อีเมลจากศิษย์เก่าพุทธธรรม

๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงค่ะ

หนูได้รับทราบข่าวจากคุณแม่ว่าในวันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จะมีการคืนสู่เหย้าศิษย์เก่านักเรียนพุทธธรรม วันอาทิตย์ สันติอโศก ซึ่งงานครั้งนี้ได้จัดเป็นครั้งที่ ๓ ในปีที่แล้วหนูไม่ได้มีโอกาสไปร่วม แต่ก็คิดว่าหากจะมีการจัดงาน ในครั้งที่ ๓ หนูจะต้องไปร่วมงานให้ได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อเวลามันมาถึงจริงๆเนื่องด้วยภารกิจ หน้าที่ที่ตนเองมีอยู่ ทำให้ ไม่สามารถไปร่วมงานคืนสู่เหย้าอย่างที่หวังได้ หนูก็เลยต้องกราบขออนุญาตพ่อท่าน ขอเขียนจดหมายฉบับนี้ เป็นการ ลงทะเบียน รายงานตัวแทนตัวจริงนะคะ

ชีวิตที่ผ่านมาจวบจนกระทั่งในวันนี้ของหนูซึ่งในอีกไม่กี่วันก็จะมีอายุ ๒๖ ปีเต็ม ได้ผ่านพบเจอสิ่งต่างๆหลากหลาย มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แปลกใหม่ ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน แต่สิ่งที่หนูได้เจอมากมาย และเห็นว่า มีความ หลากหลาย มากที่สุดก็คือมนุษย์ค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตของหนูตั้งแต่เกิดมานั้น โชคชะตาถูกกำหนด ทำให้มีโอกาส ได้ต้องใช้ชีวิตพบปะกับกลุ่มคนหลายแบบ ทั้งบุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี และกลุ่มคน ที่ถูกสังคม จัดสรร ว่าเป็นบุคคลที่ด้อยกว่า ฉะนั้นหนูจึงได้คบคุ้นทั้งกับคนร่ำรวย คนแร้นแค้น แต่ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน มีความสุขทาง โลกียะ แตกต่างกันเพียงใด หนูก็พบว่าไม่ว่าจะยาจกหรือเศรษฐี ก็ต่างมีความทุกข์แสนสาหัสด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ที่เนื่องมาจากความต้องการได้มาซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ ความทุกข์เรื่องสามี เรื่องลูก จนกระทั่ง เรื่องอะไร หลายแหล่จิปาถะ เรื่องคนโน้นเค้าเป็นอย่างนี้ คนนี้เค้าเป็นอย่างนู้น คนนี้เค้ากลั่นแกล้ง เค้าไม่ดีกับเรา และก็เรื่อง เรื่องเรื่องและเรื่อง จนนับ ไม่ถ้วน นี่ก็คงเป็นความทุกข์ ทุกข์ และ ทุกข์จากสิ่งภายนอกที่ปุถุชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะดีจะจน จะชั่วจะเลว ก็ไม่สามารถ หาทางออกให้กับชีวิตของตนได้

หนูเห็นแล้วบางครั้งก็รู้สึกแปลกใจนะคะ ว่าทำไมในวันนี้ตัวเราจึงไม่ได้มีความทุกข์มากมายอย่างที่บุคคลอื่นประสบอยู่ เคยมี คนพูดกับหนูว่า หนูเป็นคนโชคดี ชีวิตเกิดมาไม่มีกรรมที่ทำให้ต้องมาเจอกับความทุกข์อะไรอย่างที่คนอื่นเค้าได้รับ เค้าเป็นกัน คำพูดนี้ หนูคิดว่า ก็คงจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง ตรงที่ว่าหนูก็คงได้ทำกรรมดีมาพอสมควรจึงทำให้เกิดมาเจอธรรมะตั้งแต่เด็ก มีครอบครัว ที่อบอุ่น และไม่ต้องประสบกับสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตมากนัก แต่หนูก็เห็นว่าจริงๆแล้ว คนเราทุกคน ไม่ว่าจะเกิดมา แบบไหน ต่อให้มีอะไรที่เพียบพร้อมมากมายเพียงใด มันก็ทุกข์ได้ทั้งนั้นแหละค่ะถ้ามันจะทุกข์ ในสมัยก่อน ที่หนูไม่ได้ พยายาม ฝึกฝนพัฒนาคุณธรรมของตัวเองนั้น ชีวิตของหนูมันก็ทุกข์แสนจะทุกข์ค่ะ เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นความทุกข์ ที่คน ภายนอก ไม่สามารถมองเห็น ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเราทุกข์เรื่องอะไร หากให้ยกตัวอย่างเอาตัวที่ชัดๆก็ไอ้ตัวความที่อยาก ความต้องการ ที่จะต้องประสบความสำเร็จ ต้องยิ่งใหญ่ ต้องดัง ต้องเก่ง ต้องวิเศษกว่าคนอื่นนั่นแหละค่ะ ที่มันทำให้ชีวิต ของหนูแต่ก่อนนั้น ไม่ได้มีความสุขเลย ต้องพยายามต่อสู้ที่ให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา พอได้มาสมใจก็ปลื้ม ผยอง เมื่อไม่ได้ ก็ไม่พอใจ ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการจะได้ ใจมันก็ร้อนรนน่ะค่ะ มันไม่เป็นสุข

แต่วันนี้เมื่อหนูพยายามฝึกฝนพัฒนาตนเองทางคุณธรรมขึ้นมา หนูเลยได้ค้นพบสัจธรรมความจริงบางอย่าง ที่หนูทำแล้ว มันทำให้หนูมีความสุขมากกว่าการที่เราเก่ง หรือเอาชนะคนอื่นได้ นั่นก็คือใจของเราที่ไม่คิดว่าเราต้องเยี่ยมต้องยอด ต้องเหนือ กว่าคนอื่น จิตใจที่คิดดีต่อผู้อื่น ตัวไม่อิจฉาริษยาคนอื่นนี่แหละค่ะมันทำให้หนูมีความสุขมาก เราสามารถ ยอมให้ คนอื่นเก่งกว่าได้ ยอมที่อาจจะเป็นคนที่โง่ก็ได้ในสายตาคนอื่น แต่บทสรุปสุดท้ายก็คือว่า ชิดตะวัน ที่โง่แบบเข้าใจ ในสัจธรรม แบบนี้ ในวันนี้แหละค่ะที่มีความสุขมากมายหลายเท่ากว่าชิดตะวันในสมัยก่อน ที่อาจจะดูเก่งกาจเยี่ยมยอด ในทางโลก มากมายนัก ที่หนูสามารถพูดได้อย่างนี้ เพราะหนูได้รับความสุขที่มันเกิดขึ้นจริงจากการปฏิบัติ มันเป็นความสุขทางโลกุตระ ที่สงบนิ่งและเย็น แตกต่างจากความสุขโลกียะที่เร่าร้อนที่หนูเคยประสบ และเมื่อจิตใจของเรามันได้รับการพัฒนาขึ้นมา วจีกรรม และกายกรรมมันก็เปลี่ยนแปรไปตามมโนกรรมที่เกิดค่ะ จากในสมัยก่อนที่อาจจะเก่งแสนเก่งแต่ไม่มีคนอยากอยู่ใกล้ เพราะมันร้อน มันดูหยาบ ในปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นใครที่พบเจอ ไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างชาติเขาก็กล่าวว่า หนูดู เป็นมิตร ไม่กระด้าง และอบอุ่น มันก็เลยทำให้เรากลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของคนอื่น โดยมิได้ตั้งใจ ชีวิตมันก็เลยมีแต่ดีดี และ ดีเรื่อยขึ้นไปค่ะ

คนเรานั้นมักจะทุกข์เพราะสิ่งร้ายๆที่เกิดขึ้นในชีวิต อีกทั้งเพราะสิ่งที่เราหวังเอาไว้มันมักจะไม่ได้สมใจอย่างที่เราต้องการ แต่จริงๆแล้ว หากเราชาวพุทธเชื่อเรื่องกรรม หนูก็ไม่เห็นว่าเราจะต้องไปทุกข์อะไรกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นอยู่ หรือกำลัง จะเกิดขึ้นเลยค่ะ

ในสมัยก่อนหนูนั้นจะเป็นทุกข์หากไม่สามารถได้สิ่งที่เราคิดว่ามันดี มันควรจะได้ มันควรจะเป็น มักจะกังวลกับสิ่งที่จะเกิด ในอนาคต แต่วันนี้หนูไม่ทุกข์อะไรมากมายกับเรื่องเหล่านี้แล้วล่ะค่ะ ซึ่งก็มีผลมาจากคำพูดประโยคหนึ่ง ของพ่อท่าน ซึ่งทำ ให้หนูคิดได้และหลุดจากทุกข์ในเรื่องนี้

เมื่อประมาณเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาหลังจากที่หนูกลับมาจากเมืองไทยคราวที่แล้วใหม่ๆ หนูกำลังไฟแรง ตั้งใจว่าต้องทำ ปริญญาเอก ที่เยอรมันนี้ให้ได้ เพราะคิดว่าคงจะเป็นผลดีต่องานศาสนาในอนาคต ตอนแรกๆมันมีวี่แววว่าจะไม่ได้ เพราะ ความคิดเราไม่ตรงกับ Professor เท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาก็เชื่อมั่นในระบบทุนนิยม หนูก็ทุกข์น่ะค่ะ แต่เมื่อหนูได้กราบเรียน พ่อท่าน พ่อท่านก็ได้บอกว่า "ไม่เห็นจะต้องไปกังวล ได้ก็ทำ ไม่ได้ก็ไม่ทำ ก็กลับมา" คำพูดของพ่อท่านอันนี้แหละค่ะ ที่ทำ ให้หนู หลุดความทุกข์ตัวนี้ รวมถึงสิ่งใดๆที่มันจะเกิดในอนาคตไปเลย เพราะจริงๆแล้วมีเพียงวิบากกรรมเก่า บวกกรรม ในปัจจุบัน ของเราเท่านั้น ที่สามารถลิขิตกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ ไม่ใช่ความคิดที่ว่า "ฉันจะต้องทำให้ได้" ซักหน่อย ถ้าสิ่งเหล่านั้น เราจะต้องทำ มันจะเป็นของเรา มันก็ต้องเป็นสิ่งที่เราต้องทำแน่นอน แต่หากมันไม่ใช่ของเรา ต่อให้เราจะต้อง แก่งแย่ง พยายามขนาดไหน เราก็ไม่มีวันที่จะได้มันมาได้ เพราะฉะนั้นหนูก็ได้ค้นพบสัจธรรมอีกอย่างหนึ่งว่าทำวันนี้ ทำสิ่ง ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ให้ดีที่สุด แล้วอะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิดค่ะ หากทำดีที่สุดแล้วมันไม่ได้ดี หรือมันมี สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ในชีวิตนี้และเราไม่สามารถแก้ไขได้ หากเราเชื่อเรื่องกรรม ก็คิดซะว่า เราก็จะได้ชดใช้วิบากกรรมอันนี้ให้มันหมดไป ไม่ต้อง ไปก้มหน้าก้มตาทุกข์ไปกับมัน จะได้มีกำลังเต็มที่ที่จะตั้งจิตตั้งใจว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็จะกระทำแต่กรรมดี ไม่ประพฤติ สิ่งใดๆที่เป็นบาปทั้งปวง แค่นี้ชีวิตมันก็ไม่ทุกข์แล้วล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นจากที่เคยได้ยินคำพระพุทธพจน์ที่ว่า "จิตวิญญาณ เป็นประธานสิ่งทั้งปวง" อยู่บ่อยๆ วันนี้หนูได้พิสูจน์ โดยตัวหนูเองแล้วค่ะว่า เป็นคำตรัสที่มีความหมายลึกซึ้งและถูกต้อง คนเรา จะสุขจะทุกข์ มันก็อยู่ที่ความคิดของเรา ใจของเราเท่านั้น

ชีวิตที่แสนสุขในวันนี้ของหนูนั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากหนูไม่ได้ซึมซับรับทราบธรรมะ คุณธรรม ความดีงาม จากพ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุ รวมทั้งท่านญาติธรรมทุกท่าน ตั้งแต่หนูอายุได้เพียง ๓ ขวบ เมื่อครั้งเป็นนักเรียนพุทธธรรม วันอาทิตย์สันติอโศกรุ่นแรก และได้รับการเลี้ยงดู ดูแลจากชาวอโศกเรื่อยมา แม้วันนี้หนูจะอยู่แดนไกลถึงเยอรมัน คำสอนสั่ง คุณธรรม ที่ดีงามที่หนูได้รับเหล่านั้น ไม่ว่าเป็นศีล ๕ หลักธรรมต่างๆ หนูก็ยังตั้งมั่น ประพฤติ ปฏิบัติ พยายามอย่างยิ่ง ที่จะพัฒนาคุณธรรมของตนเองให้ดียิ่งๆขึ้นให้ได้ เพราะหนูตระหนักดีว่า งานศาสนาที่จะสามารถกอบกู้มวลมนุษยชาติได้นั้น จักต้อง ถูกขับเคลื่อนไปโดยบุคคลที่มีคุณธรรมแห่งอาริยะที่แท้จริงเท่านั้น หนูก็ตั้งจิตอธิษฐานตั้งมั่นว่า หนูจะพยายาม เป็นหนึ่ง ในกลุ่มคนอาริยะเหล่านั้นให้จงได้ค่ะ

พร้อมกันกับจดหมายฉบับนี้ หนูก็ขอกราบขอความกรุณาพ่อท่านผ่านส่งขอกราบระลึกถึง อดีตคุณครู โรงเรียนพุทธธรรม วันอาทิตย์ สันติอโศกทุกๆท่าน รวมถึงขอส่งความระลึกถึงๆเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ โรงเรียนพุทธธรรม วันอาทิตย์ สันติอโศกทุกๆคนค่ะ เพราะแม้ในวันนี้แต่ละคนรวมถึงชิดตะวันจะมีอายุที่มากขึ้น ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ วิ่งเล่นในสันติอโศก เหมือนในแต่ก่อน แต่สำหรับหนุ่ยแล้ว ภาพช่วงเวลาชีวิตในวันนั้น ที่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆทุกคน ณ ที่แห่งนี้ มันยังชัดเจน ในความทรงจำค่ะ ไม่น่าเชื่อนะคะ เหมือนกับรู้สึกว่าเราพึ่ง ๗-๘ ขวบเมื่อไม่นานมานี้ แต่ที่ไหนได้ ตอนนี้ ก็จะเข้าวัยกลางคนเข้าซะแล้ว เวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกินค่ะ และพวกเราทุกๆคนก็มีชีวิตที่แตกต่างอยู่ห่างไกลกันไป แต่ไม่ว่า จะอย่างไรก็ตามชิดตะวันก็เชื่อมั่นว่า เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกๆคน คงจะมั่นใจและคิดเหมือนกัน ว่าพวกเราทุกคน ก็คือ เครือญาติ เป็นพี่น้องลูกพ่อเดียวกันทั้งสิ้น เพราะหากพวกเราไม่เคยมีบุญร่วมกันมาก่อน เราก็คงไม่ได้มีโอกาสได้เจอะเจอ และใช้ชีวิต ร่วมกัน ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อโศกแห่งนี้ในสมัยวัยเยาว์อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ชิดตะวันก็ขอส่งกำลังใจ ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มีแรงพลังที่จะผลักดันตัวเองให้สามารถเป็นลูกของพ่อท่านทุกๆชาติไป ดั่งเช่นที่ตัวชิดตะวันเอง ก็กำลัง เพียรพยายามอยู่ค่ะ

ท้ายที่สุดนี้หนูก็ขออาราธนาให้พ่อท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกๆชาวอโศก จนอายุอย่างน้อย ๑๕๑ ปีนะคะ

กราบนมัสการค่ะ
ชิดตะวัน ชนะกุล
Albert Ludwig Universitat Freiburg, Germany

- สารอโศก ฉบับที่ ๒๘๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ -