เอาแต่ใจตัว คือ ชั่วโดยอัตโนมัติ
จะดีได้ ต้องหัดให้ หัดเห็นใจคนอื่นเสมอ

ข้อปฏิบัติของผมที่ได้จากการอ่านสารอโศก
- พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ในศีลข้อ ๔ เพราะปกติเป็นคนพูดมาก
- เรื่องมังสวิรัตินั้นเพิ่งผ่านมาได้ประมาณ ๒ ปีกว่าเอง แต่ยัง ๓ มื้ออยู่ พยายามจะลดมื้อแต่พ่อแม่เป็นห่วงสุขภาพ เพราะผม เป็นกำลังหลัก (ใช้แรงมาก)
- ดื่มฉี่บางครั้งเมื่อเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย
- จะพยายามเข้าร่วมกับหมู่กลุ่มให้ได้ทุกงานเช่น งานมหาปวารณาที่จะถึงนี้ ก็จะไปร่วมกับหมู่กลุ่มด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ไปช่วยงานที่ชมร. มีความรู้สึกประทับใจกับผู้คนหลายระดับ เริ่มจากเด็กนักเรียนสัมมาสิกขา ที่มาเข้าฐาน ชมร. ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ชั้น ม.๑ เห็นเด็กๆทำงานแล้วก็อดที่จะภูมิใจแทนพ่อแม่ ผู้ปกครองของเขาเหล่านั้นไม่ได้ ส่วนพ่อครัว แม่ครัวก็มากันตั้งแต่เที่ยงคืนก็มี ตีสี่ ตีห้า เตรียมอาหารไว้มากมาย ทีมเก็บบุญ(ล้างภาชนะ, ล้างจาน, เก็บกวาด, เช็ดถู) ก็มีหลายท่าน ซึ่งส่วนมากยังทำงานอยู่ข้างนอก แต่ก็ยังอุตส่าห์ลางานกันมาระยะยาวๆเพื่อมาร่วมบุญกัน ผมเอง ก็อยู่ทีม นี้แหละครับ แม้กระทั่งลูกค้าก็ให้การอุดหนุนกันอย่างดี โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์มีลูกค้ามาก อาสาสมัครทุกคน ได้ร่วมกัน เก็บบุญกันอย่างเต็มที่ และเต็มใจ

แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่ค่อยประทับใจ คือ ตรงซอยเทียมพร(นวมินทร์ ๔๔)ข้างชมร. ซึ่งเป็นซอยที่เข้าไปลานจอดรถ ฟ้าอภัย ในทางกลับกัน ถ้าออกจากซอยนี้มาสู่ถนนนวมินทร์จะมีเครื่องหมายจราจรห้ามเลี้ยวขวา เพราะจะไปตัดรถ กระแสตรง ที่มาจากทาง กม.๘ ไปบางกะปิ แต่ก็มีโชเฟอร์ไม่น้อยเลยที่ฝ่าฝืน พยายามเลี้ยวขวาออกไป รถลูกค้า หรือ คนภายนอก ก็ดูไม่เท่าไร แต่ที่น่าเสียความรู้สึกคือ รถบางคัน(บางคันนะครับ)เป็นของกองทัพธรรมบ้าง ขององค์กร สันติอโศกบ้าง ทำการฝ่าฝืนกฎจราจร เลี้ยวขวาออกไป จะด้วยความไม่รู้หรือรู้แล้วแต่ยังทำอยู่ ขอให้ช่วยกันรักษากฎ จราจร ผมว่า มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลย
* สมาชิกหมายเลข ๙๖๓๔ จ.ตาก

- ผู้ขับรถที่มีตราองค์กรหรือมูลนิธิ มักถูกคาดหวังว่าควรเป็นตัวอย่างที่ดีในทุกเรื่อง โดยเฉพาะชาวอโศก ซึ่งเป็น ผู้ปฏิบัติ ธรรมด้วย ควรอย่างยิ่งที่จะน้อมรับคำติติงนี้มาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันยังบกพร่องที่ปรากฏอยู่นี้ ทั้งนี้ประโยชน์หลัก จะได้แก่ตัวเจ้าของเอง อีกทั้งไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่มีเราเป็นต้นเหตุอีกด้วย ขอขอบคุณในคำติงเตือนมา เพราะชาวอโศก ได้ดี จากคำติอย่างนี้แหละจะได้พัฒนาตัวเองไงล่ะ -- บ.ก.



"นกอีแร้ง"สัญลักษณ์ที่ยากจะเข้าใจ...จริงหรือ?

การสร้างสัญลักษณ์เพื่อเป็นอุปมาเปรียบเทียบนั้น ท่านคิดว่าจะมีข้อเสียหรือไม่? หากคนที่ไม่เข้าใจผ่านมาพบเห็น เขาจะคิด อย่างไร ให้กราบไหว้บูชาอีแร้งหรือ? เหตุเพราะอีแร้งนั้นดูโดดเด่นเกินควร อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่น ใครเห็น ก็จะเข้าใจว่า ที่นี่บูชาอีแร้ง ยิ่งเวลาเนิ่นนานไปหากไม่มีพ่อท่านใครจะเป็นอีแร้งให้เปรียบล่ะ การคิดสัญลักษณ์ เชิงเปรียบเทียบ น่าจะเป็น ในทางนามธรรม ก็เพียงพอ รูปปั้น อีแร้ง คงยากที่จะอธิบายความหมาย ในสถานที่ปฏิบัติธรรม ความหมาย ของพุทธ ที่แท้จริง จะเพี้ยนไปไหม

ที่ราชธานีอโศกมีการก่อสร้างรังนกบนตึก ตกแต่งเหมือนว่าเป็นบ้านอีแร้งยังไงยังงั้นเลย ถามว่าจะต้องใช้เงินมากขนาดไหน เพื่ออะไร? เพื่อสนองความต้องการของใคร ชาวอโศกทุกคน สมณะทุกรูป ใช่หรือไม่
* จันทร์ศิริ คำแสน จ.อุบลราชธานี

- "นกแร้ง" รูปปั้นที่บ้านราชฯ ไม่ได้มีไว้เพื่อกราบไหว้บูชา หากแต่เป็นรูปปั้นที่จัดเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ของศิลปะ ตกแต่ง สถานที่ ซึ่งมีความหมายในเชิงเตือนใจชาวอโศกทุกชีวิตได้รับรู้ว่า...ในสายตาของสังคมส่วนใหญ่ เราชาวอโศก เป็นแค่เพียง นกอีแร้งเท่านั้น อย่าได้หลงตัวคิดว่า ชาวอโศกยิ่งใหญ่ หรือจะได้รับการยอมรับด้วยดีจากสังคมเขาเลย

มีผู้ศึกษา"นกแร้ง"ว่าเป็นสัตว์ที่ช่วยกำจัดซากสัตว์ตายแล้วไม่ให้เป็นขยะของโลก นอกจากนี้ยังเป็นนกที่เคารพ และให้เกียรติ ผู้นำจ่าฝูงอีกด้วย เราจึงยก"พญาแร้ง"มาเทียบเคียงกับ"พ่อท่าน"ในฐานะผู้นำชาวอโศก

สำหรับตึกที่ราชธานีอโศก เรามีวิศวกรและทีมงานดูแลอยู่ ไม่มีวัตถุประสงค์นอกเหนือไปจากใช้ทำกิจกรรมส่วนกลาง ดังเช่น ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คือใช้เป็นที่ประชุม-อบรม รองรับคนที่มาร่วมกิจกรรมกลุ่มใหญ่ๆในหลายๆงานมาแล้ว แม้ดูเหมือน อาคาร ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม -- บ.ก.



ไม่เอาทุกข์ ทับถมตน.... ก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนใจลงได้มากแล้ว

เวลาอ่านสารอโศกและดอกหญ้าก็ทำใจได้ เรื่องจน ยิ่งได้อ่าน จ.ม.จากญาติธรรม ยิ่งมีแรงใจที่จะปฏิบัติธรรม และทำเกษตร ไร้สารพิษ ต่อไปให้สำเร็จ แต่พอมีโจทย์ มากระทบโดย เฉพาะแรงสังคมรอบข้างที่เขามุ่งหาวัตถุแข่งร่ำรวยซึ่งกันและกัน ทำไม ผมก็ทำใจยากอยู่ หวั่นไหวง่าย ทั้งๆที่ผมลาออกจากงานที่กรุงเทพฯแล้ว ตั้งใจมาทำเกษตรแบบพอเพียง หนีสังคมวุ่นวาย พอมาอยู่จริงๆ ด้วยทุนน้อยเคยใช้เงินซื้อทุกอย่าง แต่พอมาอยู่อย่างจนก็ทำให้เหงาเหมือนกัน จนบางครั้งแทบจะท้อ ทั้งๆ ที่นาก็พร้อม ที่จะปลูกพืช ผัก รอเพียงเกี่ยวข้าวเสร็จก็เก็บฟางลงพื้นที่ได้แล้ว มันคิดถึงความสบายตอนอยู่กรุงเทพฯ

ผมอยากจะมีจุดหมาย คือ มีชีวิตอยู่ภายใต้ จุดหมายของตัวเองให้ได้ นั่นก็คือ เดินตามแนวทางอโศก แต่พอมาทำเกษตร จริงๆ ไม่ง่ายอย่างที่ศึกษา(เมื่อก่อนจ้างเขาทำนา) เช่น แดดร้อนมาก(เคยอยู่ห้องแอร์) เสี่ยงต่อโรคติดต่อ ผมเคยติดโรค ฉี่หนู ช่วงมาอยู่ใหม่ๆ ไปถางหญ้าตามคันนา อุปสรรคอีกอย่างคือไม่มีแรงงานช่วย เหมือนอยู่โดดเดี่ยว(ภรรยาค้าขาย) ผมจะทำ อย่างไรดี ถึงจะฟันฝ่าความใจฝ่อของตัวเองให้ได้ ตามหมู่บ้านผม จะสนใจการเลี้ยงวัว ขายได้เงินได้กำไร ไม่มีเงินซื้อวัว ก็ไปกู้ ธ.ก.ส. เป็นหนี้สิน เอาไร่เอานา เข้าธนาคาร เขาเห็นผมจากกรุงเทพฯ มาทำเกษตรแบบธรรมชาติ เขาหัวเราะเยอะ ว่าล้าสมัย ไม่ทันกิน เขาดูเราแบบเหยียดๆ แต่ผมก็จะกัดฟันสู้ แล้วจะรายงาน มากราบเรียนให้ทราบต่อไป
* สามารถ สร้อยสูงเนิน จ.กาฬสินธุ์ (ไม่มีหนี้ แต่ไม่รวย)

- "ความอดทน" เป็นอาหารหลักจานสำคัญในช่วงชีวิตขณะนี้เลยทีเดียวนะ อดให้ได้ในสิ่งที่อยากได้หรือต้องการ ทนให้ได้ ในสิ่งที่ไม่ปรารถนา เป็นบทฝึกหัดที่ต้องซ้อมกันทุกวันๆ แล้วเราจะอดและทนได้เก่งและดีขึ้นเรื่อยๆ หากหมั่นตอกย้ำ เป้าหมาย ให้ชัดเจนเสมอๆ ว่าชีวิตนี้เราจะมาเอาอะไร คุณค่าชีวิตเราคืออะไร และเราทุ่มเทให้กับสิ่งนี้มาก พอมั้ย ในเวลา ที่ล่วงไปๆ แต่ละวัน -- บ.ก.



ฟื้นฟูชีวิตใหม่ด้วยกรรมปัจจุบัน

ขอกราบขอบพระคุณญาติธรรมและสมาคมฯเป็นอย่างสูง ที่ให้ความอุปถัมภ์แก่ข้าพเจ้าเรื่อยมา ทำให้ข้าพเจ้าเกิดการ เรียนรู้ ธรรม และเกิดการเปลี่ยนแปลงตนเอง ด้วยการเริ่มฝึกฝนปฏิบัติตน เพื่อขัดเกลากิเลสตามคำสอนของพ่อท่าน สมณะ โพธิรักษ์ และกลุ่มอโศกเรื่อยมา ซึ่งจากเมื่อก่อนที่ไม่เคยสนใจในเรื่องธรรมะเลย แต่พอได้มาอ่านสารอโศก และมีความเข้าใจ ในธรรมะขึ้นมา ตอนนี้กลับกลายเป็นคนขยันอ่านหนังสือมาก เป็นพิเศษคนหนึ่ง อ่านทุกคำทุกตัวอักษร อ่านแล้ว ก็พยายาม พิจารณา นำความรู้ที่ได้มาปฏิบัติลด ละ เลิกอบายมุข เลิกอาหารขยะ รักษาศีลห้า และงดอาหารมื้อเย็นที่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย พอเลิกมื้อเย็นได้เด็ดขาดก็เริ่มกินมังสวิรัติ ปฏิบัติเจเขี่ยเนื้อออกโดยเด็ดขาด และเมื่อสอบข้อนี้ผ่าน จึงหันมา ลองฝึกกินอาหาร วันละมื้อ โดยเริ่มที่วันเกิดของตนเองเป็นหลัก สรุปแล้วก็คือ ฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวัน เท่านั้นครับ!

การปฏิบัติเจเขี่ยทุกวัน บางคนอาจจะมองว่าไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับข้าพเจ้าได้ลองปฏิบัติมาปีกว่านับว่ามีประโยชน์ อย่างมหาศาลทีเดียว จากเมื่อก่อนไม่เคยเห็นคุณค่าชีวิตอื่นเลย แต่ตอนนี้กลับมีใจเอ็นดูสงสารสัตว์และสิ่งมีชีวิตมากขึ้น สงสาร และเศร้าสลดใจเมื่อเห็นใครเบียดเบียนมันต่อหน้าต่อตา และข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ และชาวอโศกอีกครั้ง ที่ได้อบรมจิตวิญญาณข้าพเจ้า จนเกิดความสำนึกดีและดำริชอบ ขอบพระคุณที่ให้ความเมตตา ซึ่งข้าพเจ้า เชื่อว่า ถ้าไม่ได้พบกับชาวอโศก ปัญหาราคะ โทสะ โมหะก็คงเร่าร้อนอยู่ต่อไป และการที่จะกลับตัวกลับใจ เป็นคนดี มีประโยชน์ต่อสังคม ก็คงเป็นได้แค่บุคลิกภายนอก ที่ให้บุคคลอื่นเขาเข้าใจว่าเป็นผู้ได้รับการฟื้นฟู หรือแค่มี ใบรับรอง ว่ามีการฟื้นฟูมาแล้วเท่านั้น
* แสงชัย คำลือ เรือนจำกลาง จ.เชียงราย

- ศึกษาธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าเอาไปทิ้ง -- บ.ก.



แต่ละคนต่างก็มีกรรม...ลิขิตชีวิตตน

ไปหาญาติที่เชียงราย เขาเป็นแม่ของสูกสะใภ้ ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลได้ ๖ วันก็เสียชีวิต เพราะเขาติดเหล้ามา นานแล้ว ดื่มทุกวัน ลูกชายก็บ่นว่าแม่ทุกวัน ขอให้แม่เลิกดื่มบ้าง เกรงว่าจะเป็นโรคประสาทหลอนอีก เพราะเมื่อสามปีที่ผ่านมา เคยเป็น ....คืออยู่ๆก็วิ่งลงบ้านหนี ตลอดไม่อยู่ติดบ้านเลย บอกว่าจะมีคนมาไล่ฆ่าตลอด หมอช่วยรักษาให้หายแล้ว ลูกชาย ก็ไม่อยากให้แม่ดื่มอีก แต่ตอนหลังนี้ แม่ก็กลับไปดื่มอีกลูกชายจึงประชดแม่ ไม่ไปทำงานแล้วก็เลยทะเลาะกัน แม่จึง ประชดลูก ด้วยการไปเอายาฆ่าหญ้ามาผสมกับเหล้าจะดื่ม ก่อนจะดื่ม แม่ก็บอกลูกชายว่า ถ้าคิดว่าแม่เป็นภาระ แม่ก็จะกิน ยาตาย ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ลูกชายก็บอกว่าอยากตายก็กินเข้าไปซิ แม่ก็เลยยกดื่มเลย แต่ใส่เข้าได้นิดเดียวเอง ลูกชายก็รีบ เข้ามาปัดแก้วออก แล้วก็พาแม่ส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าอยู่ได้ประมาน ๕-๖ วันถึงจะตาย เพราะมานี้มันซึมเข้า เส้นเลือด แล้ว ข้างในก็จะเน่าไปเรื่อยๆ

พอแม่รู้ว่าจะตายเข้าจริงๆ ก็ไม่อยากจะตาย ดิฉันจึงได้เอาเท็ปธรรมะของท่านจันทร์ เรื่องโทษของสุรา และเท็ปเปิดให้ฉุกคิด ของคุณหมออุดมสิน ไปเปิดให้แม่เขาฟัง แม่เขายังบอกว่าถ้าหมอรักษาเขาหายได้ ต่อไปเขาจะไม่ดื่มอีกแล้วเหล้า ดิฉันสงสาร เขามาก ยังคิดว่าเราน่าจะเอาเท็ปสองม้วนนี้ไปให้เขาฟังตั้งนานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็เอาฝากไปให้เขาฟังอยู่หลายม้วน เหมือนกัน เขาฟังแล้วเขาก็บอกว่าดีนะ แต่เขาก็ยังเลิกไม่ได้สักที เขาบอกว่าาคนที่บ้านเขาดื่มกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่ดื่ม เขาจะ หาว่าหยิ่ง ไม่ทันสมัยบ้าง ตอนงานศพแม่เขา ลูกๆหลานๆก็ยังเลี้ยงเหล้ากันอยู่ กินกันเจ็ดวันเจ็ดคืน เห็นแล้วไม่สบายใจเลย เขาบอกมันเป็นประเพณี ไม่เลี้ยงก็ไม่ได้บ้านนอกต่างจังหวัดเหมือนกันหมด เราจะไปเปลี่ยนเขามันยากเหลือเกิน ดิฉัน อยากจะถามปัญหาสักข้อ คือลูกชายจะบาปมากไหมจที่ไปพูดแบบนั้นทำให้แม่ต้องตาย แม่กับลูกใครจะบาปมากกว่ากัน
* เครือวัลย์ จ.อ่างทอง

- แม่และลูกชายต่างก็มีกรรมเป็นของตน แม่คบเหล้าเป็นเพื่อน ส่วนลูกชาย ก็มีอารมณ์โทสะเป็นเพื่อน เมื่อถึงวันหนึ่ง เหตุ ปัจจัยครบพร้อม ก็ให้ผลประจวบกับความเชื่อมโยงของแม่ กับลูกทำให้ต้องมีวิบากกรรมกัน หากถ้าได้รีบช่วยเหลือ เกื้อกูล กันก่อนหน้านี้ เคราะห์ก็คงจะไม่เกิดขึ้นเช่นนี้.....-- บ.ก.



ใจยังเดือดร้อนกับความไม่ดีของคนอื่น

ตอนนี้ผมเลิกสูบบุหรี่ได้ ๕ เดือนแล้ว รู้สึกปกติดี หายใจโล่ง เหม็นควันบุหรี่เมื่อได้กลิ่นคนสูบ มารู้ว่ามันเหม็นอย่างนี้นี่เอง ตอนที่สูบ มันไม่เหม็น ผมสูบมาประมาณ ๒๐ ปี ก่อนจะเลิกสูบผมยังคิดว่ามันจะเลิกได้อย่างไร เพราะผมมีบุหรี่อยู่ในกิจวัตร เสียแล้ว ก็ต่อสู้มาพอสมควร โดยมีวิธีดังนี้
๑. กำหนดวันลดปริมาณ
๒. เคยตื่นนอนมาสูบตอนเช้า ก็เป็นตอนสาย
๓. หยุดตอนสาย ก็เป็นเที่ยง
๔. หยุดตอนเที่ยง ก็เป็นตอนเย็น
๕. หยุดตอนเย็น ก็เป็นตอนก่อนนอน
๖. ในที่สุดตัดสินใจเลิก จะสูบตอนหิวจริงๆ
๗. จากนั้นก็ใช้ สติกำกับว่าไม่สูบ ใจต้องเข้มแข็งจริงๆ

ผมคิดว่าผมชนะมัน และจะไม่กลับไปหามันอีกอย่างเด็ดขาด แต่ที่ยังชนะไม่ได้คือ อารมณ์โกรธ โมโห เครียด ถ้าเจ้านาย เอาแต่อารมณ์ จะไม่พอใจ แต่จะพยายามอดทนครับ
* จ.ส.ต.สันติ เอี่ยมฉ่ำ จ.พิษณุโลก

- สุขภาพจิตดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง...อนุโมทนากับการตัดสินใจหยุดเติมพิษใส่ปอดตัวเองก่อนจะสายเกินไป ออกกำลังใจ ...จิตใจจะแข็งแรง ทำต่อจนกว่าจะชนะเด็ดขาดให้ได้นะ -- บ.ก.



ไม่ประสบกับสิ่งที่พึงปรารถนา...เป็นทุกข์ร่ำไป

ความรู้สึกในยามสิ้นหวังเมื่อประสบกับตนเองจริงๆ จึงได้รู้ถึงความโหดร้ายของมัน เกือบเอาร่างกายไว้ไม่รอด (ร่างกาย ที่ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว) ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจของเราจริงๆ คิดดี พูดดี ทำดี ทำให้มีกำลังใจต่อสู้ ร่างกายก็คล้อยไปตามกัน โดยอัตโนมัติ สามเดือนกว่าๆกับความคิดจำเจเดิมๆที่ไม่มีทางออกให้กับความผิดหวัง น้ำตาไหลทุกวัน บางวันก็หลายครั้ง อีกด้วย แม้ว่าสองมือยังทำงาน หนังสือก็อ่าน แต่ความรู้สึกที่ไม่ดีก็ยังแว่บเข้ามาในความคิด ทางออกก็คือน้ำตาและคำพูด จนบางครั้ง ลูกค้า เข้าหน้าไม่ติด รีบจ่ายตังค์รีบไป ได้สติจากการพูดเตือนจากสามีบ้าง อ่านหนังสือบ้าง จนค่อยๆ ดีขึ้น ตามวันเวลาที่ผ่านไป บางครั้งอยู่คนเดียวก็เป็นผลดีถ้าเราคิดในทางบวก ได้มีเวลาคิดทบทวน เรื่องราวที่ผ่านเข้ามา ในชีวิต ได้พิจารณา เปรียบเทียบกับชีวิตของคนอื่น ก็พอทำให้ใจปล่อยวางได้ในบางเรื่อง

วันนี้วิธีแก้ไขปรับปรุงตัวเองในแต่ละวันทำตามที่อ่านเจอในหนังสือบ้าง ปรับไปตามสถานการณ์ที่ต้องเจอในแต่ละวัน ยามอารมณ์ไม่ดี ไม่ต้องพูด ดีที่สุด ฝืนยิ้มไว้แล้วอารมณ์จะดีขึ้นเอง อีกวิธีหนึ่ง ดิฉันจะชอบเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ทั้งดี-ทั้งร้าย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วค่อยแก้ไขเรื่องที่ทำไม่ดี ภูมิใจกับสิ่งที่ดีที่ทำไว้แล้ว มีกำลังใจต่อสู้ในวันนี้ต่อไป

เมื่อช่วงสามเดือนที่ยังปล่อยวางไม่ได้นั้น ดิฉันจะไม่ค่อยได้ดื่มน้ำฉี่ ทุก ๔-๕ วันทีหนึ่ง สุขภาพก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ยิ่งแย่ กว่าเดิมอีก อาหารก็กินแล้วแต่ทางครอบครัวจะพากินในแต่ละวัน อาการแพ้ต่างๆก็รุมเข้ามา แพ้ควันบุหรี่ แพ้กลิ่นน้ำมัน แพ้อาหาร บางชนิด แต่วันนี้คือวันที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน เป็นวันที่ดิฉันได้เริ่มต้นบันทึกประจำวัน เพื่อปรับปรุงแก้ไขสิ่ง ดีๆให้เกิดขึ้นในเช้าวันใหม่ วันนี้ให้ได้ มากกว่า เมื่อวันที่ผ่านไป

เริ่มจากดื่มน้ำฉี่ทุกวัน บางวันก็ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น
อาหารก็กินวันละสองมื้อ เช้าสามโมงกว่า บ่าย สามโมงกว่าๆ เย็นจะดื่มน้ำถ้ารู้สึกท้องว่าง
เข้านอนตอนไม่เกินสองทุ่ม
ลุกจากที่นอน ตีห้ากว่าทุกวัน

วันนี้การดำเนินชีวิตก็ยังต้องฝึกต้องฝืนใจตัวเอง น้ำตาของแม่ก็ยังไหล เมื่อคิดถึงเรื่องร้ายๆที่ผ่านไปแล้วของลูกๆ ที่ทำไม่ดี เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูกเอง ซึ่งแม่อย่างดิฉันยอมรับไม่ได้ในเรื่องนี้ แต่ก็ต้องจำยอม การที่ได้เขียนจดหมาย เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้คนที่อ่านได้รับรู้ความในใจของตัวเอง อย่างน้อยตัวฉันเองก็รู้สึกสบายใจ ที่ได้พูดให้กับญาติ กับเพื่อน ได้รับรู้บ้าง

วันนี้ความรู้สึกบางเวลาก็ยังสับสนแย่เอามากๆ ไม่อยากอยู่คนเดียว มันหดหู่ น้อยใจ เสียใจ สงสารลูกสองคนมากๆ ซึ่งตอนนี้ เหมือนแก้วแตก ยากที่จะประสานใหม่
* สมพร จ.มหาสารคาม

- ในยามที่ทุกข์-เดือดร้อนใจ ก็มีแต่ปัญญาแห่งตนเท่านั้นที่จะนำพาตัวเองฝ่าวงล้อมแห่งทุกข์นั้นออกมาได้ ผู้ปรารถนาดี-ผู้ให้ความช่วยเหลือแนะนำ ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่หากเจ้าของเอง ยังยินดีที่จะฝังตัวเองอยู่กับเรื่องราว-เหตุการณ์ ที่ผ่าน ไปแล้ว ก็ไม่อาจนับได้ว่า อยู่ในโลกของปัจจุบัน ซึ่งจะมีก็แต่ในโลกของปัจจุบันเท่านั้น ที่เราจะสามารถแก้ไขกรรมทั้ง ๓ ของเราได้ ดังนั้นอย่าเสียเวลา คร่ำครวญกับเรื่องผิดพลาด บกพร่องในอดีตอยู่เลย หากแต่ควรรีบปรับปรุงกรรมใหม่ ปัจจุบัน ซะดีกว่า เพราะเป็นหนทางเดียว ที่จะสะสมกรรมสร้างกุศลให้เป็นอดีตที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาทดแทนได้ -- บ.ก.

- สารอโศก ฉบับที่ ๒๘๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ -