หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >สารอโศก. สารอโศก
ฉบับที่ 292 กุมภาพันธ์ 2549 หน้า ๑ โลกนับวันจะต้องการ"กองทัพธรรม" มากขึ้น-สูงขึ้นเป็นทวี - สมณะโพธิรักษ์ -
หน้า ๓ ทุกๆเช้าที่สมณะ-สิกขมาตุออกบิณฑบาตผ่านร้านรวงรอบๆทำเนียบ ในช่วงที่มีการชุมนุมอย่างสันติ(Protest) ชาวบ้านย่านนั้นที่ติดตามข่าวสารของพันธมิตรฯ และกองทัพธรรม หลายคนตั้งใจเตรียมของไว้ใส่บาตรกันทุกวัน สิ่งที่น่าเอ็นดูก็คือการให้เด็กๆตื่นขึ้นแต่เช้า เพื่อคอยใส่บาตรซึ่งเป็นการสะสมจิตใจที่ดีงามให้กับเด็กๆ และถ้าเขาสามารถสะสมสิ่งที่ดีๆให้กับชีวิตของเขาได้อย่างนี้ตลอดไป เมื่อเป็นผู้ใหญ่เขาย่อมประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะชีวิตคนจะดีได้ก็เพราะเขามีจิตใจที่ดีเป็นพื้นฐานมาก่อน และจะน่าประทับใจเพียงใด ถ้าชีวิตของคนเราสามารถหัดให้หัดเสียสละไปตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งถึงวันตายก็ให้ได้แม้กระทั่งอัตตาตัวตนออกไป ชีวิตของเขาผู้นั้นย่อมมีคุณค่าและความประเสริฐเลิศล้ำ ย่อมทำให้สังคมและคนรอบข้างอยู่เย็นเป็นสุขตามเขาไปด้วย การเสียสละแบบเอาชีวิตเข้าแลกของญาติธรรมที่ต้องออกไปนอนกลางดินกินกลางถนน เป็นเวลา ๓๔ วัน ๓๔ คืนที่ผ่านมา นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่พ่อท่านบอกว่า น่าจะมีอาริยะชั้นสูงเกิดขึ้นในงานนี้ เพราะมีโจทย์จริงแบบฝึกหัดจริงที่เข้ามาสลายความยึดถือ(อุปาทาน) ในชีวิตของเราเกือบทุกด้าน ทั้งความสะดวกสบาย ทั้งอาหารการกิน ทั้งห้องส้วมห้องน้ำ ทั้งมีคนมาด่าว่า มีคนมาขู่จะลอบทำร้าย หรือมีข่าวตำรวจมาไล่จับ ทุกนาทีจะต้องเจริญสติอ่านจิตใจให้อยู่เหนือผัสสะต่างๆอยู่ตลอดเวลา ใครสามารถสลายอุปาทานและตัวตนได้มากเท่าใด คนนั้นก็ได้กำไรที่คุ้มแสนคุ้ม ยิ่งอ่านจิตเห็นกิเลสตายได้มากเท่าใด พ่อท่านยืนยันว่า คนๆนั้นก็จะไม่กลัวตายได้มากเท่านั้น ด้วยความศรัทธาที่กล้าเอาชีวิตเข้าทุ่มของญาติธรรม ย่อมก่อให้เกิดผลกรรมที่จะทำให้ชีวิตของเราหลุดออกมาจากสมบัติขี้กะโล้โท้ และโลกียสุขอันจอมปลอมทั้งหลาย สามารถมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ยังกุศลกรรมแต่ละขณะแต่ละวินาทีให้ดีที่สุด และชีวิตที่ไม่มีอะไรตายเป็นตายกันได้อย่างนี้ ย่อมทำให้ได้พบกับความสุขอยู่ทุกๆขณะ เพราะนั่นคือการมอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้า(God) หรือกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธอยู่ทุกๆขณะ นั่นคือชัยชนะของประชาชนที่ไม่มีวันแพ้ตลอดไป - คณะผู้จัดทำ -
หน้า ๔ *** วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เริ่มออกเดินจากถนนราชดำเนินบริเวณกระทรวงการท่องเที่ยว การจัดแถวจัดระเบียบแถวพวกเราทำกันได้อย่างน่าทึ่งน่าอัศจรรย์ จนนักข่าวเขาออกปากชมว่า พวกเราเหมือนกับได้รับการฝึกหัดมาอย่างดี ทั้งๆที่ทั้งหมดนี้เป็นไปโดยธรรมโดยจิตวิญญาณของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ต้องไปหัดหรือไปซักซ้อมกันมาแต่อย่างใด ก่อนออกเดินธรรมยาตราพ่อท่านได้ควักนาฬิกาออกมาดูปรากฏว่าเราเริ่มเดินเมื่อเวลา ๑๒.๐๗ น. และมาถึงเต็นท์ที่พักที่ท้องสนามหลวงเอาเมื่อเวลา ๑๒.๕๗ น. ใช้เวลาเดินทั้งหมดเวลา ๕๐ นาทีเต็มๆ ในช่วงที่อากาศใกล้ๆเที่ยง มีผู้ประมาณในท้องสนามหลวงว่าประมาณ ๓๕ องศาเซลเซียส ซึ่งน่าจะเป็นอุณหภูมิของบริเวณใต้ร่มไม้มากกว่า แต่บริเวณถนนราดยางใกล้เที่ยงนั้นดูเหมือนว่า ไม่ต่างอะไรกับเราต้องเดินกันบนกองถ่านไฟที่วางเท้าไปตรงไหนก็ร้อนไปทุกที่ สมณะเองก็อดนึกถึงเด็กๆที่ยังฝึกเดินยังฝึกถอดรองเท้าได้ไม่นาน แต่เด็กๆก็กัดฟันสู้ เพราะคิดว่าสมณะยังทนได้พวกเขาเองก็ต้องทนได้เหมือนกัน ก็เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างคิดถึงกัน เลยลดความร้อนไปได้เยอะ ส่วนบรรดามืออาชีพสมณะที่ใช้รถก้าวก้าว ที่มีกิจวัตรในการเดินเป็นวัตร อยู่แล้วก็สบายไป รู้จักวิธีวางใจได้อย่างดีเพราะอาศัยวสีหรือความชำนาญที่เดินไปก็วางใจไปไม่ต้องร้อนอะไรเหมือนกับบางท่านหรือบางคนที่นานๆเดินที ในระหว่างทางที่เดินมานั้นพวกเราได้รับทั้งดอกไม้และก้อนหิน เมื่อเดินมาทางสี่แยกคอกวัวก็มีกลุ่มคนปรบมือเชียร์ให้กำลังใจพร้อมกับตะโกนขับไล่นายกฯทักษิณเป็นระยะๆ แต่อีกสักพักเดินมาได้ไม่นานเมื่อมาถึงบริเวณหน้าศาลฎีกา ก็มีเสียงชาวบ้านหันมาขับไล่พวกเราแทน ตะโกนว่า ไม่เอาๆ บางคนก็ตะโกนบอกว่า ทักษิณดีที่สุด แต่ก็มีประชาชนที่อยู่ใกล้ๆกันอดไม่ได้เหมือนกันตะโกนสวนกลับมาว่า ทักษิณเฮงซวย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เหมือนกับพวกเราทั้งคำชมทั้งคำด่าว่าเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นสิ่งที่มาทำให้ชาวอโศกทั้งหมดได้เกิดปัญญา ได้เข้าใจว่าชีวิตในโลกนี้ก็มีเท่านี้แหละมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีเสียงสรรเสริญและนินทา ปัญหาอยู่ที่ว่าใจของเราจะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร อยู่เหนือหมายความว่าอยู่เหนือผัสสะเหล่านี้ โดยไม่ฟูไม่แฟบไปตามคำนินทาและสรรเสริญ ใครมีปัญญาอ่านจิตตัวนี้ได้ก็ได้ชื่อว่า มาร่วมงานฉลองปัญญาสมโภชในครั้งนี้ จำนวนสมณะที่พาเดินธรรมยาตราในครั้งนี้มีด้วยกันถึง ๗๔ รูป มีพระอาคันตุกะ ๘ รูป สิกขมาตุอีก ๒๐ รูป มีกรัก ๓ คน และปะชายปะหญิงอีก ๔ คน ฆราวาสประมาณกันว่าคงจะตกอยู่ไม่ต่ำกว่าเรือนพัน ซึ่งญาติธรรมจากทั่วสารทิศทยอยมารวมตัวกันตั้งแต่วันที่ ๒๔ จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๖ ตอนเช้าก็ยังทยอยกันมาเรื่อยๆ ทำให้จำนวนที่จาก ๖๐๐...๗๐๐...๘๐๐...จึงได้ ๑,๐๐๐ กว่าคน ยิ่งใกล้วันที่ ๒๖ มากเท่าไหร่ข่าวลือก็ออกมามากมายตามไปด้วย ข่าวลือที่สำคัญก็คือข่าวที่ว่าจะมีมือที่ ๓ จะเข้ามาทำร้ายพ่อท่านและคุณจำลอง จนญาติธรรมที่เป็นทหารอยู่ทางด้านฝ่ายข่าวต้องรีบบึ่งรถมาจากต่างจังหวัด เมื่อได้ทราบว่าพ่อท่านจะเป็นหัวแถวเดินนำธรรมยาตรา เขาก็เลยคิดว่าน่าจะได้มาช่วยรักษาความปลอดภัยให้พ่อท่าน การเดินธรรมยาตราจึงได้มีการกำหนดการรักษาความปลอดภัยเอาไว้ว่า ให้มีสมณะเดินขนาบพ่อท่านทั้งสองด้านซ้ายขวา และก็มีญาติธรรมที่ทั้งเป็นทหารด้วย ช่วยอยู่บริเวณใกล้ๆ ในช่วงที่เดินธรรมยาตราเราก็ลองเช็คใจของเราดูว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ร้ายอย่างที่มีข่าวจริงๆ เราจะสามารถตายแทนพ่อท่านได้หรือไม่ โดยปัญญาก็เห็นอยู่ว่า ถ้าชีวิตของเรา ชีวิตอันน้อยนิดที่ไร้คุณค่าอย่างเรา ถ้าจะตายแทนพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณค่าต่อมนุษยชาติอย่างมากที่สุดนี้ มันก็คุ้มแสนคุ้ม หรือไม่ถึงขนาดนั้นถ้าจะตายเพื่อสังคมเพื่อชาติบ้านเมืองก็ย่อมเป็นกำไรมากกว่า เพราะถ้ามันจะต้องตายยังไงๆก็ย่อมเป็นกำไรมากกว่านอนบนเตียงแล้วตายทิ้งไปเฉยๆ ถ้ามันจะถึงคราวตายอย่างที่ข่าวเขาลงแค่กินข้าวเหนียวแล้วนั่งมอเตอร์ไซค์ไป ข้าวเหนียวไปอุดคอก็ตายได้เหมือนกัน แต่แทนที่เราจะตายฟรีๆ ตายแบบไม่มีท่าอะไรนี่ ถ้าเราสามารถตายเพื่อเป็นประโยชน์อะไรมากกว่าอย่างนี้ ยังไงๆมันก็คุ้มกว่าตายฟรีๆอยู่แล้ว จริงๆถ้าตายอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ตายได้ง่ายๆ การตายให้เกิดประโยชน์สูงเป็นคุณค่าให้แก่มนุษยชาติได้อย่างสูง ก็ไม่ใช่ว่าตายได้ง่ายๆเลย แต่ถึงอย่างไรก็ดี การตายแบบนี้ก็ยังเป็นการตายที่มันไม่มีทางเลือก ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการตายที่ได้ประโยชน์สูงสุดและก็ไม่มีโอกาสที่จะทำได้ง่ายๆด้วยเช่นกัน แต่การตายที่สามารถเป็นทางเลือกที่ดีกว่าและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้สูงสุดมากกว่านั่นก็คือการที่เราจะพยายามทำให้กิเลสตาย ถ้าเราสามารถทำให้กิเลสของเราตายได้มากเท่าไหร่นี่ท่านพุทธทาสใช้ศัพท์ว่า ตายก่อนตาย ตายอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้มากที่สุดด้วย และก็สามารถที่จะทำได้ง่ายกว่าด้วยมีโอกาสทำได้มากกว่าด้วยงั้นเราก็สามารถที่จะเลือกตาย เลือกให้กิเลสตัณหาอุปาทานของเราตาย น่าจะเป็นสิ่งที่เราน่าจะเลือกทำได้มากกว่า และก็จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้มากกว่าอีกต่างหาก พ่อท่านบอกพวกเราว่า การมาท้องสนามหลวงครั้งนี้ก็เหมือนกับมาจัดงานปัญญาสมโภชที่ท้องสนามหลวง ซึ่งทุกๆขณะ ทุกๆวินาทีเราจะต้องใช้ธัมมวิจัยอยู่ตลอดเวลา เพราะมีแบบฝึกหัดอยู่ ที่คอยทดสอบเราอยู่ตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ ถ้าใช้ปัญญาไม่สามารถที่จะรู้เท่าทันก็อาจจะสอบตกก็ได้เหมือนพวกเราหลายๆคนตกหลุมรักท่านนายกฯทักษิณ จนสอบไม่ผ่าน เมื่อมีการที่จะต้องต่อต้านเรียกร้องให้ท่านลาออกจากความเป็นนายกฯ ปัญญาของคนของเราหลายคนที่ไม่มีปัญญาที่จะรู้เท่าทันได้นี่ ไม่มีธัมมวิจัยได้มากเพียงพอ ก็ต้องสอบตกในวิชานี้ไปอย่างน่าเสียดาย วันนี้พ่อท่านก็ยังยืนยันเป้าหมายเจตนาของพวกเราที่มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ว่า เราต้องการมาเป็นเพียงแค่หยดน้ำเล็กๆ ที่เข้ามาเจือผสมทำให้เหตุการณ์รณรงค์ประชาธิปไตยในครั้งนี้สงบเรียบร้อยที่สุดและงดงามที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้จัดการชุมนุมมาแล้วถึง ๑๕ ครั้งก็เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไรถ้าครั้งนี้ประชาชนพากันเรียกร้องจนบรรลุผล และเกิดเหตุการณ์ที่สงบเรียบร้อยได้ก็จะเป็นความงดงามยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตยในเมืองไทย เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. ผู้คนก็เริ่มทยอยมาร่วมชุมนุมกันประมาณ ๓๐,๐๐๐ กว่าคนจนตกดึกคนก็หนาแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่สนามหลวงซึ่งไม่น่าจะต่ำกว่าแสนคน ในช่วงเย็นๆ มีสมณะเราไปเข้าห้องน้ำที่รถสุขาของ กทม. ได้ยินประชาชนเขาซุบซิบกันว่า ม็อบมหาจำลอง นับว่าเป็นม็อบที่มีคุณภาพ เพราะเขาจะช่วยกันทำการทำงานช่วยกันเก็บขยะอยู่ในความสงบเรียบร้อย.....ก็เป็นคำซุบซิบที่ชาวบ้านเขามองม็อบของพวกเราอยู่ เวลา ๑๙.๐๐ น. คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เดินทางมาถึงท้องสนามหลวงและก่อนจะได้ขึ้นเวทีปราศัยก็ได้เข้ามากราบพ่อท่าน ซึ่งก่อนจะเดินมาถึงพวกเราก็ได้ปรบมือต้อนรับ สถานการณ์ของคุณสนธิในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับวีรบุรุษที่อาจหาญ เหมือนแจ็คผู้ท้ารบกับยักษ์ที่มีแค่มือเปล่า แต่ต้องต่อสู้กับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในโลกทีเดียว พ่อท่านมาอยู่สนามหลวงในวันนี้ก็มีแขกบุคคลสำคัญเข้ามากราบพ่อท่านเป็นระยะๆ มีทั้งคุณโสภณ สุภาพงษ์ อาจารย์สุเทพ อัตถากร หรือแม้แต่ทนายชำนาญ พิเชษพันธ์ ซึ่งเป็นทนายที่ช่วยว่าความให้เราในคดีสันติอโศก ไม่ได้พบกันนานในครั้งนี้ก็ได้ทักทายและเข้ามากราบพ่อท่านด้วย พ่อท่านพูดถึงสภาพธรรมยาตราที่สมณะนำญาติธรรมเดินในวันนี้ว่า สภาพรูปธรรมของธรรมยาตราในวันนี้มันเป็นเสมือนการนำเอาธรรมะมานำการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นรูปธรรมที่ดีมาก มีญาติธรรมมาเล่าให้ฟังว่า พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งเขาเห็นภาพนี้แล้วเขาเกิดความประทับใจมาก เขาต้องรีบออกมาดู แล้วก็หาซื้อข้าวซื้อของมาถวายให้อีกต่างหาก ในวันนี้มีเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นอยู่ ๒ เรื่องด้วยกันคือ ๑. รถปั่นไฟคันใหญ่เกิดมีไฟลุกไหม้ ซึ่งรถปั่นไฟคันนี้อยู่ใกล้ๆกับเต็นท์ที่พวกเราพักอยู่ ห่างกันไม่ถึงสามสิบเมตรเท่านั้นเอง ควันไฟนี่พวยพุ่งเข้ามาหาพวกเราที่เต็นท์อย่างเต็มที่ แต่ก็ได้เห็นถึงความมั่นคงของพวกเราว่า แม้เหตุการณ์จะเกิดไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาแล้วควันไฟลอยเข้ามาเต็มๆ อย่างนั้นพวกเราก็อยู่ในอาการสงบไม่กลายเป็นเจ็กตื่นไฟจนชุลมุนวุ่นวายเหยียบกันตาย มีพวกเราสังเกตเห็นว่า อุบัติเหตุครั้งนี้น่าจะเป็นการจงใจมากกว่า มีบุคคลผู้ไม่หวังดีพยายามที่จะจุดประทัดเพื่อให้เกิดระเบิดเสียงดังด้วย แต่ก็โชคดีว่าประทัดไม่ดัง หลังจากรถดับเพลิงเข้ามาจัดการแก้ปัญหาแล้วทุกอย่างก็สงบเรียบร้อยด้วยดี ๒. นักข่าวไอทีวีถูกปิดล้อมเพราะประชาชนเกิดความไม่ชอบใจ เนื่องจากประชาชนเข้าใจผิดไปว่า นักข่าวรายงานตัวเลขของประชาชนที่มาชุมนุมเพียงแค่พันกว่าคน ทั้งที่จำนวนคนไม่ต่ำกว่าสี่ห้าหมื่น จึงเกิดการปิดล้อมนักข่าวพร้อมกับโยนขวดน้ำเข้าใส่ แต่เมื่อได้ไปกรอดูรายงานภาพเหตุการณ์ภายหลัง จึงได้รู้ว่านักข่าวไอทีวีไม่มีการรายงานตัวเลขไปแต่อย่างใด ดังนั้นเรื่องเข้าใจผิดเรื่องข่าวลือต่างๆอย่างนี้ค่อนข้างจะมีมากที่ทุกฝ่ายควรจะได้ระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถ้าเกิดความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรนักแก่ภาพรวมของประเทศไทยของเรา *** ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เวลา ๑๖.๐๐ น. ทีมงานที่รับผิดชอบด้านต่างๆประชุมกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการที่จะอำนวยความสะดวก ให้กองทัพธรรมสามารถที่จะดำเนินการไปได้อย่างเรียบร้อยด้วยดี วันนี้ได้มาประชุมรวมกับแผนกต่างๆ ที่มีการแบ่งความรับผิดชอบออกเป็นแผนกครัวกับทำอาหารเลี้ยงกัน แผนกดูแลความปลอดภัย แผนกเก็บบันทึกภาพถ่าย แผนกเก็บข้อมูลที่จะทำเอกสารด้านหนังสือ และก็แผนกเคลียร์พื้นที่ ซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวที่จะเข้าไปจัดตั้งเต็นท์แก้ปัญหาตามจุดต่างๆที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ประชุมกันในเวลาประมาณ ๖ โมงเย็นก็มีข่าวด่วนออกมาว่าท่านนายกฯ ประกาศยุบสภา และจะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน ๓๕ วัน โดยกำหนดให้วันที่ ๒ เมษายน เป็นวันเลือกตั้ง ซึ่งการกำหนดยุบสภาครั้งนี้ก็เป็นมาตรการที่นายกฯพยายามที่จะแก้ปัญหาให้ลดแรงกดดันลงไป แต่ดูเหมือนว่าไม่เป็นการแก้ปัญหาแต่อย่างใด เพราะประชาชนมองเห็นว่าปัญหาอยู่ที่ตัวท่านนายกรัฐมนตรี แต่นายกฯกลับไปแก้ปัญหาด้วยการยุบสภา ด้วยการไปลงโทษสภาให้คนที่สภาเขาลาออกกัน ทั้งๆที่สภาไม่ได้มีความผิดแต่อย่างใด เมื่อไม่ได้แก้ปมที่ชาวบ้านเขาติดใจแต่เหมือนกับเป็นการซื้อเวลาเพื่อที่จะกลับมาเอาหนักกว่าเก่า จึงเพิ่มแรงกดดันให้แก่ประชาชนขึ้นไปอีก ความที่นายกฯ เป็นคนฉลาด สามารถคิดอะไรที่จะได้เปรียบคนอื่นตลอดเวลา จึงมีผลทำให้ยิ่งเพิ่มแรงกดดันกับฝ่ายตรงกันข้าม และยิ่งเพิ่มแรงต่อต้านหนักขึ้นไปอีก จนฝ่ายค้านเขาทนไม่ได้ถึงกับประกาศคว่ำบาตร การเจรจาแต่ละครั้งก็ต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา การแก้ปัญหาของคนฉลาดจึงเป็นการเพิ่มปัญหาเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นๆ หนักขึ้นไปเรื่อยๆ *** วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ วันนี้เป็นวันที่สองของการชุมนุม มีประชาชนขนของมาบริจาคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กองน้ำดื่มขวดน้ำดื่มเริ่มกองพะเนินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ บะหมี่สำเร็จรูปเริ่มทยอยมาเป็นระยะๆ ในวันที่สองมียอดเงินบริจาคถึง ๒ แสนกว่าบาท พ่อท่านบอกว่า พวกเรามาชุมนุมที่นี่ก็จะมาแสดงวิถีชีวิตของเราแบบนี้แหละ อยู่กันสบายๆ ไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเดี๋ยวก็พากันสวดมนต์ สวดมนต์เสร็จก็พากันฟังธรรม ตอนเช้านักบวชก็พากันออกบิณฑบาตในยามเช้า สายมาก็ออกมาทานข้าวร่วมกัน มีข่าวคราวอะไรก็เอามาอ่านสู่กันฟัง ใครร้องเพลงเก่งๆ ก็ออกมาร้องเพลงสู่กันฟัง ชีวิตของเราก็ดำเนินไปอย่างปกติธรรมดาๆ อยู่วัดเป็นอย่างไรมาอยู่ที่นี่เราก็พยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติธรรมดาๆเหมือนอย่างนั้น พ่อท่านให้เรียกการชุมนุมของเราว่า เรามา ดีมอนสเตรเตอร์ Demonstrator เรามา เป็นการมาแสดงความเห็น หรือ โปรเทสเตอร์ Protester แต่พวกเราไม่ใช่ ม็อบ Mob ซึ่งหมายถึงการมาชุมนุมแบบก่อกวนให้เกิดจลาจล ช่วงหัวค่ำ ช่อง ๗ สีได้มาสัมภาษณ์พ่อท่าน ในประเด็นที่ฝ่ายค้านคว่ำบาตรรัฐบาลว่า พ่อท่านมีความเห็นอย่างไร พ่อท่านปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นในเรื่องนี้ ท่านบอกนักข่าวว่ามีผู้รู้เขาวิเคราะห์วิจัยกันอยู่แล้ว ซึ่งประเด็นทางด้านรัฐศาสตร์นั้นไม่ใช่เป้าหมายหลักของเรา ในการที่เรามาร่วมชุมนุมในครั้งนี้เรามีเป้าหมายหลัก ก็เพื่อต้องให้เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้เหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องในครั้งนี้ เกิดความเรียบร้อยเท่านั้นเอง ในด้านรัฐศาสตร์หรือเรื่องการเมืองนั้น เราไม่เก่งอะไรเราไม่มีความสามารถหรือมีความชำนาญทางด้านนี้ พ่อท่านบอกว่า เราคิดว่าเราจะมีน้ำหนักที่จะเข้ามาช่วยให้เกิดความสงบ ไม่ให้เกิดความรุนแรง อันนี้เป็นน้ำหนัก และเป็นเป้าหมายหลักที่พวกเราออกมาชุมนุมกัน ขณะนี้ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดเช่นเดียวกับไทยเป็นเหตุการณ์ต่อต้านขับไล่ผู้นำ แต่ที่ฟิลิปปินส์เกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นต้องมีการประกาศกฎอัยการศึกไปแล้ว ส่วนไทยเรานั้นมีเพียงแค่ประกาศหลักการสันติอหิงสาเท่านั้นเอง และพัฒนาการของกลุ่มประท้วงนับวันก็มีพัฒนาการเพิ่มขึ้น พิธีกรในที่ประท้วงมีการขอร้องสมาชิกไม่ให้กินเหล้าและให้ช่วยงดสูบบุหรี่ เพราะผู้มาร่วมชุมนุมมีทั้งผู้หญิงและเด็ก ก็ได้พยายามรณรงค์ให้ช่วยกันงดสูบบุหรี่ และเมื่อเสร็จสิ้นการชุมนุมแล้วก็ขอร้องให้ร่วมไม้ร่วมมือกันช่วยกันเก็บขยะอีกต่างหากด้วย นับว่าเป็นการชุมนุมที่มีพัฒนาการ แม้ทางตำรวจที่เข้ามาช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยก็ไม่มีการติดอาวุธ แม้แต่กระบองแม้แต่โล่ ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกัน โดยตำรวจจะมาแสดงท่าทีแห่งความเป็นมิตร พยายามอำนวยความสะดวกต่อผู้เข้าร่วมประชุมให้เกิดความเรียบร้อย ซึ่งดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนากับทุกๆฝ่ายที่ตั้งใจให้บ้านเมืองเกิดเรื่องเกิดราวที่เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยด้วยดี ภาคบ่ายมีประชาชนหมุนเวียนมาสังเกตการณ์ที่เต็นท์ของกองทัพธรรมอยู่ตลอดเวลา และมีหลายๆคนแสดงความคิดเห็นว่า พวกเราที่มาอยู่รวมกันนับพันนี้น่าจะมีกิจกรรมที่เขาสนใจ เช่นให้คนหนุ่มสาวของพวกเราออกมาร้องเพลงคนสร้างชาติ มีสมณะบางรูปเสนอว่าน่าจะตั้งวงตอบปัญหาให้กับประชาชนที่มามุงดูพวกเรา เผื่อใครสนใจอยากจะเคลียร์ปัญหาก็จะได้สามารถแก้ปัญหาได้ แต่พ่อท่านไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าสมณะเราจะถูกรุมกินโต๊ะมากกว่า ซึ่งนับว่าเป็นการเสี่ยง ถ้าเกิดการโต้เถียงโต้แย้งกันก็จะทำให้เกิดภาพที่ไม่ดีออกไป เพราะในขณะนี้ความคิดของประชาชนยังมีความเห็นแตกแยกกันอยู่มาก มีสมณะบางรูปมารายงานว่า เมื่อสมณะเราเดินไปใช้ห้องน้ำที่ธรรมศาสตร์ มีคนที่แต่งตัวดูดีเดินเข้ามาต่อว่าต่อขาน ซึ่งบ่งบอกถึงความเข้าใจไม่ได้ในการที่พวกเราออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านในรูปแบบของนักบวชในครั้งนี้ ซึ่งก็น่าสงสารในความยึดถือเก่าๆที่เขามี พ่อท่านเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ แม้แต่ญาติธรรมบางคนก็ยังทำใจไม่ได้ ถึงกับเอารูปเก่าๆของสมณะที่เคยถ่ายใส่กรอบไว้ จับโยนทิ้งลงถนนหมด แม้หนังสือธรรมะก็เอามากองทิ้งตามถนนเช่นกัน พ่อท่านบอกว่าก็ต้องเห็นใจกัน เหมือนคนที่ต้องกลายไปเป็นเมียโจรแล้วหลงรักโจร ถึงเราจะไปบอกให้เขารู้ตัวเขากลับจะทำร้ายเราก็ได้ เพราะเขามีความเข้าใจและความเชื่อถือแบบนั้น ในตอนเย็นมีหญิงสาววัยกลางคนเขาบอกว่า เขาเพิ่งเดินทางมาจากอเมริกาเข้ามากราบพ่อท่าน เธอได้แสดงความประหลาดใจกับข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างมาก เพราะเธออยู่อเมริกานี่เธอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองไทยได้เป็นอย่างดี ว่ากำลังมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่พอเธอมาถึงเมืองไทยและได้มาคุยกับคนไทยที่นี่ คนไทยที่อยู่ที่นี่ตลอดเวลามีไม่กี่คนที่สามารถรับรู้ได้ว่า ผู้นำของเขามีปัญหากับบ้านกับเมืองอย่างไร เป็นสิ่งที่เธอประหลาดใจมาก เมื่อเธอได้มาเหยียบผืนแผ่นดินไทยของเธอเอง ตกเย็นรายการบนเวทีใหญ่เริ่มกันประมาณ ๕ โมงเย็นวันนี้ แม้จะเป็นวันที่สองของงานเนื้อหาที่นำเสนอก็ยังเข้มข้นเหมือนวันแรกมีคิวของนักร้องและนักพูดอยู่เพียบ ยิ่งดึกๆก็ยิ่งหนักขึ้นวันนี้มีป๋าเหนาะมาทิ้งไม้เด็ด ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งบรรยากาศในคืนนี้มีบุคคลสำคัญๆมาร่วมแสดงตัวอยู่บนเวทีกันอยู่หลายคน ตอนเที่ยงคืนคุณสนธิได้ออกมาประกาศว่า คณะแกนนำของพันธมิตรได้ตกลงกันว่า เวลาเที่ยงคืนจะพากันเคลื่อนขบวนออกเดินไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อจะได้ประกาศเจตนารมณ์ในการต่อสู้ที่จะรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง จึงขอให้พี่น้องทั่วทั้งประเทศมาร่วมกันชุมนุมขับไล่นายกฯ ทักษิณให้ออกไปในวันที่ ๕ มีนาคมซึ่งจะถือว่าเป็นวันประกาศขับไล่ทรราชออกไปจากเวทีการเมือง *** วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ตอนเช้าสมณะก็ยังออกบิณฑบาตบริเวณเสาชิงช้าตลาดบางลำภู และแถวๆตลาดท่าพระจันทร์ ก็มีผู้คนพากันใส่บาตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เป็นวันที่สามของการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง เมื่อพันธมิตรประกาศว่าจะกลับมาพบกันใหม่อีกในวันที่ ๕ มีนาคม ทางแกนนำของกองทัพธรรมก็ได้ประเมินสถานการณ์กันแล้วดูว่า ถ้าเราเอาคนเป็นพันๆมาอยู่กันเฉยๆ ที่สนามหลวงจะเสียเวลากันไปเปล่าๆ สู้กลับไปตั้งหลักพักผ่อนกันที่วัดก่อนดีกว่า วันที่ ๕ มีนาค่อยมารวมพลังกันใหม่ และก็มีผู้มองในด้านความปลอดภัย เพราะเกรงกันว่าถ้าพวกเราอยู่กันน้อยๆ อย่างนี้ถ้ามีคนแกล้งขึ้นมา ก็อาจจะทำให้มีผลกระทบเสียไปถึงงานใหญ่ได้ ในวันนี้นักข่าวได้มาตั้งคำถามกับพ่อท่านว่าในการชุมนุมสองวันที่ผ่านมาจนถึงวันที่ ๒๘ นี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ พ่อท่านให้คำตอบกลับไปว่าความสำเร็จในเป้าหมายของเราก็คือความสงบเรียบร้อยด้วยดี อันนี้เป็นเป้าหลักส่วนผลในทางรัฐศาสตร์หรือผลในทางการเมืองนั้นเป็นเป้ารอง นักข่าวได้ถามคำถามต่อไปว่าผลสำเร็จนี้ถือว่าเกินคาดหรือไม่ พ่อท่านบอกว่า เกินคาดสิ เพราะพวกเราได้มีแบบฝึกหัดที่ได้ฝึกฝนอบรมตนกันมากขึ้น มางานนี้มีทั้งคนขี้เมา มีทั้งคนไม่เข้าใจเรามาคอยตะโกนด่า ซึ่งก็เป็นแบบฝึกหัดที่เราจะมาฝึกปฏิบัติกับจิตใจของเรา มาอยู่ที่นี่ก็มาตั้งตนอยู่บนความยากลำบากมากกว่าอยู่ที่วัด เพราะผัสสะมีมากกว่า สิ่งเหล่านี้การที่เราต้องมาฝึกยากฝึกลำบาก ฝึกปฏิบัติกับแบบฝึกหัดที่มากกว่า นี่ก็เป็นผลที่ได้เกินคาด จนคนที่มาที่นี่ต่างพากันนึกเสียดายกับคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์ต้องมาตกหล่นจากหน้าประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ไป เวลา ๑๒.๐๐ น. กองทัพธรรมทั้งสมณะและญาติธรรมก็ค่อยๆเก็บข้าวของทยอยออกจากสนามหลวงมีสมณะ
๑๐ รูปพากันเดินจาริกกลับไปสู่สันติอโศก ซึ่งในระหว่างทางก็มีชาวบ้านที่เข้าใจไม่ได้
ตะโกนด่าพวกเราเป็นระยะๆ.
หน้า ๑๕ การชุมนุมใหญ่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ท้องสนามหลวง ซึ่งชุมนุมยืดเยื้อเพื่อเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ได้เคลื่อนพลไปทำเนียบรัฐบาลในเช้าของวันที่ ๑๔ มี.ค. ๒๕๔๙ ด้วยบรรยากาศเบิกบาน การชุมนุมเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามด้วยทิวธงและคลื่นมหาชนนับสองแสนคน หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯได้ปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ ณ ท้องสนามหลวง มาเป็นเวลาร่วมสัปดาห์(๕-๑๒ มี.ค.) หลังจากการชุมนุมครั้งใหญ่วันที่ ๕ มี.ค. ครั้งล่าสุด ซึ่งกองทัพธรรมก็ร่วมปักหลักมาด้วยตลอด วันที่ ๑๓ มี.ค. เป็นวันที่พันธมิตรฯ เริ่มทยอยมาที่สนามหลวงเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมชุมนุมใหญ่ในวันที่ ๑๔ มี.ค.อีกครั้ง ในส่วนของกองทัพธรรมจัดประชุมสมาชิกกองทัพธรรมในเช้าวันที่ ๑๓ มี.ค. ระหว่างเวลา ๐๖.๓๐-๐๘.๓๐ น. เพื่อรับทราบร่วมกัน หลังจากนั้นฟังธรรมจากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ตลอดช่วงบ่ายจนกระทั่งดึกระดมแรงช่วยกันทำธงกระดาษ และผ้าคาดศีรษะสีขาว มีคำว่า อหิงสา นอกจากนี้มีการทำธงอหิงสาและธงอโหสิ ด้วยผ้าสีเหลืองผืนใหญ่ ส่วนแม่ครัวแบ่งกำลังสองส่วนคือทีมโรงบุญบริการแจกอาหาร และทีมเตรียมข้าวห่อสำหรับวันต่อไป รายการที่เวทีใหญ่เริ่มในเวลา ๑๗.๐๐ น. มีบทเพลงเพื่อชีวิตจากศิลปินชื่อดัง เช่น พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ คาราวาน และวงอื่นๆ สลับกับการปราศรัยจากบุคคลสำคัญหลายคน รายการมีตลอดทั้งคืนจนถึงวินาทีสุดท้ายของการเคลื่อนขบวน ซึ่งมีกองทัพธรรมเป็นขบวนแรกจัดขบวนนำโดยรถพระพุทธรูป พระพุทธาภิธรรมนิมิตร ปางตรีลักษณ์ ประดับรถด้วยธงอหิสา ต่อด้วยรถประชาสัมพันธ์ ขบวนธงชาติ ธงฉลองครองราชสมบัติครบ ๖๐ พรรษา ธงอหิงสา-อโหสิ และธงสีน้ำเงิน ต่อด้วยขบวนสมาชิกกองทัพธรรม ตามด้วยขบวนพันธมิตรฯกลุ่มต่างๆ โดยมี กลุ่มแกนนำนำหน้าขบวน ระหว่างขบวนคน ๑๐,๐๐๐ คนมีรถประชาสัมพันธ์คั่น ๑ คัน สื่อมวลชนกว่า ๕๐๐ คนคอยบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด การเคลื่อนขบวนมหาชนครั้งนี้ผู้ร่วมชุมนุมมีข้อยึดถือปฏิบัติ ทางสันติวิธี
๔ ห้าม ๓ ต้อง ดังนี้ # ๓ ต้อง ลำดับเวลาและเหตุการณ์สำคัญในการเคลื่อนขบวนมีดังนี้ ช่วงที่ขบวนของแกนนำพันธมิตรฯ เคลื่อนตัวมาถึงบริเวณหน้ากองสลาก ปรากฏว่ามีรถตู้ของตำรวจกองกำกับการสืบสวนนครบาล ๑ วิ่งมาพร้อมกับรถตู้อีกคันของประชาสัมพันธ์ตำรวจนครบาลวิ่งตัดขบวน และวิ่งขนานไปกับกลุ่มของแกนนำ ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับแกนนำทั้ง ๕ คน นึกว่าจะมาอุ้มแกนนำ จึงกระโดดเข้าขวางไม่ให้รถวิ่งขนานไปกับกลุ่มแกนนำ เกิดการโต้เถียงกับตำรวจนอกเครื่องแบบแต่เหตุการณ์จบลงด้วยดี โดยรถตู้ทั้งสองคันยอมวิ่งออกไปเส้นทางอื่น เวลา ๐๗.๑๐ น. หัวขบวนเดินทางถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้รับการต้อนรับจากประชาชนที่รออยู่บริเวณ
๒ ข้างถนนราชดำเนิน ที่ส่งเสียงโห่ร้องและปรบมือ พร้อมกับตะโกนคำว่า "ทักษิณ.....ออกไป....ทักษิณ.....ออกไป....ทักษิณ.....ออกไป....."
อยู่ตลอดเวลา เวลา ๐๗.๒๕ น. หัวขบวนเคลื่อนมาถึงถนนราชดำเนินนอก ผ่านศูนย์สวัสดิการเด็กเยาวชนและสตรี และกระทรวงคมนาคม มีเจ้าหน้าที่ข้าราชการออกมายืนมุงดู เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบปิดประตูรั้วหน่วยงานตนเอง เวลา ๐๗.๔๕ น. ขบวนเคลื่อนถึงบริเวณด้านหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แกนนำสั่งให้ขบวนหยุดพักเพื่อรอขบวนที่ตามมา ซึ่งท้ายขบวนยังอยู่ที่สนามหลวง ผู้ชุมนุมร้องตะโกนขับไล่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อาทิ "เจ๊หน่อย....ออกไป.....เจ๊หน่อย....ออกไป.....เจ๊หน่อย....ออกไป......" อยู่ตลอดเวลา เวลา ๐๘.๐๐ น. ขบวนเดินทางถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และหยุดยืนตรงเคารพธงชาติ และร่วมร้องเพลงชาติไทย ก่อนที่จะเคลื่อนตัวต่อไป ระหว่างนี้มีบริษัทขายน้ำนำน้ำดื่มมาแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมฟรี พร้อมระบุว่าเป็นน้ำกู้ชาติ ส่วนขบวนแกนนำหยุดพักอีกครั้งบริเวณด้านหน้าสำนักงานสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย เวลา ๐๘.๒๐ น. ขบวนเคลื่อนถึงหน้ากระทรวงศึกษาธิการ นายสุวิทย์ ตะโกนบอกให้นายจาตุรนต์
ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตคนเดือนตุลาฯ ลาออกจากตำแหน่ง
มีเสียงผู้ชุมนุมร้องรับอยู่ตลอดเวลา เมื่อขบวนเคลื่อนมาถึงแยกสวนมิสกวันเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนพิษณุโลก
ขณะที่ พล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล ๑ คอยสั่งการตำรวจประมาณ
๕๐๐ นาย เพื่อกันไม่ให้ผู้ชุมนุมเดินตรงไปยังบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เวลา ๐๘.๓๐ น. หัวขบวนเคลื่อนถึงบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล ฝั่งตรงข้ามสำนักงาน ก.พ. มีกลุ่มประชาชนราว ๓๐๐ คน รออยู่ก่อนหน้านี้เพื่อเข้าสมทบการชุมนุม มีข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ออกมาเกาะรั้วสังเกตการณ์ ส่วนท้ายขบวนซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ปิดขบวนด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ออกจากสนามหลวงเวลา ๐๗.๓๐ น. และมาหยุดปักหลักอยู่ที่แยก จ.ป.ร. บนถนนราชดำเนิน ขบวนกลุ่มแกนนำเคลื่อนขบวนข้ามสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง และนายสนธิแยกตัวจากขบวนใหญ่ไปสมทบกับหัวขบวนที่ปักหลักอยู่หน้าสำนักงาน ก.พ. อย่างรวดเร็ว จากนั้นแกนนำทยอยขึ้นเวทีกล่าวปราศรัย ในระหว่างมีการปราศัย รถกองทัพธรรมได้ขนเต็นท์และช่วยกันกางเต็นท์ตามแนวของถนนพิษณุโลก ที่พักของกลุ่มกองทัพธรรมอยู่บริเวณด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) และสำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ภายในเวลาไม่นานการจัดบริเวณที่พักและกองอำนวยการกองทัพธรรมก็เสร็จสิ้น พร้อมปักหลักชุมนุมยืดเยื้อข้างทำเนียบฯ จนกว่านายกรัฐมนตรีจะลาออก ที่เวทีใหญ่บริเวณสี่แยกสวนมิสกวันมีรายการจนกระทั้งเริ่มต้นวันใหม่ของวันที่ ๑๕ มี.ค. และมีต่อเนื่องกระทั่งสาย ในช่วงเช้าตรู่ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์นำสมณะและสิกขมาตุไปบิณฑบาตรอบบริเวณการชุมนุม ในเวลา ๐๖.๓๐-๐๘.๓๐ น. ฟังการรายงานข่าว หลังจากนั้นเป็นการแสดงดนตรีของกองทัพธรรม เวลา ๐๙.๐๐-๑๐.๓๐ น. พ่อท่านแสดงธรรมที่เวทีใหญ่ หลังจากนั้นไปฉันอาหารที่บริเวณเต็นท์กองทัพธรรม และเดินทางกลับสันติอโศกประมาณเวลา ๒๐.๐๐ น. วันนี้ช่วงบ่ายมีการเก็บเวทีที่บริเวณสี่แยกสวนมิกสวัน ย้ายมาที่เวทีหน้าสำนักงาน
ก.พ. ชั่วคราว เนื่องจากมีขบวนเสด็จที่ถนนราชดำเนินนอก หลังจากขบวนเสด็จผ่านจึงมีการจัดเวทีและมีกิจกรรมเช่นเดิม
ในขณะที่เวทีมีรายการปราศรัยดำเนินอยู่ ในช่วงเวลา ๒๐.๒๙ น. มีนายตำรวจหลายนายนำทีมโดย
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. แห่งชาติ ได้เดินเยี่ยมและทักทายผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มต่างๆ
ในช่วงมาถึงบริเวณกองอำนวยการกองทัพธรรม ผู้สื่อข่าวได้ไปสัมภาษณ์ความรู้สึก
ซึ่งท่านได้กล่าวว่า "ก็มาเยี่ยมให้กำลังใจทุกฝ่ายนะ พวกเราความคิดอาจจะไม่เหมือนกัน
แต่ว่าบ้านเมืองก็เป็นของเราทุกคน มีอะไรก็ใช้เหตุใช้ผลมาหากันก็ดี ไม่มีความรุนแรงก็ดี
ร่วมมือกันทุกฝ่ายเชื่อฟังกันก็ดี" หลังจากนั้นไปเยี่ยมผู้ชุนนุมกลุ่มอื่นๆ
บรรยากาศการชุมนุมยังคงคึกคักมีต่อเนื่องตลอดวันตลอดคืน มีประชาชนมาฟังรายการภาคค่ำจำนวนมาก
มีผู้นำน้ำและอาหารมาบริการแจกฟรีหลายเจ้า และกองทัพธรรมก็เปิดโรงบุญพันธมิตรเพื่อให้บริการอาหารและน้ำดื่มแก่ผู้มาร่วมชุมนุม.
หน้า ๒๓ ชัยชนะของประชาชน พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เทศน์ก่อนฉันที่เวทีมัฆวานรังสรรค์ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ # # # เผยสัจธรรมที่ไม่มีอำนาจใดๆล้มล้างได้ ในธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ยืนยันชัดเจนว่า ถ้ายังเห็นแก่ตัว หรือพูดโดยสำนวนที่ท่านพุทธทาสท่านเคยพูดบ่อยๆ ก็คือ เห็นแก่ตัวกู ตัวกูของกู ถ้ามีการเห็นแก่ตัวกูของกูอยู่อันนั้นเป็นเรื่องไม่ดี การเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ผู้อื่นไม่เจือจานไม่เกื้อกูลเผื่อแผ่ออกไปสู่ผู้อื่นมันเป็นภัยแต่ไหนแต่ไรมา สัจธรรมอันนี้ไม่มีอะไรที่จะมาล้มล้างได้ เป็นสัจธรรมที่เที่ยงแท้เป็นสัจธรรมที่ถูกต้องที่สุด แต่คนเราไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าตัวกูของกูคืออะไร ลักษณะอย่างไรมันมีตัวกูของกู มันแสดงบทบาท ออกทางกายกรรม ทางวจีกรรม ก็มาจากมโนนั่นแหละ มันแสดงตัวกูของกูออกอย่างชัดเจนแล้ว ปรากฏออกมาเป็นเรื่องราว เป็นรูปร่างเป็นสภาพที่มันเห็นแก่ตัวอย่างทนโท่ แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจ ไม่รู้ไม่ได้ศึกษา ว่าอันนี้มันเป็นภัยต่อตนและเป็นภัยต่อสังคมอย่างมาก ในความเห็นแก่ตัวที่ไม่รู้ตัวไม่รู้ตนนี่ ศาสนาพุทธสอนเรื่องนี้ และพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เรื่องนี้อย่างสำคัญที่สุด เอามาเผยแพร่ให้แก่สังคมมนุษยชาติ ให้แก่ทุกคน ควรจะศึกษาและก็ควรที่จะได้ปฏิบัติประพฤติเพื่อจะลดตัวตนลดความเห็นแก่ตัวนี้ออกไปให้ชัดเจน # # # การต่อสู้มิติใหม่ : ใช้ความจริงความรู้เข้าสู้กัน การต่อสู้มาถึงวันนี้เป็นอย่างไร ในส่วนภูมิปัญญาอาตมาก็เห็นชัดเจนว่า การต่อสู้มาถึงขณะนี้แล้ว เราประกาศความชนะได้แล้ว มันเป็นความชนะตามสัจธรรม ไม่ใช่เป็นความชนะอย่างที่โลกเขา เข้าใจง่ายๆ ตื้นๆ ชนะอย่างไร? อาตมาอยากจะเปรียบให้เห็นว่าเหมือนกับในสนามมวย คนไปดูมวยที่ชกกัน ๒ ฝ่าย
ชกกันไป ชกกันไป ประชาชนหรือคนดูมวยนี่เห็นแล้วว่าฝ่ายไหนชนะ ทีนี้มวยที่ชกอยู่ขณะนี้มันเป็นมวยที่ไม่ใช่สู้กันตามกฎกติกาแบบเก่าๆ
คือเป็นมวยประเภทที่เรียกว่าไม่ใช่มวยโหดร้าย ไม่ใช่มวยที่จะต้องเผด็จศึก
แบบหมัดน็อคปังเข้าไปชักดิ้นชักงอลงไปกลางเวทีเลย หรือเรียกว่าชกเปรี้ยงแตก
เลือดทะลัก แล้วก็เจ็บปวดหรือล้มตายกันจริงๆ แต่เป็นมวยที่ประกอบไปด้วยความสวยงามเป็นมวยที่มีศิลปวิทยา
เป็นมวยที่มีน้ำใจ เป็นมวยที่ไม่เอาเปรียบ เป็นมวยที่มีลีลาที่น่าดูมาก ประชาชนที่ดูอยู่ในสนามนี่เห็น การมาชุมนุมกันคราวนี้ ก็ขอให้พวกเรานี่ "ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงกันออกมาให้มากๆ หมดๆ" เพราะความจริงหรือสัจธรรมที่แสดงออกนี่แหละ จะเป็นการยืนหยัดยืนยันอย่างแท้จริง อย่างเมื่อคืนนี้ ดร.เสรีออกมาพูดยืนยันประกาศ ไม่รู้กี่ขั้นกี่ตอนที่คุณอัญชลีได้ซัก มันเป็นคำตอบที่ชัด เป็นคำตอบที่จริงที่สุด แล้วการชกคราวนี้นี่คงไม่เป็นการชกที่จะยาวนานเหมือนสงครามครูเสดหรอก มันคงไม่ยืนยาวถึงขนาด ๒๐๐ กว่าปีอย่างนั้นหรอก มันก็เป็นการชกกันช่วงหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อาตมาว่ามีความเจริญ ยิ่งเจริญมากยิ่งขึ้น เพราะเราได้ซักซ้อมได้ฝึกฝน ผู้ที่อยู่ที่บ้านถ้าไม่สะดวกก็มาอย่างที่มานี่แหละ อย่างวันที่ ๒๙ มี.ค. นี่จะไปกันที่สยามพารากอนนั่นก็ว่ากันไป # # # เหตุผลหลัก ๒ ประการ ที่ใช้ตัดสินกันได้แล้ว พลังประชาชนหรือพลังอำนาจอย่างที่กล่าวนี้ มันครบพร้อมหรือยัง? # # # ความแตกแยกแต่ละครั้ง จะสร้างกลุ่มชนที่เกิดปัญญาใหม่ เห็นในสัจธรรมลึกซึ้งขึ้น และโดยเฉพาะสัดส่วนที่มันเกิดขึ้นมานี้ ส่วนที่จะแยกออกไป ตอนแรกนั้นจะไม่ใช่ส่วนใหญ่
ส่วนที่ถูกแยกออกไปตอนแรกจะเป็นส่วนน้อย ส่วนน้อยนั้นจะเป็นส่วนที่มีปัญญาใหม่
มีความเห็นใหม่ มีความเข้าใจใหม่ ที่ลึกซึ้งที่เป็นสัจธรรม เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้
ท่ามกลางศาสนาที่เป็น # # # เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มน่ายินดี ที่จะได้มีการไขความจริงกันให้มากๆ
ให้หมดๆ เพราะงั้นที่มาทำอยู่นี่ทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งลำบากลำบน และไม่ได้หมายความว่า ผู้มาทำนี่น่ะ ทำไปเพื่อประโยชน์ให้สมณะโพธิรักษ์ไปเป็นนายกฯ ให้สนธิ ลิ้มทองกุลไปเป็นนายกฯ เขาก็ประกาศของเขา เขาไม่เล่นหรอกการเมืองน่ะ ยิ่งคุณจำลองก็ประกาศชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ได้เล่นการเมือง อย่างที่มาทำนี่มาทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ละผู้แต่ละคนยืนยันได้เลย ไม่ได้มีอะไรที่จะสื่อว่าเขาทำ ต่อสู้ไป เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ นี่เป็นพันธมิตรหลายกลุ่มมารวมกัน ทำเพื่ออะไร เพื่อประชาชนทั้งมวล จะได้รับประโยชน์ร่วมกัน # # # การเมืองเป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องสนใจ แต่การเมืองนั้นมันเป็นเรื่องของสังคมทั้งประเทศ ใครจะบอกว่าไม่สนใจการเมืองแต่การเมืองก็มาถึงเรา เพราะการเมืองคือเรื่องส่วนกลางของประเทศ เพราะงั้นจะไปบอกว่าการเมืองเราไม่เล่น ไม่เอา ไม่ยุ่ง ไม่ยุ่งการเมือง การเมืองมันก็มายุ่งกับเรา ดีไม่ดีเขาก็มาเอาเรานี่แหละไปเป็นเบี้ยในกระดานของเขา โดยที่เราทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่คนฉลาดก็มาจับเอาเรานี่แหละไปเป็นประโยชน์ของเขา ถ้าอย่างนั้นน่ะเสียท่าด้วยซ้ำไป จึงจำเป็นที่คนทุกคนจะต้องรู้การเมือง เช่นเดียวกันกับคนทุกคนจะต้องเข้าใจเรื่องกฎหมาย กฎหมายที่ประกาศออกมาแล้ว และเอามาใช้ในประเทศ ทุกคนจะบอกว่าไม่รู้นี่กฎหมายเป็นอย่างไรไม่ได้ ถ้าใครทำผิดกฎหมายก็ต้องโดนจับเป็นธรรมดา จะไปบอกว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ฉันเดียวกัน ในการเมืองที่มีบทบาทลีลาอะไรอยู่ก็ตามที่เป็นการเมือง ทุกคนจะต้องอยู่ในข่ายเท่าที่การเมืองเป็นกฎเกิดอยู่ และทีนี้การเมืองนี่มันเป็นระบบ ที่มีพรรคมีพวกมีการถ่วงดุลกัน ลักษณะประชาธิปไตยนี่ จะต้องมีฝ่ายเสนอกับฝ่ายค้านเหมือนกับเรื่องของการโต้วาที จะต้องมีฝ่ายเสนอกับฝ่ายค้านเสมอ ถ้าปล่อยให้มีแต่ฝ่ายเสนอไม่มีฝ่ายค้าน มันไม่ใช่ประชาธิปไตย นั่นเป็นลักษณะของการเมืองเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ มีอำนาจเดียว แล้วก็ดำเนินกันไป อย่างงั้นมันใช้ไม่ได้ แต่ที่จริงแล้ว ประชาธิปไตยนั้นจะต้องมี ๒ ฝ่าย จะต้องมี ๒ คณะ จะต้องมี ๒ พวก พวกหนึ่งที่อนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการไป ก็ดำเนินการไป ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นจะต้องตรวจสอบ จะต้องดูแล จะต้องถ่วงดุลไว้ จะต้องไม่ให้หลงระเริงหรือไม่ให้ทำอะไรตามอำเภอใจ ทำอะไรมักง่าย ทำอะไรไม่รอบถ้วน เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะที่ดีที่สุด ขณะนี้ระบอบปกครองบริหารประเทศทุกประเทศก็เข้าใจแล้วว่า ไม่มีระบอบอะไรที่ดีกว่าระบอบประชาธิปไตย # # # อัตตาธิปไตย-โลกาธิปไตย-และธรรมาธิปไตย เป็นฉันใด? ยิ่งผู้ที่มีความรู้ความสามารถเผด็จการอยู่นั้นบริหารประเทศอยู่นั้น มีภูมิธรรมมีธรรมะอันยิ่ง เป็นระดับโลกุตรธรรมด้วย อันนั้นแม้จะชื่อว่าระบอบเผด็จการก็ตาม แต่ก็เป็นการบริหารที่มีธรรมะก็เป็นธรรมาธิปไตย แม้แต่ในลักษณะที่จะเอาความเป็นส่วนรวมส่วนกว้างของประชาชน ซึ่งเรียกลักษณะแบบนี้ว่า โลกาธิปไตย มันมีคำของพระพุทธเจ้าอยู่ ๓ คำคืออัตตาธิปไตยโลกาธิปไตย และธรรมาธิปไตย เรื่องอัตตาธิปไตยก็คือเอาความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ถูกผิดยังไงไม่รู้ล่ะ
มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะก็ไม่รู้ล่ะ เอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่ นั่นเรียกว่าอัตตาธิปไตย
# # # สนามปฏิบัติธรรมเพิ่มกำลังจิตพิชิตมรรคผล อาตมามาที่นี่ มีคนมากราบขอขมาอย่างมาก ทั้งคนในต่างประเทศ มาทั้งคนในประเทศ แต่ก่อนนี้ผม ดิฉัน ไม่เข้าใจท่าน ได้ละลาบละล้วงท่าน ได้ล่วงเกินท่าน ยังไงๆก็ขออโหสิให้ผมให้ดิฉันด้วยนะครับนะคะ มากราบขอขมาอย่างนั้นจริงๆ มาขอขมาเพราะได้มาเห็น ไม่ได้เห็นตัวอาตมาเท่านั้น ได้เห็นมวลหมู่ของชาวอโศก ทั้งสมณะชาวอโศก ทั้งฆราวาสชาวอโศก ที่มารวมกัน เป็นปึกแผ่นหลายผู้หลายคนและก็ดำเนินชีวิตอยู่ มีอิริยาบถอยู่ตามความเป็นจริง เขาลดมายังไง เขาละมายังไง เขามาเสียสละยังไง เขามามักน้อยสันโดษยังไง เขามามีชีวิตยังไง คนเขาดูด้วยตา สัมผัสด้วยตาเขาก็เห็นนะ เขาเห็นเขาเข้าใจ และยิ่งนานวัน มันเป็นข้อพิสูจน์ ก็ขอให้กำลังใจแก่พวกเรา คำว่า "ล้า" นี่ขอเลย แต่ขอจะได้หรือไม่ได้แล้วแต่ ฟังเอาก็แล้วกัน คำว่าล้าหมายความว่ามันชักจะถอยแล้ว มันชักจะไม่เอาแล้วนะ ขอยืนยันว่าไม่ใช่ ไม่ล้าหรอกนะ ไม่ล้าแน่นอน เพราะว่าพวกเรายิ่งทำ พวกเราก็จะยิ่งเข้าใจ ยิ่งจะเป็นผู้ที่ได้สร้างเสริมพลังจิตจะยิ่งได้มรรคได้ผล จิตจะยิ่งได้ลดละกิเลส จิตจะยิ่งเห็นสิ่งที่ดี สิ่งที่งามสิ่งที่เกิดการละลด เกิดการเจริญก้าวหน้า ได้รับความรู้ สนามนี้เป็นสนามแห่งความรู้ ใครมานี่ เย็นมาเลย ประเดี๋ยวก็มานั่ง ประเดี๋ยวก็ฟังไป # # # นวัตกรรมของการเมืองไทยกับชัยชนะของประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ อาตมาก็ขอยืนยันตามประสาอาตมาว่าตัดสินแล้ว เพียงพอแล้วว่าการชนะในการมาต่อสู้นี้ ภาคภูมิใจไปเถอะนะว่าพวกเรานี้ชนะแล้ว แม้อนาคตนั้น จะถูกกรรมการ จับมืออีกฝ่ายหนึ่งชนะ มันก็เป็นกติโกงไม่ใช่กติกาหรอกนะ เป็นกติโกง การจะชนะอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องไปประหลาดใจอะไร เพราะในโลกในสังคมโดยเฉพาะเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ใหม่ เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด เป็นลักษณะของสังคมที่เกิดใหม่ ย่อมยากที่จะทำความเข้าใจ พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องใช้เรี่ยวแรงใช้เวลาใช้ความสามารถให้มากที่สุด มารวมกันให้มาก มาช่วยกันให้มาก ต้องยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงกันออกมาให้มากๆ หมดๆ จริงๆ อย่างนี้แหละเป็นลักษณะที่จะต้องทำกันเพื่อที่จะได้เกิดผล การชนะคราวนี้จึงไม่ได้ชนะด้วยเรี่ยวด้วยแรงด้วยหมัดด้วยมวย ด้วยเลือดด้วยเนื้ออะไรที่จะต้องไปเข่นฆ่ากัน อย่างที่เป็นนิยายบทเก่า แต่จะชนะกันด้วยลักษณะสังคมแบบใหม่ เป็นประชาธิปไตยแบบใหม่ เป็นการต่อสู้ของการเมืองแบบใหม่ ที่จะดำเนินต่อไป อาตมาว่าบทแรกของการต่อสู้สังคมอันนี้ เป็นบทแรกที่เกิดมาในขณะนี้ เหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา อาตมาเป็นครูที่จะต้องให้คะแนนสอบ หรือแม้จะเป็นตุลาการ อาตมาก็ตัดสินให้ชนะได้แล้ว ต่อจากนี้ไปมีแต่กำไรกับกำไร จนกว่ามันจะเข้าใจกันในสังคมส่วนกว้างรอบกว้างที่จะเข้าใจว่าบทบาท สิ่งที่เกิดขณะนี้มันคืออะไร และต่อไปคืออะไร นั่นเป็นคำตอบที่จะตอบต่อไปในอนาคต ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ปรากฏยืนยันขึ้น # # # การต่อสู้มิติใหม่ ที่ยังไม่เคยมีในโลกนี้ อาตมามองตามประสาอาตมาว่า อาตมาเป็นคนการศึกษาน้อย มองไปทั่วประเทศ ทั่วโลก เห็นว่าในโลกก็ยังไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แม้ใครจะยังไม่เห็น อาตมาก็ขอยืนยันตามประสาว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นความสวยสดงดงามของสังคมมนุษยชาติเพราะเป็นการต่อสู้ที่สันติอหิงสา ได้ลักษณะขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะ เขาบอกว่าเขาตำหนิติเตียนพวกเราอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ยังพูดหยาบก็มี หยาบอยู่จริงๆ คนที่ลดการพูดหยาบลงก็มีแล้ว ผู้ที่ท่านเองท่านพูดหยาบออกมาบ้าง ท่านเองท่านอดทนไม่ไหว มันอัดอั้น มันจึงแรง ทั้งแรงและก็ส่วนหยาบด้วย บางพวกบางผู้ท่านก็ไม่หยาบหรอกท่านก็มีแต่แรง บางคนเขาก็ไม่ชอบแรงๆ ก็มีความแรง มีความหยาบออกบ้าง ก็ต้องให้เห็นใจบ้าง เพราะว่า หนึ่งมันเคยชินเคยติดมา เคยมีมา มันก็เลยจะต้องมาออกเมื่อเหตุปัจจัยข้างในใจมันอัดมันอั้น เมื่อมันถึงวาระ มันมีหมู่มีพวกด้วย มันมีเวลา มีโอกาสที่ควรแสดงออกด้วยก็เลยแสดงออกมาเต็มที่ อย่างที่ท่านได้แสดงก็ต้องให้เข้าใจว่ามันเป็นช่วงแรก มันจะทำให้งามทีเดียวไม่ได้หรอก เหมือนกับเราสร้างรูป เวลาเราสร้างรูปขึ้นมาพอรูปขึ้นมาได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมามันก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า สเก็ตช์ หรือว่ารูปที่โกลนขึ้นมาได้รูปร่างที่โกลนขึ้นเท่านั้น มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์ เป็นเพียงโครงสร้าง แล้วต่อไปก็ค่อยๆตบแต่งขัดเกลา ค่อยๆทำ ไล่สี ไล่เงา ทำความเรียบร้อย ทำจุดที่มันบกพร่อง อะไรที่มันยังไม่ได้สัดส่วนที่สมบูรณ์ก็ตกแต่งกันขึ้นไป ประกอบกันขึ้นไป จัดสรรกันขึ้นไปมันก็จะค่อยๆงดงาม จะได้รูปได้ร่าง ได้สิ่งที่สมบูรณ์แบบขึ้นไปตามลำดับ ในอนาคตก็จะมีรูปลักษณ์ของวัฒนธรรมประชาธิปไตยบทนี้สมบูรณ์ได้ # # # ชีวิตคุ้มค่า ถ้าได้ช่วยกันออกมาสร้างประวัติศาสตร์ที่ดีๆ เรื่องที่ดีๆ ที่สำคัญอันนี้ ที่ก่อเกิดนี้ แม้ผู้คนส่วนใหญ่ อาตมาไม่อยากจะไปดูถูกคนส่วนใหญ่นะ อาตมาว่าคนส่วนใหญ่น่าจะเข้าใจได้แล้วล่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อาตมาว่าถ้าไม่ดี รูปร่างของการเกิดอันนี้นี่ไม่เล็กนะ หมู่กลุ่มพันธมิตรที่กระทำอยู่ขณะนี้นี่ไม่เล็ก นอกจากไม่เล็กแล้วก็ยังทำงานต่อเนื่อง ถ้าจะเรียกว่ามันมีส่วนรุกมั้ย รุกไปอยู่ รุกแล้วก็ได้แนวร่วมมั้ย ได้ อย่างเมื่อวานนี้ไปเดินมาจากสนามศุภชลาศัยโน่นน่ะ จะไปที่ห้างดิเอ็มโพเรี่ยม ไปแค่ตอนแรกจำนวนประมาณ ๒,๐๐๐ ไปตั้งกลุ่ม ๒,๐๐๐ เดินออกมา จนกระทั่งเป็นจำนวน ๑๐,๐๐๐ เขาบอกว่าหลายหมื่น จะถึง ๑๐๐,๐๐๐ เอาแน่ะ แต่คงไม่ถึง ๑๐๐,๐๐๐ หรอก หลายหมื่นโอ้โฮแน่นไปหมดเลย คือเรียกว่าคนเข้าใจแล้วออกมาร่วมกันพรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บ-พรึ้บเลย สิ่งอย่างนี้เป็นสิ่งที่ส่อแสดงด้วยชี้บ่งว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ดีแล้ว จะบอกว่าคนส่วนมากที่บอกว่า ยังไม่รู้ อาตมาว่ารู้ แต่ยังไม่เป็นโอกาส ยังไม่เป็นเหตุปัจจัยที่มันได้เหตุปัจจัยที่สมบูรณ์ หรือไปประจวบเหมาะกันเข้าไปเผชิญกันเข้าก็ได้อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามก็แล้วกัน ก็ขอให้กำลังใจต่อผู้ที่มาร่วมทำงานกัน ณ ที่นี้ ซึ่งจากวันนี้ไปวันที่ ๒๙ มี.ค. ก็คงจะมีอะไรต่ออะไรที่จะเปลี่ยนแปลง หรือจะปรับปรุงไปตามผู้ที่เป็นคณะบริหารคณะจัดการอะไรกันอยู่ก็จะช่วยกันคิด ช่วยกันทำช่วยกันปรับปรุงไป # # # ลุยให้เต็มที่ ถ้ามั่นใจว่าสิ่งนี้ดีจริง ! ในฐานะที่ยังเป็นคนที่มีชีวิตชีวายังมีการดำเนินไปอยู่ เราจึงต้องคำนึงถึงสภาพที่เราต้องมีคู่ เพราะฉะนั้นคู่นี้ก็ต้องเปรียบเทียบกันตลอดเวลา อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด แล้วเราก็จะต้องอยู่ในฝ่ายถูก อยู่ในฝ่ายดี นั่นคือความเป็นกลาง นั่นคือความเป็นกลางฟังให้ดี ในลักษณะที่คนยังเกิด คนยังมีสิ่งที่ยังมียังเป็นอยู่นั้นจะต้องมีคู่ มีสภาพคู่ มากหรือน้อยเท่านั้น ไม่ให้มีคู่ไม่ได้ ในสภาพที่ยังเป็นยังมีอยู่ต้องเป็นคู่ ถึงจะดำเนินไป ถ้ามีเดี่ยว ก็นับวันที่จะดับและสูญเพราะฉะนั้นเดี่ยวจริงๆนั้นคือ สูญ หรือ นิพพาน นั่นคือสูญ เพราะงั้นยังมีอยู่ยังมีอาตมัน ยังมีปรมาตมัน ยังมีตัวตน ยังมีคู่ทั้งนั้นและไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งที่ยังมีอยู่นั้นยังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ซึ่งล้วนไม่ใช่ตัวตนจริง # # # สุดยอดของความเป็นกลาง ต้องอยู่ข้างดี ข้างถูกตลอดไป # # # พระอรหันต์มีสิทธิปรินิพพานเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านจะปรินิพพานหรือไม่..เรื่องของท่าน เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ก็ดีที่จะปรินิพพานทุกพระองค์ มีสิทธิที่จะปรินิพพานเช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ส่วนท่านจะปรินิพพานหรือไม่ หรือท่านจะเกิดอีกตามนัยที่อาตมากล่าวแล้วในยมกสูตร (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๗ ข้อ ๑๙๘-๒๐๔) กล่าวแล้วว่าท่านจะเกิดอีกก็เป็นเรื่องของท่าน อย่าไปยุ่งกับท่าน นี่เป็นความลึกซึ้งที่อาตมานำมาเปิดเผยนำมาอธิบายสู่กันฟัง เอาละ ถึงเวลาที่จะได้ยุติแล้ว ก็ขอให้พวกเราทุกคนจงทำความเข้าใจและก็คงจะเบิกบานใจ
และก็คงจะไม่ล้าอ่อน เพราะมันไม่ควรจะล้าอ่อนถ้ามีปัญญาเข้าใจสิ่งจริงนี้
แล้วเราจงกระทำสิ่งนี้ ให้มันแข็งแรง ให้มันบริบูรณ์ ให้มันสมบูรณ์ก้าวหน้าต่อไปๆ
ทุกคนเทอญ.
หน้า ๔๑ บทเสวนาถึงมิติใหม่ ของการต่อสู้ คุณสนธิ : จะมากราบขอบคุณพวกญาติธรรมทั้งหลายนะฮะ ทุกๆท่านนะฮะ ค่ำของวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ ณ ที่ชุมนุมท้องสนามหลวง *** นัยของอหิงสา : ยุทธศาสตร์ในการกู้ชาติของคานธี *** นัยของอหิงสา : ยุทธศาสตร์ในการกู้ชาติของคานธี *** นัยของอหิงสา : ยุทธศาสตร์ในการกู้ชาติของคานธี
หน้า ๔๖ ผ่าน ไปแล้วกับการชุมนุมเพื่อร่วมกันเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ผู้ได้รับเลือกจากประชาชน ๑๙ ล้านเสียงให้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่
๒๓ ของประเทศ กลุ่มที่ชุมนุมเรียกร้องเหนียวแน่น นอนกลางดินกินกลางถนน ทนฟังเสียงรถแทนจักจั่น
เรไร แถมยังมีถูกรถทับตาย ต้องยกนิ้วให้เหล่านักรบ "กองทัพธรรม"
ของ มหาจำลอง ศรีเมือง ที่เดินทางกันมาชุมนุมกินนอนอยู่ถึง ๓๔ วัน ๓๔ คืน ชัยชนะเบื้องต้นได้รับการโหวตให้เป็นพลังสามัคคีของเหล่าสมาชิกกองทัพธรรม
ภายใต้เครื่องแบบกางเกงขาก๊วย เสื้อม่อฮ่อม สังกัดสำนักสันติอโศก ของ พ่อท่านโพธิรักษ์ ขวัญดิน สิงห์คำ หญิงเหล็กแห่งกองทัพธรรมเล่าว่า ชาวชุมชนอโศกใช้ชีวิตในหลักเศรษฐกิจแบบบุญนิยม
คือ "นิยมในบุญ" ใครจะเข้าเป็นสมาชิกได้ต้องผ่านการทดสอบมากมาย สำหรับคนมีหนี้สิน อย่าคิดหนีหนี้เข้าชุมชนอโศก เพราะเขาไม่ให้เข้าจนกว่าจะทำงานจนใช้หนี้หมดก่อน ปัจจุบันสมาชิกสามัญของชุมชนอโศกมีประมาณหลายหมื่นคน และส่วนที่ไม่เป็นสมาชิก
แต่มาร่วมกิจกรรมอยู่ประจำก็มีมาก ขวัญดินยังบอกอีกว่า แม้มาไล่นายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้เกลียดนายกฯ ทันตแพทย์หญิงฟ้ารัก ทิพยธรรม เป็นอีกคนที่เล่าว่า คนที่ไม่เข้าใจเขาก็เกลียดเรา
เห็นเราเป็นอีแร้งกินของเน่าเหม็น รังเกียจเรา แต่เมื่อมาเห็นจริงๆว่าเรา "ที่คนคิดอย่างนั้น ด่าเราอย่างนั้น เพราะยุคก่อนๆ เราไม่ส่งเสริมการสร้างพระ เราจะมีพระองค์เล็กๆ หรือไม่มีเลย เพราะเราคิดว่าเงินทุกบาททุกสตางค์เราจะทำหนังสือแจก เราเผยแพร่ธรรมะ แรกๆเราฐานะยากจน เราถือว่าสร้างปัญญาให้กับประชาชน ที่สำคัญสันติอโศกจะไม่มีการเรี่ยราย เพราะพระถือเงินไม่ได้ หลายคนจึงว่าเราไม่ใช่พุทธ แต่ถ้าคนมีปัญญาจะรู้ว่านี่แหละคือพุทธที่แท้จริง" ทั้งหมดของการมาชุมนุม ๓๔ วัน ๓๔ คืน บนถนนคอนกรีตของคนเหล่านี้ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวว่า - ชมพูนุท นำภา -
# # # สมณะโพธิรักษ์ เราไม่ใช่นักการเมือง เรามีหน้าที่ปฏิบัติธรรม ทีนี้การปฏิบัติธรรมจริงๆ
มีความนิ่ง มีความสงบ ความไม่รุนแรง มีความอดทน มีความเกื้อกูลเมตตากรุณาพอสมควร
ก็คิดจะมาช่วยเสริมกลุ่มนี้ เพราะเห็นทำมาแล้วหลายครั้ง เราก็เห็นว่าเป็นความงามของประชาธิปไตย
จึงอยากมาเสริม เหมือนเป็นน้ำเย็นหยดหนึ่งที่มาเสริมให้เย็นต่อไปอีกจนจบให้ได้
นี่เป็นเป้าหมายที่มา อาตมามีโอกาสเทศน์ที่สนามหลวง ก็มีผลทำให้คนสงบขึ้น หลายคนที่มาแรง บางคนจะมาฆ่าตัวตายที่เวที
บอกว่าแค้นมาก เตรียมน้ำมันมาพร้อมจะเผาตัวบนเวที เราก็ช่วยกันจนเขาเปลี่ยนใจ
หน้า ๕๓
สันติอโศก # ปุจฉา เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่เรากล่าวกันว่า ศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้น จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง ศาสนานั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองแน่ แต่จะเกี่ยวอย่างไรจึงจะไม่กลายเป็นเอา"การศาสนา"ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองการนั้น นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเฉพาะส่วนของพระพุทธศาสนานั้น ท่านวางหลักไว้ชัดว่า ศาสนาเกี่ยวกับการเมืองก็ตรงที่ นักการเมืองต้องเป็นผู้ที่มี"ศาสนธรรมประจำใจ" หรือ "นักการเมืองต้องเอาศาสนธรรมไปประพฤติปฏิบัติในขณะที่เป็นนักการเมือง" เพราะหากนักการเมืองไม่มีธรรม การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อ"มหาชน" ก็จะดำเนินไปไม่ได้ หรือถึงเป็นไปได้ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องเพราะนักการเมืองที่ขาดธรรมนั้น จะเป็นได้อย่างดีก็เพียง "นักฉกฉวยผลประโยชน์จากประชาชนมาเป็นของส่วนตัว" อย่างหน้าไม่อายเท่านั้นเอง มหาตมะ คานธี นักปราชญ์ นักการศาสนา คนสำคัญคนหนึ่งของโลกเอง ก็เคยกล่าวยืนยันเอาไว้ว่า
เราไม่อาจแยกศาสนาออกจากการเมือง "อย่าไปเข้าใจว่า การเมืองไม่เกี่ยวกับศาสนา หรือการเมืองไม่เกี่ยวกับพุทธบริษัท
การเมืองที่ถูกต้อง ต้องเกี่ยวข้องกับคนทุกคน แม้เป็นพระ เป็นเณร จะต้องมีการเมืองของธรรมะ,
ช่วยให้โลกนี้มีธรรมะ, แต่อย่าไปเล่นการเมืองของระบบกิเลส ที่เขาก็ได้มีประกาศคณะสงฆ์ห้ามไว้แล้ว
พระอย่าไปเล่นการเมือง ก็หมายถึงการเมืองระบบนั้น, แต่ถ้าเราเล่นการเมืองระบบของพระพุทธเจ้า
ของพระธรรม ก็ไม่เห็นมีใครห้าม ไม่มีเหตุผลที่จะต้องห้าม ท่าน ป.อ.ปยุตฺตโต กล่าวถึงธรรมะกับประชาธิปไตยไว้ว่า เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตือนกันในการที่จะทำสิ่งซึ่งมีผลระยะยาว คือการสร้างเนื้อหาสาระของประชาธิปไตย และเนื้อหาสาระของระบบประชาธิปไตยที่ว่านี้ก็คือธรรมะนั่นเอง ไม่หนีไปไหนเลย เรื่องของประชาธิปไตยนั้น ในที่สุดก็หนีธรรมะไปไม่พ้น ต้องมีธรรมและเอาธรรมไปใช้ปฏิบัติโดยเฉพาะรู้จักเลือกธรรมะให้ตรงกับเรื่องราว พอเลือกให้ตรงเรื่องราวแล้วก็เอาไปสร้างสรรค์ประชาธิปไตยให้ได้ผลสำเร็จ เราก็จะมีครบบริบูรณ์ทั้งรูปแบบคือระบบ พร้อมทั้งเนื้อหาคือสารธรรมด้วย ก็จะเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์" ในสังคมไทยของเรา เชื่อมั่นกันมานานว่า การเมืองอยู่ฝ่ายหนึ่ง ธรรมะอยู่ฝ่ายหนึ่ง (ในวงการศึกษาของชาติก็เชื่อเช่นนี้ จนในที่สุดก็แยกการศึกษาออกจากพระและวัด แล้วก็จัดการศึกษาเพื่อหาเงินมากกว่าเพื่อสร้างคนให้เป็นบัณฑิต การศึกษาไทยก็เลยแย่ไม่น้อยไปกว่าการเมือง) แล้วก็เลยพลอยกีดกันพระให้ออกไปให้ห่างๆจากการเมือง ผลก็คือ พระสอนธรรมะที่เกี่ยวกับระบอบการเมือง, พูดถึงนโยบายทางการเมืองบางเรื่องที่สวนทางธรรม เช่น casino complex, สุราเสรี, หวยถูกกฎหมาย, ฯลฯ และพฤติกรรมของนักการเมืองที่ขาดจริยธรรมแทบไม่ได้เอาเลย สุดท้ายเมื่อธรรมะและพระสงฆ์ซึ่งเป็นดังหนึ่ง "เสียงแห่งมโนธรรม"
พื้นฐานของสังคมถูกปิดปากเงียบ ถูกกันให้เป็นคนนอกของระบบการเมือง (แต่ได้รับผลกระทบจากการเมืองไม่น้อยไปกว่าชาวบ้าน)
ในที่สุดนักการเมืองก็ปู้ยี่ปู้ยำการเมืองจนระบอบการเมืองและระบบความคิด
ความเชื่อ และจริยธรรมของสังคมที่ถูกสร้างไว้อย่างดีนั้นพังทลาย เมื่อระบอบระบบต่างๆพังทลาย
สังคมก็พังทลายตามไปด้วย ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดของการแยกการเมืองออกจากธรรมะ
จนเป็นสาเหตุของวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมไทยในขณะนี้ก็คือ ประโยคที่นักการเมืองคนหนึ่งกล่าวต่อผู้สื่อข่าวจำนวนมากว่า ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่นักการเมือง ปัญญาชน ประชาชนไทย ซึ่งเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอยู่ในเวลานี้
จะต้องช่วยกันผลักดันให้การเมืองหลังยุค "ทักษิโณมิกส์" ให้เป็นการเมืองที่มีธรรมะ
ให้เป็นการเมืองโดยธรรม โดยการยกเอาศาสนธรรมขึ้นมาเป็นธงชัยในการปฏิรูปสังคมไทย
เหมือนอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯของเรา ได้ทรงพระราชทานแนวทางไว้ในพระปฐมบรมราชโองการว่า เราต้องช่วยกันเปลี่ยนการเมืองในแบบ"กำไรสูงสุด" ให้เป็นการเมืองที่มี "ความถูกต้องสูงสุด" ให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ลูกหลานไทยของเราจะกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่หายใจเข้าออกเป็นเงินกันไปหมด จนหลงลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้วเราเป็นมนุษย์ มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐที่มีการหาเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่เป็นทั้งหมดของชีวิต การเริ่มต้นปฏิรูปการเมืองและสังคมไทยใหม่ในทิศทางที่ถูกต้องโดยธรรม จึงเป็นสัญญาประชาคมที่คนไทยทุกส่วนจะพึงร่วมกันปฏิบัติให้เป็นจริงให้ได้ในเร็ววัน
และประการสำคัญที่สุด ต้องทำอย่าง "สันติ" ด้วย.
หน้า ๕๖ นับตั้งแต่ได้มีการแจ้งความจับสมณะโพธิรักษ์และคณะซึ่งเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาสังกัดสำนักสันติอโศกในข้อหาแต่งกายและมีวัตรปฏิบัติเลียนแบบคณะสงฆ์ คำถามต่างๆจึงได้เกิดตามมามากมาย ถึงแม้สมณะโพธิรักษ์ท่านจะขึ้นแสดงธรรมบนเวทีสาธารณะ ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกแล้วว่า ประชาชนที่ยอมรับในคำเทศนาสั่งสอนของสมณะแห่งสันติอโศก มีจำนวนมากมายหลายหมู่บ้าน ประชาชนในหลายๆหมู่บ้านนั้น ต่างปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีลธรรมไม่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่มีใครดื่มสุราหรือยาเสพติด ไม่มีใครพูดจาโกหก ไม่ผิดลูกเขาเมียใคร ไม่ลักขโมยสิ่งของของใคร และไม่มีอบายมุขใดๆภายในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นหวยบนดิน หวยใต้ดินหรือการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต กล้าท้าทายให้ตรวจสอบได้ ท่านสมณะโพธิรักษ์ ให้คำอธิบายว่า "มหาเถรสมาคมท่านได้ทำพิธีขับอาตมาและคณะสันติอโศกออกจากหมู่ใหญ่หรือออกจากหมู่สงฆ์ที่ชื่อว่า
"มหาเถรสมาคม" ซึ่งเรียกการกระทำนี้ว่า "บัพพาชนียกรรม"
ซึ่งแปลว่า "การขับออกจากหมู่" ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งของธรรมวินัยท่านได้ทำจริงๆแต่ทำหลังจากที่อาตมากับคณะได้กระทำการประกาศตนต่อคณะสงฆ์สำเร็จเป็น"นานาสังวาส"
ก่อนที่ทางมหาเถรสมาคมจะทำ"บัพพาชนียกรรม"เสียอีก อาตมากับคณะสงฆ์ชาวอโศกเป็น"นานาสังวาส" กับมหาเถรสมาคมสำเร็จโดย"สังฆกรรม" ไปเรียบร้อยแล้วถูกต้องตามธรรมวินัย มหาเถรสมาคมจึงไม่สามารถจะมาทำ "บัพพาชนียกรรม" กับเราได้ แม้จะขืนทำจนได้ ก็เป็น "โมฆะ" ไม่มีผลบังคับ ท่านสมณะโพธิรักษ์ ให้คำอธิบายอีกว่าตามธรรมวินัย เมื่อภิกษุเป็น"นานาสังวาส"กันแล้วสงฆ์ต่างคณะย่อมไม่สามารถเป็นผู้คัดค้าน หรือเป็นผู้ประท้วง(ปฏิกโกสนา)ในท่ามกลางสงฆ์ได้ ให้ดูได้ในพระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๑๙๓ มีบ่งชี้ไว้ชัดเจน มีหลักฐานว่า มหาเถรสมาคมยอมรับเป็นอันดี ในช่วงที่ได้รับหนังสือประกาศขอแยกตนเป็น"นานาสังวาส" ว่าสมณะโพธิรักษ์กับคณะได้ประกาศแยกตัวไม่ขึ้นต่อการปกครองสงฆ์อย่างเปิดเผย ท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ๑๘๐ รูป มีเจ้าคณะอำเภอเป็นประธาน ณ ศาลาวัดหนองกระทุ่ม เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ คณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคม ได้เคยยอมรับความจริงแล้วว่าเป็น"นานาสังวาส" โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือราชการ "กรมการศาสนา" ที่ ศธ ๐๔๐๗/๘๕๓๗ ที่มีไปถึงผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ การรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕ ซึ่งมีอักษรยืนยันว่า ".....กรมการศาสนาได้นำเรื่องเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาแล้ว ที่ประชุมลงมติเห็นชอบด้วย ตามเหตุผลที่กรมการศาสนาเสนอว่า เนื่องจากในปัจจุบันนี้พระภิกษุสามเณรในสำนักสันติอโศกมิได้ขึ้นอยู่ในปกครองของคณะสงฆ์ไทย ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ๒๕๐๕ และไม่ได้อยู่ในความอุปการะของทางราชการ....." ตามธรรมวินัยนั้น เมื่อสงฆ์เป็นนานาสังวาสกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปฏิบัติกันไปตามความเห็นและยึดถือที่แตกต่างกัน ส่วนการฟ้องร้องจนต้องแพ้คดีความในศาลยุติธรรมทางโลกนั้น ท่านสมณะโพธิรักษ์กล่าวว่า นั่นไม่ใช่เรื่องธรรมวินัยเลย เป็นเรื่องของกฎหมายข้อกฎหมายที่ไม่ใช่บัญญัติของพระพุทธเจ้าบางข้อของกฎหมายขัดแย้งกับธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ซึ่งศาลไม่มีสิทธิ์ตัดสินความผิดทางธรรมวินัยใดๆ ตัดสินได้แต่เฉพาะในแง่ของกฎหมายที่บัญญัติขึ้นมาภายหลัง ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ในมาตรา ๑๘ ก็มีบัญญัติไว้ว่า "ถ้าบัญญัติใดขัดกับธรรมวินัยก็เป็นอันใช้ไม่ได้" ให้ยึดธรรมวินัยเป็นหลัก เพราะเหตุนี้ ผู้ที่ไม่เข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมวินัยจึงหลงเข้าใจผิดไปได้อย่างผิวเผินว่า
คณะสงฆ์สันติอโศกแพ้คดีในศาลของฆราวาสทางโลก ซึ่งที่จริงทางธรรมนั้นคณะสงฆ์สันติอโศกก็ต้องขาดจากความเป็น
"สงฆ์" ไม่เป็น"สมณะ"ไปด้วย ทั้งๆที่ประเด็นของข้อกฎหมายที่สมณะโพธิรักษ์ถูกฟ้องร้องนั้นประเด็นของข้อกฎหมายมันมีเชิงย้อนให้ชวนงงว่า
ทางมหาเถรสมาคมมีมติสั่งให้สมณะโพธิรักษ์สละสมณเพศ ถ้าไม่สละสมณเพศก็ผิดกฎหมาย ท่านสมณะโพธิรักษ์ อธิบายด้วยธรรมวินัยว่า "ต้องทำความเข้าใจให้ชัดๆว่า เมื่อยังไม่สึกก็ถือว่ายังคงครองเพศสมณะยังเป็นพระเป็นสงฆ์อยู่อย่างเดิม ตามธรรมวินัยนั้นผู้พิพากษาเป็นฆราวาสจะมาตัดสินคดีอันเป็นธรรมวินัยของพระสงฆ์ย่อมไม่ได้แน่นอน" เป็นฆราวาสจะเข้าไปทำ "สังฆกรรม" ตัดสินธรรมวินัยได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นภิกษุแต่ต่างนิกาย หรือ "นานาสังวาส" ก็ยังร่วมตัดสินไม่ได้เลย ดังนั้น "ฆราวาส" จึงหมดสิทธิ์ที่จะตัดสินธรรมวินัยเด็ดขาดแม้ขืนทำไปก็โมฆะ ใช้ไม่ได้เพราะไม่ถูกเรื่องผิดธรรมผิดวินัย ผิดฝาผิดตัว ประธานแห่งสันติอโศกกล่าวโดยธรรมว่า "ทางกฎหมายอาตมากับคณะก็ยอมทุกอย่าง
ไม่ได้ขัดขืนใดๆเมื่อตัดสินในข้อกฎหมายว่า "ผิด" ต้องโทษก็รับโทษไปตามข้อกฎหมายแล้ว
ซึ่งทางศาลให้รอลงอาญา ๒ ปี ให้มีการคุมประพฤติ เราก็ทำตามศาลสั่งจนครบทุกอย่าง
ทุกวันนี้ก็ผ่านไปเรียบร้อยหมดแล้ว ทางธรรมวินัยนั้นอาตมากับสงฆ์สันติอโศกไม่ได้มีความผิดถึงขั้นปาราชิก
ไม่ได้เคยถูกเรียกไปสอบ "อธิกรณ์" ดังที่กล่าวลือหรือที่ตู่ว่าอาตมามีความผิดถึงขั้นปาราชิก
อาตมากับคณะก็ไม่ได้มีความผิดใดๆตามธรรมวินัยที่จะต้องถึงกับให้สึกแม้ข้อเดียว
แม้แต่ลักษณะ ๑๑ ประการ ที่มีบัญญัติไว้ในพระวินัย (พระไตรปิฎก เล่ม ๔ ข้อ
๑๒๕-๑๓๒) ว่า ไม่พึงให้บวชที่บวชแล้วมารู้ภายหลังก็ต้องให้สึก" (เช่น
กะเทย คนลักเพศ คนฆ่าบิดามารดา เป็นต้น) ในคณะสงฆ์สันติอโศกเราก็ไม่มีอย่างนั้น
- ณ หนูแก้ว -
หน้า ๕๙ # # # ดูใจ...รู้ใจ....ต้องละล้างที่ใจด้วย - หน้าที่หลักของมนุษย์ผู้ปรารถนา "พ้นทุกข์(อาริยสัจ)" คือ...ดูแลกายกรรม
วจีกรรม และมโนกรรมของตนให้เป็น "กุศล" ฝึกทำตลอดทุกลมหายใจ ทำได้บ้าง
ทำไม่ได้บ้าง ล้มแล้วลุกๆก็ทำต่อ ไม่เลิก กำลังของใจจะเกิดตามมาตามจริง....นี้คือ
กำลังใจจริงๆที่เราสร้างได้ด้วยตัวเราเอง! ทุกครั้งที่ระลึกรู้สึกตัว(มีสติ)
บอกตัวเองเสมอว่า เป้าหมายชีวิตเราคือ ลดกิเลส ไม่ยอมแพ้กิเลส # # # อย่ายุ่งการเมือง...เปลืองตัว...เสียภาพพจน์นะ ในช่วงที่ผ่านมาได้ดูข่าวการลอบวางระเบิดที่สันติอโศก ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องนี้คงไม่เป็นประเด็นสำคัญอะไร แต่ว่าเรื่องการชุมนุมเพื่อปลดนายกฯทักษิณ ข้าพเจ้าคิดว่าชาวอโศกไม่ควรจะเข้าไปร่วมนะ เพราะว่าเพื่อสร้างความเป็น "คนจนมหัศจรรย์" และเป็นชาวอโศก ก็ควรจะมีอุเบกขาให้มาก การที่ฝ่ายบ้านเมืองเขาทำอะไรกัน ข้าพเจ้าก็คิดว่า...เราน่าจะยุ่งให้น้อยที่สุด เพราะเรานั้น นอกจากจะต้องไปเปลืองเนื้อเปลืองตัวกับคนเหล่านั้นแล้ว จะทำให้เสียภาพพจน์ของเราอีกด้วย และฝากคำถามถึงท่านจำลอง ศรีเมืองด้วย จากเหตุการณ์เมื่อปี'๓๕ ที่ผ่านมา ท่านก็ได้รับบทเรียนแล้ว มาปีนี้ "ท่านยังไม่เข็ดอีกหรือ" ข้าพเจ้าอยากให้ชาวอโศกเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา เป็นผู้ที่เอ็นดูต่อเพื่อนร่วมโลก
ข้าพเจ้าคิดว่าหนทางการแก้ไขปัญหาทางการเมือง มันน่าจะดีกว่านี้ เราจะร่วมมือกันพัฒนาประเทศ
ไม่ใช่มาตีกันเอง อีกอย่าง ถ้าจะว่าไป ผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศหลายๆคนที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะดีทั้งหมดซะเมื่อไหร่กัน
เราควรจะมองแต่ส่วนดีๆของเขาว่า เขาทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองมากแค่ไหน
ไม่ใช่คอยแต่จับผิดคนอื่น เอาล่ะ นี่ก็เป็นทัศนคติที่ข้าพเจ้ามีต่อสันติอโศก
ข้าพเจ้าหวังดี ไม่อยากให้ไปเคลื่อนไหวให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน... - ตลาดอาริยะปีใหม่แต่ละปีจะมีผู้นำสินค้าจำเป็นใช้มาออกร้าน ขายราคาต่ำกว่าทุนทุกปี ต่อเนื่องกันมานานแล้ว ส่วนอาหารมังสวิรัติที่สันติอโศก เป็นการตักอาหารบริการตัวเองโดยทางร้านกำหนด เพียงราคาจานละ ๑๐-๑๕ บาท ส่วนผู้ซื้อจะตักปริมาณมาก-น้อยอย่างไร ไม่ว่ากัน แล้วแต่ใครกินมากกินน้อย อ้อ!สำหรับพระภิกษุในพุทธศาสนา ต้องมีฆราวาสเป็นผู้ถือเงินมาซื้อ เราไม่ขายของให้พระ เพราะเป็นการส่งเสริมให้ท่านทำผิดพระธรรมวินัย เนื่องจากพระในพุทธศาสนาไม่ใช้เงิน และขอบพระคุณสำหรับความคิดเห็นที่ไม่อยากให้ชาวอโศกเปลืองตัว อยากให้เราอยู่สงบๆอย่าไปยุ่งการเมือง
ขณะนี้มีข้อมูลยืนยันกันมากมายจนทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ชาติต้องการความช่วยเหลือและกอบกู้
จึงต้องขออภัยด้วยที่ต้องขอยืนยันอีกครั้งว่า "ความเป็นกลางต้องเข้าข้างความดี
ความถูกต้อง" ไม่ใช่เอาแต่นิ่ง-เฉยซึ่งนั่นไม่ใช่เป็นกลาง แต่เป็นความใจดำหรือความกลัว
ความไม่กล้าขับไล่ความชั่วความเลวให้ออกไปจากบ้านเมืองของเรา ซึ่งเราเข้าไปร่วมช่วยโดยไม่ไปเสริมความรุนแรง
แต่กลับช่วยเติมความเย็น เน้นที่ความเข้าใจและสาระเป้าหมาย.... - บ.ก. # # # อหิงสา อโหสิ พลตรีจำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำ กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกโจมตีมากในเรื่องเก่าๆ....ว่า
"พฤษภา'๓๕ พาคนไปตาย"... มีวันหนึ่ง ช่วงกลางวันดูข่าว ททบ.๕ มีภาพพลตรีจำลอง
ศรีเมือง พลเอกสุจินดา คราประยูร และคณะ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เมื่อครั้งพฤษภาคม'๓๕ มีกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านไม่ค่อยชัดเจน แต่เข้าใจดีขึ้นด้วยการอ่านตัวหนังสือที่ขึ้นหน้าจอทีวีประกอบไปด้วย
ต่อมาช่วงค่ำแกนนำทั้ง ๕ ท่านของกลุ่มพันธมิตรฯขึ้นเวทีแถลงข่าวที่สนามหลวง
โดยมีพลตรีจำลอง เล่าเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อ ๑๔ ปี ผ่านมาแล้ว จึงทำให้เข้าใจเหตุการณ์-เข้าใจสถานการณ์ในอดีตพฤษภา'๓๕
มากขึ้น รู้สึกคลายใจลงมากในกรณีภาพที่ถูกสร้างว่าท่านพาคนไปตายนั้น แท้จริงท่านไม่ได้รู้-เห็นในเหตุการณ์เช่นนั้นเลย
เพราะระหว่างเกิดเหตุนั้น ท่านถูกตำรวจพาตัวไปกักขังแล้วไปเข้าเฝ้าในหลวง
ต่อเมื่อถูกปล่อยตัวกลับออกมาแล้วนั่นแหละ จึงได้ทราบว่า เกิดเหตุร้ายถึงนองเลือดขึ้นจากการกระทำของทหารในยุคกาลโน้น
แต่ปัจจุบันทหารและตำรวจต่างก็ยืนยันว่า ไม่คิดจะทำการปฏิวัติรัฐประหารด้วยกำลังเช่นที่ผ่านมาอีก - ขอบคุณสำหรับตัวอย่างที่ดีที่มีค่ากว่าคำสอน....ของลุงจำลอง - บ.ก. # # # เอาแต่ใจตัว คือ ชั่วโดยอัตโนมัติ.... ดิฉันเริ่มมึนศีรษะ รายสุดท้ายที่ออกจากห้องทำงานของดิฉันเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.เศษ ในระหว่างที่ทำงานอยู่นั้น ดิฉันรู้สึกว่าใช้ความอดทนในการแก้ไขปัญหา ในการพูดคุยกับลูกค้า(ที่คิดว่าตัวเองกำลังจะต้องจ่ายเงิน) โดยไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมา ไม่แสดงอาการถอนใจ(เพื่อระบายความอึดอัด) และขณะนั่งรถกลับบ้าน...ดิฉันนั่งใจลอย ต้องพยายามรวบรวมสติ(สตัง)อยู่นาน ดิฉันทบทวนดู พบว่าดิฉันได้ใช้ธรรมะในการทำงานด้วย คือ... - โศลกธรรมจากพ่อท่านสำหรับเตือนใจเรา น่าจะช่วยให้ปลอดโปร่งขึ้นบ้างกระมัง? # # # พุทธแท้ๆต้องแก้ปัญหาเป็น - ปัจจุบัน อาหารมังสวิรัติเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นสากลแล้วว่า...เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าเดิม บางท่านหายป่วยจากโรคที่เคยเป็น "เป็นประจำ" เช่น ภูมิแพ้ โรคกระเพาะ-ลำไส้ โรคปวดข้อ โรคมะเร็งในอวัยวะหลายๆระบบ และที่สำคัญการไม่กินเนื้อสัตว์จะทำให้จิตใจสบาย เพราะไม่เบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ได้ปลดปล่อยชีวิตทุกมื้ออาหาร ทุกๆวันก่อนจะรับประทานอาหาร หากได้เลือกงดอาหารเนื้อสัตว์ และพิจารณาอาหารด้วยจิตเมตตาที่เราไม่ต้องเป็นเหตุให้สัตว์ต่างๆถูกฆ่าเพื่อมาเป็นอาหารให้เรา จะทำให้สุขภาพจิตดีงามกว่าที่เป็นอยู่ได้ด้วยนะ ต้องลองทำดู ทำไปทบทวนไป เทียบเคียงกับศีลข้ออื่นๆไปด้วย อย่าไปคิดถึงอุปสรรคต่างๆล่วงหน้า
ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ก็ได้ ที่สำคัญคือศีลแต่ละข้อจะมีเป้าหมายที่เราต้องเข้าใจให้ชัดเจน # # # ทำจริง...ได้จริง ทำเล่น... ได้เล่น - ศีลแต่ละข้อมีเป้าหมาย เช่น ข้อ ๔ เป้าหมายเพื่อลดอสัจจะ ส่วนข้อ ๕ ลดโมหะ
พระพุทธองค์ท่านเปรียบว่าศีลเป็นเครื่องชำระอันวิเศษ การขัดเกลาตนด้วยศีลต้องใช้เวลาและต้องเอาจริง
เอาภาระตนเองให้เต็มกำลัง เพื่อทำความรู้จัก ทำความเข้าใจในตนเองให้ชัดๆ
การตรวจศีลเมื่อยังบกพร่องต้องอบรมตัวเองทุกวันๆ มีกุศโลบายอย่างไร เอาออกมาใช้ดู
จะไม่เซ็ง ไม่ท้อง่ายๆ หากอยู่ใกล้หมู่กลุ่มก็จะช่วยเสริมกำลังใจกันและกันได้
หรือเขียนจดหมายส่งข่าวมาบ่อยๆก็ได้นะ - บ.ก. # # # เมื่อสิ้นศรัทธาในชาวอโศก... ธรรมปราณีตและลึกซึ้งเกินกว่าที่คิด เพราะคนที่อยู่กับธรรมะมาก กลับมีอัตตายึดมั่นในความคิดของตนยิ่งกว่าคนภายนอก
ขาดความเข้าใจต่อความเป็นไปอย่างที่มันต้องเป็นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากของโลก
ยังไม่เหนือโลก ธรรมอย่างแท้จริง ไม่ทำให้มีการแสดงออกอย่างนี้ เข้าใจโลกอยู่กับคนที่เขายังไม่มีธรรม
ได้ดีกว่านี้ - ต้องขออภัยด้วยอย่างมากที่ไม่สามารถพอที่จะทำให้คุณเข้าใจได้ คงได้แต่เพียงหวังว่าสักวันหนึ่ง
หากยังไม่ตายจากกันไปเสียก่อน เมื่อความจริงปรากฏเราคงจะเข้าใจกันได้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้
- บ.ก.
หน้า ๖๖
ร้อยอ๋อ..อ..อ คอลัมน์ชื่อ "ร้อยอ๋อเป็นหนึ่งรู้แจ้ง" สว่างโล่งในโทสะขณะซักผ้า ประมาณปีพ.ศ. ๒๕๑๕ กิเลสที่เป็นตัวหนาใหญ่คือ "ความโกรธ"
หน้า ๘๘ # ดาวดวงนี้...... # อย่าถ่มน้ำลายรดฟ้า อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า # อย่า # ดาวศรัทธาส่องแสงแสวงหา
หน้า ๙๐ ชื่อใหม่ พ.จ.อ.หลักบุญ เต็มใจจน ปลายปี ๒๕๓๐ ได้ฟังเท็ปของพลตรีจำลอง ศรีเมือง เรื่อง "แปลกหรือที่ผมถือศีลไม่กินเพล" ประทับใจ แม้เป็นฆราวาสก็สามารถปฏิบัติธรรมได้เคร่งครัดจริงจัง และสามารถเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ หลังจากนั้นก็ลดละเลิกอบายมุข ฝึกกินมื้อเดียว ถือศีล ๕ ศีล ๘ เคร่งครัด การงานดีขึ้น ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ทั้งเศรษฐกิจก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ปี ๒๕๓๒ ได้ศึกษาเรียนรู้การเพาะเห็ดจากชาวอโศก เมื่อเข้ามาอยู่ในชุมชน ทำหน้าที่ฝ่ายยานยนต์ ดูแลการใช้รถของชุมชน ต่อมาทำโรงเห็ด
(ปัจจุบันเลิกทำแล้ว) ทั้งเป็นฝ่ายจัดซื้อสิ่งของต่างๆ รวมทั้งช่วยรับแขกที่มาดูงานในชุมชน
ช่วยงานอบรม ขับเรือช่วงวันสุดท้ายของการอบรมเมื่อมีการล่องเรือชมแม่น้ำมูล
ช่วยสอนหนังสือเด็กนักเรียน # ปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน งานมีมากจนทำไม่ทัน ทำให้ผลงานออกมาไม่สมบูรณ์นัก
ชีวิตอยู่กับการงานเป็นส่วนมาก ทำให้กิจวัตรไม่ลงตัว *** บุญนิยมขนานแท้
หน้า ๙๒ บำเพ็ญ เพ่งเพียร เรียนธรรม พระมหาปันถกเถระ ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปทุมุตตระ พระมหาปันถกเถระได้เกิดเป็นกุฎุมพี(คนมั่งคั่งร่ำรวย)
มีทรัพย์สมบัติมากมายอยู่ในนครหังสวดี โดยมีน้องชายร่วมมารดาด้วยหนึ่งคน พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงได้เห็นการบำเพ็ญเพียร และความปรารถนาของทั้งสอง
จึงทรงพยากรณ์ว่า จนล่วงไปแสนกัป(ชาติที่เกิด) ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าสมณโคดมทรงอุบัติในโลก
ทรงยังธรรมจักรให้แล่นไปในกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหารแห่งแคว้นมคธ ครั้นอยู่กินกันไป กระทั่งนางตั้งครรภ์อีก คิดจะไปคลอดที่บ้านพ่อแม่อีก
แล้วก็หนีสามีไปตามลำพัง ระหว่างทางก็คลอดได้ลูกชายอีกคน แต่ก็ถูกสามีตามมาทัน
ก็ขอให้กลับบ้านอีกเช่นเคย ทั้งสองจึงเติบโตเป็นหนุ่มอยู่ในนครหลวงของแคว้นมคธ มีอยู่วันหนึ่ง....มหาปันถกติดตามธนเศรษฐีไปเข้าเฝ้าพระศาสดา เพียงแค่ได้พบเห็นครั้งแรกก็เกิดศรัทธาทันที ยิ่งพอได้ฟังธรรมแล้ว ยิ่งบังเกิดจิตสำนึกดีอย่างแรงกล้า หมายนอบน้อมพระศาสดาที่พระบาทด้วยมือทั้งสอง ถึงกับกล่าวขอกับธนเศรษฐีผู้เป็นตา ว่าประสงค์ที่จะออกบวช ธนเศรษฐีจึงกราบทูลความประสงค์นั้นกับพระศาสดา พระองค์ก็ทรงอนุญาต ดังนั้นพระมหาปันถกจึงละออกจากภรรยาและบุตร ละทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหลายจนหมดสิ้น
ปลงผมและหนวดออกบวช เป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา แล้วได้เล่าเรียนพระพุทธพจน์เป็นจำนวนมาก
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมคือ ๑. อธิสีลสิกขา(ศึกษาศีลขั้นสูง)
๒. อธิจิตตสิกขา ภิกษุมหาปันถกไม่ได้นั่งอยู่เปล่าๆแม้สักครู่เดียว ตราบใดที่ยังถอนลูกศรคือตัณหาขึ้นไม่ได้ เป็นผู้มีความเพียรมาก บากบั่นเสมอด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ในที่สุดก็ได้บรรลุวิชชา ๓ (ความรู้แจ้งอันพาสู่ความพ้นทุกข์คือ ๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ = รู้ระลึกชาติของกิเลสตนได้ ๒. จุตูปปาตญาณ = รู้การเกิดและดับของกิเลสได้ ๓. อาสวักขยญาณ = รู้ความหมดสิ้นไปของกิเลสได้) เป็นพระอรหันต์ผู้ควรแก่การให้ทาน เป็นผู้หลุดพ้นกิเลสทั้งปวง ทำตัณหาทั้งสิ้นให้เหือดแห้งไป เสมือนราตรีสิ้นไป อาทิตย์อุทัยก็ขึ้นมา เมื่อพระมหาปันถกเถระได้บรรลุธรรมแล้ว พระศาสดาทรงยกย่องให้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ฉลาดในการเปลี่ยนแปลงทางปัญญา เพราะท่านชำนาญในฌานทั้งหลาย และเชี่ยวชาญในการวิปัสสนานั่นเอง. - ณวมพุทธ -
หน้า ๙๔ # # # สันติอโศก อากาศร้อนพอสมควร บรรยากาศที่สันติอโศกหลังจากมีเสียงระเบิดตอน ๐๑.๕๕ น. ของวันที่ ๒๒ บรรยากาศการเมืองทั้งข่าว ทั้งคุย และมีตำรวจมารักษาความปลอดภัย ส่วนพวกเราได้จัดเวรยามด้วย ญาติธรรมต่างปักหลักรอคอยไปร่วมชุมนุมกัน ชาวอโศกตอนนี้ต้องทบทวนคำอธิษฐานในงานปิตุบูชาเมื่อวันที่ ๕ มิ.ย.'๔๘ ที่ชุมชนราธานีอโศก และ ๑๐ มิ.ย.'๔๘ ที่พระวิหารพันปีฯสันติอโศก เราจะมีความกตัญญูต่อพ่อท่าน เราจะปฏิบัติในสาราณียธรรมคือ มีความระลึกถึง มีความรักกัน มีความเคารพกัน มีความเกื้อกูลกัน ไม่ทะเลาะกัน มีความสามัคคีกัน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตอนนี้ชาวอโศกต้องมาทบทวนดูตัวเองด้วยความใจเย็นๆเห็นใจคนอื่นเสมอ ระลึกถึงบรรยากาศตอนนั้น เราได้ทำตามคำอธิษฐานนั้นได้ขนาดไหน เพราะตอนนี้มันพิสูจน์แล้วว่าเราได้ทำหรือยัง เพราะบรรยากาศตอนนี้ จำต้องใช้ธรรมะข้อนี้อย่างมากทีเดียว * เหตุการณ์ทั่วไป ระเบิดสันติอโศก เนื่องจากเราจะไปชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ศ.๒๔ พ่อท่านให้สัมภาษณ์ เอเอสทีวี และหนังสือพิมพ์ ในการยุบสภา ส.๒๕ ทำวัตรเช้าพ่อท่านเทศน์เรื่อง "สันติธรรมเพื่อมวลมหาชน" อา.๒๖ ๑๑.๐๐ น. ญาติธรรมและพ่อท่านสมณะ-สิกขมาตุออกเดินทางจากสันติอโศก
ไปหน้าสนามมวยราชดำเนิน ถ.ราชดำเนินนอก จ.๒๗ เวลา ๐๕.๐๐ น. สมณะและสิกขมาตุ ออกเดินทางไปบิณฑบาต ๒ สาย คือ สายเสาชิงช้า
พ่อท่าน นำ และสายสะพานพุทธ สมณะดินดี นำ รวมแล้วสายละประมาณ ๓๐ กว่ารูป
เดินไปถึงสนามหลวงมีคนตักบาตรพอประมาณ อ.๒๘ สมณะและสิกขมาตุ บิณฑบาตแบ่งออกเป็น ๔ สาย พ่อท่านไม่ได้บิณฑบาต * การศึกษาบุญนิยม การปฏิบัติธรรมและการเสียสละของข้าขอมอบถวายให้แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า
และพระอาริยเจ้า
# # # ปฐมอโศก การเพิ่มภูมิธรรมให้เจริญขึ้น จำต้องเพิ่มปริยัติ ปฏิบัติ ให้เข้าถึงปฏิเวธ
ยังต้องฝึกฝนอบรมพัฒนาตนในกุศลธรรมอยู่เสมอ พ่อท่านได้เปิดใจอย่างลึกๆกับพวกเราว่า สาธุ ลูกอโศกทุกคน ถ้ามีส่วนให้พ่อท่านเข้าถึงความปรารถนาสูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ หมู่พวกเราก็พร้อมเสมอ แม้จะบุกน้ำลุยไฟไปกับพ่อท่าน สุภาษิตเมืองเหนือพูดไว้เป็นประโยคทองว่า มารบ่มีบารมีบ่กล้า นับว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ช่วยให้พ่อท่านบารมีสูงขึ้น และเป็นการเจริญปัญญาสมโภชของลูกทุกๆคน * อาคันตุกะมาเยี่ยมชมศึกษาดูงานวิถีพุทธ * มรณสติ สรุปจบรายงานเดือนนี้ด้วยโศลกธรรมพ่อท่าน ให้เข้ากับกาละดังนี้ ยาวให้เป็น
เย็นเรื่อยไป ไขความจริงกันออกมาให้มากๆ หมดๆ # # # ศีรษะอโศก ชาวชุมชนทุกฐานะ รวมพลังพุทธบริษัท ๔ ในนามกองทัพธรรม ร่วมเดินธรรมยาตราสู่ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มมวลน้ำหนักของความสงบสันติ อหิงสา ในการชุมนุมอาริยะขัดขืน เพื่อไขข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับความไม่ชอบธรรมของนายกทักษิณ ซึ่งเป็นเหตุแห่งการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย * กิจกรรมทั่วไป * ข้อคิดสะกิดธรรม # # # ศาลีอโศก เดือนนี้ เป็นบรรยากาศของงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๓๐ กิจกรรมในเดือนนี้ ไม่มีอะไรมาก นอกจากเตรียมงานแล้วก็ถึงวันงาน เมื่อเสร็จงานแล้วช่วยกันเก็บบุญ แม้พวกเราจะมีน้อยแต่งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายทุกผู้ทุกคนที่มาช่วยกันทำให้งานนี้สำเร็จลง โดยเฉพาะสมณะนวกะ และนักเรียนสัมมาสิกขาชั้นม.๑ ทุกพุทธสถาน ช่วยให้งานเรียบร้อย ต้องขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับนักเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศก ชั้นม.๑ ที่อยู่ช่วยเก็บบุญหลังจากเสร็จงานแล้วอีกหลายวัน * เหตุการณ์รายวัน * ข้อคิดสุดท้าย # # # สีมาอโศก วันเพ็ญเดือน ๓ เป็นวันแห่งการประชุมของสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป แต่ละรูปล้วนเป็นพระอรหันต์ ที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกขุอุปสัมปทา) และวันนี้เองที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโอวาทปาฏิโมกข์ เรียกวันนี้ว่า "วันมาฆบูชา" * เหตุการณ์ทั่วไป โอวาทปาติโมกข์ ๓ - ส.พอจริง สัจจาสโภ - # # # ภูผาฟ้าน้ำ ต้นเดือนนี้ดอกซากุระน้อยบนภูผาฯ ออกดอกบานสะพรั่ง ชาวดอยแพงค่าบางท่านรู้จักในนามดอกเสือโคร่ง
เมื่อได้เห็นดอกไม้ก็สบายตา แต่ผู้ได้พบเห็นผู้สังวรศีล ย่อมสบายทั้งตาและเย็นใจ
หากใครปฏิบัติได้จะพ้นทุกข์ทางใจ ส.๔ อาจารย์๑(สมณะบินบน ถิรจิตโต) แสดงธรรมกับกลุ่มผู้อายุยาว ในโครงการอเทวนิยม
อบรมคุณธรรม ครั้งที่ ๒๙ สุดท้าย ขอฝากคำคมของพ่อท่าน # # # ราชธานีอโศก ช่วงนี้บ้านราชฯ สงบเงียบดีแท้ เพราะทั้งสมณะ สิกขมาตุ และชาวชุมชนส่วนใหญ่ไปร่วมกิจกรรมสำคัญนอกสถานที่ติดต่อกันหลายวัน งานอบรมต่างๆจึงงดไปอย่างไม่มีกำหนด ส่วนงานก่อสร้างอาสนสงฆ์ ต่อเติ่มที่เฮือนเผิ่งกันเกือบเสร็จแล้ว * บ้านราชฯ รายวัน * ฝากสุดท้าย - สมณะกล้าตาย ปพโล - # # # ทักษิณอโศก ช่วงนี้ทางปักษ์ใต้ฝนเริ่มแล้ง ชาวชุมชนลง เกี่ยวข้าวในเดือนนี้ ญาติธรรมทางใต้มาช่วยกันเกี่ยวข้าวจนเสร็จ เพื่อจะได้เดินทางไปร่วมงานพุทธาภิเษก ฯ ครั้งที่ ๓๐ ที่ศาลีอโศก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวที่สุกอยู่ในนา ชาวชุมชนส่วนมากเป็นผู้อายุยาว และเป็นผู้หญิง จึงทำนาเพียง ๑๖ ไร่ นวดเสร็จได้ประมาณ ๓-๔ เกวียน * เหตุการณ์ต่างๆ - นางสาวยังกุศล จูยัง -
หน้า ๑๐๗ วันนี้ฉันเดินทางกลับกรุงเทพฯ บรรยากาศปลอดโปร่งแจ่มใสดี แต่จิตใจ...ของฉัน
ไม่สดชื่นเอาเสียเลยตลอดระยะที่นั่งอยู่บนรถ ฉันมีแต่ความกังวล คิดไปสารพัด ฉันเดิน....วนไปมา เหมือนคนไม่มีสติอยู่กับตัวเอง ใครจะมองฉันอย่างไรฉันไม่สนใจ แม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าและของที่เอามาด้วย ฉันยังไม่ห่วง จิตใจของฉันขณะนั้นจดจ่ออยู่กับหนังสือ สายตาก็เที่ยวมองหา เผื่อคนที่เขาเอาไปจะหยิบขึ้นมาอ่าน ฉันจะขอคืนทันที แต่! ก็ไร้ผล ฉันต้องเดินคอตก ด้วยความผิดหวัง พอดีรถจะออก นึกถึงกระเป๋าขึ้นมาได้ รีบวิ่งไป โล่งอกไปทียังอยู่ ถ้าหายไปอีกฉันคงไม่ให้อภัยตนเอง ฉันเดินขึ้นรถด้วยความผิดหวังเรื่องหนังสือ ตลอดระยะเวลาที่นั่งมาบนรถฉันจะคิดแต่เรื่องหนังสือ ฉันจะบอกเจ้าของหนังสืออย่างไรดี เพราะเป็นหนังสือที่หายาก อยากจะลงโทษตัวเองให้หนักๆ โธ่!เอ๊ย ฉันหนอฉันทำไมจึงเป็นคนเผลอเรอ เช่นนี้ ฉันเริ่มคิด...เพราะอะไร? ฉันพยายามตัดใจไม่ให้มีความกังวล และปลอบตัวเองตลอดเวลา จะทำอย่างไรได้เมื่อหายไปแล้วก็แล้วไป
ของทุกสิ่งไม่มีอะไรเที่ยง ปล่อยวางเสีย ยึดมันจะมีแต่ทำให้เกิดทุกข์เปล่าๆ
ไหนๆก็หายไปแล้ว จะเอากลับคืนก็ไม่ได้ ถือว่านี่คือบทเรียน ที่จะต้องจำ คราวหน้าจะได้ระมัดระวังสติเพิ่มขึ้นมาอีก - (จ.พ.) -
หน้า ๑๐๘ สรุปรายงานการประชุม - ไม่มีการประชุมในเดือนนี้ สรุปรายงานการประชุม - ไม่มีการประชุมในเดือนนี้ สรุปรายงานการประชุม - ไม่มีการประชุมในเดือนนี้ สรุปรายงานการประชุมคณะกรรมการธรรมทัศน์สมาคม - ไม่มีการประชุมในเดือนนี้ สถิติเผยแพร่สัจธรรม ห้องเผยแพร่เท็ป ก่อนฉัน อภิปราย ธรรมพิมพ์ ธรรมปฏิกรรม สถิติธรรมโสต คนที่เป็นกลางที่ถูกต้อง เที่ยงธรรม ชัดเจน
หน้า ๑๑๐ ชัยชนะของประชาชน เมื่อปี ๒๕๓๕ # # # อโศกสร้างคน คนสร้างเมือง "- ดูแลแม่ให้มีความสุข โดยการช่วยงาน เปิดธรรมะให้ฟัง # # # คันฉ่องส่องอโศก เรายังขาดบุคคลากรที่ต้อนรับคนใหม่อย่างมาก ครั้งหนึ่งผมประทับใจมาก มีญาติธรรมคนหนึ่งถามผมว่า
ให้ผมช่วยอะไร ยินดีรับใช้ครับ ผมบอกเขาว่า ขอบคุณ ผมเป็นคนเก่าครับ แล้วเราก็ยิ้มให้กัน
ถ้าหลายคนทำอย่างที่ผมบอกจะดีมากครับ # # # ธรรมะกับบุพการี # # # ธรรมะกับการเมือง # # # อีกบทบาทหนึ่งของกลุ่มญาติธรรม # # # ปฏิบัติธรรมยุคเก่า-ยุคใหม่ # # # การออกกำลัง เรื่องใกล้ตัวที่ถูกละเลย หนึ่งในอีกหลายๆชีวิตที่มีปัญหาในเรื่องของสุขภาพ กรรมเก่าเขาก็ว่ามีจริง
แต่กรรมใหม่ก็สำคัญ หลายครั้งที่โรคภัยเกิดจากการปฏิบัติตนผิดๆก็มี อย่างเช่น
"ละเลยการออกกำลัง" ใครป่วยกระเสาะกระแสะ ลองหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้น
แล้วรายงานผลมาบ้าง จุ๊ย์ๆๆ # # # การฝึกเจริญอนิจสัญญา # # # ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งแห่งการเข็นกงล้อธรรมจักร # # # คุณเป็นนักปฏิบัติธรรมตรงไหน? # # # คนจนมหัศจรรย์ # # # ชมรมตบะหรรษา # # # คติประจำเดือนนี้
หน้า ๑๑๗ เมื่อครั้งที่เคยไปออกรายการเรื่องน้ำปัสสาวะรักษาโรคของ เจ.เอส.แอล.(JSL)
โดยมี ดร.ไชยา ยิ้มวิไล และดร.นิธินาถ สินธุเดชะ เป็นผู้ดำเนินรายการร่วมกับ
คุณมานพ อุดมเดช ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "ฉี่" และได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้และบอกว่า
ผมเตรียมมาให้คุณโดยเฉพาะเลยครับ เพราะผมเองก็ได้ให้คนไปสัมภาษณ์คุณด้วย
ดังนั้นฉบับนี้จึงได้นำเสนอการสัมภาษณ์ธรรมรักษา พระที่ใช้ปัสสาวะรักษาโรคจากหนังสือเล่มนี้
ขอเชิญติดตามได้เลยค่ะ สัมภาษณ์ธรรมรักษา พระที่ใช้ปัสสาวะรักษาโรค แล้วที่ในหนังสือเขาว่ามันรักษาโรคได้เยอะแยะหลวงตาคิดว่าอย่างไงคะ ? - ไม่ค่อยเชื่อ เพราะเหตุว่าไอ้พวกที่เขาอ้างมาเนี่ยนะ เขาก็ไม่ได้บอกคนนั้นอยู่ที่นั่น
ที่นี่ แล้วสถิตินี่ ดื่มเท่าไหร่ เป็นอย่างไงเนี่ย มันไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่ทั้งนี้เราก็ไม่ปฏิเสธร้อยเปอร์เซ็นต์ละ เรานึกถึงของแต่ละบุคคล เช่นว่า
ของไทยเราก็ว่าลางเนื้อชอบลางยานะ ที่ว่าบางเนื้อชอบกับบางคนหมายถึง ถูกโรคกับคนบางคน
ลางเนื้อก็หมายความว่าเนื้อก็คือคนน่ะนะ ลางเนื้อชอบลางยาหมายความว่ายานี้ถูกกับคนนี้
อันนั้นเป็นได้ทั้งนี้เกิดจากตัวแปร เช่นว่าคนนี้ปกติหมดทุกอย่าง ไม่เป็นเบาหวาน
ไม่เป็นโรคหัวใจไม่เป็นความดัน ไม่เป็นโคเลสเตอรอล ไม่เป็นอะไรเลยนะ ทุกอย่างเลยหล่ะ
ถ้ากินเข้าไปแล้วมันจะปกติเหมือนเป็นอะไรแล้วมันจะเป็นแบบเดียวกันเลยหล่ะ
แล้วถ้าเกิดตัวนี้มีตัวแปร ตัวแปรที่เป็นโรคประจำอยู่ หรือตัวแปรที่เกิดจากอารมณ์
เช่น อารมณ์เครียดนี่นะ จะทำให้ระบบเสียไปหมด แล้วก็กินพวกนี้ก็จะไม่ค่อยได้ผล
แต่ถึงอย่างไรก็ดีนะ หลวงตาก็อยากจะเน้นว่า ในนี้น่าลอง ทีนี้จะลืมจุดสำคัญไปหน่อย
คนที่เขาดื่มไม่ค่อยได้แนะนำให้เค้ากิน หลายคนเขาไม่กล้าดื่ม เขาว่ามันฉุน
มันเหม็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาก็รังเกียจน่ะนะว่า เป็นของสกปรก แล้วหลวงตาได้แนะนำใครไปบ้างแล้วคะ ? - หลายคนนะ ส่วนมากจะเป็นญาติโยมที่เขามาวัด ก็เช่นท้องผูกหรือว่ามีอะไรอยู่หลายๆ
อย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็มีอยู่ครอบครัวหนึ่งของคุณทินกร นามสกุลเค้าจำไม่ได้นะ
เป็นพ่อค้าเหล็กนอกเนี่ย เขาดื่มทั้งครอบครัวเลย เขาเป็นเอดส์นะ แต่ไม่หายหรอกนะ
ไม่เกี่ยวกัน คือภรรยาเขาเป็นเอดส์แล้วก็เลยแนะนำทางนี้ เขาก็บอกเขาก็ลองดื่มกัน
เขาดื่มกันทุกคน แต่ก็ดื่มกันระยะนึงคงไม่นานหรอกแล้วก็เลิกไป ปรากฏว่ามันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นนะ
ไม่ปรากฏอาการอะไรดีขึ้น นั่นที่สำคัญว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรนะ น้องเมียกับตัวเค้าสามี
ไม่ได้เป็นอะไร ที่เขาดื่มก็เพื่อจะเอาใจภรรยาที่เป็นเอดส์ แต่ว่าภรรยาเขาไม่ดีขึ้น
ส่วนรายอื่นๆ ที่เราแนะนำไป เขาไปทำครั้งสองครั้งแล้วโดยมากเขาเลิก คงเพราะว่าเขาไม่เชื่อไม่ศรัทธา
ปรากฏว่าเขาก็ไม่เห็นทำ พอถามๆ เขาบอกว่าเลิกแล้ว ตอนนั้นที่ดื่มน้อย ไอ้ผลก็คิดว่าคงไม่เกิด
แต่ว่าเป็นเรื่องน่าลองนะ หลวงตาว่าเป็นเรื่องน่าลองมาก สำหรับทุกคนนะ เพราะเกิดว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหาอะไรซักอย่างนึงน่ะนะ
ในที่ว่ามาเนี่ยเช่นว่าหนังสือเขาพูดไว้เยอะใช่ไหมสารพัดโรคเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเชื่อเลย
เพราะว่าก็คล้ายๆกับอะไรน่ะ เอ้อ....อะไรนะ เป็นยาสารพัดอย่าง ซึ่งเขาเรียกอะไรที่กินก็ได้ทาก็ได้น่ะ
สมัยก่อนน่ะรักษาไปสารพัดโรคน่ะ ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ไม่น่าลองอย่างยิ่งก็คือว่าที่เอาไปหยอดตาที่นะ
คิดว่าคงไม่เสี่ยง คงไม่กล้าเสี่ยงหรอก เพราะอะไรคะ ? - เพราะมันต้องมีกรดน่ะนะ ต้องมีกรดด้วยแล้วก็ส่วนอื่นๆ ก็ต้องมีด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้พวกหินปูนนี่นะจะมีด้วย
ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่า เอ่อ....เราต้องยอมรับอันหนึ่งว่าโรคบางอย่างที่มันไม่ได้หายเพราะตัวยา
แต่มันหายเพราะอุปทานก็มีใช่มั้ย อย่างมีพระรูปหนึ่งท่านว่าท่านรักษาด้วยผลไม้
ใครไปเอ้า....ปวดหัวเรอะ เอ้า....เอาส้มไปกิน เอ้า....คนนี้ท้องเป็นอะไรเป็นโรคกระเพาะเรอะ
เอากล้วยไปกิน ท่านก็มีแค่ผลไม้แค่สามสี่อย่างเท่านั้น แต่ก็แจกทุกคนหมด
แล้วในจำนวนนั้นก็มีคนหายด้วย เพราะเขาคิดว่าเป็นของที่พระให้แล้วถึงหายหรือคะ ? - ก็เขามีความเชื่อมั่นไง เพราะมีความเชื่อมั่นอันนี้สำคัญมาก เวลาที่หลวงตาแนะนำให้ใครๆดื่มเนี่ยมีคนที่เขาไม่เชื่อ หรือถูกต่อต้านบ้างไหมคะ ? - ส่วนมากไม่เชื่อ โอ้ย...เยอะเลย ส่วนมากไม่เชื่อส่วนมากเลย ส่วนมากไม่ยอมรับเลย เขาแสดงออกยังไงบ้างคะ ? - เขาไม่เชิงปฏิเสธหรอกนะ เราแนะนำไปเขาก็เฉยๆนะ แล้วเรามาถามเขาทีหลัง
เขาบอกเปล่าหรอก ไม่ได้ลอง แต่ก็ไม่มีการต่อต้านอย่างรุนแรงใช่ไหมคะ ? - ไม่มี ไม่เคยมี มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไปป่วยอยู่ครั้งหลังสุดนี่นะ ที่โรงพยาบาลเนี่ย บอกว่าเนี่ยมันทำไงดี เพราะตอนนั้นไปผ่าตัดใหม่ๆ แล้วเราก็ลุกขึ้นไม่ได้ แล้วอิริยาบถที่เคยถ่ายอุจจาระนี่เราจะต้องนั่งใช่ไหมพอตอนนี้มันนอน มันก็ไม่ออกจะทำอย่างไงดีล่ะ เลยปรึกษาพยาบาลเขาบอก หนูหลวงตาจะดื่มปัสสาวะดีมั้ย เพื่อจะให้มันถ่ายง่ายๆ แล้วอุจจาระเหลวๆ มันก็ต้องออก ถึงนอนก็ต้องออก เขาฟังแล้วเขาทำหน้ายี้ๆ แล้วเขาก็ไม่เชื่อ แล้วเขาบอกหลวงตาไปเอาความคิดอย่างนี้มาจากที่ไหน หลวงตาบอกเขา มันไม่ใช่ความคิดของหลวงตานะ เขาตีพิมพ์หนังสือเป็นเล่มๆ แล้วแต่ก่อนก็เคยทำแล้วนะ เขาทำได้ผลมาแล้ว แล้วว่ามันจะทำให้อุจจาระเหลวแล้วก็ถ่ายเป็นปกติ แต่เขาก็ไม่คัดค้านนะ เขาก็ทำหน้าไม่เชื่อ แล้วก็ไป หลังจากนั้นหลวงตาก็ดื่ม พอดื่มแล้วมันก็ถ่ายออกจริง เรื่องนี้ได้ผลดี เรื่องนี้รู้สึกจะน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะพระธีรพลเนี่ยเป็นคนที่ท้องผูกอย่างหนักเลยนะ คือสองวันสามวันนี่ถ่ายทีหนึ่ง
แล้วสังเกตดูถ้าท้องเขาผูกนะ ปากจะเหม็นจัดเลยนะ แปรงฟันก็ไม่หาย ปรากฏเขามาดื่มทุกวันนี้
มาทุกวันนี้ไม่มีกลิ่นปากเลย ท้องก็ไม่ผูก ถ้าความคิดของหลวงตานะ คิดว่าไอ้เรื่องที่จะเกิดผลเสียเนี่ยผลข้างเคียงอันไม่พึงปรารถนาเนี่ยก็ไม่น่าจะมีนะ
ถ้าเราดื่มโดยปกตินะไม่ใช่ ในนี้ในหนังสือนี่เค้าว่าดื่มแก้วนึง จนกระทั่งดื่มทั้งวันเลย
อาจจะมากไปนะ ถ้าเอาความเชื่อทางพระพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านไม่นิยมสุดโต่ง
ใช่มั้ย ท่านไม่นิยมสุดโต่งว่าทำอะไรทำให้มันสุดไปเลย ถ้าเกินไปกว่านั้นมันอาจจะเกิดอะไรขึ้นมาอีกก็ได้
ฉะนั้นถ้าจะทำ ไม่น่าจะทำจนเกินไป เอาซักแก้ว สองแก้ว หรือสามแก้วเอาอย่างสูงสุดนะ
อย่าถึงกับทั้งวัน ก็น่าจะดี และอีกอย่างหนึ่งเนี่ยเราทำไปแล้วดื่มไปแล้วเราน่าจะประเมินผลด้วย
สังเกตด้วยว่ามันจะเกิดผลดีหรือไม่ดี ถ้าเกิดผลอะไรไม่ดีขึ้นมาก็น่าจะหยุดไปเลยอย่างนี้เป็นต้น
แต่ว่าอย่างน้อยการที่ทำเนี่ย น่าจะซัก ๑๕ วัน ถึงหนึ่งเดือนเป็นอย่างสูง
น้อยที่สุดน่าจะเจ็ดวันนะ ถ้ากลางๆนี่น่าจะสิบห้าวัน ดื่มติดต่อกันเลยนะ
ถ้าถึงเดือนนึงแล้วนะ ยังเหมือนเดิมอยู่ก็คิดว่าไม่จำเป็น แล้วน่าจะเลิกด้วยซ้ำไป
คือว่าร่างกายปกติไม่มีอะไรในด้านบวกน่ะนะ ก็น่าจะเลิกได้เลย เพราะว่ามันคงไม่มีประโยชน์ ในส่วนของการรักษาแผนปัจจุบันหลวงตาได้ใช้อยู่หรือเปล่า ? - แผนปัจจุบันทุกวันนี้รักษาน้อยนะ เอ่อ...อย่างนี้ในเรื่องปวดหัวนี่นะ ที่เรียกปวดหัวแบบไมเกรน ปวดเป็นจุดๆ และปวดข้างเดียว เดี๋ยวนี้ก็ยังปวดนะ แต่ปวดนิดเดียว แต่ทีนี้มันเกิดจากความเครียด เครียดทั้งฝ่ายลึกและฝ่ายตื้นนะ ที่เราไม่รู้ที่เขียนไว้ในหนังสือที่เป็นมาถึงสามสิบปี หายมาเนี่ยเพิ่งมาเป็นสองวัน เพราะที่เป็นไม่ใช่เครียดเลย จิตสบายหมด ฉันได้ นอนหลับ การขับถ่ายปกติจิตใจก็ไม่ขุ่นมัวอะไร
ซึ่งความจริงไม่น่าเป็นเลย แล้วเคยตวาดมันเรื่อยเวลาเป็นนะว่า อ้าว....คิดอย่างนั้นนะ
เพราะเมื่อก่อนนี้เวลาเป็นโรคเกี่ยวกับประสาทเป็นโรคปวดหัวเนี่ย ไมเกรนเนี่ยเราจะทบทวนว่าวันนี้เมื่อเช้านี้
ไปมีเรื่องอะไรกับใครหรือว่าไปโกรธใครหรือว่าไม่พอใจ หรือว่ามีปัญหากับใครหรือเปล่า
ไม่มี พอไม่มี ก็สาวไปถึงวันเมื่อวานนี้ มะรืนนี้ ซักสองสามวันพอเจอแล้วทำไงพอเจอแล้วเราก็ทำจิตใจให้ว่างๆ
อย่าไปยึดถือเลยปล่อยมันเถอะ เขาเป็นอย่างนั้นเองนะ อย่าไปยุ่งกับใครเลย
ปล่อยทำจิตใจให้ว่างอย่างที่หลวงพ่อพุทธทาสที่ว่าสุญญตานะ ทำจิตใจให้ว่างๆ
อย่าไปคิดอะไรเลย แม้จะคิดก็คิดเรื่องดีๆ ตัดเรื่องนั้นไปเลย แล้วมันจะหาย
แต่ปรากฏว่าทำมาสองวันแล้วไม่หายเลยต้องใช้ยาไดอะซีแปม ที่ว่าเกี่ยวกับคลายประสาท
ก็ยังไม่หายวันนี้ก็เลยไปถามหมอเหมือนกันเพราะจับได้แล้วว่าที่เป็นไม่ได้เกิดจากความเครียด
เกิดจากที่เราปวดเนี่ย(ชี้ที่สะโพก) ที่เราปวดที่ทางก้นทั้งสองอย่างนี่ ปวดมากขึ้นแล้วรู้สึกมันจะร้าวขึ้นมาข้างมาข้างบนแล้วมันก็ลงไปที่เท้า
มันเลยไม่หายพอฉันยามันก็บรรเทาไปได้หน่อยเดียว แล้วได้ดื่มปัสสาวะไปด้วยหรือเปล่าคะ ? - ปัสสาวะตอนนี้ไม่ได้ดื่ม เพราะว่าปัสสาวะ กับอันนี้มันไม่เกี่ยวกันกับโรคไมเกรนเลย
รู้สึกจะไม่ใช่เลยนะ
แสดงว่าหลวงพ่อไม่ได้ดื่มปัสสาวะเพื่อเป็นยาหรือคะ ? - ไม่ ทุกวันนี้ไม่ได้ดื่มเลย เวลาที่หลวงตาอาพาธ รักษาด้วยวีธีแผนปัจจุบันหรือเปล่าคะ หรือด้วยวิธีอื่น ? - ที่ใช้ไม่ได้ใช้แผนปัจจุบันนะ ส่วนมากจะใช้แผนโบราณยาสมุนไพรทั้งนั้นเลย เรียกว่าร้อยละ ๙๐ ยาปัจจุบันนี้ ไม่จำเป็นจริงๆ หรือไม่สุดวิสัยที่ว่าหายาสมุนไพรไม่ได้แล้วนี่นะ ถึงจะเริ่มใช้ ถ้าเผื่อจริงๆแล้วไม่ใช้เลย เป็นคนที่ค่อนข้างจะหัวอนุรักษ์นิยมน่ะนะ ที่ว่ารักษาของเก่า เราคิดว่าบรรพบุรุษของไทยเราอยู่รอด มาได้เขาก็ต้องใจเรื่องสมุนไพร เรื่องการรักษาโดยด้วยตนเองส่วนมากที่ใช้แล้วได้ผลดีน่ะนะ ก็เขียนไว้ในหนังสือเล่มนั้นหมดแล้วนะ (หนังสือสมุนไพรรักษาโรค เขียนโดยธรรมรักษา) น่ะใช้อย่างนั้นมาตลอดเลย แล้วถ้าเกิดปวดหัวในกรณีที่เป็นกันมากน่ะนะ ถ้าเกิดตื่นขึ้นมาแล้วเคล็ดคอ หรือว่ามีมึนหัวสมองไม่โปร่ง โอ้ย.... อย่างนี้สบายมาก หลวงตาไม่เคยใช้ยาเลยแค่คลึงขมับสองข้าง พอคลึงขมับสองข้างแล้วจะกดตรงนี้ (กดตรงท้ายทอย) ตรงนี้ตรงที่เป็นบุ๋มๆ ตรงนี้นะสองมือนี่คลึงๆ มียาหม่องด้วยยิ่งดีนะ ยาหม่องใส่ด้วยแล้วเอาทั้งหัวแม่มือแล้วก็คลึงๆ ดัดไปดัดมา ในนั้นเขาบอกให้จับง่ามมือ แต่ไม่ทราบง่ามมือจะได้ผลหรือเปล่านะ ทำนะซักประมาณ ๕ นาทีจะหายเลย โล่งเลย เพราะว่าในนี้มันมีเส้นประสาทเยอะ มันหายทุกทีแหละเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปใช้หมอเลย แล้วถ้าเคล็ดคอเราก็เอียงนี่นะ (เอียงคอ) เอียงไปเอียงมา หมุนไปหมุนมา เงยหน้าเงยหลัง แล้วก็กลอกตาก็เท่านี้น่ะนะ พบกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ.
หน้า ๑๒๒ ไม่เลือกสถานที่ ในกรุงเทพฯ ผู้ที่มีรถค่อนข้างลำบาก ตั้งแต่การเดินทางที่ประสบปัญหารถติด ทำให้เสียพลังงานด้านน้ำมันโดยเปลืองเปล่า น้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นเบนซิน หรือดีเซล ราคาสูงเกินกว่าผู้บริโภคจะรับไหว แล้วยังต้องหาที่จอดรถอีก ขณะนี้ที่จอดรถตามห้างสรรพสินค้าหลายๆ แห่ง แม้กระทั่งที่เมืองทองธานี ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานระดับชาติก็ว่าได้ ยังขาดความรับผิดชอบ ๖-๗ เดือนผ่านมานี้ผู้จัดการสำนักพิมพ์เมืองแก้ว ได้ไปเที่ยวงานโอท็อปที่อิมแพ็คเมืองทองธานี เพื่อจับจ่ายสินค้าหลากหลายชนิด พอกลับออกมา รถกระบะที่ขับไปสูญหาย สอบถามยามก็ไม่ได้ความ ทั้งๆที่รับบัตรเมื่อนำรถไปจอด เป็นไปได้อย่างไรที่รถจะสูญหายในเมื่อบัตรที่เจ้าหน้าที่ให้ไปก็ยังอยู่กับตัว วันนั้นใช้เวลาในการหารถและสอบถามอยู่นาน ซึ่งเสียเวลามาก จึงตัดสินใจกลับบ้าน โชคดีที่รถคันนั้นได้ประกันภัยแบบชั้น ๑ ผู้รับประกันชดใช้ให้ แต่ไม่เท่ากับค่าราคาของรถที่สูญหาย ซึ่งไม่คุ้มเลย ตนเองมีธุรกิจด้านการพิมพ์ หากเสียเวลาไปมัวติดตามรถตามที่นักกฎหมายแนะนำ คงใช้เวลาอีกนาน จึงตัดปัญหา รับเงินจากบริษัทประกันแทน เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้เสมอ จึงขอให้ผู้ที่เป็นเจ้าของสถานที่ได้รับผิดชอบ เมื่อมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลการจอดรถ เมื่อรถเกิดสูญหาย ขอให้เจ้าของสถานที่แสดงความรับผิดชอบ มิใช่ให้ประชาชนผู้ไปใช้บริการในที่นั้นต้องเกิดความเดือดร้อนเช่นนี้ และคงต้องกำชับกำชากับยามหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้กวดขันสอดส่อง อย่าให้มิจฉาชีพเข้ามาขโมยรถในสถานที่จอดรถจำนวนมากๆ หากเกิดความบกพร่องเพราะเจ้าหน้าที่ขาดการตรวจตราอย่างละเอียด เจ้าของสถานที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ เจ้าของรถหลายคนคงได้หาวิธีในการรักษารถไม่ให้สูญหาย เช่น การติดตั้งเครื่องนิรภัย หากใครเข้าใกล้รถ เครื่องนั้นจะส่งเสียงดัง ทำให้เจ้าหน้าที่ง่ายแก่การดูแล จึงขอเตือนผู้มีรถทุกท่านได้รอบคอบในการนำรถไปจอดตามสถานที่ต่างๆ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นปัญหาและเป็นภัย หากผู้ขับรถไม่ระมัดระวัง หากท่านผู้ใดมีประสบการณ์จริงจากชีวิตสามารถส่งมายังคอลัมน์นี้ หรือส่งมายัง
e-mail ข้างต้นได้
หน้า ๑๒๓ เป็นที่ยอมรับว่าพวกเราชาวอโศกมีความสุขในชีวิต มีความเจริญในธรรม ก็ด้วยธรรมะของพระพุทธองค์ที่พ่อท่านนำมาปฏิบัติอย่างมีมรรคผล พิสูจน์แล้วด้วยตนจึงนำมาสอนพวกเรา ผู้ใดมีโอกาสฟังธรรมบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการฟังสดๆ หรือจากเทปธรรมะ ก็ย่อมเจริญขึ้นแน่นอน แต่ต้องน้อมนำธรรมะไปปฏิบัติจริงด้วย ครบพร้อม ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสคบคุ้นญาติธรรมชายท่านหนึ่งชื่อ ลุงประสิทธิ์ ฝ่ายทอง คุณลุงอายุ ๗๗� ปี เป็นอดีตพนักงานขับรถไฟ ท่านเล่าว่า ได้ฟังธรรมจากพ่อท่านตั้งแต่ยุคลานอโศก วัดมหาธาตุฯ สมัยที่อภิปรายธรรมกับคุณไสว แก้วสม คุณลุงได้ฟังก็ซาบซึ้งในธรรมะที่พ่อท่านเทศน์ จึงพยายามปฏิบัติลดละอบายมุขข้อน้ำเมา เป็นสิ่งที่คุณลุงติดขนาดหนัก จนจะถูกให้ออกจากงาน เพราะขับรถไฟฝ่าไฟแดง และบกพร่องต่อหน้าที่หลายต่อหลายคราว แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้างาน จึงไม่ถูกไล่ออก แต่การช่วยใดๆก็ไม่ยั่งยืนและมั่นคง เท่าอนุศาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อท่าน คุณลุงศรัทธาพ่อท่าน น้อมนำธรรมะมาปฏิบัติ กลับเนื้อกลับตัวใหม่ แม้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่เป็นทาสน้ำเมา ที่ติดชนิดเพื่อนร่วมงานปรามาสว่าจะต้องตายก่อนอายุ ๔๐ ปี และสิ่งที่ทำให้คุณลุงเจริญในธรรมมาได้จนถึงปัจจุบัน เพราะคุณลุงช่วยงาน"โครงงานถอดเท็ปฯ" คุณลุงจะรับเท็ปจากสิกขมาตุปราณี ธาตุหินฟ้า สัปดาห์ละ ๒ ม้วน ส่วนมากเป็นเท็ปที่พ่อท่านเทศน์ ทำมาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๒๔ โดยคุณลุงขับรถไฟไปที่ใดจะมีวิทยุเท็ป ๑ เครื่องติดตัวไปด้วย เมื่อว่างจากงานจะนั่งถอดเท็ปตามสถานีรถไฟที่มีที่พักสำหรับเจ้าหน้าที่รถไฟ จนถึงปีพ.ศ.๒๕๓๓ แม้เกษียณอายุราชการ คุณลุงก็ยังรับงานถอดเท็ปไปทำที่บ้านที่จ.ปทุมธานีทำจนถึงทุกวันนี้
ถอดเท็ปลงกระดาษด้วยลายมือที่สวยงาม บรรจง อ่านง่าย และเขียนได้ถูกต้อง เพราะคุณลุงมีพจนานุกรมภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ และภาษาบาลีเป็นคู่มือ คุณลุงบอกว่าที่ยังมั่นคงในธรรมะแม้ยังปฏิบัติได้ไม่มากนัก
ก็เพราะได้ฟังธรรมจากเท็ปที่นำมาถอดตลอด ๒๔ ปี แม้พ่อท่านจะเทศน์ย้ำซ้ำซาก
บางเรื่องเทศน์แล้วเทศน์อีก แต่ธรรมะเป็นอกาลิโก เทศน์�เมื่อใดๆ ก็ได้ประโยชน์ได้เข้าใจกระจ่างขึ้น
แต่พักหลังๆคุณลุงเปรยว่า พ่อท่านเทศน์มีภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น คุณลุงตามไม่ค่อยทัน
ประกอบกับคุณลุงอายุมากขึ้น หูตาไม่ค่อยดี สิกขมาตุจึงจัดเท็ปให้น้อยลง และให้หยุดพักบ้างบางสัปดาห์
คุณลุงบอกจะขอทำงานนี้ต่อไปจนกว่าจะทำไม่ไหว เพราะการที่ได้ถอดเท็ป ได้ฟังธรรมะมาตลอด
ทำให้เมื่อคุณลุงประสบปัญหาเรื่องใดๆ ก็ไม่ทุกข์ จะเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง
น่าอัศจรรย์ที่ธรรมะเปลี่ยนคนจากอบายภูมิสู่อาริยภูมิได้ ข้าพเจ้าก็ช่วยงานถอดเท็ปโดยเป็นผู้ตรวจทานผู้ที่ถอดเท็ปแล้ว
และช่วยทำบทคัดย่อ ขอยืนยันว่าการฟังธรรมบ่อยๆ พาเจริญได้จริง และขออนุโมทนากับคุณลุงประสิทธิ์
แม้อายุมากแล้วก็ยังมีความเพียรมาฟังธรรมที่วัดทุกวันอาทิตย์ และถอดเท็ปธรรมะสัปดาห์ละ
๑-๒ ม้วน เป็นความเพียรที่ให้ทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านโดยแท้
หน้า ๑๒๔ ตอน วิบากกรรมของนักเลงโต เรื่องวิบากกรรมของนักเลงโต เป็นเรื่องราวของนายบรรถก จรทะผา อายุ ๕๐ ปี
อาชีพรับราชการ(ลูกจ้างประจำ) อยู่บ้านเลขที่ ๑๓๓ บ้านขามเจริญ หมู่ ๘ ต.เมืองเก่า
อ.เมือง จ.ขอนแก่น สมัยที่ผมเป็นหนุ่มอายุราว ๑๖ ถึง ๒๐ โน้น ผมเป็นคนเกกมะเหรกเกเร เป็นคนมีนิสัยอันธพาล ชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท หาเรื่องตีหัวคนอยู่เป็นประจำ จนผู้คนเขาเอือมระอาในชื่อเสียงของผมในทางอันธพาลนี้ หมู่บ้านใดจัดงานฉลองอะไรก็แล้วแต่ หากมีหนัง มีลิเก หมอลำละก็ เสร็จผมทุกงานเลยล่ะ
นั้นก็คือ การได้ตีคนหรือหาเรื่องเตะก้านคอคนเล่นโก้ๆไปอย่างนั้นเอง คือ
พอหนัง หรือหมอลำ หรือลิเกกำลังเล่นเพลินๆ สนุกสนานอยู่นั้น ผมจะทำทีเดินไปชนคนที่ผมหมายตาเอาไว้
แล้วผมก็จะถามเขาว่า มึงนักเลงหรือ ถึงเดินมาชนกู ไม่พูดเปล่ามือของผมหรือเท้าของผมก็จะประเคนไปที่ก้านคอของคนที่เคราะห์ร้ายคนนั้นทันที
พอโดนมือของผมตีเข้าที่ก้านคอ หรือเท้าของผมเตะไปที่ก้านคอเจ้าคนเคราะห์ร้ายคนนั้น
ก็จะลงไปกองอยู่กับพื้นดิน พอปี พ.ศ.๒๕๒๑ ผมก็ได้รับราชการเป็นลูกจ้างประจำได้อยู่ฝ่ายทำอาหาร เพราะเจ้านายเขาว่า ผมทำอาหารอร่อย ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่แค่ไหน ผมจะต้องเป็นเพชฌฆาตฆ่าไก่ ฆ่าเป็ด ฆ่าห่าน หรือฆ่าหมู ฆ่าวัวตัวเล็กก็ยังเคยฆ่ามา เพราะมีคนกิน ผมจึงเป็นคนฆ่าและกินกับเขาด้วย วิธีฆ่าของผมคือ ได้ไม้มาอันหนึ่ง พอเหมาะมือแล้ว มือซ้ายผมก็จะจับเอาขาของเป็ดหรือไก่รวบใส่กัน แล้วมือขวาผมก็จะจับไม้ค้อน แล้วฟาดลงไปยังก้านคอของเป็ดหรือไก่ที่เคราะห์ร้ายตัวนั้นทันที พอมันโดนผมทุบที่ก้านคอของมัน เลือดของมันก็จะแตกออกมาทางปาก ทางจมูก ตีครั้งหนึ่งยังไม่ตาย ผมก็ตีอีกเป็นครั้งที่สอง หรือครั้งที่สาม จนแน่ใจว่า มันตาย ผมจึงหยุดตีมัน ดูร่างของมันสั่นกระตุกไปสามสี่ครั้ง แล้วมันก็แน่นิ่งไป..... ผมฆ่าเป็ดฆ่าไก่ มันก็ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ที่ฆ่ายากและน่าสงสาร คือ ห่าน ห่านนี้ผมฆ่าด้วยไม้ค้อนเช่นกัน ตีมันจนหัวมันแตก มันก็ยังไม่อยากตาย เรียกว่าเลือดจะออกมาทางปากทางจมูก ดูมันจะเจ็บปวดขนาดไหน มันก็ยังพยายามจะดิ้นรนขัดขืน จะหนีจากมือของผมอยู่ดี แม้แต่หมูหรือวัว ผมยังเคยฆ่า ด้วยการเอาไม้ค้อนตีหัวของมัน พอผมตีหัวของมันเพียงสองสามครั้ง มันก็จะล้มลงไปกองกับพื้นดิน จากนั้นบรรดาเพื่อนๆของผมเขาก็จะเอามีดมาเฉือน เอาเนื้อเถือหนังเอาไปทำอาหารการกินกัน ผมต้องทำกรรมอันโหดร้ายทารุณกับสัตว์จำนวนเท่าใด ผมก็จำไม่ได้ ประมาณปี ๒๕๒๑-๒๕๓๐ พอมาถึงปี ๒๕๓๐ นั้น ผมก็ได้การบอกกล่าวจากคนเฒ่าคนแก่อยู่เสมอว่า การฆ่าสัตว์นะมันเป็นบาปเป็นกรรม เป็นเวรเป็นภัยมาถึงตัวเราภายหลังได้นะ ผมฟังตอนแรกผมก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอผมได้มาอ่านบทธรรมบทหนึ่ง หัวข้อว่า สัพเพสัตตา ใจความว่า *** เสียงร้องขอชีวิตจิตหวาดหวั่น เสียงห้ำหั่นเข่นฆ่าน่าสยอง หลังจากที่ผมได้อ่านธรรมบทนั้นแล้ว ผมก็เริ่มคิดสงสารสัตว์ เป็ด ไก่ ปู ปลา หมู ห่าน หรือวัวที่ผมเข่นฆ่ามาแล้วมากมายนั้นอย่างจับใจเลย แต่ก็เป็นเพราะหน้าที่ผมจึงจำใจฆ่าเขาอยู่ มีอยู่วันหนึ่ง เจ้านายสั่งให้ผมไปซื้อห่านเพื่อเอามาฆ่าทำอาหารเลี้ยงเจ้านาย
วันนั้น ผมก็จะทำการฆ่าเหมือนดังที่ผมเคยทำมา คือผมจะจับรวบขาของห่านทั้งสองข้างเข้าหากัน
แล้วก็ใช้ไม้ค้อนตีที่หัวของห่านเคราะห์ร้ายนั้นไปหนึ่งที พอมาถึงวันที่ ๒๓ เมษายนของปี พ.ศ.๒๕๔๕ วันนั้น ผมจะเรียกมันว่าเป็นวันที่ผมจะต้องชดใช้กรรมเก่าที่ผมเคยทำกับเขามา
การตกจากต้นมะม่วงของผมในคราวนั้น ผมตกลงมาโดยเอาทางหัวของผมลงมา จะเป็นเพราะผลของบุญของศีลของทานของผมก็ไม่อาจจะทราบได้ ในขณะที่ผมตกลงมานั้น มันเหมือนมีพรมมารองรับหัวของผม ก่อนที่ผมจะตกลงมาสู่พื้นดิน ไม่อย่างนั้นผมคงจะคอหักตายไปแล้วก็ได้ พอหัวของผมกระแทกกับพื้นดิน ผมก็สลบไปนานประมาณ ๒๐ นาที พอผมรู้สึกตัว รู้ว่าตัวเองตกจากต้นมะม่วง ความคิดแรกผมคิดถึงพระคุณของพ่อแม่ ผมอธิษฐานจิตขอให้พระคุณของคุณแม่คุณพ่อจงช่วยคุ้มครองลูกด้วย อย่าให้ลูกเป็นอะไรไปมากมายเลย ต่อจากนั้นผมก็ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอันประเสริฐ คือคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วผมก็นอนสวดมนต์อยู่ในใจ ว่าพุทโธ พุทโธ เหมือนดั่งที่ผมเคยสวดมา ตอนที่ผมฟื้นจากสลบมาใหม่ๆ ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าคอของผมมันหัก มีเพียงแค่ว่าผมเจ็บที่ต้นคอ แต่ไม่นึกว่าคอของผมจะหัก จากนั้นผมก็เอามือมาจับที่ต้นคอของผม แล้วผมก็เดินโซซัดโซเซออกมาหาเพื่อนๆของผม เพื่อนๆและแม่บ้านของผมก็เลยพาผมส่งไปยังโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น หมอก็ได้มาตรวจดูอาการตรงที่ผมเจ็บ หมอบอกว่า คอของผมหักถึงสามท่อน ในคืนนั้นผมรู้สึก เจ็บปวดที่ต้นคอของผมมาก มากจนเกินคำที่ผมจะบรรยายให้ฟังได้ รู้แต่ว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมานทรกรรมอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว ในตอนนั้นจิตของผมก็หวนคิดถึงวิบากกรรมที่ผมเอามือเอาเท้าไปเตะก้านคอของเขา คิดไปต่างๆนานา แล้วก็คิดไปถึงหมูวัว เป็ดไก่ห่านที่ผมเคยเอาไม้ค้อนไปตีหัวเขา เขาคงจะเจ็บจะปวดจนทนความเจ็บปวดไม่ได้ จนกระทั่งเขาต้องมาตายลงไปเพราะการกระทำของผมเอง บัดนี้ ณ เวลานี้ กรรมที่ผมเคยทำกับเขาเอาไว้ มันได้ย้อนคืนมาสนองให้กับผมเข้าให้แล้ว เขาคงจะเจ็บจะปวดไม่แพ้กัน ผมปวดอยู่ในขณะนั้น ต่อจากนั้น หมอก็ได้เอาปลอกคอใส่ทรายมาดึงถ่วง หนักถึง ๑๒ ก.ก. เพื่อให้กระดูกคอของผมจะได้เข้ากัน ผมนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นเป็นเวลาถึง ๙ วัน หมอถึงได้ผ่าตัดตรงที่ต้นคอของผม เพื่อรักษากระดูกคอของผมที่หักให้เข้าสู่สภาพปกติ หมอบอกว่า ผมผ่าตัดหนักกว่าทุกคนที่เคยผ่าตัดมา คือหมอได้พาผมเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่เวลา ๘ โมงเช้า กว่าจะเสร็จก็มาถึงทุ่มกว่าๆถึงได้ออกมาจากห้องผ่าตัดนั้น พอออกจากห้องผ่าตัดมา ผมรู้สึกเจ็บปวดที่แผลผ่าตัดนั้น ผมจึงได้แต่ร้อง ร้องด้วยความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตั้งหลายวัน ผมนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นอยู่เกือบเดือน หมอเห็นว่าผมอาการดีขึ้นแล้วจึงให้ผมกลับมานอนพักรักษาตัวต่อที่บ้าน ผมนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านอีกตั้งหลายเดือน ร่างกายผมจึงเข้าสู่สภาพปกติ
ต่อจากนั้นมาผมก็มีแต่อยากทำบุญให้ทานไปเรื่อยๆ เพื่อทดแทนการทำบาปกรรมที่ผมเคยทำกับคนและสัตว์เหล่านั้น เทียนไขย่อมเผาผลาญตัวมันเองฉันใด
หน้า ๑๒๘ อยู่เหนืออารมณ์ให้ได้ ในบรรดาส่ำสัตว์ทั้งปวง คนเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่วงจรชีวิตวุ่นวายที่สุด
เพราะคนมีอารมณ์ไม่แน่นอน ปรวนแปรง่ายปานสายลม หรือกำหนดทิศไปไม่ได้ปานมัจฉาในวารี เราจะสังเกตเห็นว่า ความสามารถควบคุมอารมณ์ แสดงออกมาตรงๆ ถึงความรู้สึกภายในและยิ่งอายุน้อยเท่าไหร่
ความรับผิดชอบจะลดน้อยลงตาม เราพึงฝึกตนให้เป็นผู้ใหญ่ ด้วยการอยู่เหนืออารมณ์ให้ได้... |
|