จากโลกีย์ถึงโลกุตระ


# ประวัติชีวิต
- ผมชื่อ ไชยณรงค์ พรมทอง เกิดวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๒ เป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี ตอนนี้เป็นจังหวัดอำนาจเจริญ มีพี่น้อง ๖ คน ผมเป็นคนที่ ๕ ผมได้ชื่อใหม่จากพ่อท่านว่า พ้นพิษ เรียนจบชั้น ม.๖ จากการศึกษานอกโรงเรียน ตอนนี้เป็นโสดครับ

# อุปนิสัยใจคอ
- ตอนเรียนอยู่ชั้น ป.๓ ช่วงปิดเทอม ผมมีโอกาสได้บวชสามเณรภาคฤดูร้อน บ้านอยู่ใกล้วัด ทำให้ผมใกล้ชิดกับพระ บางครั้งก็ไปนั่งสมาธิกับพระ ก็ซึมซับธรรมะมาบ้าง ผมชอบบรรยากาศของวัด

ช่วงที่ทำงาน ถึงช่วงเทศกาลเจ ผมก็กินเจอยู่ ๙ วัน เพราะร้านที่ผมทำงานอยู่ เขากินเจช่วงเทศกาล พอหมดเทศกาล ผมก็ตั้งใจกินเจต่อ แต่เจ๊เขากลัวผมจะผอม เขากลัวคนอื่นจะว่า ว่าอยู่กับเขาแล้วผมผอม เขาก็ไม่อยากให้ผมกินเจ ผมก็เกรงใจเขา ก็ต้องกินกับเขา

อบายมุขมีแต่ไม่ติด เวลาจะเลิกก็เลิกได้ทันที ดื่มเหล้าร่างกายก็ไม่รับ ตอนแรกก็สนุก แต่พอแก้วหลังๆ ดื่มไปก็ทรมาน อาเจียนออกมาหมด ตอนนั้นไม่มีญาณปัญญาที่จะรู้ บุหรี่เคยสูบแต่ไม่ติด ก็สูบไปตามความเคยชิน วันละมวนสองมวน สนุกตามเพื่อน เพราะสูบเข้าไปก็แน่นหน้าอก เจ็บ พอเลิกก็เลิกได้เลย ไม่ได้มีความสุขกับชีวิตแบบนั้น

# การงานอาชีพ
- ผมทำงานไปด้วย เรียนหนังสือไปด้วย ผมจะทำงาน ๑ ปี แล้วกลับไปอยู่บ้าน ๑ ปี สลับไปมาอยู่อย่างนี้ จนเรียนจบ ทำงานอยู่หลายแห่ง ตั้งแต่โรงงานทำกรอบรูปส่งออกนอก ที่สมุทรสาคร อู่รถ ร้านตัดผม ร้านขายน้ำดื่มบรรจุขวด

# พบอโศก
- ก่อนนอน ผมชอบฟังเพลงเพื่อชีวิต วันหนึ่งได้ฟังรายการธรรมะ สะดุดใจเมื่อมีเด็กเล็กๆ ๕-๖ ขวบ โทรศัพท์มาอาราธนาศีลกับพระ เอ๊ะ....มีอย่างนี้ด้วยหรือ ก็ติดตามฟัง มารู้ทีหลังว่า เป็นรายการทุกข์ปัญหาชีวิต ของท่านจันทร์

หลังจากนั้นผมกลับไปอยู่บ้าน ๑ ปี พอกลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง ผมไปอยู่ร้านทำน้ำดื่มบรรจุขวด มีโอกาสได้ฟังรายการอีก คราวนี้มีหลายคลื่น ฟังมาเรื่อยๆ จนกระทั่งอดใจไม่ไหว เอ๊...พระองค์นี้ หน้าตาเป็นยังไง แล้วท่านก็เชิญชวนทางวิทยุ ตอนนั้น ปี ๒๕๔๓ จนกระทั่งวันอาทิตย์ ผมมาเรียนพระไตรปิฎกภาคบ่าย มาเจอคนใส่ชุดสีน้ำเงิน รู้สึกแปลก เรื่องถอดรองเท้า ผมไม่รู้สึกรังเกียจ เพราะในวัดมีลานทรายขาวสะอาด

# ประทับใจ
- มาตอนแรกผมใส่รองเท้าผ้าใบ ซึ่งจะอบ ร้อน และอึดอัด เห็นคนเดินถอดรองเท้าเดินย่ำทราย ผมรู้สึกได้เลยว่า ต้องเอารองเท้าตัวเองออก ตั้งแต่นั้นผมก็เลยถอดรองเท้า กลับไปทำงาน ผมก็ถอดรองเท้า เวลาขึ้นมอเตอร์ไซค์ เขาก็ถามว่าทำไมถอดรองเท้า เขาก็แซวผมว่าประหยัด

ติดตามมาวัดวันอาทิตย์เรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าไม่พอ เลยขอเถ้าแก่ว่า ขอหยุดวันเสาร์ด้วย ถ้าจะลดเงินเดือนผมก็ได้ เขาก็ให้มา แม้จะไม่เต็มใจเท่าไหร่ พอมาวันเสาร์พรุ่งนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ ถ้าจะกลับอีกก็ต้องกลับมาใหม่ ผมเลยได้นอนวัด ที่ใต้โบสถ์มีพระธรรมก่อนนอน ได้ฟังธรรมก่อนนอน บรรยากาศดีๆ ตื่นเช้ามาทำวัตรเช้า

ที่นี้พอซึมซับทางนี้มากๆ ก็ไม่อยากกลับไปทำงานแล้ว เรียกว่าสนามแม่เหล็กแรงของมวลหมู่ดึงดูด ผมเทียวไปเทียวมาอยู่อย่างนี้ ประมาณ ๖ เดือน พอสิ้นปี ๒๕๔๓ หลังงานปีใหม่ก็ลาออกจากงาน ญาติธรรมชวนไปทำงานพลังบุญ อยู่ได้ประมาณ ๖ เดือน ตอนนั้นไฟแรง ก็ลาออกมาอยู่วัด ช่วงเข้าพรรษาพอดี

# การเปลี่ยนแปลง
- เนื่องจากผมยังไม่ได้ฝึกหัดอะไรมามาก มากินมื้อเดียว ร่างกายก็ปรับไม่ทัน ทำให้ป่วย สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ลงตัว ไม่รู้จักการกินอาหาร การออกกำลังกาย อยู่พลังบุญก็อยู่โกดัง อยู่วัดก็ไปช่วยงานที่จตุจักร ก็อยู่โกดัง อากาศไม่ถ่ายเท กินอาหารปรุงแต่งเยอะมาก ก็ป่วยอีก

ออกจากจตุจักร ก็มาอยู่บริษัทขอบคุณ อยู่โกดังอีก อยู่กับข้าวกับถั่วกับหนูกับแมลงสาบ วันหนึ่งได้เห็นโปสเตอร์ ท่าออกกำลังแบบโยคะ ก็เริ่มสนใจ เมื่อลองทำดูก็ดีขึ้น แม้จะไม่ต่อเนื่อง แต่ผมก็ยังกินอาหารผิดพลาดอยู่

# ก่อนเข้ามาอยู่วัด
- อยู่ขอบคุณได้ปีกว่า เดินมาที่ฟ้าอภัยเจอลมเย็นๆ มีต้นไม้อยู่ที่ชั้นล่าง รู้สึกเย็นสบาย ผมต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ จากในโกดัง กลิ่นแมลงสาบ กลิ่นหนู อากาศไม่ถ่ายเท ที่นี่อากาศดี มีที่พักสะดวกสบาย และเป็นบริษัทที่เรายังไม่ผ่าน ก็เลยมาสมัคร

ตอนนั้นสถานการณ์ในวัด ลุกจากทำวัตรเช้าเสร็จ ก็ไปนั่งทำงานต่อ กินข้าวก็กินอยู่แถวนั้น ไม่ได้ขึ้นศาลา ไม่มีปีติหล่อเลี้ยง หมดไฟ ฟ้าอภัยมีเพื่อนผู้ชายเยอะ ผมต้องการหมู่กลุ่มเพื่อนผู้ชาย เหมือนสำนักบู๊ตึ๊ง

ยุคนั้นเป็นยุคหมออารีย์ฟีเว่อร์ ก็เลยลองทำดีท็อกซ์ สุขภาพก็ดีขึ้น ทำโยคะก็ยืดหยุ่นดี อยู่ฟ้าอภัย มีเวลาเป็นสัดส่วน อยู่วัด ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งการทำงาน ทำงานตลอด เลยต้องมาอยู่ที่เขาจัดเวลาให้ ตอนเช้าก็ฝึกโยคะจริงจัง กินข้าว ไปทำงาน มีความสุข เพราะมีการเตรียมพร้อมร่างกายมาดี ผมอยู่แผนกตัดกระดาษ มีโอกาสได้อ่านหนังสือ เกี่ยวกับสุขภาพ ได้รู้เรื่องโภชนาการมากขึ้น และได้ไปเข้าคอร์สสุขภาพที่วังน้ำเขียว ได้รับความรู้มากมาย ที่หมอต่างๆถ่ายทอดให้ กลับมาปรับเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย สุขภาพดีขึ้น

อยู่ฟ้าอภัย ผมมาทำวัตรเช้าประจำ ได้ฟังเทศน์ ได้ฝึกตัวเอง ได้จัดสรรตัวเองเป็น ก็มีไฟกลับมาอยู่วัดอีก ผมอยู่ฟ้าอภัยเกือบ ๒ ปี ออกจากฟ้าอภัยเมื่อต้นปี '๔๘ เพราะว่าคิดถึงวัด รู้สึกว่าตัวเองมีกำลังมากขึ้น รู้จักจัดระบบชีวิต รู้ว่าเราเข้าสู่สมรภูมิของวัดได้แล้ว

# ทำอะไรบ้าง
- ตั้งแต่ปี '๔๔ ตอนเช้า ผมจะไปช่วยหุงข้าวที่ ชมร. ตอนแรกก็เปลี่ยนกับ นายตายแน่ มุ่งมาจน ตอนนั้น ท่านเมฆฟ้ากับท่านลึกเล็ก จะขึ้นเป็นนาค ผมกำลังเข้าวัดใหม่ๆ ท่านก็เลยทาบทาม สอนวิธีหุงข้าว เป็นพี่เลี้ยงให้ ผมก็ตื่นมาหุงข้าว ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนๆ คล้ายๆเป็นหน้าที่ แล้วเวลาก็ไม่ชนกันด้วย แม้จะไม่อยู่วัด ก็ขอให้ช่วยงานวัดบ้าง อย่างน้อยผมก็กินข้าววัด

ตอนนี้ช่วยงานที่แผนกธรรมปฏิกรรม ตอนเช้าพาพี่ๆน้องๆออกกำลังกาย เวลามีงานอบรม ก็ช่วยเป็นพี่เลี้ยง และพาผู้เข้าอบรม ออกกำลังกาย

# ปัญหาอุปสรรคในการทำงาน
- คือสุขภาพไม่ดี ตอนนี้ผ่านอุปสรรคไปได้แล้ว เรื่องกระทบกระทั่งไม่ใช่อุปสรรค แต่มันก็เป็นเรื่องเพื่อขัดเกลาเรา ผมเจอชนิดที่พอทน ทำใจได้ ไม่รุนแรงมาก ส่วนมากผมจะเก็บเงียบ แล้วเอามาไตร่ตรองเอง เพราะถ้าโต้ตอบแล้ว มันจะยิ่งแรง

อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่คือใจไม่สู้ ถ้าใจเราสู้ อุปสรรคที่หนักก็เบาลง เรื่องผัสสะก็พอทนได้ ยิ่งเจอผัสสะ เรายิ่งแข็งแรงขึ้น อุปสรรคคือใกล้สวรรค์ อุปสรรคเป็นบันไดไม่ใช่กำแพง ทำให้เราไต่สูงขึ้น ผมปฏิบัติตามกำลัง อันไหนที่ยังไม่ไหว ก็ใส่ลิ้นชักไว้ก่อน ค่อยๆเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ ค่อยๆคืบคลาน จะเก็บรายละเอียดได้ดี ข้อปฏิบัติที่ยากที่สุดสำหรับผมไม่มี

# คติธรรมประจำใจ
- ผมก็เอาโศลกธรรมของพ่อท่านนี่แหละ หลายๆข้อ กิน อยู่ หลับ นอน กินอย่างสังวร หลับนอนมีสติ อย่าใจร้อน แต่ให้ใจแข็ง พ่อท่านบอกว่า "ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน"
จะเลื้อยจะคลานทีละคืบ หรือจะคืบทีละนิดผิดตรงไหน
เมื่อใจมีจุดหมายจงมั่นใจ ว่าต้องไปให้ถึงซึ่งปลายทาง
มีกำลังมีหวังอยู่ก็สู้ต่อ ทิ้งความท้อหยัดยืนมีพื้นฐาน
รู้จักตัวประมาณตนทนคืบคลาน ไม่ช้านานก็จะได้ที่หมายปอง

# เป้าหมายชีวิต
- ตั้งเป้าไว้ว่า จะเลื่อนฐานะไปเป็นนักเรียนนวกะ เกิดมาชาติหนึ่งได้มาเจอศาสนา ได้มาเจอพระโพธิสัตว์ ที่ผมไปทำงาน อยู่ฐานต่างๆนั้น เพราะต้องการหาประสบการณ์จากระบบงาน ต้องการเรียนรู้ ศึกษาระบบบุญนิยม ตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน

# ข้อคิดฝากให้หมู่กลุ่ม
- ผมมาในยุคของสุขภาพบุญนิยม ซึ่งเป็นบุญญาวุธหมายเลข ๔ ถ้าสุขภาพไม่ดี ปฏิบัติธรรมลำบากมาก โดยเฉพาะคนที่ปฏิบัติธรรมยังไม่เก่ง ถ้ากายป่วยแล้วจิตป่วยด้วย ไปไม่ได้หรอก จะมามนสิการในคำสอนของท่านผู้รู้ โอ้โห... ไม่มีกะจิตกะใจจะทำ เพราะกายเป็นพื้นฐานของจิตอย่างดี ต้องชำระร่างกายให้สะอาด แข็งแกร่ง แล้วก็ฝึกจิต ฝากให้ออกกำลังกาย กินอาหารตามธาตุ กินอาหารธรรมชาติได้ก็ดี จะมีพลัง อิ่มแน่น อิ่มนาน สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอาเองครับ

- สารอโศก อันดับ ๒๘๖ สิงหาคม ๒๕๔๘ -