สิบห้านาทีกับพ่อท่าน - ทีม สมอ. -


ชัยชนะของประชาชน
บนมิติใหม่ของการต่อสู้
สู่นวัตกรรมของการเมืองไทย

พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เทศน์ก่อนฉันที่เวที มัฆวานรังสรรค์ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙

# # # เผยสัจธรรมที่ไม่มีอำนาจใดๆล้มล้างได้

เจริญธรรมทุกๆ คน วันนี้เราก็มาพูดคุยกัน ตามประสา ที่ควรจะได้พูด ได้คุยกัน ใครก็ตามที่คิดว่า เราเข้าใจ ในสิ่งที่ดี หรือเข้าใจ ในสิ่งที่เป็นสัจธรรม ถ้าจะพูดให้โก้ๆ ว่าเราเข้าใจ ในสัจธรรม เข้าใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ คุณค่าจริงๆ นี่ เราก็ควรจะได้ เอามาบอกกัน แจกแจง ยืนยันขยาย ให้เราได้รู้ ได้เข้าใจ ในสิ่งที่มันเป็นประโยชน์ เป็นความถูกต้อง ที่แท้จริง เราก็จะต้องบอกกัน

ในธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ยืนยันชัดเจนว่า ถ้ายังเห็นแก่ตัว หรือพูดโดยสำนวน ที่ท่านพุทธทาส ท่านเคยพูดบ่อยๆ ก็คือ เห็นแก่ตัวกู ตัวกูของกู ถ้ามีการเห็นแก่ ตัวกูของกูอยู่ อันนั้น เป็นเรื่องไม่ดี การเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เจือจาน ไม่เกื้อกูล เผื่อแผ่ออกไป สู่ผู้อื่น มันเป็นภัย แต่ไหนแต่ไรมา สัจธรรมอันนี้ ไม่มีอะไร ที่จะมาล้มล้างได้ เป็นสัจธรรม ที่เที่ยงแท้ เป็นสัจธรรม ที่ถูกต้องที่สุด

แต่คนเราไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่า ตัวกูของกูคืออะไร ลักษณะอย่างไร มันมีตัวกูของกู มันแสดง บทบาท ออกทาง กายกรรม ทางวจีกรรม ก็มาจาก มโนนั่นแหละ มันแสดง ตัวกูของกู ออกอย่างชัดเจนแล้ว ปรากฏออกมา เป็นเรื่องราว เป็นรูปร่าง เป็นสภาพที่มัน เห็นแก่ตัว อย่างทนโท่ แต่ตัวเอง ก็ไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจ ไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา ว่าอันนี้ มันเป็นภัยต่อตน และเป็นภัยต่อสังคม อย่างมาก ในความเห็นแก่ตัว ที่ไม่รู้ตัว ไม่รู้ตนนี่ ศาสนาพุทธ สอนเรื่องนี้ และพระพุทธเจ้า ก็ตรัสรู้เรื่องนี้ อย่างสำคัญที่สุด เอามาเผยแพร่ ให้แก่สังคม มนุษยชาติ ให้แก่ทุกคน ควรจะศึกษา และก็ควร ที่จะได้ปฏิบัติ ประพฤติ เพื่อจะลดตัวตน ลดความเห็นแก่ตัวนี้ ออกไปให้ชัดเจน

# # # การต่อสู้มิติใหม่ : ใช้ความจริง ความรู้ เข้าสู้กัน

ขณะนี้เหตุการณ์บ้านเมือง กำลังเกิดเรื่องเกิดราว อย่างสำคัญ อาตมาก็อยาก จะกล่าวว่า การต่อสู้ ระหว่าง พันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนี่ เป็นกลุ่มหลัก ที่ดำเนิน มานาน จนเป็นกลุ่ม ใหญ่ที่สุด ขณะนี้ ที่กำลังแสดง บทบาทอยู่

การต่อสู้มาถึงวันนี้ เป็นอย่างไร ในส่วนภูมิปัญญา อาตมาก็เห็น ชัดเจนว่า การต่อสู้ มาถึงขณะนี้แล้ว เราประกาศ ความชนะได้แล้ว มันเป็นความชนะ ตามสัจธรรม ไม่ใช่เป็นความชนะ อย่างที่โลกเขา เข้าใจง่ายๆ ตื้นๆ ชนะอย่างไร?

อาตมาอยากจะเปรียบให้เห็นว่า เหมือนกับ ในสนามมวย คนไปดูมวย ที่ชกกัน ๒ ฝ่าย ชกกันไป ชกกันไป ประชาชน หรือคนดูมวยนี่เ ห็นแล้วว่า ฝ่ายไหนชนะ ทีนี้มวย ที่ชกอยู่ขณะนี้ มันเป็นมวยที่ ไม่ใช่สู้กัน ตามกฎกติกา แบบเก่าๆ คือเป็นมวย ประเภท ที่เรียกว่า ไม่ใช่มวยโหดร้าย ไม่ใช่มวยที่ จะต้องเผด็จศึก แบบหมัดน็อค ปังเข้าไป ชักดิ้นชักงอลงไป กลางเวทีเลย หรือเรียกว่า ชกเปรี้ยงแตก เลือดทะลัก แล้วก็เจ็บปวด หรือล้มตาย กันจริงๆ แต่เป็นมวยที่ประกอบไปด้วย ความสวยงาม เป็นมวยที่มี ศิลปวิทยา เป็นมวยที่ มีน้ำใจ เป็นมวยที่ ไม่เอาเปรียบ เป็นมวยที่มีลีลา ที่น่าดูมาก ประชาชนที่ดูอยู่ ในสนามนี่ เห็นแล้วว่า ใครชนะ ขณะนี้ ให้คะแนน เรียบร้อยแล้ว ต่อให้กรรมการ เข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง จับมืออีกฝ่ายหนึ่งชนะ ทั้งที่คน ในสนามนี่ เห็นแล้วว่า ฝ่ายนี้ สมมุติว่า ฝ่ายน้ำเงิน ฝ่ายน้ำเงินนี่ชก โอ้โฮ ประกอบไป ด้วยศิลปะ มีความรู้ มีความจริง มีหลักฐาน มีอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ประกอบกัน เป็นข้อมูล คนมารับข้อมูลนี้แล้ว มาดูความจริงอันนี้ มวยนี่เหนือชั้น มวยนี่ชนะแล้ว ชัดเจน ความชนะนี้ จึงเป็นสัจธรรม แห่งความจริง ไม่ใช่มวย ที่มันต่อสู้กัน ด้วยเล่ห์กล ด้วยกลเม็ดกลเชิง ต่อให้กรรมการ ไปเข้าข้างฝ่ายแดง และก็ยกมือ ฝ่ายแดงชนะ ฝ่ายน้ำเงิน ที่เราชนะ ด้วยความจริง มันก็ชนะ อยู่วันยังค่ำ

การมาชุมนุมกันคราวนี้ ก็ขอให้พวกเรานี่ "ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง กันออกมา ให้มากๆ หมดๆ" เพราะความจริง หรือสัจธรรม ที่แสดงออกนี่แหละ จะเป็นการยืนหยัดยืนยัน อย่างแท้จริง อย่างเมื่อคืนนี้ ดร.เสรี ออกมาพูด ยืนยันประกาศ ไม่รู้กี่ขั้นกี่ตอน ที่คุณอัญชลีได้ซัก มันเป็นคำตอบที่ชัด เป็นคำตอบ ที่จริงที่สุด แล้วการชก คราวนี้นี่ คงไม่เป็นการชก ที่จะยาวนาน เหมือนสงคราม ครูเสดหรอก มันคงไม่ยืนยาว ถึงขนาด ๒๐๐ กว่าปี อย่างนั้นหรอก มันก็เป็นการชกกัน ช่วงหนึ่ง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อาตมาว่า มีความเจริญ ยิ่งเจริญมากยิ่งขึ้น เพราะเราได้ซักซ้อม ได้ฝึกฝน ผู้ที่อยู่ที่บ้าน ถ้าไม่สะดวก ก็มาอย่างที่มา นี่แหละ อย่างวันที่ ๒๙ มี.ค. นี่จะไปกันที่ สยามพารากอน นั่นก็ว่ากันไป

# # # เหตุผลหลัก ๒ ประการ ที่ใช้ตัดสินกันได้แล้ว

การชุมนุมกันอย่างนี้ อาตมาว่า มันได้ข้อมูลหลักฐาน ที่เอามาใช้ เป็นหลักสำคัญ ในการตัดสิน ๒ ชนิดหลักๆ
๑. ความจริง ความชัดเจนว่า คุณทักษิณ หรือนายกรัฐมนตรีนี่ ไม่มีความชอบธรรม ที่จะบริหาร ประเทศ ต่อไปแล้ว มันชัดหรือยัง? ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ มีหลักฐานต่างๆ เอามาแฉกัน บอกกัน มาเปิดเผย เป็นความรู้กัน ให้ชัดเจน ยืนยันหลักฐานต่างๆ มันชัดหรือยัง มันครบหรือยัง อาตมาว่า มันชัดแล้ว ครบแล้ว นั่นอย่างหนึ่ง
๒. หลักของการยืนยัน ประชาธิปไตย ก็คือประชาชน ประชาชนตอนนี้ ที่มาชุมนุมกัน มากันพรักพร้อม หรือยัง ทุกหมู่เหล่า หรือยัง และเป็นสัจธรรมมั้ย ไปไล่ต้อนมา ไปเกณฑ์เขามา เอาอำนาจ เอาเงิน ไปล่อไปจ้าง หรือว่าเป็น พลังบริสุทธิ์ เป็นพลังที่เขารู้เห็น เขาเข้าใจเอง แล้วก็มาร่วมรวม ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เต็มใจ มันเหมือนกันกับ โพลล์ โพลล์นี่ก็ไปสุ่ม เอาคนกลุ่มหนึ่งมา แล้วก็สอบถาม ได้คำตอบออกมา เป็นโพลล์ อันนี้ก็เหมือนกัน การชุมนุมนี้ จะไปบอกว่า เอ้ย....นี่เป็นพวก กลุ่มชุมนุมกัน เล็กน้อย ไม่ถึง ๑๙ ล้านเสียง พูดอย่างนั้น มันคนละเรื่องกัน เถียงกันข้างๆ คูๆ

กลุ่มนี้ เหมือนกันกับโพลล์ ที่อาตมาว่าแล้วว่า เราก็สุ่ม เหมือนโพลล์ สุ่มเอาคน กลุ่มหนึ่ง แล้วก็เอามา ตรวจสอบ แต่อันนี้ มันไม่เหมือนโพลล์ทีเดียว ก็ตรงที่ว่า มันเป็นคนจริง ที่มันลึกกว่าโพลล์อีก เพราะเขา อิสรเสรีภาพ แล้วก็มากัน ทั่วทิศเลย แม้แต่ต่างประเทศ ก็ยังบินมาร่วมกัน ในวันที่จะนัดแนะ ชุมนุมกัน เอ้า มาพรักพร้อมกัน

พลังประชาชนหรือพลังอำนาจ อย่างที่กล่าวนี้ มันครบพร้อมหรือยัง?
๑. ความจริง ครบครัน ถึงความชัดเจน หรือยัง ?
๒. พลังประชาชน ครบสมบูรณ์จริง หรือยัง ?
ถ้าจริงแล้วนี่ ประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ตัดสินได้แล้ว ชนะได้แล้ว เพราะฉะนั้น การกระทำ ต่อไปนี้ ยืนยัน ยืนหยัดไปเถิด ไม่ใช่ว่า เราจะทำไปนี้ อย่างไม่มีความหวัง มันจบแล้ว ในเรื่องของผล ที่ตัดสิน ที่ชี้ชัด ชัดเจน นอกนั้น ก็จะมีเรื่องอะไร ต่ออะไร เลอะๆ เทอะๆ ไปเรื่อย ที่จะเกิดเหตุอะไร ทั้งๆที่รู้อยู่ว่า ถ้าจะดันทุรัง อะไรต่ออะไร ไปอีก แล้วก็ไปอ้าง กฎหลักอะไร สามัญตื้นๆ เท่านั้นว่า ประชาธิปไตย จะต้องอยู่ใน กฎกติกา แต่จริงๆ กฎกติโกง แต่ก็อ้างว่า เป็นกฎกติกา จะดันทุรังไป ให้มันเกิด กฎกติโกงจนได้ และกฎกติโกง ก็จะชนะ ในอนาคต ก็รู้ทั้งรู้อยู่ตำตา อะไรนี้เป็นต้น หรือเรารู้อยู่ว่า มันจะไม่สำเร็จ มันจะสูญเปล่า และจะเกิด ความแตกแยก มหาศาล ก็เกิดจาก คนดันทุรังได้

# # # ความแตกแยกแต่ละครั้ง จะสร้างกลุ่มชน ที่เกิดปัญญาใหม่ เห็นในสัจธรรม ลึกซึ้งขึ้น

ขณะนี้ ความแตกแยกของ ทุกเหล่าทุกกลุ่ม เหตุเกิดจาก ความไม่ยอม การดึงดันทุรัง นี่แหละ ก็เลย ยังเกิด ปฏิกิริยา ความระแหง แตกแยก เกิดปริแยก กันมากขึ้นๆๆๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม อาตมาก็เข้าใจ ในส่วนลึกๆ ของสิ่งนี้อยู่ว่า เมื่อเกิดกรณ ีที่มีอะไร มันถึงครั้ง ถึงคราวขึ้นมา ความแตกแยก ก็จะเกิดขึ้น แผ่นดินแยก ก็จะเกิดขึ้น มันจะเกิดจริงๆ จะถูกจัดสรร สัดส่วนขึ้นมา

และโดยเฉพาะ สัดส่วนที่มันเกิดขึ้น มานี้ ส่วนที่จะแยกออกไป ตอนแรกนั้น จะไม่ใช่ ส่วนใหญ่ ส่วนที่ถูก แยกออกไป ตอนแรก จะเป็นส่วนน้อย ส่วนน้อยนั้น จะเป็นส่วนที่ มีปัญญาใหม่ มีความเห็นใหม่ มีความเข้าใจใหม่ ที่ลึกซึ้ง ที่เป็นสัจธรรม เหมือนกับที่ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ ท่ามกลางศาสนา ที่เป็น เทวนิยม ท่านตรัสรู้ แล้วก็ประกาศ อเทวนิยม ของพระองค์เอง เมื่อท่านประกาศ อเทวนิยม คนเกลียด คนไม่เข้าใจ คนรู้ไม่ได้มากมาย พระพุทธเจ้าถูกตู่ ถูกท้วง ถูกด่า ไปทั่ว หัวระแหงเลย ไปที่ไหนๆ เขาก็เป็นศาสนา เทวนิยม เป็นศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู ศาสนานับถือ พระเจ้า นับถือ พระนารายณ์ นับถือ พระศิวะ นับถืออะไรสารพัด เต็มไปหมด แต่พระพุทธเจ้านั้น ท่านมาประกาศ สิ่งที่ไม่เป็น เทวนิยม มันก็เลย ขัดแย้งกับ ความรู้สึกเดิมของคน ที่เป็นพื้นอยู่เดิม เป็นธรรมดา ธรรมชาติเลย เมื่อใดๆ เหตุการณ์นี้ ลักษณะอย่างนี้ ก็จะเกิดขึ้นมา ได้เสมอๆ อันนี้ก็นัยเดียวกัน

# # # เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มน่ายินดี ที่จะได้มีการไขความจริงกัน ให้มากๆ ให้หมดๆ

เราจะต้องใจเย็น ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป จริงๆ แล้วก็พยายาม ที่จะเปิดเผยความจริง พยายาม จะไขความจริง พยายาม ที่จะยืนยัน อธิบาย ชี้แจงความจริง กันไปให้เรื่อยๆ มันไม่ใช่เรื่อง ที่น่าเสียดาย หรือน่าเสียใจอะไร เป็นเรื่อง ที่น่ายินดี น่าปลาบปลื้ม ที่สิ่งที่ดีเกิดขึ้น เรามาอดทน มาเสียสละ ไม่ได้มาทำอะไร เพื่อประโยชน์ ตนเอง แต่คนบางคน ที่เขาทำเพื่อ ประโยชน์ตน เพื่อประโยชน์ แห่งลาภยศ อำนาจอะไร ก็ตามใจ ที่พวกเรา มาทำนี่ ไม่ได้มาสร้าง ประโยชน์อะไรให้แก่ตนเอง ไม่ว่าจะเพื่อ ลาภยศ เสียสละด้วยซ้ำไป เสียลาภ เสียยศ ด้วยซ้ำไป ถูกต่อว่า จากผู้ที่เขา ไม่ค่อยเข้าใจ หมู่ใหญ่เขายังไม่ทันรู้ตัว ดังที่กล่าวแล้ว เป็นเช่นนั้น ด้วยซ้ำ

เพราะงั้น ที่มาทำอยู่นี่ ทั้งเหน็ดเหนื่อย ทั้งลำบากลำบน และไม่ได้หมายความว่า ผู้มาทำนี่น่ะ ทำไปเพื่อ ประโยชน์ ให้สมณะโพธิรักษ์ ไปเป็นนายกฯ ให้สนธิ ลิ้มทองกุลไปเป็นนายกฯ เขาก็ประกาศ ของเขา เขาไม่เล่นหรอก การเมืองน่ะ ยิ่งคุณจำลอง ก็ประกาศ ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ได้เล่นการเมือง อย่างที่มาทำนี่ มาทำเพื่อ ประโยชน์ส่วนรวม แต่ละผู้แต่ละคน ยืนยันได้เลย ไม่ได้มีอะไร ที่จะสื่อว่า เขาทำ ต่อสู้ไป เพื่อบุคคลใด บุคคลหนึ่ง หรือเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ นี่เป็นพันธมิตรหลายกลุ่ม มารวมกัน ทำเพื่ออะไร เพื่อประชาชน ทั้งมวล จะได้รับประโยชน์ ร่วมกัน

# # # การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ที่จะต้องสนใจ

ในความจริงที่ลึกซึ้งนี่ จะต้องพยายามวิเคราะห์วิจัย ด้วยภูมิปัญญา ใช้วิจารณญาณ ของแต่ละบุคคล ตรวจสอบ ให้ดีๆ ที่พูดนี่ ไม่ได้หมายความว่า อาตมาพูดอยู่ขณะนี้ คือการเล่นการเมือง ของอาตมา ไม่ใช่ อาตมานี่ บอกตรงๆ ตั้งแต่ในชีวิต ที่เกิดมานี่ อาตมาไม่เคยสนใจ การเมืองเลย เดี๋ยวนี้อาตมา ต้องศึกษา ต้องสนใจ การเมืองบ้าง เพราะต้องทำกับ สังคมรอบกว้าง ซึ่งการเมืองนั้น เป็นเรื่องจริง ที่อาตมาเคยปฏิเสธมา ตั้งแต่เด็ก จนกระทั่ง ทำมาหากิน ช่วงชีวิตที่เป็นฆราวาส ในชีวิตอาตมา ไม่เคยไปลงคะแนนเสียง เลือกตั้งใครเลย ในประเทศไทย ในชีวิตนี่ จนกระทั่ง ลาทางโลก ออกมาบวช ชีวิตในฆราวาส ไม่เคยไปลงคะแนนเสียง สักครั้งเดียว เขาลงคะแนนกันยังไง ไม่เคยรู้เรื่อง ไม่เคยสนใจ การเมืองเลย เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้คิดว่า จะต้องไปวุ่นวาย ไปเล่นอะไร กับการเมือง

แต่การเมืองนั้น มันเป็นเรื่องของสังคม ทั้งประเทศ ใครจะบอกว่า ไม่สนใจการเมือง แต่การเมือง ก็มาถึงเรา เพราะการเมือง คือเรื่องส่วนกลาง ของประเทศ เพราะงั้น จะไปบอกว่า การเมืองเราไม่เล่น ไม่เอา ไม่ยุ่ง ไม่ยุ่งการเมือง การเมืองมันก็มา ยุ่งกับเรา ดีไม่ดี เขาก็มาเอาเรานี่แหละ ไปเป็นเบี้ย ในกระดานของเขา โดยที่เรา ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่คนฉลาด ก็มาจับเอาเรานี่แหละ ไปเป็นประโยชน์ของเขา ถ้าอย่างนั้นน่ะ เสียท่าด้วยซ้ำไป

จึงจำเป็นที่คนทุกคน จะต้องรู้การเมือง เช่นเดียวกันกับคน ทุกคนจะต้องเข้าใจ เรื่องกฎหมาย กฎหมายที่ ประกาศ ออกมาแล้ว และเอามาใช้ ในประเทศ ทุกคนจะบอกว่า ไม่รู้นี่ กฎหมายเป็นอย่างไร ไม่ได้ ถ้าใครทำผิดกฎหมาย ก็ต้องโดนจับ เป็นธรรมดา จะไปบอกว่า ไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ฉันเดียวกัน ในการเมือง ที่มีบทบาท ลีลาอะไรอยู่ก็ตาม ที่เป็นการเมือง ทุกคนจะต้อง อยู่ในข่าย เท่าที่การเมือง เป็นกฎเกิดอยู่

และทีนี้การเมืองนี่ มันเป็นระบบ ที่มีพรรคมีพวก มีการถ่วงดุลกัน ลักษณะ ประชาธิปไตยนี่ จะต้องมีฝ่ายเสนอ กับฝ่ายค้าน เหมือนกับ เรื่องของการโต้วาที จะต้องมีฝ่ายเสนอ กับฝ่ายค้านเสมอ ถ้าปล่อยให้มีแต่ ฝ่ายเสนอ ไม่มีฝ่ายค้าน มันไม่ใช่ ประชาธิปไตย นั่นเป็นลักษณะของ การเมืองเผด็จการ หรือคอมมิวนิสต์ มีอำนาจเดียว แล้วก็ดำเนินกันไป อย่างงั้น มันใช้ไม่ได้ แต่ที่จริงแล้ว ประชาธิปไตยนั้น จะต้องมี ๒ ฝ่าย จะต้องมี ๒ คณะ จะต้องมี ๒ พวก

พวกหนึ่ง ที่อนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการไป ก็ดำเนินการไป ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้น จะต้องตรวจสอบ จะต้องดูแล จะต้อง ถ่วงดุลไว้ จะต้องไม่ให้หลงระเริง หรือไม่ให้ทำอะไร ตามอำเภอใจ ทำอะไร มักง่าย ทำอะไร ไม่รอบถ้วน เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะ ที่ดีที่สุด ขณะนี้ระบอบปกครอง บริหารประเทศ ทุกประเทศ ก็เข้าใจแล้วว่า ไม่มีระบอบอะไร ที่ดีกว่าระบอบ ประชาธิปไตย

# # # อัตตาธิปไตย-โลกาธิปไตย-และธรรมาธิปไตย เป็นฉันใด?

ระบอบประชาธิปไตยนี้ จึงจำเป็นที่จะต้อง เป็นระบอบที่ มีธรรมะ มีการพูดกัน ถกเถียงกันว่า ระบอบประชาธิปไตย กับธรรมาธิปไตย เป็นอันเดียวกัน หรือไม่ ถ้าจะบอกว่า ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ก็ได้ เพราะว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นระบอบการบริหาร ปกครอง ที่เกิดขึ้นมาใหม่ หลังจาก พระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว ในสมัยพระพุทธเจ้า ทรงพระชนม์ชีพอยู่ ยุคนั้น เป็นยุค สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทั่วโลก จึงยังไม่มีความรู้กัน ในเรื่องระบอบ ปกครองบริหาร แบบประชาธิปไตย จึงมีรายละเอียด ที่เป็นหลักเกณฑ์ แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ถ้าจะว่ากันไป จริงๆแล้ว คำว่าธรรมาธิปไตยนั้น คือธรรมะเป็นอำนาจ และเรื่องธรรมะ เป็นอำนาจนี่ ในเผด็จการ ก็ควรมี ถ้าผู้เผด็จการนั้น มีธรรมะเต็มที่ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นผู้ที่มีธรรมะสูง ทำงานบริหารประเทศ แม้จะถือว่า เป็นอำนาจเผด็จการ ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำ เพื่อตัว เพื่อตน ไม่ได้ทำเพื่อ เห็นแก่ตัวเอง แก่พวกตัวเอง ไม่ได้หลงลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุขเป็นต้น ซึ่งสำคัญมาก หากเป็นโลกุตรธรรม

ยิ่งผู้ที่มีความรู้ความสามารถเผด็จการอยู่นั้น บริหารประเทศอยู่นั้น มีภูมิธรรม มีธรรมะอันยิ่ง เป็นระดับ โลกุตรธรรมด้วย อันนั้น แม้จะชื่อว่า ระบอบเผด็จการก็ตาม แต่ก็เป็นการบริหาร ที่มีธรรมะ ก็เป็นธรรมาธิปไตย แม้แต่ในลักษณะ ที่จะเอาความเป็น ส่วนรวม ส่วนกว้าง ของประชาชน ซึ่งเรียก ลักษณะแบบนี้ว่า โลกาธิปไตย มันมีคำของ พระพุทธเจ้าอยู่ ๓ คำ คืออัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย

เรื่องอัตตาธิปไตยก็คือ เอาความเห็นส่วนตัว เท่านั้น ถูกผิดยังไง ไม่รู้ล่ะ มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะ ก็ไม่รู้ล่ะ เอาความเห็นของตัว เป็นใหญ่ นั่นเรียกว่า อัตตาธิปไตย
ส่วนโลกาธิปไตยนั้น คือ ความเห็นส่วนรวม เป็นอำนาจส่วนรวม ส่วนใหญ่ นั่นแหละ เป็นพลัง อย่างนี้ เขาเรียกว่า โลกาธิปไตย
ส่วนธรรมาธิปไตยนั้น อยู่ในโลกาธิปไตยก็ได้ อยู่ในอัตตาธิปไตย ก็ได้
ถ้าจะพูดกัน อย่างอนุโลมหน่อย ประชาธิปไตยก็คือ โลกาธิปไตยนั่นเอง
โลกาธิปไตยก็คือ ประชาธิปไตย ถ้าโลกาธิปไตย หรือประชาธิปไตย ที่มีธรรมะ มีธรรมะไม่ใช่พูดด้วยภาษา ไม่ใช่พูดด้วย ทฤษฎี แต่มีธรรมะ มีคุณธรรมจริงๆ ทั้งในผู้บริหาร ทั้งประชาชน ก็มีความเข้าใจในธรรม สังคมนั้น รัฐนั้น ก็อยู่สุขสบาย เพราะมีธรรมะ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มีชีวิตที่รู้ถึง สัจธรรม รู้ว่าอะไร เป็นเหตุ เป็นปัจจัยแก่ชีวิต ไม่ต้องไปเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ สร้างสรรดี

# # # สนามปฏิบัติธรรมเพิ่มกำลังจิต พิชิตมรรคผล

การที่เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรร ทำงานกัน วันทั้งวัน ทำงานกันไป มาอยู่ที่นี่นะ การที่ได้มา ปฏิบัติธรรม อยู่ที่ท่ามกลางสนาม ที่อาตมา ไม่อยากจะเรียกว่า สนามรบ ที่เราอยู่นี่ ขณะนี้เรียกว่า สนามปฏิบัติธรรม ได้มาปฏิบัติธรรม ได้มาต่อสู้ ได้มาลดละ ได้มาสัมผัส ได้มาทำงาน เรามาทำงาน ที่เราไม่ได้มีรายได้ อะไรเลย ไม่ได้มีเบี้ยเลี้ยง ก็กินวันละเท่านั้น เท่านี้ เครื่องใช้ไม้สอยอะไร ก็ใช้เล็กน้อย พออาศัยพอเพียง ไม่ได้มาก ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ซึ่งคนนับวัน จะเข้าใจ พวกเราจะได้รับ การเข้าใจ มากขึ้นๆ คนเข้าใจนั้น แสดงออก ในหลายอาการ

อาตมามาที่นี่ มีคนมากราบ ขอขมา อย่างมาก ทั้งคนในต่างประเทศ มาทั้งคนในประเทศ แต่ก่อนนี้ผม ดิฉัน ไม่เข้าใจท่าน ได้ละลาบละล้วงท่าน ได้ล่วงเกินท่าน ยังไงๆ ก็ขออโหสิให้ผม ให้ดิฉันด้วย นะครับ นะคะ มากราบขอขมา อย่างนั้นจริงๆ มาขอขมา เพราะได้มาเห็น ไม่ได้เห็นตัวอาตมา เท่านั้น ได้เห็นมวลหมู่ ของชาวอโศก ทั้งสมณะชาวอโศก ทั้งฆราวาส ชาวอโศก ที่มารวมกัน เป็นปึกแผ่น หลายผู้หลายคน และก็ดำเนินชีวิตอยู่ มีอิริยาบถอยู่ ตามความเป็นจริง เขาลดมายังไง เขาละมายังไง เขามาเสียสละยังไง เขามามักน้อย สันโดษยังไง เขามามีชีวิตยังไง คนเขาดูด้วยตา สัมผัสด้วยตา เขาก็เห็นนะ เขาเห็น เขาเข้าใจ และยิ่งนานวัน มันเป็นข้อพิสูจน์

ก็ขอให้กำลังใจแก่พวกเรา คำว่า "ล้า" นี่ขอเลย แต่ขอ จะได้หรือไม่ได้ แล้วแต่ ฟังเอาก็แล้วกัน คำว่าล้า หมายความว่า มันชักจะถอยแล้ว มันชักจะ ไม่เอาแล้วนะ ขอยืนยันว่าไม่ใช่ ไม่ล้าหรอกนะ ไม่ล้าแน่นอน เพราะว่า พวกเรายิ่งทำ พวกเราก็จะยิ่งเข้าใจ ยิ่งจะเป็นผู้ที่ได้ สร้างเสริมพลังจิต จะยิ่งได้มรรค ได้ผล จิตจะยิ่งได้ลด ละกิเลส จิตจะยิ่งเห็น สิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่เกิดการละลด เกิดการเจริญ ก้าวหน้า ได้รับความรู้ สนามนี้ เป็นสนามแห่งความรู้ ใครมานี่ เย็นมาเลย ประเดี๋ยวก็มานั่ง ประเดี๋ยว ก็ฟังไป

# # # นวัตกรรมของการเมืองไทย กับชัยชนะของประชาชน

โอ้โฮ...มันเป็นการต่อสู้ ในประชาธิปไตย แบบใหม่ จุดสุดยอดเลย ประเทืองความรู้ สุดยอดแห่ง การต่อสู้นะ แล้วก็ต่อสู้ อย่างแบบใหม่ ซึ่งมันชนะแล้ว ไม่ต้องไปกลัวเลยว่า มันจะมีการแพ้อีก ไม่มี ตอนนี้ มันชนะแล้ว ชนะอย่างเด็ดขาด ด้วยเสียงประชาชน มีแต่นับวัน ที่จะชนะ เพราะข้อมูล หลักฐาน ต่างๆ ที่ได้เอาออกมา ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ทางด้านความจริง ความรู้ หรือว่า สิ่งที่จะเป็น หลักฐานยืนยัน ที่เอาออกมายืนยัน ทั้งตัวบุคคล ทั้งตัวสภาพวัตถุ ความจริงที่เอามายืนยันกัน มันเป็นเรื่อง ที่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องที่ สะอาด บริสุทธิ์ มันเป็นเรื่อง มีเหตุผล มีหลักฐาน เหมือนกับตุลาการ หรือ ผู้พิพากษา ที่พิพากษา อยู่บัลลังก์ เวลาพิพากษา ก็จะต้องตรวจสอบ หลักฐานพยาน ตรวจสอบหลักวิชา เมื่อตรวจสอบ แล้วเสร็จ แม้จำเลย จะไม่ยอม รับสารภาพ จะปากแข็ง เถียงเสียงแข็ง อยู่อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา ก็ตัดสินออกมาได้ ว่าผู้ที่ถูกต้อง คือใคร แม้จำเลย จะปากแข็ง ไม่ยอม อย่างไรก็ตาม เมื่อหลักฐาน ความจริง ความรู้ทฤษฎี หลักเกณฑ์ต่างๆ ถูกต้องหมดแล้ว วินิจฉัยได้ เพราะฉะนั้น การวินิจฉัย ตัดสิน ในส่วนที่เป็นที่สุด แห่งที่สุด ก็ย่อมตัดสิน ออกมาได้ว่า อะไร ฝ่ายไหนดี ฝ่ายไหนถูกต้อง ฝ่ายไหนผิด

สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ อาตมาก็ขอยืนยัน ตามประสาอาตมาว่า ตัดสินแล้ว เพียงพอแล้วว่า การชนะ ในการมา ต่อสู้นี้ ภาคภูมิใจ ไปเถอะนะว่า พวกเรานี้ชนะแล้ว แม้อนาคตนั้น จะถูกกรรมการ จับมืออีกฝ่ายหนึ่งชนะ มันก็เป็นกติโกง ไม่ใช่กติกา หรอกนะ เป็นกติโกง การจะชนะอย่างนั้น ก็ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องไป ประหลาดใจ อะไร เพราะในโลก ในสังคม โดยเฉพาะ เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ใหม่ เป็นเหตุการณ์ ที่เพิ่งเกิด เป็นลักษณะ ของสังคมที่เกิดใหม่ ย่อมยาก ที่จะทำความเข้าใจ พวกเราจึงจำเป็น ที่จะต้อง ใช้เรี่ยวแรง ใช้เวลา ใช้ความสามารถ ให้มากที่สุด มารวมกันให้มาก มาช่วยกันให้มาก ต้องยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง กันออกมา ให้มากๆ หมดๆ จริงๆ อย่างนี้แหละ เป็นลักษณะที่ จะต้องทำกัน เพื่อที่จะได้เกิดผล

การชนะคราวนี้ จึงไม่ได้ชนะด้วยเรี่ยวด้วยแรง ด้วยหมัด ด้วยมวย ด้วยเลือด ด้วยเนื้ออะไร ที่จะต้องไป เข่นฆ่ากัน อย่างที่เป็นนิยาย บทเก่า แต่จะชนะกันด้วย ลักษณะสังคม แบบใหม่ เป็นประชาธิปไตย แบบใหม่ เป็นการต่อสู้ ของการเมือง แบบใหม่ ที่จะดำเนินต่อไป อาตมาว่า บทแรก ของการต่อสู้ สังคมอันนี้ เป็นบทแรก ที่เกิดมา ในขณะนี้ เหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา อาตมาเป็นครู ที่จะต้อง ให้คะแนนสอบ หรือแม้จะเป็น ตุลาการ อาตมาก็ตัดสิน ให้ชนะได้แล้ว ต่อจากนี้ไป มีแต่กำไร กับกำไร จนกว่า มันจะเข้าใจกัน ในสังคมส่วนกว้าง รอบกว้าง ที่จะเข้าใจว่า บทบาท สิ่งที่เกิดขณะนี้ มันคืออะไร และต่อไป คืออะไร นั่นเป็นคำตอบ ที่จะตอบต่อไป ในอนาคต ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ปรากฏ ยืนยันขึ้น

# # # การต่อสู้มิติใหม่ ที่ยังไม่เคยมีในโลกนี้

พวกเราจงภาคภูมิใจกันเถอะ ว่าเราเป็นพวกไพโอเนียร์ (Pioneer) เป็นพวกหัวหอก เป็นพวกบุกเบิก เป็นพวกที่ ได้เริ่มสร้าง สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา แม้ว่าเราจะไม่เป็น ตัวหลัก ไม่ได้เป็นตัวสำคัญ แต่ก็คิดว่า เราเป็นส่วนหนึ่ง ของการบุกเบิก ครั้งนี้ ผู้ที่เป็นส่วนสำคัญ เป็นตัวหลัก เป็นตัวที่จะทำงาน อย่างเป็นจริง เป็นจัง สำคัญๆ จริงๆ ก็ทำกันไปเถอะ เราจะเป็น ส่วนธุลีละออง เป็นส่วนประกอบน้อยๆ ก็ตาม แต่จงภาคภูมิใจเถิดว่า พวกเราได้เป็น ส่วนหนึ่ง ของประวัติศาสตร์ หน้านี้ ที่ทำให้สังคม ประเทศชาติ เกิดสิ่งนี้ ขึ้นมาแล้ว

อาตมามองตามประสาอาตมาว่า อาตมาเป็นคน การศึกษาน้อย มองไป ทั่วประเทศ ทั่วโลก เห็นว่า ในโลก ก็ยังไม่มี สิ่งนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แม้ใครจะยังไม่เห็น อาตมาก็ขอยืนยัน ตามประสาว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ ดีงาม เป็นความสวยสด งดงาม ของสังคม มนุษยชาติ เพราะเป็นการต่อสู้ ที่สันติ อหิงสา ได้ลักษณะ ขนาดนี้ ก็ดีแล้วล่ะ เขาบอกว่า เขาตำหนิติเตียน พวกเราอยู่ อย่างหนึ่งที่ว่า ยังพูดหยาบก็มี หยาบอยู่จริงๆ คนที่ลด การพูดหยาบลง ก็มีแล้ว ผู้ที่ท่านเอง ท่านพูดหยาบออกมาบ้าง ท่านเอง ท่านอดทน ไม่ไหว มันอัดอั้น มันจึงแรง ทั้งแรง และก็ส่วนหยาบด้วย บางพวกบางผู้ ท่านก็ไม่หยาบหรอก ท่านก็มีแต่แรง บางคน เขาก็ไม่ชอบแรงๆ ก็มีความแรง มีความหยาบออกบ้าง ก็ต้องให้เห็นใจบ้าง เพราะว่า หนึ่งมันเคยชิน เคยติดมา เคยมีมา มันก็เลย จะต้องมาออก เมื่อเหตุปัจจัย ข้างในใจ มันอัด มันอั้น เมื่อมันถึงวาระ มันมีหมู่มีพวกด้วย มันมีเวลา มีโอกาส ที่ควรแสดงออกด้วย ก็เลยแสดงออกมาเต็มที่ อย่างที่ท่านได้แสดง ก็ต้องให้เข้าใจว่า มันเป็นช่วงแรก มันจะทำให้งามทีเดียว ไม่ได้หรอก เหมือนกับเรา สร้างรูป เวลาเราสร้างรูปขึ้นมา พอรูปขึ้นมา ได้เป็นรูป เป็นร่างขึ้นมา มันก็อยู่ในลักษณะ ที่เรียกว่า สเก็ตช์ หรือว่ารูปที่ โกลนขึ้นมา ได้รูปร่าง ที่โกลนขึ้น เท่านั้น มันยังไม่เป็นรูป เป็นร่างที่สมบูรณ์ เป็นเพียง โครงสร้าง แล้วต่อไป ก็ค่อยๆ ตบแต่ง ขัดเกลา ค่อยๆทำ ไล่สี ไล่เงา ทำความเรียบร้อย ทำจุดที่มัน บกพร่อง อะไรที่มันยัง ไม่ได้สัดส่วน ที่สมบูรณ์ ก็ตกแต่งกัน ขึ้นไป ประกอบกัน ขึ้นไป จัดสรรกันขึ้นไป มันก็จะค่อยๆ งดงาม จะได้รูปได้ร่าง ได้สิ่งที่สมบูรณ์แบบ ขึ้นไป ตามลำดับ ในอนาคต ก็จะมีรูปลักษณ์ ของวัฒนธรรม ประชาธิปไตยบทนี้ สมบูรณ์ได้

# # # ชีวิตคุ้มค่า ถ้าได้ช่วยกันออกมาสร้างประวัติศาสตร์ที่ดีๆ

ในระยะเริ่มแรก เริ่มต้นอย่างนี้ ก็แน่นอน เราจะได้อย่างนี้ อาตมาก็ว่า ดีมากแล้วล่ะ อย่าหมดกำลังใจเลย พยายามเถอะ พากเพียรที่จะช่วยกัน รังสรรค์ ช่วยกันสร้างสรร ช่วยกันประกอบ สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็น อันหนึ่ง ในประวัติศาสตร์โลก อันนี้ประกอบกันขึ้นไป งานนี้น ี่ผู้ที่ได้ร่วมกันทำ จะเป็นผู้ที่ ถูกบันทึกไว้ ในประวัติศาสตร์ เราก็ขอโหนเหตุการณ์ ขอเกาะสถานการณ์ เกาะเหตุการณ์นี้ไปบ้าง ขอร่วม มีส่วนดี ขอร่วมดี ร่วมนำ ร่วมตาม สิ่งที่มันก่อเกิดนี้ ในยุคนี้ ก็ขอให้พวกเรา จงดีใจกันว่า เราได้เป็นส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นแค่ เศษเล็กเศษน้อย ธุลีละออง ที่ร่วมผสม กับเหตุการณ์ สำคัญนี้ไปด้วย

เรื่องที่ดีๆ ที่สำคัญอันนี้ ที่ก่อเกิดนี้ แม้ผู้คนส่วนใหญ่ อาตมาไม่อยาก จะไปดูถูก คนส่วนใหญ่นะ อาตมาว่า คนส่วนใหญ่ น่าจะเข้าใจได้แล้วล่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อาตมาว่า ถ้าไม่ดี รูปร่างของการเกิด อันนี้นี่ ไม่เล็กนะ หมู่กลุ่มพันธมิตร ที่กระทำอยู่ ขณะนี้ นี่ไม่เล็ก นอกจากไม่เล็กแล้ว ก็ยังทำงานต่อเนื่อง ถ้าจะเรียกว่า มันมีส่วนรุกมั้ย รุกไปอยู่ รุกแล้วก็ได้แนวร่วมมั้ย ได้ อย่างเมื่อวานนี้ ไปเดินมา จากสนาม ศุภชลาศัย โน่นน่ะ จะไปที่ห้าง ดิเอ็มโพเรี่ยม ไปแค่ตอนแรก จำนวนประมาณ ๒,๐๐๐ ไปตั้งกลุ่ม ๒,๐๐๐ เดินออกมา จนกระทั่ง เป็นจำนวน ๑๐,๐๐๐ เขาบอกว่า หลายหมื่น จะถึง ๑๐๐,๐๐๐ เอาแน่ะ แต่คงไม่ถึง ๑๐๐,๐๐๐ หรอก หลายหมื่นโอ้โฮ แน่นไปหมดเลย คือเรียกว่า คนเข้าใจ แล้วออกมาร่วมกัน พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ -พรึ้บ-พรึ้บ -พรึ้บ-พรึ้บ -พรึ้บ-พรึ้บ -พรึ้บเลย สิ่งอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ส่อแสดง ด้วยชี้บ่งว่า สิ่งนี้ เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว จะบอกว่า คนส่วนมาก ที่บอกว่า ยังไม่รู้ อาตมาว่ารู้ แต่ยังไม่เป็นโอกาส ยังไม่เป็น เหตุปัจจัย ที่มันได้เหตุปัจจัย ที่สมบูรณ์ หรือไป ประจวบเหมาะกันเข้า ไปเผชิญกันเข้าก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ก็ต้องพยายาม ก็แล้วกัน ก็ขอให้ กำลังใจ ต่อผู้ที่มาร่วม ทำงานกัน ณ ที่นี้ ซึ่งจากวันนี้ไป วันที่ ๒๙ มี.ค. ก็คงจะมีอะไร ต่ออะไร ที่จะเปลี่ยนแปลง หรือจะปรับปรุง ไปตามผู้ที่เป็น คณะบริหาร คณะจัดการ อะไรกันอยู่ ก็จะช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันปรับปรุงไป

# # # ลุยให้เต็มที่ ถ้ามั่นใจว่าสิ่งนี้ดีจริง !

อาตมาว่าพวกเราที่ยังเข้าใจไม่ถูก ยังเข้าใจผิดๆ เข้าใจผิดเพี้ยนๆ อะไรอยู่ ก็จงพยายาม ไตร่ตรอง ตรวจตราใหม่ ให้ถูก ตรวจตราใหม่ดูดีๆ ว่าสิ่งที่เราทำนี้ ดีจริงหรือไม่ ถ้าดีจริงแล้ว และก็มีอัตรา การก้าวหน้า มีสิ่งที่มันเจริญ มันพัฒนาออกไป คืออะไร ถ้า หนึ่ง ดีจริง สอง ก็ก้าวหน้าไปได้อยู่ จงพอใจ และภูมิใจ ในสิ่งที่ดำเนินไป ได้ดีนั้นเถิด ถ้าอะไร บกพร่อง ก็แก้ไข ค่ารวม น้ำหนักของ จุดเป้าหมายรวม มันดีแล้ว ใช้ได้แล้ว สอบได้แล้ว ๗๐% ๘๐% ๙๐% ดำเนินต่อไปเถอะ ส่วนอันอื่นๆ ข้างนอก ที่มันมีมาก มีมาย เขายังเข้าใจ ยังไม่ได้บ้าง หรือว่าอันอื่นๆ ที่ยังมีปฏิกิริยากับเรา ประท้วงเรา ด่าเรา กดดันเรา อะไรต่างๆ นานา มันเป็นธรรมดา ธรรมชาติในโลกนี้ จะให้ไม่มีสองสิ่ง สิ่งที่เกิดที่เป็น ในโลก ที่ยังดำเนิน ต่อไปอยู่ นั่นเรียกว่าสอง จะมีสิ่งที่เป็นหนึ่ง อยู่ในมหาจักรวาลนี้ หนึ่งเดียวนั้น คือ นิพพาน คือ สูญ เท่านั้น สูญเป็นหนึ่งเดียว นิพพานเป็นหนึ่งเดียว นิพพานเป็นสุญตา อนัตตา ไม่มีอะไรอีก นั่นคือ หนึ่ง ถ้ามีสอง คือสิ่งเกิดทั้งนั้น เป็นสิ่งคู่ทั้งนั้น ถ้ามีสิ่งที่มีชีวีตชีวาอยู่ คู่ทั้งนั้น

ในฐานะที่ยังเป็นคนที่มีชีวิตชีวา ยังมีการดำเนินไปอยู่ เราจึงต้องคำนึงถึง สภาพที่เราต้อง มีคู่ เพราะฉะนั้น คู่นี้ ก็ต้องเปรียบเทียบกัน ตลอดเวลา อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด แล้วเราก็จะต้อง อยู่ในฝ่ายถูก อยู่ในฝ่ายดี นั่นคือ ความเป็นกลาง นั่นคือ ความเป็นกลาง ฟังให้ดี ในลักษณะ ที่คนยังเกิด คนยังมีสิ่งที่ ยังมียังเป็น อยู่นั้น จะต้องมีคู่ มีสภาพคู่ มากหรือน้อย เท่านั้น ไม่ให้มีคู่ไม่ได้ ในสภาพที่ ยังเป็นยังมีอยู่ ต้องเป็นคู่ ถึงจะดำเนินไป ถ้ามีเดี่ยว ก็นับวันที่จะดับ และสูญ เพราะฉะนั้น เดี่ยวจริงๆนั้นคือ สูญ หรือ นิพพาน นั่นคือสูญ เพราะงั้น ยังมีอยู่ ยังมีอาตมัน ยังมีปรมาตมัน ยังมีตัวตน ยังมีคู่ทั้งนั้น และไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งที่ยังมีอยู่นั้น ยังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ซึ่งล้วน ไม่ใช่ตัวตนจริง

# # # สุดยอดของความเป็นกลาง ต้องอยู่ข้างดี ข้างถูกตลอดไป

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ ที่บรรลุอรหันต์แล้ว ที่ยังมีชีวิต ยังมีร่างกาย ยังมีกรรม แต่ท่าน ไม่ทำกรรมชั่วแล้ว ท่านทำแต่กรรมดี พระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี เป็นคนที่ เป็นกลางที่สุด และพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า อยู่อย่างไร อยู่อย่าง สัพพะปาปัสสะ อกรณัง ไม่ทำชั่ว อยู่กับบัณฑิต ทำแต่ดี ท่านจะมี กรรมกิริยาอยู่ และกรรมกิริยา ของท่านนั้น ท่านทำแต่ดี จิตท่านบริสุทธิ์ ผ่องใสแล้ว จิตท่านไม่มี กิเลสแล้ว ว่างแล้ว จากกิเลส มีแต่พลังงาน ที่มีปัญญา ตรวจสอบกรรม แล้วก็ทำกรรม ทุกกรรม มีแต่กรรมดี กรรมกุศลทั้งสิ้น ไม่มีกรรมอกุศลเลย นั่นคือ พระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า ต้องเข้าใจให้ดีว่า ธรรมะหรือสัจธรรม ของพระพุทธเจ้านั้น ศาสนาพุทธนั้น ลึกซึ้ง รู้จัก ความดีความไม่ดี หรือบาปบุญ อย่างชัดเจน แล้วก็ไม่ทำบาปใดๆ ทั้งปวง ทำแต่กุศล เท่านั้น ไม่สันโดษในกุศลด้วย พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ชัดว่า ท่านเอง ท่านเป็นผู้ ไม่สันโดษในกุศล มุ่งทำกุศล เพราะงั้น ถ้าจะบอกว่า ท่านเอียง ไม่เอียง พระพุทธเจ้า ท่านอยู่ข้างฝ่ายดี เข้าอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับ บัณฑิต และก็ทำ แต่ส่วนดีกัน ชักจูงกันทำดี สิ่งไม่ดี ท่านก็ออกมา จากอันนั้น หรือช่วยกัน ลดละทำลาย อย่าให้เกิด สิ่งที่ไม่ดีนั้น ถ้าไปทำลาย แล้วก่อให้เป็นเชื้อพยาบาท เป็นเชื้อที่จะเชื่อมโยง เป็นเวรานุเวร ท่านก็ไม่ไปทำด้วย ท่านก็ทำ ในสิ่งที่ไม่ไปเชื่อมต่อ เป็นเวรานุเวร ทำแต่สิ่งที่ดี

# # # พระอรหันต์มีสิทธิปรินิพพาน เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ท่าน จะปรินิพพานหรือไม่.. เรื่องของท่าน

อันใดที่ไม่ดี มันก็จะทำลาย ตัวเขาเอง หรือถูกสิ่งที่ไม่ดีด้วยกัน ทำลายกันไปเอง ตามเวรานุเวร ของเขา ส่วนผู้ที่ทำดีนั้น ก็ทำไปด้วยกัน ทำไปด้วยกัน จนกว่า จะมีนิพพาน เมื่อมีนิพพานแล้ว จะปรินิพพานคือ นิพพานสุด ดับหมดเลย รอบถ้วน ไม่เหลืออะไร อีกแล้ว ปรินิพพาน ก็จะไม่มีเหลือ ในอาตมัน หรืออัตภาพ อัตตาของ ผู้นั้นๆ จบสุด เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านเอง ท่านตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็ตรัสว่า คนจะเห็นเรา แต่เฉพาะชาตินี้ เท่านั้น ตายจากชาตินี้ไปแล้ว ใครก็จะไม่เห็น ไม่รู้ไ ม่สัมผัสเราได้อีก เปรียบเหมือน พวงมะม่วง เมื่อตัดจากขั้ว ของมันแล้ว ก็จะเหลือแต่ เศษมะม่วง แตกกระจายไป ความเป็น มะม่วงนั้น ขาดจากขั้ว จากต้นมาแล้ว ก็จะไม่มีการเจริญอะไรอีก ก็จะไม่มีอะไรอีก จบ เหมือนขั้วมะม่วง ที่ถูกตัดออกมา ฉันใดฉันนั้น นี่พระพุทธเจ้า ท่านตรัส เป็นชาติสุดท้าย

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ก็ดี ที่จะปรินิพพานทุกพระองค์ มีสิทธิที่จะปรินิพพาน เช่นเดียว กันกับ พระพุทธเจ้า ส่วนท่าน จะปรินิพพานหรือไม่ หรือท่านจะเกิดอีก ตามนัยที่ อาตมากล่าวแล้ว ในยมกสูตร (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๗ ข้อ ๑๙๘-๒๐๔) กล่าวแล้วว่า ท่านจะเกิดอีก ก็เป็นเรื่องของท่าน อย่าไปยุ่งกับท่าน นี่เป็นความลึกซึ้ง ที่อาตมา นำมาเปิดเผย นำมาอธิบาย สู่กันฟัง

เอาละ ถึงเวลาที่จะได้ยุติแล้ว ก็ขอให้พวกเราทุกคน จงทำความเข้าใจ และก็คงจะ เบิกบานใจ และก็คง จะไม่ล้าอ่อน เพราะมันไม่ควรจะล้าอ่อน ถ้ามีปัญญาเข้าใจ สิ่งจริงนี้ แล้วเรา จงกระทำสิ่งนี้ ให้มันแข็งแรง ให้มันบริบูรณ์ ให้มันสมบูรณ์ ก้าวหน้าต่อไปๆ ทุกคนเทอญ.