหวแล้ว และมันแข็งมันหนากว่ายุค พระพุทธเจ้า มาก อาตมาเห็นว่า สัจธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัส จริงที่สุด แม้ยุคนี้ ก็ยังเป็น"อกาลิโก"ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ ไม่ว่าจะเป็น ยุคไหน แม้ยุคนี้ ก็เอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาพิสูจน์ได้ พวกเรา ก็ยังสามารถเข้าใจได้ และสามารถมาละมาลด สามารถ มาเป็นสังคมกลุ่ม จนมารวมกันเป็นกลุ่มชุมชน คนมีศีล มีจรณะ ๑๕ ได้ชัดเจน มีศีล นี่อย่างสังคม เรานี่ ปฐมอโศก หรือ สังคมอื่นๆ พวกเรานี่ที่เป็นสังคมอยู่กันทุกวันนี้ เป็นคนมีศีล ยืนยันได้เลยว่า เป็นคนมีศีล สังวรศีล สังวรมากสังวรน้อย ก็แล้วแต่บุคคล และยืนยันได้ว่าในหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้าน คนมีศีล อย่างต่ำ ศีล ๕ จะมีเออเร่อร์ (Error = บกพร่อง) จะมีบกพร่อง ผิดศีลบ้างก็เอาเถอะ ไม่เหมือนข้างนอกเขาแน่นอน แล้วเรา ก็สังวรศีล ใครผิด ถึงขั้นก็ลงโทษกัน มีทัณฑ์ ของเรา ไม่ใช่มีโทษทางกฎหมาย แต่ของเราเองเราก็ทำศีล ๕ เป็นพื้นฐาน ตั้งแต่เด็กตัวน้อยก็รู้ศีล ให้ปฏิบัติศีล ให้เช็คศีล ศีล ๘ ก็มี แม้แต่ศีล ๑๐ ก็มี เป็นฆราวาสนะ ที่มีศีล ๑๐ นี่ และสังคมเราไม่มีอบายมุขจริงๆ ทั้งชุมชน เหล้าขวดหนึ่ง ก็ไม่มี ในชุมชน บุหรี่มวนหนึ่งก็ไม่มี เป็นต้น นี่เป็นสังคมโสดาบัน เป็นสังคมที่ไม่มีอบายมุข โดยรูปธรรม ดูได้เลย ไม่มีอบายมุข มีศีล ไม่กิน เนื้อสัตว์ เรื่องโลกๆไม่แย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ถึงขั้นเป็นสาธารณโภคีด้วยซ้ำ ชัดเจนเลย เป็นสังคม ที่ปิดอบาย เป็นสังคมที่ตอนนี้อาตมาพูดมากขึ้นแล้วว่า ชุมชนชาวอโศกเป็นสังคมอาริยะ ซึ่งตามตัวอักษรก็คือ "ศรีอาริย์" หรือ ศรีอาริยเมตตรัย นั่นเอง แต่อย่าเข้าใจความเป็น"ศรีอาริย์" นี้อย่างผู้ที่หลงเลอะเทอะเป็นเรื่อง magic ไปเสียล่ะ "ศรีอาริย์" นี้เป็นสังคม ที่เกิดมาจากธรรมะ ที่เป็นโลกุตรธรรม อาตมาไม่ได้มีแผน ไม่ได้ มีแปลน ไม่ได้มีโครงการอะไรเอาไว้เลย แต่พอทำแล้ว มันก็จะเกิดอย่างนี้ ก็เกิดไปตามธรรมที่เป็น สัจธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีจริงคือสวากขาตธรรม มาพิสูจน์ดูได้เป็น เอหิปัสสิโก เพราะทำได้ ไม่จำกัด ยุคสมัย เป็นอกาลิโกจริงๆ เป็นพุทธบริษัท คือกลุ่มหมู่ของพุทธแท้ๆ มีฆราวาสชาย ฆราวาสหญิงเรียกว่า อุบาสก อุบาสิกา มีนักบวชชาย นักบวชหญิง ครบทุกพุทธบริษัท ๔ เป็นพุทธบริษัท อย่างไร พุทธบริษัท ที่มีประกอบ ไปด้วย คนมีศีล จริงๆ มีธรรมจริงๆ มีจรณะ ๑๕ มีวิชชา ๘ มีศีล มีสำรวมอินทรีย์ แต่ละบุคคล เราสำรวม กันจริงๆ สำรวมน้อยสำรวมมาก ก็แล้วแต่ แต่ละบุคคล ใครสำรวมมากก็มีทฤษฎีที่ดี ก็รู้ก็เข้าใจ ปฏิบัติตน ได้มรรค ได้ผลมาก ใครสำรวมน้อยก็ได้น้อย อยู่เป็นบริษัท เป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นมิตรดี สหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี ซึ่งจะช่วยขัดเกลา จะช่วยให้เกิดเป็นสังคมศาสนา มีจรณะ ข้อ ๒ จริง คือ มี โภชเนมัตตัญญุตา สำรวม อินทรีย์กัน โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค และยิ่งทำไปก็เกิดสัจธรรม ๗ เกิดศรัทธา ศรัทธา ไม่ใช่ศรัทธางมงาย ถาม : พ่อท่านจะมีวรยุทธ์ในการสร้างทายาทเพื่อสืบต่องานของชาวอโศกอย่างไรคะ? พ่อท่าน : ตอบไปแล้วเมื่อกี้พูดไปตั้งยาว ก็สืบทอดทางคุณธรรมนี่แหละ แล้วคุณธรรมนี่มันจะเจริญหมด ถ้าปฏิบัติธรรมะของ พระพุทธเจ้า ถูกต้องแล้ว มันจะเจริญทั้งสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เพราะฉะนั้น กรรม ก็จะดี งานอาชีพก็จะดี เป็นกัมมนิยะ หรือเป็น กัมมัญญา เป็นกัมมันตะ คือกาย-วจี-มโนมันก็จะดีขึ้น วัฒนธรรม มันก็จะสูงขึ้น เพราะว่าธรรมะของ พระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้ตัดไม้ ตัดมือ ไม่ได้สอนแบบไม่ให้มีความรู้ ปิดหูปิดตา หรือเก็บมือเก็บปากไม่ทำอะไรไม่พูดอะไร นี่มาถึงวันนี้แล้ว คุณเห็นมั้ยว่า มันเป็นยังไง ชาวอโศก เราไม่เหมือนกับทางโลกเขา "โอ..นี่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ นี่ไม่ใช่เรื่องของ ธรรมะ" หลายงาน หลายกรรมกิริยา เขาว่า ไม่ใช่กิจสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องธรรมะ แต่เรากลับว่าใช่ นี่เรื่องของธรรมะ นี่เห็นมั้ย มันซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ในนี้ แม้จะปฏิบัติธรรมะ แล้วก็ต้อง เอาภารกิจน้อยกิจใหญ่ ของสหธัมมิกเพื่อนปฏิบัติธรรมร่วมกัน คือ ต้องทำงาน การต่างๆ ของหมู่กลุ่มชุมชน และพร้อมกันนั้น ก็ต้อง เพ่งเล็งกล้า ในอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญา สิกขา เหมือนแม่วัวเล็มหญ้ากินเอง พร้อมกับชำเลืองเลี้ยงดูลูกน้อย ไปพลางด้วย หมายความว่า ทำทั้ง ๒ อย่างในเวลาเดียวกัน นี่คือญาณข้อที่ ๕ ของโสดาบัน ก็ต้องมีญาณข้อที่ ๕ หรือข้อหนึ่งใน ๗ ข้อใช่มั้ย เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิบัติไม่ถูก มันก็ไม่มีญาณ ข้อนี้ หรือเมื่อปฏิบัติไม่ตรงกับญาณข้อนี้ ก็ย่อม ไม่มีมรรคผล แม้แต่ขั้น โสดาบัน นั่นเอง เมื่อไม่มีญาณข้อนี้มันก็ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่ถูก ปฏิบัติไม่ถูก มันก็ไม่ลงตัว มันก็ไม่เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้า ท่านบัญญัติไว้ ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ามีญาณอันนี้ อย่างถูกต้อง เราก็....ทำอาชีพเราก็ทำดีได้ ทำงานก็ทำได้ดี กัมมนิยะ กิจน้อยใหญ่ของ สหธัมมิก ก็คือ ของทั้ง พุทธบริษัทๆ ของหมู่เรานี่แหละ กิจน้อยใหญ่เราก็ช่วยกันทำ แต่เราก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ไปจากการเพ่งเล็ง ได้อย่าง แข็งกล้า ในการปฏิบัติ ตามหลักธรรมคือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา หรือมรรคองค์ ๘ จรณะ ๑๕ อย่างนี้ เป็นต้น ถาม : คนที่มีกิเลสควรแก้ยังไงคะ พ่อท่านช่วยตอบด้วยค่ะ พ่อท่าน : เอ้า....ตอบสั้นๆ พยายามเรียนรู้ว่ากิเลสคืออะไร และมันอยู่ในตัวเรา อ่านกิเลสในตัวเราให้ออก แล้วก็เรียนรู้ วิธีเอาออก วิธีฆ่ากิเลส วิธีฆ่าก็คือ จะต้องอดทน กดข่มมันอย่างหนึ่ง นั่นก็ไม่ถาวร แต่ช่วยได้ เป็นอุปการะมาก ต้องวิปัสสนา จึงจะล้างได้หมด ได้สมบูรณ์ สิ้นเกลี้ยง นั่นก็คือ ต้องพยายาม อ่านใจตน ให้ออก-ให้ทัน แล้ววิจัยธรรมให้รู้ตัวตนของกิเลส ให้รู้แจ้ง เห็นจริง กิเลสมันเป็นอย่างนี้ มันพาเราทุกข์ มันเป็น ของไม่จริง มันเป็นของหลอก มันเป็นของไม่เที่ยง บางทีมัน ก็มีแรง บางทีมันก็มีเบา บางที มันก็ไม่มีเลย มันวอบๆ แวบๆ มันเป็นไปได้ทั้งนั้น แล้วเราก็สามารถทำให้มัน"ไม่เที่ยง" (อนิจจัง ขั้นปรมัตถะ) นั่นแหละ คือทำให้มัน ลดลง จางคลายลง สุดท้ายไม่มี ดับหมดได้สนิทสิ้นเกลี้ยง นี่คือ ไตรลักษณ์แบบปรมัตถ์ อย่างแท้จริง จนกระทั่งวิชชา ๘ ซึ่งมีตั้งแต่ วิปัสสนาญาณเห็นกิเลส เห็นความไม่เที่ยงของกิเลส เห็น ความเป็นทุกข์ เพราะกิเลส และที่สุดสามารถเห็น "ความไม่มีตัวตน ของกิเลส" โอ้..ยึดมันไม่ได้เลย แล้วมัน ก็ไม่แน่ ไม่นอน และมันก็เป็น เหตุแห่งทุกข์ แล้วมันก็พาเราทุกข์ เมื่อเราลดมันลงได้ จางลงๆ ทุกข์น้อยลง จริงหรือเปล่าๆ เหมือนเราเลิกอะไรมานี่ เออแต่ก่อนนี้ทุกข์ ไปอยู่กับมันแล้วทุกข์ แต่ก่อนนี้หลงว่าสุขด้วยซ้ำ พอหลงว่า สุขมากเข้า ก็เรียนรู้จริงๆ ลดลงมา เออ.... มันไม่ใช่สุข แต่มันทุกข์ มันหลอก สุดท้ายเห็นชัดเจนว่า มันทุกข์ มันเป็นโลกียะ ถ้าดับทุกข์ นี่หมด สุขก็หมดไปด้วย หมดสุข หมดทุกข์นั่นล่ะ เยี่ยมยอดกว่า สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นระดับขั้น ที่เรารู้ว่า กิเลสมันพาสุข-พาทุกข์ แบบโลกๆ แล้วเราก็มาลดสุข-ลดทุกข์ แบบโลกๆแบบโลกีย์ จนกระทั่ง เห็นจริงว่า ว่างเบานี่คือไม่ต้องมีภาระอย่างนี้ ไม่มีทุกข์อย่างนี้ เราเลิกมา ในเรื่องที่หยาบ มาเป็น ลำดับก่อน คือ เริ่มตั้งแต่โลกอบาย พ้นทุกข์อย่างจัดจ้านนี้ ก็จะได้พบความว่างเบาจากอบาย หรือ นรก ชัดเจน แจ่มใจ แล้วก็ละเลิกโลกกามารมณ์ โลกธรรม โลกอัตตา ไปเรื่อยๆสูงขึ้นไปตามลำดับ จนหมด จบสิ้นเกลี้ยง เป็นอรหันต์ เอ้า....ที่ถามมา นี่ก็ตอบไป รู้สึกว่าจะยากๆเหมือนกันเนาะ สรุปใหม่ รู้กิเลสให้ได้ ที่ถามมาว่าที่มีกิเลสนี่ ควรแก้ยังไง อ่าน อาการ กิเลสนะ กิเลสมันไม่มีรูปร่าง ไม่มีหัว ไม่มีแขนขา ไม่มีตัวไม่มีตนหรอก แต่มันอยู่ ในใจเรา ใจมันก็ไม่อยู่ตรงไหน เป็นที่เฉพาะด้วย จิตวิญญาณ ที่อยู่ในร่างคนนี่มันก็ไม่มีอะไร มันก็ไม่มีตัวตน มันไม่มีหัวกลมๆ แท่งยาวๆเหมือนแขน มันไม่มี จิตวิญญาณ ในตัวเรานี่ มันเป็นยังไง มันยาวๆเหมือนขามั้ย กลมๆเหมือนหัวมั้ย เป็นยังไง เป็นแท่งเหลี่ยม เป็นลูกกลมๆ เหมือนดอกบัวมั้ย มันไม่มีรูปร่าง จิตวิญญาณ มันไม่มีรูปร่าง กิเลสมันอยู่ในจิตวิญญาณ กิเลสก็ไม่มีรูปร่าง แต่รู้ได้ด้วย อาการ -ลิงคะ -นิมิต -อุเทศ ตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ อุเทศก็คือคำอธิบาย ชี้แจงให้เรารู้ นี่แหละอาตมาอธิบายอยู่นี่ พอเราเข้าใจแล้ว เราก็สังเกต "อาการ" สังเกตดูให้มันรู้มันมี "เครื่องหมาย" (นิมิต) บอกเราให้รู้ว่า เออ....มันเป็นอาการแบบนี้ เรียกว่า กิเลส และอย่างนี้เรียกว่า ราคะ กิเลสอย่างนี้เรียกว่า โทสะ มันมีเครื่องหมายบอกเราได้ว่า มันต่างกัน (ลิงคะ) กิเลสอย่างนี้ เรียกว่าง่วงนอน กิเลสอย่างนี้เรียกว่าฟุ้งซ่าน อะไรอย่างนี้ ก็ไปอ่าน อาการในจิตเรา ให้เป็น มันไม่มีตัวตน รูปร่างให้ดู แต่มันรู้ได้ด้วยปัญญาญาณ ที่จะอ่านของจริงให้ออก จับมันให้มั่น อ่านมัน ให้ออกทุกที แล้วก็ลดมันทุกทีให้ได้ การลดมันยังไม่ได้ ทำยังไง ถามป้าๆน้าๆอาๆพี่ๆครูๆ เจอใครก็ถามได้เลย ถ้ามัน ทำไม่ถูก ก็ถาม...ทำยังไงบ้าง เดี๋ยวคนนั้น แนะบ้าง คนนี้แนะหน่อย มันคงมีใครบอกเราถูกโฉลก สักคน หรอกเนาะ โอ....พูดอย่างนี้เข้าใจ ก่อนนี้ ใครพูดมาตั้ง ๕๐๐ คน ยังไม่เข้าใจ แต่คนนี้พูดอย่างนี้ เข้าใจได้ เราก็จะได้ผล ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ด้วยโอวาทปิดประชุม ๗ องค์กร (๓๐ ก.ค. ๒๕๔๘) ที่สันติอโศก จากส่วนหนึ่ง ที่พ่อท่าน กล่าวกับ กรรมการ องค์กรต่างๆ ดังนี้ องค์กรของเรานี่อย่างมูลนิธิธรรมสันติเกิดมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๙ ประมาณ ๒๘ ปีแล้ว ก็ได้ทำงาน ประชุมกัน อย่างนี้แหละ ที่จริง ตามกฎ ตามระเบียบ ปีหนึ่งต้องส่งรายงานไปให้ สวช. เขาแค่อย่างน้อยหนึ่งครั้ง เท่านั้นเอง ตามกฎ แต่ของเรานี่ปีหนึ่ง ส่งไป ไม่ต่ำกว่า ๙ ครั้ง เกือบทุกเดือน เป็นมาอย่างนี้ ๒๐ กว่าปีแล้ว ก็เป็นการทำงาน ที่เป็นหลักฐาน มาถึงวันนี้แล้ว ก็มีผลงาน เป็นชิ้นเป็นอัน มูลนิธิก็ดี สมาคมก็ดี เป็นองค์กรนิตินัย เป็นเจ้าของสมบัติทั้งหมด ไม่มีของส่วนตัวของผู้ใดเลย ตอนนี้มันมี ๗ องค์กร ต่อไป ก็จะมีอีก ๒ องค์กรก็จะเป็น ๙ องค์กร สมบัติพัสถานต่างๆนานาอะไรทุกสิ่งอย่าง องค์กรต่างๆ คือเจ้าของใหญ่ ซึ่งมันเป็น นิตินัย เป็นนามธรรม ก็คือบุคคลอย่างพวกเรานี่แหละ กรรมการต่างๆก็ช่วยกัน สมาชิก ก็ช่วยกัน ชาวอโศกทุกคนช่วยกัน เพราะมันเป็น ของส่วนกลาง ของพวกเราทุกคน เรามีสมบัติ เป็นสาธารณโภคี แล้วก็เป็นเรื่องถูกต้องตามนัยะของทางโลก เขาด้วย ตามที่พวกเรา ทำนี่ บุญนิยม นี่เปรี๊ยะ เลย เป็นของส่วนกลาง เป็นสาธารณโภคีจริงๆ นี่มูลนิธิ สมาคมนี่มันเป็นของ ส่วนกลาง ของบุคคล ที่จะมา ร่วมกันบริหาร ทำงานกันกับประชากรต่อไปเลย เป็นการกุศล และเป็นเรื่องจริง แม้แต่จะมีชื่อ เป็นองค์กร ต่างๆ ธรรมสันติ กองทัพธรรม ธรรมทัศน์ และอะไรๆตามนิตินัยก็ตาม แต่ก็เป็นสาธารณโภคีทั้งนั้น จะเป็น อุปกรณ์ ที่หมุนเวียนให้เกิดการทำงาน และดำเนินชีวิต เป็นอยู่ไป ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ในโลก อยู่ต่อๆไป ซึ่งเป็นเรื่อง วิเศษยิ่งใหญ่จริงๆ สมบัติทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มันเป็นสาธารณโภคีด้วย ทั่วประเทศเลย ไม่ใช่เรื่อง เล่นๆนะ แล้วก็ไม่มีใคร สามารถ แบ่งออกไปได้เหมือนกัน ถ้าองค์กรทางนิตินัยนี้ล้มทั้งหมดก็เข้ารัฐ แต่ถ้าล้ม หรือหยุดกิจการลง องค์กรใด องค์กรหนึ่ง ก็สามารถ นำทรัพย์สมบัติขององค์กรที่หยุดนั้น ให้แก่องค์กร ที่ระบุไว้ ในตราสาร ทุกองค์กรเราก็เขียนไว้หมดแล้ว มูลนิธิ ธรรมสันติ หยุดกิจการ ก็ให้แก่กองทัพธรรม กองทัพธรรมหยุด ก็ให้แก่มูลนิธิธรรมสันติ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรมหยุด ก็ยกให้แก่ ธรรมสันติ อย่างนี้เป็นต้น วัตถุธรรม ก็เป็นไปตามระบบ ส่วนนามธรรมนี่สิ สาธารณโภคีมันเป็นเอกีภาวะ มันเป็น หนึ่งเดียวกัน มันมี จิตวิญญาณ นี่แหละ ที่เป็นจริงยิ่งกว่าทางโลกเขา ของเขายังมีสัดมีส่วนที่แบ่ง เป็นของเราของเขา มูลนิธิ แต่ละมูลนิธิ เขาก็ไม่เป็นหนึ่งเดียว เหมือนของเรา ไม่สัมพันธ์รวมกันสนิท เป็นเอกีภาวะ เหมือนเรา พวกเรานี่ ทำงานร่วมกัน มีสมบัติ พัสถานอะไรก็ดูแลร่วมกันไป และ ก็ให้มนุษย์ประชากร ได้อาศัยสิ่งเหล่านี้ อาศัย ใช้สอย อาศัยบริหาร อย่างแท้จริง เป็นระบบ ที่วิเศษจริงๆ โดยมีเป้าหมาย มีอุดมคติ มีอุดมการณ์ ที่จะพยายาม ผลักดันให้เกิดสังคมมนุษยชาติ ที่จะอยู่ดีกินดี อาตมาว่า เป้าหมายไม่ได้ต่างไปจาก ผู้บริหาร ประเทศชาติเลย โดยสัจจะนะผู้บริหารประเทศชาติ ก็จะต้อง บอกว่า เขาก็ต้องมาบริหาร ดูแล เพื่อที่จะให้ สังคมประเทศชาติ ประชากร ในประเทศชาติ อยู่ดีกินดี มีสุข เจริญงอกงาม เจริญไพบูลย์อะไร ก็แล้วแต่ อาจจะมีแนวคิดต่าง ความเจริญไพบูลย์อย่างของเขา มันเป็นโลกีย์ ที่รุ่งเรืองไปด้วยโลกธรรม ลาภ-ยศ-สรรเสริญ -โลกียสุข อันประกอบไปด้วยวัตถุสารพัด แสง สี เสียง รุ่งเรืองไปด้วย บริโภคนิยม หรูหรานิยม อำนาจนิยม วิตถารนิยม อันเป็น กากเดนของทุนนิยม เดี๋ยวนี้มันไม่หรูหราธรรมดา มันไม่วิตถารสามัญแล้ว เมื่อเช้านี้ เห็นในโทรทัศน์ มันลงไปตัดผมกัน ในใต้น้ำทะเลแล้ว มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว มันเอาสลิงห้อยกัน ยังไม่พอ ลงไปตัดกัน ในใต้ทะเล น้ำทะเล มันก็พัดผม พัดไป พัดมา ทำให้มันยุ่งยาก ทำให้มันประหลาด หวือหวา ทำให้มันพิลึกกึกกือ ซึ่งก็หาเรื่อง ให้บ้ายิ่งๆขึ้น นี่คือ สุขแบบโลกีย์ นี่คือ วิตถาร มันเป็นวิตถารนิยม แล้ว คำว่าเจริญก็คือเจริญทางวัตถุต่างๆ ที่หรูหรา ฟู่ฟ่า แล้วก็ผลาญ สุดท้ายมันไม่เกิดความสมดุล ของสิ่ง แวดล้อม ธรรมชาติ เพราะฉะนั้น สภาพในเมืองนี่คือแดนเสื่อม แต่เขาหลงผิดว่าแสง สี เสียง ตึกราม ใหญ่โต ที่ขัดให้เงา มีอะไรที่มโหฬารพันลึก อะไรนี่ คือ ความเจริญ แต่แท้จริงแล้ว คือความขัดแย้ง ที่ทำให้ธรรมชาติ ขัดข้องแท้ๆ ลมก็เสียทิศ น้ำก็เสียทาง อากาศก็เสียแท้ มีมลพิษเพิ่ม กระแส อะไรต่ออะไร ของธรรมชาติ ผิดหมด มันไม่ใช่ความเจริญหรอก มันเป็นความล่มสลาย มันเป็นความเสื่อม ชีวิตไม่ได้เจริญขึ้น ชีวิต มันเสื่อมลง ต่างหาก ชีวิตมันทุกข์หนักขึ้นต่างหาก ชีวิตมันถูกทรมานซับซ้อน ชีวิตมันมีโรคมีภัย ทั้งทางกาย ทั้งทาง จิตวิญญาณ ชีวิตอยู่กับ ความแย่งชิง ชีวิตจมอยู่กับความลำบากลำบน ชีวิตคือสงคราม คือ ความต่อสู้ อะไรต่ออะไรอีก ต่างๆนานา มันไม่ว่าง ไม่เบา ไม่สงบแท้เลย อยู่บ้านนอกเขาไม่แย่งชิงกันมากหรอก เขาเช้าขึ้นมาเขาก็ทำก็อกแก็กๆไป ถึงเย็นเขาก็อยู่กันไป มันจะไม่เป็น หมาหอบแดด เหมือนอย่าง กับชาวกรุง ชาวกรุงนี่มันหมาหอบแดด โอ๊ย....ไม่มีพักไม่มีหลับไม่มีนอน โฮ..มันจะเป็น ความเจริญยังไง มันจะตายเอา มันยิ่งเสื่อม ยิ่งร้าย ยิ่งโทรม ยิ่งทรุด หนักขึ้นๆเท่าไหร่ๆ แล้วเขา ก็ไม่รู้กัน ไม่มีเวลากินเวลานอน หนักหนาสาหัส ยิ่งปานใด เขาก็ หลงผิดว่า นี่คือความเจริญ เพราะฉะนั้น เราเอง เราก็เป็นกลุ่มสังคมที่จะมาพัฒนามนุษยชาติเหมือนกัน แต่แนวคิด ไม่เหมือนกัน ความเจริญของเขา กับความเจริญ ของเรา มันคนละทิศ มันคนละเรื่องเลย โลกุตระนี่ ความเจริญ คือหมดเนื้อ หมดตัว ถือว่า เจริญสูงสุด เป็นอรหันต์ โอ้โฮ....คนละฟากคนละฟ้าเลยกับโลกีย์ หมู่นี้อาตมาพูดซ้ำบ่อยขึ้นว่า พวกเรานี่ ถ้าว่าเจริญก็มีรูปร่างขึ้นแล้วนะ คือ รูปเมืองโสดาบัน รูปเมืองอาริยะ นะ โสดาปัตติผล นี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตย ใดๆ ในโลกทั้งปวง ซึ่งมันก็คือ มวลหมู่ มนุษย์ ชุมชน ที่มีคุณลักษณะตามที่พระพุทธเจ้าว่าเลย อย่างราชธานีอโศก กับศีรษะอโศกนี่ มันเป็นหมู่บ้านจริงๆแล้ว นั่นแหละ คนชุมชน กลุ่มนี้ เป็นเอกราช อิสรเสรีแล้ว เพราะคน ทั้งหมู่บ้านนี้ ไม่ได้เป็นทาส อบายมุขแล้วจริง ในหมู่บ้านนี้ ไม่มีอบายมุข ขณะที่ข้างบ้าน รอบๆบ้านราชฯ รอบๆ ศีรษะอโศกนั้น มีอบายมุขอยู่เต็ม และอบายมุขทั้งหลายเหล่านี้ ก็มีอยู่ ทั่วทั้งแผ่นดิน มีอยู่ทั่วโลก อยู่อเมริกา ก็มี อยู่ยุโรป อยู่ฝรั่งเศส แม้แต่ญี่ปุ่น มันมีอบายมุขพวกนี้ทั้งนั้น แต่หมู่ชนชาวอโศกนี้ หลุดพ้นจาก อบายมุขพวกนี้แล้ว เป็นเอกราช ในตัวเลย หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ดังนั้นจะอยู่ในแผ่นดินไทย ก็เป็นอิสระ หลุดพ้น จะไปอเมริกาก็อิสระหลุดพ้น จะไปที่ที่มี อบายมุข ที่ไหนๆก็อิสระหลุดพ้นทั้งนั้น นี่คือ ยิ่งกว่า เอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่า สวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆ ในโลกทั้งปวง แม้แค่เป็นอิสระหลุดพ้นจากอบายมุขนี่ก็สุขสงบเป็นวูปสมสุขยิ่งแล้ว ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ที่วิเศษขนาดหนึ่ง แล้ว ถ้ายิ่งหลุดพ้น จากกาม ที่จัดจ้านที่สังคมโลกเขามี กามที่จัดจ้านก็มีในฝรั่งเศส มีในอเมริกา มีในทุก แผ่นดิน เมื่อเราเป็นอิสระหลุดพ้นอีก ก็.... ยิ่งกว่าเอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่า อธิปไตย ใดๆ ในโลกทั้งปวง ที่สูงที่ประเสริฐยิ่งๆขึ้นไปอีก ไทยกำลัง วิ่งไล่ เอาโลกีย์ที่จัดจ้าน ไล่ตามก้นโลกโลกีย์ จัดจ้านเขาอย่างหัวปักหัวปำ จนจะล้ำหน้าเขาแล้วก็ไม่รู้ ยังมืดมัว โมหันต์อยู่ไม่โงไม่เงย แต่ของเราชาวอโศก อิสระหลุดพ้นได้จริง แม้จะเป็นกามก็เป็นเอกราชได้แล้วพอสมควร ไม่ไปขึ้นกับ สิ่งที่เขา มอมเมา ปลุกเร้ายั่วยุ โฆษณา กันอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ทั้งแสงสีเสียงอะไรต่างๆนานาสารพัด เรามี ความหลุดพ้น เราอยู่สวรรค์ที่ยิ่งกว่า สวรรคาลัย อย่างของเรา ไม่ใช่สวรรค์โลกีย์ เป็นสวรรค์ของโลกุตระ เป็นสวรรค์ ที่สุขสงบ เป็นสวรรค์ ที่มักน้อย -สันโดษ -อสังสัคคะ นั่นเอง ไม่ใช่สวรรค์อย่างที่โลกีย์เขาได้ เขาเป็นกัน ซึ่งเป็นสวรรค์อย่างโลกุตระ โลกีย์อย่างนั้น เราพอแล้ว เราสันโดษแล้ว เราเป็นสุขสงบ จากสิ่งเหล่านั้นแล้ว สวรรค์ ก็คือเป็นสุข แต่เป็นสุขแบบโลกุตระนี้ ไม่ต้องไปได้ ไปเป็น อย่างโลกโลกีย์ นั้นแล้ว ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว กับอย่างนั้น ไม่ต้องไปคลุกคลีเกี่ยวข้องกับอย่างนั้น อสังสัคคะ นี่ไม่คลุกคลี เกี่ยวข้อง ไม่ต้องไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง เพราะเป็น สวรรค์ของเราแล้ว เรามีสุขวิเศษอันนี้แล้ว มันสงบพิเศษจริงๆ เราหลุดพ้นแล้ว สงบจากสิ่งที่คุณต้องสุขอย่างนั้นแล้ว ถ้าคุณ ไม่มีอย่างนั้น คุณไม่สุข นั่นคือโลกีย์ แต่นี่ โลกุตระ เราไม่ต้อง อย่างนั้น เราสุข เรียกว่าหลุดพ้นจากสวรรค์อย่างนั้น มาเป็นสวรรค์อย่างนี้ หลุดพ้นแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น ยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่า อธิปไตยใดๆในโลกทั้งปวง มีอำนาจในตัวเอง ยิ่งกว่าอำนาจ โลกโลกีย์ โลกีย์ เหล่านั้น มอมเมาไม่ได้ ยั่วยุไม่ได้ กดขี่ไม่ได้ เพราะผู้หลุดพ้นนี้ มีอำนาจมีอธิปไตย ยิ่งกว่าโลกีย์ เหล่านั้น จริงๆ ดังนั้น โลกีย์เหล่านั้นมาครอบงำ มาดูดดึง มาจูงจมูกอีก ไม่ได้ เพราะผู้มีอิสระ หลุดพ้น มีอำนาจในตัวเองอย่างแข็งแรง เป็นอธิปไตยยิ่งกว่า อธิปไตยโลกีย์ เป็นอำนาจอธิปไตยโลกุตระ คือ อำนาจยิ่งกว่า อำนาจใดๆในโลกีย์ทั้งปวง ยิ่งกว่าอำนาจโลกีย์ใดๆในโลกหล้า ซึ่งอาตมา ยกตัวอย่าง แต่แค่ว่า ในฐาน โสดาบันนี่ พวกเราเห็นรูปแล้ว สกิทาคามีก็พอมี คือคนมีคุณสมบัติศีล ๘ ก็พอมองเห็น รูปร่างได้ ว่าพวกเรา หลุดพ้นจาก สภาพพวกนั้นแล้ว อย่างนี้เป็นต้น แม้อนาคามีศีล ๑๐ ก็เถอะ คนไม่ใช้เงิน ไม่รับรายได้ เราก็มีจริงๆ นี่คือผลงานของพวกเรามูลนิธิก็ดี สมาคมก็ดี พวกเราได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนละเล็ก คนละน้อย ก็ตาม ใครทำมาก ก็ทำไป ใครทำน้อยก็ทำได้เท่าที่ทำ และก็มีการทำจริงๆ ต่อเนื่องกันมา จนถึงทุกวันนี้ แล้วก็จะมีต่อไปอีก ได้เท่านี้ก็คือ สัจจะ ขนาดนี้ นี่แหละ คือผลที่เราได้ สร้างสรรขึ้นมา ให้แก่สังคมมนุษยชาติ นี่อาตมา ขอยืนยันว่า นี่เป็นเรื่องธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาเข้าใจ ว่าของ พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ แล้วก็เอาออกมา ให้พวกเราได้ทดสอบ พิสูจน์ ได้ปฏิบัติกัน จนเกิดหมู่ เกิดกลุ่ม เกิดวัฒนธรรม เกิดวิถีการ ดำเนินชีวิต เกิดการเป็นอยู่ อยู่กันอย่างที่เป็นนี้ มาได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะว่า พวกเรา ได้ร่วมมือกันทุกคน ก็ขอขอบคุณ กันทุกคน - รักข์ราม. - - สารอโศก อันนดับ ๒๘๖ สิงหาคม ๒๕๔๘ - |