กรรมตามสนอง ตอน.....ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นย่อมถึงตน
ฉันมีสามีชื่อนายเขตชาติ เหล่าลาภะ อายุ ๔๘ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๓๔ บ้านน้ำอ้อม หมู่ที่ ๑ ต.น้ำอ้อม อ.กระนวน จ.ขอนแก่น เขาเกิด ในครอบครัวชาวนาชาวไร่ ฐานะยากจน หลังจากเรียนจบ ป. ๔ แล้ว พ่อได้พาไปบวชเรียนเป็นสามเณรอยู่ได้ไม่ถึงปี พ่อก็ตาย จากไป แม่จึงให้ลาสิกขาบท พอสึกจากสามเณรแล้ว เด็กชายเขตตอนนั้นมีใจอยากเรียนต่อ แต่แม่ห้ามเอาไว้ โดยให้เหตุผลว่า น้องกำลังเรียน เงินทอง ของแม่ก็ไม่ค่อยมี แม่แนะนำว่า หากลูกตั้งใจจริงควรเลือกเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ ซึ่งมีเรียนทุกวันอาทิตย์ ส่วนวันอื่น ให้ช่วย แม่ทำงาน เพราะครอบครัวเราขาดพ่อ แม่จึงหวังพึ่งพาลูก เมื่อแม่ไม่ให้เรียนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ทำให้เขาเกิดความน้อยใจ ไม่ว่าผู้เป็นแม่จะบอกจะสอนอย่างไร ก็ไม่ยอมเชื่อฟังเลย สักครั้ง จากนั้นเขาจึงจำใจไปเรียนก.ศ.น. ถ้าวันไหนขอเงินแม่ได้ไม่พอจำนวนที่ต้องการ ก็จะฉีกเงินนั้นใส่หน้าแม่ และแสดงอาการ ไม่พอใจ ด้วยการเตะโน่นเตะนี่ อาละวาดออกฤทธิ์ทำให้แม่ต้องช้ำใจอยู่เป็นประจำ ด้วยความเป็นเด็ก เขาเสียใจมากที่แม่ไม่สามารถสนองความต้องการได้ ทำให้เขาไม่ค่อยตั้งใจเรียน สุดท้ายจึงเรียนไม่จบ พอหมดหนทางเลยไปอาศัยวัดในกรุงเทพฯ อยู่กับเพื่อนๆที่เป็นนักศึกษา ซึ่งรู้จักกันสมัยบวชเรียนเป็นสามเณรนั่นเอง ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ นักศึกษาได้ก่อจราจล นายเขตไปเป็นแนวร่วมกับเหล่านักศึกษาด้วย ในครั้งนั้นรัฐบาล สั่งปราบนักศึกษา อย่างหนัก แต่เขารอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เพราะได้แม่ค้ารถเข็นที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วยชีวิตเอาไว้ พอผ่านความเป็นความตายครั้งนี้แล้ว เขาจึงกลับมาอยู่บ้านได้สักพัก จากนั้นมีนักศึกษามาชวนไปเป็นสหาย (คอมมิวนิสต์) อยู่ในป่า โดยร่วมกันก่อตั้ง กลุ่มต่อต้านรัฐบาล เนื่องจากต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย รัฐบาลออกกวาดล้างพวกคอมมิวนิสต์ โดยใช้เครื่องบินบินขึ้นฟ้าแล้วยิงปืนขู่ ตอนนั้นแม่ของนายเขต เป็นห่วงลูกชาย จนหัวใจ ปิ่มจะขาดสิ้น พอได้ยินเสียงปืนจากเครื่องบิน เธอถึงกับช้อคไปเลยก็มี ด้วยเยื่อใยห่วงรักแห่งผู้เป็นแม่ เธอจึงขอให้ ลูกสาว บอกน้องชายได้โปรดกลับออกจากป่ามาอยู่บ้านเถอะนะ แต่อนิจจา! แทนที่นายเขตจะเชื่อและทำตาม กลับพา น้องชายเข้าป่าไปอีกคน ทำให้หัวใจแม่จวนเจียนจะแหลกสลาย แม่ถึงขนาดล้มป่วยเป็นโรคหัวใจในที่สุด เมื่อได้ยิน เสียงปืน ยิงขู่ครั้งใด แม่ก็แทบหัวใจวายครั้งนั้น ช่วงที่แม่ป่วย นายเขตก็สงสารแม่นะ แต่ออกจากป่าได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่รักษาดินแดน ตั้งฐาน ปฏิบัติการอยู่ในหมู่บ้านน้ำอ้อม คืนไหนที่ลักลอบออกมาพบหน้าแม่ได้ แม่จะอ้อนวอนร่ำไห้ให้เขากับน้องชาย กลับออกจากป่า มาอยู่บ้านกับแม่ แต่เขาไม่อาจทิ้งเพื่อนได้จึงจำใจปฏิเสธ แม่ทนตรอมใจอยู่สองปีที่สุดก็ถึงแก่กรรมในปลายปี พ.ศ.๒๕๒๑ นายเขตไม่มีแม้แต่โอกาสจะกราบศพแม่ด้วยซ้ำ เพราะเจ้าหน้าที่ดักซุ่มรออยู่ในหมู่บ้าน ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๒๒ ทางการ ออกปราบปรามพวกคอมมิวนิสต์อย่างหนัก เพื่อนของเขาถูกเจ้าหน้าที่ฆ่าตายไปหลายคน สุดท้ายฐานแตก เขาจึงพาน้อง ออกจากป่า มาอยู่บ้านในปลายปี พ.ศ.๒๕๒๒ นั้นเอง ปี พ.ศ.๒๕๒๓ พ่อเขตเขาได้แต่งงานกับฉัน ได้ลูกคนแรกเป็นผู้หญิง ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เราก็มีลูกอีกคนเป็นผู้ชาย พอลูก ทั้งสองคน โตขึ้นพอรู้ความจึงเห็นได้ว่า พวกเขามีนิสัยแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คือลูกคนโตชื่อ สาวิกา เป็นคนว่านอน สอนง่ายมาก ส่วนลูกคนเล็กชื่อ วสันต์ ซึ่งมีชื่อเล่นว่าเจ้าตาลนี้นิสัยถอดแบบจากพ่อทั้งพิมพ์ คือมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง แม้พ่อแม่ จะบอกจะสอนอย่างไร เขาก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ดูจากเวลาเขาทำผิดแล้วเราอบรมเขา เขาก็รับคำว่าจะไม่ทำอีก สัญญา เป็นจริง เป็นจัง ว่าจะเป็นคนดีของพ่อแม่ แต่ลับหลังก็เป็นเจ้าตาลเด็กดื้อเหมือนเคย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้เป็นพ่อยังคงรัก เเละ เอาใจ สารพัดอย่างกับลูกคนนี้ ปี พ.ศ.๒๕๓๖ พอเจ้าตาลเรียนจบ ป.๖ น้าสาวคือ ครูดินนา ที่อยู่สันติอโศกได้มาขอเอาหลานทั้งสองคน ไปเรียนที่ โรงเรียน สัมมาสิกขา พ่อแม่รู้สึกดีมาก เพราะวางใจว่าลูกๆได้เรียนรู้อยู่ในสังคมแวดล้อมที่ดีพร้อมทั้งคุณธรรมและ คุณภาพ ซึ่งต้อง ช่วยกล่อมเกลา ให้ลูกเราเติบโตเป็นคนดีแน่นอน ช่วงนั้นแม่ค้าขาย ส่วนพ่อทำงานรับจ้าง ทำให้พอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง ตอนกลางปี พ.ศ.๒๕๓๙ พ่อกับแม่ตัดสินใจ ซื้อมอเตอร์ไซค์ คันหนึ่ง ส่วนลูกทั้งสอง หลังจากได้มาศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่โรงเรียนสัมมาสิกขา ที่สันติอโศกแล้ว ในระยะสองสามปีนี้ สาวิกา ไม่เคย สร้างปัญหาให้หมู่กลุ่ม การเรียนก็สอบผ่าน ส่วนเจ้าตาลนั้นมักก่อเรื่องเป็นประจำ ชอบคบเพื่อนหัวดื้อ แล้วชวนกัน แหกกฎ จนทำให้พี่เลี้ยงที่ชื่อ สากล บ่นหนักใจ ช่วงที่เจ้าตาลเรียน ม.๓ ใกล้จะจบอยู่แล้ว พอรู้ข่าวว่าพ่อแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์ ก็อยากกลับบ้านจะได้ขี่มอเตอร์ไซค์เล่น เลยแหก กฎระเบียบ ของโรงเรียน เพื่อให้ได้ออกจากโรงเรียนมาอยู่บ้าน พอแม่ได้รับทราบว่าลูกชายทำผิดกฎระเบียบของโรงเรียนอยู่เสมอ ก็ไม่สบายใจมาก สุดท้ายจึงรับลูกชายกลับบ้าน โดยตกลง กันว่า ถ้าลูกมาอยู่บ้านแล้ว ไม่ว่าพ่อแม่บอกสอนอะไร ลูกต้องเชื่อฟังนะ จะดื้อจะซุกซนไม่ได้ เพราะลูกโตแล้ว ต่อหน้า เจ้าตาล ก็รับปากรับคำ ว่าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ แต่พอลับหลัง ก็แอบเอารถไปเที่ยวอยู่เสมอๆ ผู้เป็นพ่อแสนหนักอึ้งในหัวใจ เพราะพ่อเคยเป็นวัยรุ่นและเป็นลูกที่ไม่ดีของแม่มาก่อน ตอนนี้ได้มาเป็นพ่อคน จึงหวนคิดไปถึง แม่ของตน แล้วคิดไปว่า "แม่ของเราก็คงจะรักเราเป็นห่วงเราเหมือนดั่งเรารักลูกเป็นห่วงลูกในคราวนี้ โอ้!....แม่ผู้น่าสงสาร แม่ต้องมาตรอมใจตาย เพราะลูกหัวดื้อ เกเรคนนี้ โอ้!....แม่ผู้แสนดีของผม บัดนี้กงล้อแห่งกรรม ที่ผมเคยทำเอาไว้กับแม่ ในคราวนั้น มันได้หมุนกลับมาสนองผมเข้าให้แล้ว" พ่อเขตสามีของฉันคิดหนัก จนเริ่มซาบซึ้งพระคุณ และตระหนักรู้หัวอก ผู้เป็นแม่..... ทุกครั้งที่ลูกชายออกนอกบ้าน พ่อรู้หมดว่าลูกจะไปทำอะไร จะไปเที่ยวที่ไหน เพราะเคยทำกับแม่ของตัวเองมาก่อน ใจพ่อนี้ แสนปวดร้าว คืนไหนลูกหัวแก้วหัวแหวนเอามอเตอร์ไซค์ออกไปเที่ยว วันนั้นพ่อจะนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายคิดเป็นห่วงลูก เพราะรู้ว่า ลูกเอารถไปแข่งกับเพื่อนๆ กลัวสารพัดว่าลูกจะได้รับอุบัติเหตุ มีอยู่วันหนึ่ง พ่อห้ามและยึดกุญแจรถคืน เท่านั้นล่ะเจ้าตาลโกรธมาก ถึงกับด่าพ่ออย่างหยาบคายว่า "ไอ้ควาย!" พอพ่อได้ยิน อย่างนั้น ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย นึกไม่ถึงว่าด้วยความรักความห่วงลูก กลับได้รับผลตอบแทนเช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พ่อก็ไม่ยอมพูดกับลูกคนนี้อีกเลย แต่หัวใจพ่อซิปวดร้าวทุรนทุราย และก็รู้สึกอยู่เสมอว่า โธ่เราไม่น่า ทำกรรม กับแม่ของเราเอาไว้เลย แล้วก็คิดไปถึงคำสอนของพระที่ว่า หากเราทำบาปทำกรรมเอาไว้กับพ่อแม่ของเรา มันก็ เหมือน ดั่งเราถ่มน้ำลายขึ้นไปรดฟ้า สุดท้ายน้ำลายของเราเองก็จะตกลงมารดหน้าของเราเหมือนเดิม โอ้นี่หนอ กรรมของเรา ที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่เรามาก่อน พอตกมาถึงลูกของเรา ลูกก็ไม่ยอมฟังคำสั่งสอนของเรา อีกเหมือนกัน นี่แหละ หนอ ที่พระท่านว่า เราทำกรรมอะไรเอาไว้จะดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะได้รับผลของกรรม กรรมนั้น มันจะแตกต่างกัน ก็เพียงแต่ว่า จะส่งผลของกรรมเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง กฎแห่งกรรมนี้เป็นกฎตายตัว มันช่างยุติธรรมจริงๆ หนอ! ไม่ว่าลูกตาลจะเอารถไปเที่ยวที่ไหนอย่างไร พ่อก็ไม่ห้าม ส่วนฉันผู้เป็นแม่ก็พยายามห้ามปรามลูก แต่ลูกมันก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ตอนนั้น ลูกตาลอายุ ๑๔ ปีแล้ว มักจะแอบเอารถไปแข่งอยู่เป็นประจำ หลังจากที่เขาเที่ยวจนทำให้พ่อแม่ช้ำใจมามากพอแล้ว วันนั้นตรงกับวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๙ ลูกตาลบอกแม่ว่า จะกลับ ไปเรียนหนังสือที่สันติอโศกอีกครั้ง พ่อกับแม่ได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจเหมือนได้ลาภอันมีค่ายิ่ง ในวันนั้นฉันสังเกตว่าลูกตาลเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยล่ะ คือปกติเขาจะเป็นคนร่าเริงแจ่มใส แต่ทว่าวันนี้เขาเป็นเรียบร้อย เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และธรรมดาเขาจะไม่ยอมซักเสื้อผ้า มีแต่แม่เป็นคนซักให้ แต่วันนี้เป็นวันที่เขาเตรียมตัวกลับสันติอโศก มีเสื้อผ้า อยู่เท่าไหร่ เขาก็เก็บมาซักหมด! พอเจ้าตาลซักผ้าตากหมดแล้ว เขาขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในหมู่บ้าน เทียวเข้าเทียวออกอยู่ตั้งสามสี่เที่ยว แล้วก็กลับมานั่ง อยู่ที่บ้าน คล้ายๆจะนั่งรออะไรอยู่สักอย่าง(ฉันคิด!) พอกลับมาเที่ยวที่สี่นี้ เขาก็มานั่งพักอยู่ที่บ้านได้สักครู่ ลูกตาล ก็ขับรถ ออกจากบ้าน ไปตามเส้นทางสายกาฬสินธุ์-กระนวน คือถนนสายนี้ก็อยู่หน้าบ้านพอดี พอลูกตาลขับรถออกไป สักครู่เดียว ฉันก็ได้ยินเสียงรถชนกันโครมคราม พอฉันได้ยินแค่นั้น ฉันก็ได้บอกน้องชายให้ออกไปดูหน่อย เพราะเจ้าตาล เพิ่งขับรถ ออกไปสักครู่นี้เอง น้องชายฉันออกไปดูก็พบว่า เจ้าตาลขี่รถไปชนกับรถปิคอัพ รถตกถนนไปคนละทาง ฉันจึงร้อนรนรีบตามไป เห็นเจ้าตาล นอนหายใจรวยรินอยู่ เลือดอาบไปทั้งตัว ภาพนี้ทำให้หัวใจฉันแทบหยุดเต้น ตัวชา มือไม้สั่น ไม่รู้คิดรู้ทำอะไรได้เลย แล้วคนขับ รถปิคอัพคู่กรณี ก็บอกให้รีบเอาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลราชพฤกษ์ ขอนแก่น ในระยะที่เจ้าตาลนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ท่านสมณะและพี่เลี้ยง คือ คุณสากล พร้อมเพื่อนๆที่เคยร่วมเรียนมาด้วยกัน ได้มาเยี่ยม ให้กำลังใจอย่างอบอุ่น เจ้าตาลนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นเป็นเวลา ๑๙ วัน สุดที่คุณหมอจะเยียวยา รักษาได้ จึงสิ้นใจตายลงอย่างสงบ พอลูกตาลตายไป พ่อและแม่ก็ไม่มีความสุขเลย ทุกวันเคยเห็นหน้าลูก เคยพูดคุย เคยใกล้ชิดดูแลกัน ถึงแม้ผู้เป็นพ่อ จะรังเกียจลูกสักปานใด แต่ขึ้นชื่อว่าพ่อว่าแม่แล้ว หากลูกกลับตัวกลับใจเป็นคนดี พ่อแม่ที่ไหนเล่า จะไม่ยอมให้อภัยลูก ครั้งที่เจ้าตาลตายไปใหม่ๆ ฉันเห็นพ่อเขาร้องไห้คร่ำครวญคิดถึงลูกชายทุกวัน บางครั้งเห็นเด็กเดินมาก็คิดว่าลูกตัวเอง พอเดิน มาใกล้ๆ กลับไม่ใช่ เขายิ่งเสียใจหนัก ต่อจากนั้นมาพ่อเขตก็หันมากินเหล้าเป็นเครื่องปลอบใจ เรียกว่าแทบจะกลายเป็นคนบ้าเพราะความรักลูก คิดถึงลูก ที่ต้องมา ตายจากไปก่อนวัยอันสมควร นี่แหละหนอ ที่พระท่านว่า เคยให้ทุกข์แก่ท่านอย่างไร ทุกข์นั้นย่อมมาถึงตนได้ในภายหลัง คุณแม่นงค์เยาว์ เหล่าลาภะ กล่าวกับผู้เขียนในที่สุด - ก่อแก่น - - สารอโศก ฉบับที่ ๒๘๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ - |